การเกษตรเรื่องการปลูกองุ่นนอกฤดู
การบังคับให้องุ่นออกดอกนอกฤดูนั้น เกษตรกรมักจะปฏิบัติหลังจากที่ได้เก็บผลไปแล้ว โดยที่เกษตรกรจะต้องมีการบำรุงต้นให้มีความสมบูรณ์ มีการสะสมอาหารได้เพียงพอ และมีการป้องกันโรค แมลง เพื่อองุ่นจะได้มีความพร้อมและความสมบูรณ์ในการออกดอก ออกผล
1. หลังจากที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรเสร็จแล้ว เกษตรกรควรปล่อยให้ต้นองุ่นโทรมประมาณ 15-30 วัน แล้วจึงใส่ปุ๋ย โดยในตอนแรกใส่ปุ๋ยคอก พร้อมทั้งปุ๋ยน้ำทางในสูตรที่มีตัวกลางสูง เช่น สูตร 11-22-11 ฉีดพ่น 1 ครั้ง พร้อมทั้งเตรียมลอกเลนขึ้นจากท้องร่อง และตบแต่งคันร่องเพื่อรอ
การตัดแต่งกิ่ง
2. การตัดแต่งกิ่งองุ่นจะตัดเอากิ่งแขนงหรือกิ่งสาขาให้สั้นลง และให้มีตาองุ่นบนกิ่งแก่ และตัดกิ่งที่แพร่กระจายทับกันออก โดยให้เหลือตาองุ่นไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นพันธุ์ไวท์มะละกาให้มีตาเหลือไว้ประมาณ 5-7 ตาต่อกิ่ง แต่ถ้าเป็นพันธุ์คาร์ดินัล ให้เหลือแค่ 3-5 ตาต่อกิ่งเท่านั้น
3. เมื่อตัดแต่งกิ่งเสร็จเกษตรกรควรให้ปุ๋ยน้ำที่มีธาตุอาหารหลักคือ เอ็น พี เค ให้สูตรตัวหน้าสูงเพื่อช่วยเร่งตาองุ่นให้ออกเร็วขึ้น เช่น ใช้สูตร 20-10-10 หรือสูตรอื่นที่ใกล้เคียงกันในอัตรา 70 กิโลกรัมต่อไร่ หรือขนาดร่อง 5 ตารางวาต่อปุ๋ย 10 กิโลกรัม โดยหว่านให้ทั่วทั้งร่อง การใส่ปุ๋ย ควรเลือกเวลาตอนบ่ายหรือตอนเช้าในขณะที่แสงแดดไม่แรงมากนัก หลังจากหว่านปุ๋ยแล้วต้องรดน้ำเพื่อให้ปุ๋ยละลายและรากขององุ่นจะดูดซึมเพื่อไปเลี้ยงลำต้นได้เร็วขึ้น
4. ในระยะ 2-3 วันแรกหลังตัดแต่งกิ่งสำเร็จ ให้เกษตรกรฉีดปุ๋ยน้ำทางใบสูตร คือ กลางสูง เช่นสูตร 11-22-11 และอาหารเสริมทางใบ เพื่อเร่งให้องุ่นแทงช่อดอกออกมาพร้อมกับใบ โดยทำการฉีด 5-7 วันต่อครั้ง การฉีดพ่นปุ๋ยทางใบให้กับองุ่นนั้นจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการให้ทางดิน และเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายเกษตรกรอาจจะผสมยาฆ่าแมลงและยาป้องกันกำจัดโรคราลงได้ด้วยก็ได้
5. หลังจากที่ได้ตัดแต่งกิ่งประมาณ 15-20 วัน ตาขององุ่นก็จะแตกใบใหม่ออกมาให้เห็น ถ้าเป็นฤดูร้อนและในฤดูฝนตาจะแตกเร็วกว่าประมาณ 15 วัน แต่ถ้าเป็นฤดูหนาว ตาจะแตกใบอ่อนช้าออกไปอีกประมาณ 20 วันขึ้นไป และโดยธรรมชาติขององุ่นเมื่อตาแตกใบอ่อนออกมาแล้ว ช่อดอกจะแทงออกมาด้วย ในขณะที่ดอกองุ่นกำลังบานหรือติด เกษตรกรอาจเด็ดตาดอกที่ไม่มีดอกทิ้งก็ได้ เพื่อไม่ให้องุ่นมีใบมากในช่วงนี้
6. หลังจากที่องุ่นแทงช่อดอกออกประมาณ 16-17 วัน เกษตรกรอาจจะเพิ่มคุณภาพขององุ่น โดยใช้ฮอร์โมน จิบเบอเรลลิน, เอ็นเอเอ. หรืออาหารเสริมทางใบ เพื่อยืดช่อดอกองุ่นให้ยาวใหญ่ขึ้น แต่การใช้ฮอร์โมนยืดช่อดอก เกษตรกรจะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง และต้องรู้จักวิธีการใช้ เพราะหากใช้ผิดพลาดแล้วจะเกิดผลเสียหายต่อดอกและผลองุ่น เช่น ดอกยาวเกินไป ดอกร่วง หรือทำให้องุ่นไม่ติดผลได้
7. เมื่อองุ่นติดผล การปฏิบัติดูแลรักษาตามปกติ และโดยเฉพาะการฉีดยาป้องกันกำจัดโรค แมลง จะต้องกระทำสม่ำเสมอ อาทิตย์ละครั้ง หรืออาจจะฉีดพร้อมกับการให้อาหารเสริมทางใบด้วยก็ได้ จนกระทั่งผลองุ่นโตเต็มที่ เพื่อรอการเก็บเกี่ยวผลต่อไป
http://www.xn--12ca4dscc8ayd2f.com/tag/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%94%E0%B8%B9/
ขั้นตอนปฏิบัติในการบังคับให้องุ่นออกดอกนอกฤดูกาล :
การบังคับให้องุ่นออกดอกนอกฤดูกาลชาวสวนมักจะมีการปฏิบัติหลังจากที่ได้เก็บ ผลไปแล้ว โดยที่ชาวสวนจะต้องมีการบำรุงต้นให้มีความสมบูรณ์ มีการสะสมอาหารได้เพียงพอ และมีการป้องกันโรค แมลง เพื่อองุ่นจะได้มีความพร้อมและความสมบูรณ์ในการออกดอก ออกผลต่อไป
***ภายหลังจากที่ได้เก็บเกี่ยวผลเสร็จแล้ว ชาวสวนจะปล่อยให้ต้นองุ่นโทรมประมาณ 15-30 วัน แล้วจึงใส่ปุ๋ย โดยในตอนแรกใส่ปุ๋ยคอก พร้อมทั้งปุ๋ยน้ำทางในสูตรที่มีตัวกลางสูง เช่น สูตร 11-22-11 ฉีดพ่น 1 ครั้ง พร้อมทั้งเตรียมลอกเลนขึ้นจากท้องร่อง และตบแต่งคันร่องเพื่อรอการตัดแต่งกิ่ง
***การตัดแต่งกิ่งองุ่นจะตัดเอากิ่งแขนงหรือกิ่งสาขาให้สั้นลง และให้มีตาองุ่นบนกิ่งแก่ และตัดกิ่งที่แพร่กระจายทับกันออก โดยให้เหลือตาองุ่นไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อจะได้แตกตาดอกและเจริญเป็นดอกเป็นผลต่อไป ซึ่งถ้าเป็นพันธุ์ไวท์มะละกาให้มีตาเหลือไว้ประมาณ 5-7 ตาต่อกิ่ง แต่ถ้าเป็นพันธุ์คาร์ดินัล จะตัดให้เหลือแค่ 3-5 ตาต่อกิ่งเท่านั้น
***เมื่อตัดแต่งกิ่งเสร็จชาวสวนองุ่นจะให้ปุ๋ยน้ำที่มีธาตุอาหารหลัก คือ เอ็น พี เค (n p k) ให้สูตรตัวหน้าสูงเพื่อช่วยเร่งตาองุ่นให้ออกเร็วขึ้น เช่น ใช้สูตร 20-10-10 หรือสูตรอื่นที่ใกล้เคียงกันในอัตรา 70 กิโลกรัมต่อไร่ หรือขนาดร่อง 5 ตารางวาต่อปุ๋ย 10 กิโลกรัม โดยหว่านให้ทั่วทั้งร่อง การใส่ปุ๋ย ควรเลือกเวลาตอนบ่ายหรือตอนเข้าในขณะที่แสงแดดไม่แรงมากนัก หลังจากหว่านปุ๋ยแล้วต้องรดน้ำเพื่อให้ปุ๋ยละลายและรากขององุ่นจะดูดซึม เพื่อไปเลี้ยงลำต้นได้เร็วขึ้น
***ในระยะ 2-3 วันแรกหลังตัดแต่งกิ่งสำเร็จ ให้ฉีดปุ๋ยน้ำทางใบสูตร คือ กลางสูง เช่นสูตร 11-22-11 และอาหารเสริมทางใบ เพื่อเร่งให้องุ่นแทงช่อดอกออกมาพร้อมกับใบ โดยทำการฉีด 5-7 วันต่อครั้ง การฉีดพ่นปุ๋ยทางใบให้กับองุ่นนั้นจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการให้ทางดิน และเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายชาวสวนอาจจะผสมยาฆ่าแมลงและยาป้องกันกำจัดโรครา ลงได้ด้วยก็ได้ ชนิดของสารเคมีที่ใช้ป้องกันกำจัดเชื้อราในสวนองุ่นที่ได้ผลดีได้แก่สารที่ มีส่วนผสมของกำมะถันผงหรือสารประกอบทองแดง เช่น โซเน็บ มาเน็บ หรือยาที่มีธาตุสังกะสีเป็นองค์ประกอบ เช่น แคปแทน 50 ออร์โธไซด์ หรือ ไดเทนเอ็น 45 ส่วนยาฆ่าแมลงที่ใช้ได้ผลก็มีหลายชนิด และมีฤทธิ์การทำลายที่แตกต่างกันไป มีทั้งราคาถูกและราคาแพง ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาและการตัดสินใจของชาวสวนเอง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะทำการผสมสารต่าง ๆ ลงไปพร้อมกัน ชาวสวนควรศึกษาให้ละเอียดถึงการเข้ากันได้หรือไม่ได้ของสารเคมีเสียก่อน เพราะมิฉะนั้นแล้วการใช้สารครั้งนั้นอาจจะไม่ได้ผลหรือได้ผลในแง่ลบได้
***ภายหลังจากที่ได้ตัดแต่งกิ่งไปได้ประมาณ 15-20 วัน ตาขององุ่นก็จะแตกใบใหม่ออกมาให้เห็น ถ้าเป็นฤดูร้อนและในฤดูฝนตาจะแตกเร็วกว่าประมาณ 15 วัน แต่ถ้าเป็นฤดูหนาว ตาจะแตกใบอ่อนช้าออกไปอีกประมาณ 20 วันขึ้นไป และโดยธรรมชาติขององุ่นเมื่อตาแตกใบอ่อนออกมาแล้ว ช่อดอกจะแทงออกมาด้วย ในขณะที่ดอกองุ่นกำลังบานหรือติด ชาวสวนอาจพิจารณาเด็ดตาดอกที่ไม่มีดอกทิ้งบ้าง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้องุ่นมีใบมากในช่วงนี้
***หลังจากที่องุ่นแทงช่อดอกออกมาแล้วประมาณ 16-17 วัน ชาวสวนอาจจะเพิ่มคุณภาพขององุ่น โดยใช้ฮอร์โมน จิบเบอเรลลิน, เอ็น.เอ.เอ. หรืออาหารเสริมทางใบ เพื่อยืดช่อดอกองุ่นให้ยาวใหญ่ขึ้น แต่การใช้ฮอร์โมนยืดช่อดอก ชาวสวนจะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง และต้องรู้จักวิธีการใช้ เพราะหากใช้ผิดพลาดแล้วจะเกิดผลเสียหายต่อดอกและผลองุ่น เช่น ดอกยาวเกินไป ดอกร่วง หรือทำให้องุ่นไม่ติดผลได้
***เมื่อองุ่นติดผลไปแล้ว ก็มีการปฏิบัติดูแลรักษาตามปกติ และโดยเฉพาะการฉีดยาป้องกันกำจัดโรค แมลง จะต้องกระทำสม่ำเสมอ อาทิตย์ละครั้ง หรืออาจจะฉีดพร้อมกับการให้อาหารเสริมทางใบด้วยก็ได้ จนกระทั่งผลองุ่นโตเต็มที่ เพื่อรอการเก็บเกี่ยวผลต่อไป
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=7e29f25fb14396d1
องุ่นไร้เมล็ดของอินเดีย
ช่วงหน้าหนาวราวต้นปี ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม เป็นช่วงที่มีองุ่นออกวางจำหน่ายอย่างแพร่หลายในอินเดียและราคาไม่แพงมากนักถ้าเทียบกับเมืองไทย โดยเฉพาะ องุ่นไร้เมล็ด (seedless grape) เป็นที่นิยมมาก มีขายทั้งสีดำและสีเขียว สนนราคาขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 60-100 รูปี ต่อหนึ่งกิโลกรัม แต่สีดำจะมีราคาแพงกว่าหน่อย มีให้เลือกซื้อและทานกันอย่างอิ่มหนำเลยค่ะ
ในอินเดีย “องุ่นไร้เมล็ด” พันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากที่สุด คือ “Thomson Seedless Grape” ซึ่งปลูกมากที่สุดในรัฐมหาราษฏระนี่เอง โดยเฉพาะที่เมืองนาสิก (ปลูกมากที่สุดในอินเดีย) รองลงมาคือ รัฐการ์นาตะกา และทมิฬนาดู เป็นอันดับที่สาม เนื่องจากเป็นที่นิยมรับประทานมาก องุ่นไร้เมล็ดจึงนับเป็นพืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้งดงามอย่างหนึ่งในอินเดีย
และก็เพราะปลูกกันมากที่สุดในรัฐมหาราษฏระนี่เอง ทำให้องุ่นที่เมืองปูเณ่มีราคาถูกกว่าที่อื่น แถมยังหวาน กรอบ อร่อยอย่าบอกใครทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามการรับประทานองุ่นก็ควรต้องระวังให้ดีด้วยค่ะ เพราะผลองุ่นนี่ก็อุดมไปด้วยสารพิษจากยาฆ่าแมลงจำนวนมาก โดยเฉพาะคราบขาวๆ ที่เคลือบบนผิวองุ่น ล้างด้วยน้ำเปล่าๆ ไม่ออก
การที่จะรับประทานองุ่นได้อย่างปลอดภัยก็จะต้องล้างผลองุ่นอย่างสะอาดหมดจด สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้ค่ะ ควรเด็ดผลองุ่นออกจากขั้วเพื่อที่จะได้ทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง บีบยาสีฟันยี่ห้อใดก็ได้สักเล็กน้อย ขยี้ให้ละลายกับน้ำแล้วนำองุ่นที่เด็ดขั้วแล้วลงมาล้างให้สะอาด แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ก็จะได้ผลองุ่นที่สะอาดและปลอดภัยดีแล้วค่ะ
http://learningpune.com/?p=14372
|
|
องุ่นไร้เมล็ด ไม้ผลเศรษฐกิจพื้นที่สูง โครงการหลวงหนุนเกษตรกรปลูกเพิ่มรายได้ มูลนิธิโครงการหลวง ได้พัฒนาการปลูกองุ่นบนพื้นที่สูงมาเป็นเวลานาน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มชนิดของไม้ผลเศรษฐกิจที่จะส่งเสริมเป็นอาชีพและรายได้แก่เกษตรกร อีกทั้งให้ผลตอบแทนรวดเร็วกว่าไม้ผลชนิดอื่นๆ ผลผลิตมีคุณภาพสูงและที่สำคัญยังสามารถพัฒนาวิธีการปลูกในโรงเรือนได้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ถ้าหากปลูกและดูแลอย่างถูกวิธีจะสามารถให้ผลผลิตได้ภายใน 8-12 เดือน พร้อมทั้งสามารถบังคับผลผลิตออกได้ 2 ปี 5 ครั้ง เกษตรกรผู้ปลูกองุ่นมีรายได้ตลอดทั้งปี คุณสรศักดิ์ นาทิพย์ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมไม้ผล ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เล่าให้ฟังว่า เกษตรกรที่ปลูกองุ่นในศูนย์ มีจำนวน 12 ราย คุณอนันต์ อมรเลิศศักดิ์ เป็นหนึ่งในสมาชิกของศูนย์ ปลูกองุ่นเป็นระยะเวลา 3 ปีแล้ว โดยพันธุ์องุ่นที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกมีพันธุ์ “บิวตี้ซีดเลส” เป็นองุ่นไม่มีเมล็ด ทรงผลรี ขนาดปานกลาง สีดำช่อใหญ่ ออกดอกติดผลง่าย รสชาติอร่อย หวาน กรอบ เป็นที่นิยมของผู้บริโภคและมีราคาแพง อายุตั้งแต่ตัดแต่งกิ่งจนถึงเก็บผลผลิตได้ประมาณ 4 เดือนครึ่ง (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับช่วงฤดู และสภาพพื้นที่ด้วย) ส่วนอีกพันธุ์ที่กำลังจะส่งเสริม คือ พันธุ์ “รูบี้ซีดเลส” เป็นองุ่นไม่มีเมล็ดเหมือนกัน ผลโต ยาวรี ผลมีสีแดงช่อใหญ่ เปลือกหนาพอๆ กัน พันธุ์บิวตี้ซีดเลส มีรสชาติอร่อย หวาน กรอบ และเป็นพันธุ์ที่มีราคาแพงเช่นกัน อายุตั้งแต่เริ่มตัดแต่งกิ่งจนถึงเก็บผลผลิตได้ประมาณ 5-6 เดือน (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับช่วงฤดู และสภาพพื้นที่เช่นกัน) คุณนันต์ เกษตรกรสมาชิกผู้ปลูกองุ่น ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย เล่าให้ฟังว่า ตนเองเป็นเกษตรกรปลูกผักปวยเล้งขาย แต่รายได้ไม่แน่นอน ดังนั้น จึงมีแนวคิดนำพืชมาปลูกเสริมรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัว ประกอบกับโครงการหลวงได้นำองุ่นสายพันธุ์ใหม่มาส่งเสริม โดยได้คำแนะนำจากคุณสรศักดิ์ จึงได้เริ่มปลูกเมื่อปี พ.ศ. 2549 และได้สร้างโรงเรือนจำนวน 6 โรงเรือน ในพื้นที่จำนวน 2 ไร่ จึงทำค้างแบบราวตากผ้า เพื่อให้องุ่นเลื้อย โดยความสูงของค้างประมาณ 1.80 เมตร ความกว้างด้านบนของค้างประมาณ 6 เมตร ใช้ลวด เบอร์ 14 ดึงระหว่างหัวแปลงกับท้ายแปลง ระยะระหว่างลวดประมาณ 25 เซนติเมตร หลังจากที่เตรียมดินและค้างเรียบร้อยแล้ว จึงนำกล้าองุ่นมาปลูกในระยะห่างกันประมาณ 3 เมตร จำนวน 300 ต้น ซึ่งในช่วงระหว่างรอผลผลิตออก จะจัดโครงสร้างของกิ่งทั้งกิ่งหลักและกิ่งสาขาให้สามารถมีกิ่งที่ให้ผลผลิต ต่อต้นจำนวนมาก และทุกกิ่งอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กิ่งหลักอย่างเป็นระเบียบ มีความสมบูรณ์ สม่ำเสมอกัน การจัดทรงจะเป็นรูปทรงตัว H และสร้างกิ่งแบบก้างปลาจากกิ่งแขนงที่เกิดอยู่ทุกข้อของเถา โดยการเร่งการเจริญเติบโตของเถาให้เร็วและสมบูรณ์ที่สุด ภายใน 8-12 เดือน ซึ่งตั้งแต่การติดดอกจนถึงวันเก็บเกี่ยวผลที่แก่จัด ใช้เวลาประมาณ 120-150 วัน ก่อนที่จะออกผลผลิต ในแต่ละปีจะเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 2 ครั้ง ช่วงที่ผลองุ่นมีรสชาติที่หอมหวาน กรอบอร่อยที่สุด อยู่ในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม ก่อนการเก็บผลผลิตจะทิ้งการใส่ปุ๋ย ฉีดยา ประมาณ 45 วัน และเก็บเกี่ยวผลผลิตจะนำไปตรวจสอบให้ปลอดภัยจากสารพิษทุกครั้ง ส่วนความหวานที่เหมาะกับการเก็บผลผลิตจะอยู่ในระหว่าง 16-18 บริกซ์ เป็นช่วงของความหวานที่อร่อย โดยราคาที่จะขึ้นอยู่กับจำนวนบริกซ์ ถ้าจำนวน 16 บริกซ์ ราคากิโลกรัมละ 100 บาท 17 บริกซ์ ราคากิโลกรัมละ 150 บาท และ 18 บริกซ์ ราคากิโลกรัมละ 200 บาท จำนวนต่อต้นจะให้ปริมาณ 15-30 กิโลกรัม ผลผลิตที่ได้ต่อปีประมาณ 2 ตัน คิดเป็นเงินประมาณ 300,000 บาท ซึ่งปลูกได้แล้ว 3 ปี สามารถคืนทุนที่ลงไปได้แล้ว ส่วนตลาดที่ออกจำหน่ายจะนำผลผลิตที่ได้ส่งให้กับโครงการหนองหอยบรรจุเรียบ ร้อย แล้วส่งให้กับโครงการหลวงที่แม่เหียะ และส่งต่อให้กับลูกค้าต่อไป คุณสรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงการจัดเถาและช่อองุ่นว่า เมื่อช่อดอกยาวออกมา ดอกจะบานหรือหลังจากตาองุ่นแตกได้ 2-3 สัปดาห์ จะปลิดตาข้างออกให้หมดเพื่อให้ยอดองุ่นอ่อนแตกออกมา หลังจากที่ดอกบานจนติดผลเล็กๆ แล้ว จะผูกเถาติดกับค้าง ให้มีความยาวประมาณ 80-100 เซนติเมตร ต่อมาจะตัดปลายช่อองุ่นทิ้ง 1 ใน 4 หลังตัดแต่งกิ่งประมาณ 35 วัน จะปลิดผลเพื่อไม่ให้ผลในช่อมีปริมาณมากเกินไป โดยจะปลิดผลที่มีขนาดเล็ก ผลที่ไม่มีรูปทรง ผลที่เกิดจากโรคและแมลง การปลิดผลจะให้เหลือต่อช่อประมาณ 50-80 ผล ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของช่ออีกที ส่วนการให้ปุ๋ยจะใช้ ปุ๋ยคอก ใส่บนดินโดยโรยรอบๆ ต้นองุ่นให้ทั่วแปลง 1 กระสอบ ต่อต้น ต่อการเก็บผลองุ่นแต่ละครั้ง โดยทำหลังจากเก็บผลองุ่นแล้วก่อนที่จะตัดแต่งกิ่งครั้งต่อไป สำหรับปุ๋ยวิทยาศาสตร์ มีสูตรที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอายุของต้นองุ่น ระยะที่ต้นยังเล็กหรือยังไม่ได้ตัดแต่ง ใช้สูตร 15-0-0- สูตร 15-15-15 สูตร 20-20-20 และสูตร 12-24-12 อัตรา ต้นละ 300-500 กรัม ต่อต้น ใช้ร่วมกับปุ๋ยคอก 10 กิโลกรัม ต่อต้น ระยะที่สอง ให้ปุ๋ยเกรดเดียวกับระยะแรก เมื่อดอกบานแล้ว 15 วัน หลังการตัดแต่งกิ่งได้ประมาณ 45 วัน ระยะที่สาม ใส่ปุ๋ยที่มีโพแทสเซียมสูง สูตร 13-13-21 สูตร 8-24-24 สูตร 0-52-34 สูตร 0-0-5 ต้นละ 300-500 กรัม หรือใส่ก่อนเก็บผลผลิตประมาณ 15-30 วัน ซึ่งจะให้ผลองุ่นมีคุณภาพสูง ผิวสวย หวาน กรอบ อร่อย ส่วนการให้น้ำ ในระยะติดผลและผลกำลังพัฒนาจะให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ระยะก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะงดการให้น้ำหรือให้น้อยที่สุด เพื่อจะให้ผลมีคุณภาพดี น้ำตาลในผลสูง ผลไม่นิ่ม มีผิวสวย หวาน กรอบ อร่อย นอกจากนี้แล้ว เพื่อเพิ่มรสชาติจะมีการให้ฮอร์โมน โดยหลังจากตัดแต่งกิ่งองุ่นจะฉีดพ่นสารละลายคอร์เม็ท ชื่อสามัญ คือไฮโดรเจนไซยานาไมค์ 52% อัตรา 1,000 ซีซี. ผสมน้ำ 10 ลิตร พร้อมทั้งเพิ่มสารฮอร์โมนช่วยยืดช่อให้ผลยาวขึ้น ทำให้ใบโปร่ง ผลไม่เบียดกันมาก ทุ่นแรงในการปลิดผล ผลโต ยาว ขั้วผลยาวสวยงามชวนซื้อ รสชาติของผลดี หวาน กรอบมากขึ้น สำหรับผู้ที่สนใจการปลูกองุ่น สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานประชาสัมพันธ์มูลนิธิโครงการหลวง โทร. (053) 810-765 ต่อ 104 หรือ 108 หรือศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ (053) 318-301 ว่าที่ ร.ต.หญิง พิมพ์ใจ กันชนะ http://news.enterfarm.com/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94.html |
การผลิตองุ่นไร้เมล็ด
องุ่นไม่มีเมล็ดมี 3 แบบ
1 stimulative parthenocarpy เกสรตัวผู้ตกบนยอดเกสรตัวเมีย(stigma)งอกลงไปตาม pollen tube แต่ไม่มีการปฏิสนธิ ผลคือได้ผลที่ไม่มีเมล็ด เนื่องจาก embryoไม่สมประกอบ หลังดอกบานรังไข่ (ovule) จึงไม่พัฒนา เช่นพันธุ์ : Black Corinth ต้องการการผสมเกสร แต่ไม่มีการสร้าง auxin ผลจึงเล็กมาก
2 stenospermocarpy มีการผสมเกสร และมีการปฏิสนธิ แต่ embryoจะฝ่อไปหลังปฏิสนธิ 2-4 สัปดาห์ ยังคงเหลือร่องรอยของเมล็ด(seed traces) เช่นพันธุ์ Thompson seedless,marroo seedless,crimpson seedless etc.(เป็นพันธุ์ส่วนใหญ่ที่ปลูกเป็นการค้าในเมืองไทย) ผลจึงเล็ก แต่ไม่เล็กเท่า Black Corinth (ไข่ปลา) เพราะมีการสร้าง auxin แบบจำกัด
3 empty-seededness มีการผสมเกสร และมีการปฏิสนธิ zygote พัฒนาจนมี seed coat แล้วเมล็ดก็ฝ่อแห้งไป เหลือเมล็ดเหี่ยว ๆ เนื่องจากมีการสร้าง auxin ขึ้นมามาก ลูกจึงใหญ่กว่า 2 แบบแรก เกิดขึ้นได้ทั้งโดยยีน และสภาพแวดล้อม
พันธุ์ดั้งเดิมที่ไม่มีเมล็ด พบว่ามีถิ่นกำเนิดแถวเขตรอยต่อเอเชียยุโรปและชายฝังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อัฟกานิสถาน อิหร่าน อินเดียตอนบน เห็นได้จากชื่อพันธุ์ suntana ,suntanina (พันธุ์สุลตาน) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ต้นกำเนิดของพันธุ์ thompson seedless ในอเมริกา พันธุ์เก่าแก่อีกพันธุ์คือ monuka นักผสมพันธุ์จะใช้พันธุ์เก่าแก่เหล่าเป็นยีนตั้งต้น ในการพัฒนาองุ่นไม่มีเมล็ดต่อๆมา
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=5fdfffa97901bae1