-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 196 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

ส้มโชกุน




หน้า: 1/2


                              ส้มโชกุน                


          ลักษณะทางธรรมชาติ
               
       * กำเนิดที่ จ.ยะลา กลายพันธุ์มาจากส้มจีนเพาะเมล็ด  ปลูกได้ทุกพื้นที่และทุกภูมิภาค
ของประเทศ  ชอบดินดำร่วนมีอินทรีย์วัตถุมากๆ  ระบายน้ำดี  ไม่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขังค้าง
นาน
                

       * จากแหล่งกำเนิดให้ชื่อว่า  โชกุน  ต่อมาแพร่หลายไปต่างพื้นที่  บางสวนตั้งชื่อใหม่
ตามความพอใจเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า
                

       * มีระบบรากค่อนข้างอ่อนแอกว่าส้มสายพันธุ์อื่น จึงต้องพยายามรักษาระดับน้ำใต้ดิน
โคนต้นให้พอดีอยู่เสมอ โดยเฉพาะช่วงออกดอกถ้านำอินทรียวัตถุคลุมโคนต้นออกก่อนเพื่อเปิด
หน้าดินให้แสงแดดช่วยให้ในดินระเหยออกไปบ้างก็จะช่วยให้ดอกสมบูรณ์ติดเป็นผลมากขึ้นได้

       * ปลูกในเขตฝน (ภาคใต้) ช่วงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวสีเปลือกยังคงเป็นสีเขียว  ส่วนที่ปลูก
ในเขตหนาว (ภาคเหนือ) ช่วงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวสีเปลือกจะเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลืองทอง 
แต่คุณภาพของเนื้อในไม่ต่างกันหรือขึ้นอยู่กับการบำรุงเป็นหลัก
                

       * เริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุ 2-2 ปีครึ่งหลังปลูกขึ้นอยู่กับการปฏิบัติบำรุง
                

       * ต้นโตเป็นสาวเต็มที่ 5 ปีขึ้นไป  การออกดอกแต่ละรุ่นที่เป็นส้มปีจะทยอยออกหลาย
ชุด  ทำให้ได้ผลแก่เก็บเกี่ยวได้ปีละ 3 เดือน ตั้งแต่ ธ.ค.- ก.พ.
                

       * ต้นที่ได้รับการบำรุงแบบให้มีสารอาหารกินตลอด 24 ชม.ต่อเนื่องหลายๆปี  โชกุนจะ
ออกดอกติดผลตลอดปี  หรือทุกครั้งที่แตกใบอ่อนออกมา 
                

       * ระยะดอกบานให้จิ๊บเบอเรลลิน. 1-2 รอบ  จะช่วยให้ติดผลดกขึ้น  เนื่องจากดอกมี
ความสมบูรณ์พัฒนาเป็นผลได้มากขึ้นนั่นเอง
                

       * ระยะผลเล็กเท่าขนาดมะนาวให้ เอ็นเอเอ. หรือ จิ๊เบอเรลลิน.  อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ
ทั้งสองอย่างเพียง  1 ครั้งจะช่วยลดอาการผลแตกผลร่วงเมื่อผลโตขึ้นได้ดี
 

       * ให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน 2 เดือน/ครั้ง  จะช่วยให้ต้นสมบูรณ์ ติดผล
ดกและคุณภาพดี

       * ให้ธาตุรอง/ธาตุเสริม  สม่ำเสมอหรือเดือนละ 21 ครั้ง  จะช่วยบำรุงให้คุณภาพดี 
เปลือกบาง  รกน้อย  กากน้อย               

       * อายุต้น 2-5 ปีแรกที่เมให้ผลผลิตอาจจะไม่ดีนัก  แต่เมื่อต้นอายุมากขึ้นจะให้ผลผลิต
ดี
                

       * ลำต้นเปล้าเดี่ยวๆหรือกิ่งง่ามแรกสูงจากพื้น 50-80 ซม.จะให้ผลผลิตดีกว่าต้นที่ลำ
เปล้าสั้นหรือกิ่งง่ามแรกอยู่ต่ำ แนะนำให้ตัดแต่งกิ่งจัดรูปทรงพุ่มให้มีลำเปล้าสูงๆตั้งแต่ต้นเริ่มให้
ผลผลิตปีแรกๆ  รูปทรงต้นก็อยู่อย่างนั้นตลอดไป
                

       * ขนาดผลใหญ่ ตัวกุ้งใหญ่ใหญ่  เนื้อชุ่มน้ำและกลิ่นหอมกว่าเขียวหวาน
 

       * ติดผลดกน้อยกว่าเขียวหวาน
                

       * การเก็บเกี่ยวต้องใช้กรรไกคมๆตัดขั้วให้ติดใบ 1-2 ใบร่วมมาด้วย        
 







 

ประวัติส้มโชกุน     
              
คุณสมชาย รุจิระไพบูลย์ เจ้าของสวนส้มโชกุนจังหวัดยะลา เดิมเคยปลูกส้มเขียวหวานพันธุ์บางมด
ต่อมามีเพื่อนมาจากประเทศจีนมาเยี่ยมชมสวน และได้นำส้มจากประเทศจีนมาฝาก เมื่อรับประทาน
แล้วรู้สึกว่ามีรสชาติอร่อย หอมหวาน จึงได้เพาะเมล็ดเอาไว้ ต่อมามีการผสมพันธุ์โดยธรรมชาติเป็นส้ม
พันธุ์ใหม่ ซึ่งมีคุณลักษณะที่ดี รสชาติอร่อย หอมหวาน จึงได้ขยายใหม่ ซึ่งมีคุณลักษณะที่ดี รสชาติ
อร่อย หอมหวาน จึงได้ขยายพันธุ์นำไปปลูกอย่างแพร่หลาย     

ลักษณะประจำพันธุ์
    
ส้มโชกุนเป็นพืชที่มีลักษณะเหมือนกับส้มเขียวหวาน การเจริญเติบโตดี พอ ๆกับส้มเขียวหวาน 
ลักษณะรูปร่างทรงต้นขนาดต้นก็เหมือนกับส้มเขียวหวาน ส่วนลักษณะที่แตกต่างไปจากส้มเขียวหวาน
มีดังนี้                  

ทรงต้น  มีทรงพุ่มแน่นกว่าส้มเขียวหวาน                    

กิ่ง, ใบ
  กิ่งและใบจะตั้งขึ้น(Erect Form)ใบสีเขียวเข้ม ขนาดของใบ เล็กกว่าส้มเขียว
หวาน เมื่อนำใบมาขยี้แล้วดม จะมีกลิ่นหอม                                

ดอก มีดอกสีขาวใหญ่กว่าส้มเขียวหวานเล็กน้อย  จะออกดอกมาก ในเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์

ผล
 มีลักษณะเหมือนกับส้มเขียวหวานมาก ผลแก่จัดจะเปลี่ยนเป็น สีเหลืองแดง ปอกเปลือกง่าย ล่อน
ชานมีลักษณะนิ่ม ให้น้ำส้มในปริมาณมาก รสชาติหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ กลิ่นหอมมีน้ำหนักดีกว่าส้มเขียว
หวาน                                                                                                                                                                                              ส้มโชกุนปลอดโรค
    
ส้มโชกุนปลอดโรค คือ ต้นส้มที่ไม่มีเชื้อโรคที่สำคัญอาศัยอยู่ในเนื้อ เยื่อของมัน ซึ่งจะส่งผลให้ต้นส้ม
เหล่านี้มีความสมบูรณ์แข็งแรงเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และให้ผลผลิตสูง การดูแลไม่ให้ส้มปลอดโรค
กลับมาเป็นโรคอีก ...                   

1. เริ่มปลูกโดยใช้กิ่งพันธุ์ปลอดโรค                   
2. เลือกแปลงใหม่ที่ห่างจากแหล่งปลูกส้มเดิมประมาณ 5  กิโลเมตร          
3. ควบคุมปริมาณแมลงพาหะนำโรค เช่น เพลี้ยไก่แจ้ และเพลี้ยอ่อน  

การปฏิบัติดูแลรักษา
                    
1. การเตรียมหลุมปลูก เตรียมหลุมขนาด 50 X 50 X 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก
เก่าและปุ๋ยร็อคฟอสเฟต ประมาณ 300–100 กรัม คลุกเคล้าให้เข้ากัน
                 
2. ระยะปลูก  ใช้ระยะปลูก 6X6 เมตร หรือ 6X5.5 เมตร
                

3. การปลูก นำกิ่งพันธุ์ดีลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินให้เรียบร้อย ให้รดน้ำพร้อมทั้งใช้ไม้
หลักปักผูกเชือกกับลำต้น  เพื่อกันลมพัดโยก และควรพรางแสงให้ระยะหนึ่ง
       

4. การให้น้ำ                  
¨ระยะเจริญเติบโต ให้น้ำปกติ                       
¨ระยะการออกดอก ส้มต้องการน้ำน้อย เพื่อให้มีช่วงสะสมอาหาร  ระยะติดผลถึงผลแก่  ต้องการน้ำ
มากขึ้น                  
¨ ระยะผลส้มเข้าสีแล้วลดปริมาณน้ำลง จะช่วยให้ผลส้มแก่เร็วขึ้น                  
¨ ระยะก่อนการเก็บเกี่ยวประมาณ 2 สัปดาห์ ถ้างดการให้น้ำจะช่วยให้ส้มมีรสหวานขึ้น        
¨ การเพิ่มปริมาณน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ จะช่วยชะลอการสุกของผลส้มได้ประมาณ 20 วัน 

5. การให้ปุ๋ย 
ควรเป็นปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ สูตรปุ๋ยชนิดและปริมาณจะแตกต่างไปตามชนิดของต้นและอายุของส้ม
¨ ส้มปลูกใหม่จนถึงก่อนให้ผลใช้สัดส่วน 2:1:1 ปีละหลาย ๆ ครั้งๆ ละน้อย ๆ         
¨ ช่วงออกดอก ใช้สัดส่วน 1:2:1                    
¨ ส้มให้ผลผลิตแล้ว ใช้สัดส่วน 1:1:1 หรือ 2:2:3                       
¨ ส้มให้ผลผลิตแล้ว ใช้สัดส่วน 1:1:1 หรือ 2:2:3                    
¨
การให้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก อัตรา 3 กระสอบปุ๋ยต่อต้นต่อปี ใส่ช่วงต้นฤดูฝน
                    
6. การกำจัดวัชพืช   
ต้องกำจัดวัชพืชอยู่เสมอ เพราะนอกจากแย่งน้ำและอาหารแล้ว ยังเป็นแหล่งสะสมของโรคและแมลง
ต่างๆ  การกำจัดควรใช้วิธีกล เช่น ใช้มีด หรือจอบดายหญ้า หรือใช้เครื่องตัดหญ้า
                    
7. การตัดแต่งกิ่ง 
ในช่วงที่ส้มอายุ 1–2 ปี จะไม่มีการตัดแต่งกิ่ง เพื่อต้องการให้ส้มเจริญเติบโตแตกกิ่งก้านสาขาอย่าง
เต็มที่ แต่พอเข้าช่วงปีที่ 3 และ 4 การตัดแต่งกิ่งมีความสำคัญยิ่งขึ้นโดยเฉพาะหลังการเก็บเกี่ยว
ผลผลิต             
      
8. การค้ำยัน  
เมื่อต้นส้มให้ผลผลิต ก็ทำการค้ำกิ่งเพื่อป้องกัน การฉีกขาดจากลมพัด และช่วยป้องกันความเสียหาย
จากโรคแมลงศัตรู ที่อาศัยอยู่ตามพื้นดิน โดยใช้ไม้รวกค้ำ และตั้งรับน้ำหนักกิ่ง
         

9. การเก็บเกี่ยวผลผลิต เมื่อผลส้มอายุประมาณ 10 เดือน หลังจากออกดอกก็สามารถเก็บเกี่ยวผล
ผลิตได้โดยใช้มือจับบริเวณด้านใต้ผลส้มขึ้นไป แล้วหักพับให้ตรงส่วนขั้วผลไปด้านใดด้านหนึ่ง  ผล
ส้มก็จะหลุดออกได้โดยง่าย
                                                            

ตารางแสดงผลผลิตส้มโชกุนอายุ (ปี) 2–3
  

อายุ (ปี)

2 - 3 4 - 6 7 - 9 10 ปีขึ้นไป
ผลผลิต กก./ต้น/ปี 60 - 80 100 - 150 200 – 300 350
                 

10. การทำความสะอาดผลผลิต  เลือกผลส้มที่มีคุณภาพดี ล้างด้วยสารละลายด่างทับทิม   แล้ว
นำไปคัดขนาดผลการคัดขนาดผลผลิต   
 



การคัดขนาดผลผลิตผลส้มเบอร์
 
 

ผลส้มเบอร์

ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง  (ซม.) จำนวนผล/กก.
0 6.5 5
1 6.0 6
2 5.5 7
3 5.0 9
  

การบรรจุหีบห่อ       
บรรจุในกล่องกระดาษ ขนาดน้ำหนัก 3, 5 และ 10 กิโลกรัม รองก้นกล่องด้วยเศษกระดาษเพื่อกัน
กระแทก ป้องกันผลส้มช้ำ  โรคที่สำคัญของส้มโชกุน
         

โรคแคงเกอร์ (Canker)                  
สาเหตุ 
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas Compestris pv citri
  

ลักษณะอาการ 
จะปรากฎที่ใบ กิ่งและผล เชื้อเข้าทำลายระยะใบอ่อนโดยมีหนอนชอนใบช่วยเปิดแผลให้ โดยจะเห็น
จุดสีเหลืองเล็กๆ ใส ต่อมาจะขยายใหญ่ขึ้น ภายในแผลเป็นสีน้ำตาลนูน เมื่อใบแก่ขึ้นแผลจะยุบลง
เป็นแผลตกสะเก็ด ขอบแผลสีเหลือง นอกจากเกิดที่ใบแล้ว ยังเกิดที่กิ่งและผลได้ด้วย จะระบาดใน
ช่วงที่มีความชื้นสูงหรือฤดูฝน              

การป้องกันกำจัด            
1. ตัดใบ กิ่ง ผลส้มที่เป็นโรค เผาทำลาย            
2. ช่วงแตกใบอ่อน ฉีดพ่นด้วยสารประกอบทองแดง (Copper oxychlaride)   


โรคกรีนนิ่ง (Greening)            
สาเหตุ 
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bacterial Like Organism
            

ลักษณะอาการ
ใบจะมีสีเหลือง ในขณะที่เส้นกลางใบ และเส้นแขนงมีสีเขียว ขนาดใบเล็กลงและเรียวยาว มีเพลี้ย
ไก่แจ้เป็นพาหะนำโรค                      

การป้องกันกำจัด              
1. หลีกเลี่ยงการใช้กิ่งพันธุ์ที่เป็นโรค              
2. ถ้าพบพาหะนำโรคให้รีบทำลาย โดยฉีดพ่นด้วยคาร์บาริล, คาร์โบซัลเฟน
3. เผาทำลายต้นส้มที่เป็นโรค               
4. ทำลายพืชอาศัยของเพลี้ยไก่แจ้ เช่น ต้นแก้ว 


โรครากเน่าและโคนเน่า       
สาเหตุ  
เกิดจากเชื้อรา Phytophthora  parasitica
              

ลักษณะอาการ 
เชื้อเข้าทำลายโคนต้น อาการเริ่มแรกสังเกตยาก อาการที่เห็น คือ ใบส้มจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง
สลดลงจนใบร่วง และยืนต้นตาย เมื่อตรวจดูพบอาการรากเน่า เปลือกรากเป็นสีน้ำตาลเปื่อยยุ่ย ถ้าเป็น
โรคขณะติดผล ผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง อาจร่วง หรือเหี่ยวบนต้น ถ้าพบอาการบริเวณโคนต้นเหนือ
ดิน จะเห็นเป็นรอยฉ่ำน้ำ 
เมื่อถากเปลือกดู จะพบเปลือกเน่าสีน้ำตาล เมื่อลุกลามรอบโคนต้น ต้นจะ
เหี่ยวและยืนต้นตาย จะระบาดในช่วงที่ดินมีความชื้นสูง                

การป้องกันกำจัด              
1. เมื่อพบต้นที่เป็นโรค ให้ถากเปลือกออกแล้วทาด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อราอาลีเอท 80% WP
2. ใช้สารเคมี                   
- เบทาแล็คซิล 5 จี อัตรา 200 gm/ต้น หว่านรอบทรงพุ่ม
- ออกช่าไดซิล อัตรา 100 gm/น้ำ 20 ลิตร รดรอบทรงพุ่ม 

แมลงศัตรูส้มโชกุน  
หนอนชอนใบส้ม (Citrus leaf
miner) Phyllocnistis citrella
stainton
1. ถ้ามีปริมาณน้อย เก็บใบทำลายทิ้ง ถ้าระบาดมากให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมีไซฟูริน, ลูเฟนน็อก


ลักษณะการทำลาย  
หนอนจะกัดกินชอนไชอยู่ระหว่างผิวใบอ่อน กิ่งและผลส้มเป็นฝ้าขาวตามรอยที่หนอนทำลาย ใบจะบิด
เบี้ยวและแห้ง เป็นสาเหตุให้เชื้อโรคแคงเกอร์ เข้าทำลายซ้ำเติมได้                 

การป้องกันกำจัด
ซูรอน หรือ อิมิคาโคลปริต
                 


2. ศัตรูธรรมชาติของหนอนชอนใบส้ม คือ แตนเพียน เพลี้ยไก่แจ้(Asian Citrus
psyllid)Diaphorina citri                

ลักษณะการทำลาย
ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากตาและยอดอ่อนส้ม ทำให้ตาและยอดอ่อนแห้ง เป็นพาหะนำ

โรคกรีนนิ่ง                       
การป้องกันกำจัด                
1. ฉีดพ่นด้วยคาร์บาริล หรือโมโนโครโตฟอส                
2. เผาต้นส้มที่เป็นโรค และทำลายพืชอาศัยของเพลี้ยไก่แจ้ เพลี้ยไฟ  (Thrips) 

ลักษณะการทำลาย
   
เพลี้ยไฟจะดูดกินน้ำเลี้ยงยอดอ่อน ใบอ่อน และผลการทำลายจะรุนแรงในระยะติดผลอ่อน โดยผล
อ่อนจะเป็นรอยสีเทาเงินเป็นวงบริเวณขั้วผล และก้นผล              

การป้องกัน
             
1. ถ้าพบเพลี้ยไฟ 5 ยอดต่อต้น โดยสุ่มจากต้นส้ม 10–20 ต้น และพบเพลี้ยไฟเกิน 50% ให้
ใช้สารเคมีคาร์โบซัลเฟน, เฟอร์เมทริน  หรืออิมิคาโคลปริต               
2. เด็ดผลที่ถูกทำลายทิ้ง หนอนแก้วส้ม(Leaf eating caterpillar)    

ลักษณะการทำลาย 
หนอนจะกัดกินยอดอ่อนและใบอ่อน ถ้าระบาดมากจะกัดกินเหลือแต่ต้น อาจทำให้ต้นส้มตายได้
             
การป้องกันกำจัด             
1. ถ้าปริมาณน้อยจับหนอนทำลาย             
2. ถ้าระบาดมากฉีดพ่นด้วยสารเมธามิโดฟอส         


โรคขาดธาตุอาหาร 
โรคขาดธาตุแมงกานีส (Mn)
             

ลักษณะอาการ 
ใบส้มจะเกิดอาการเหลืองบริเวณสองข้างเส้นกลางใบ และเส้นแขนง โคนก้านใบสีเขียวเข้ม ปลายใบ
แหลม แผ่นใบเป็นคลื่น จะเห็นชัดบนใบแก่              

การป้องกันกำจัด              
1. ปรับสภาพดินด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก             
2. ให้ปุ๋ยทางใบที่มีแมงกานีส เป็นองค์ประกอบ เช่น แมงกานีสซัลเฟต(Mn So4)ฉีดพ่นเดือนละ
ครั้งจนส้มเป็นปกติ     


โรคขาดธาตุเหล็ก(Fe)
             
ลักษณะอาการ  
ใบอ่อนจะค่อย ๆ เหลือง เมื่อใบแก่ขึ้นอาการนี้อาจหายได้ ถ้าขาดธาตุเหล็กเพียงเล็กน้อยถ้าขาดมาก
ใบจะมีสีเหลืองมากขึ้น จนกลายเป็นสีเหลืองซีด ใบบางกว่าปกติ ขนาดเล็กลงและเปราะ ใบร่วงเร็วกว่า
กำหนด และปลายกิ่งมักเกิดอาการแห้งตาย ผลส้มมีขนาดเล็กลง เนื้อส้มฟ่าม         

การป้องกันกำจัด              
1. ปรับสภาพดินให้เหมาะสม pH 5.0–6.5 โดยใช้ ปูนยิปซั่ม             
2. ให้ปุ๋ยทางใบที่มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ เช่น เฟอรัสซัลเฟต (Fe So4)
3. ให้เหล็กคเลท (Chelated–Iron) ใส่ลงไปในดินโดยตรง  


โรคขาดธาตุแมกนีเซียม(Mg)
          
ลักษณะอาการ 
ธาตุแมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบของคลอโรฟิลด์ มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ และกระบวนการ
อื่น ๆ อาการเริ่มแรกบนแผ่นใบจะด่างเหลืองเส้นกลางใบและบริเวณโคนใบยังคงมีสีเขียว พบบนใบแก่
มากกว่าใบอ่อน             

การป้องกันกำจัด
              
1. ปรับสภาพดิน ให้อุดมสมบูรณ์อยู่เสมอ ด้วยปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก              
2. ฉีดพ่นปุ๋ยทางใบที่มีแมกนีเซียม เป็นองค์ประกอบ               
3. ถ้าแสดงอาการขาดธาตุแมกนีเซียมเล็กน้อย ให้ฉีดพ่นด้วยแมกนีเซียมซัลเฟต (MgSo4)และ
แมกนีเซียมออกไซด์ (MgO)         


โรคขาดธาตุสังกะสี(Zn)
              
ลักษณะอาการ
อาการมักปรากฎที่ใบอ่อน แสดงอาการด่างเหลืองระหว่างเส้นกลางใบ และเส้นแขนง ส่วนเส้นกลางใบ
ยังเขียวอยู่ ถ้าอาการรุนแรง ใบอ่อนจะมีขนาดเล็กลง ปลายเรียวแหลมและชี้ตั้งขึ้น ใบอ่อนแตกเป็น
กระจุก และมักแห้งตายจากปลายยอดลงมา     

การป้องกันกำจัด               
1. ปรับสภาพดินให้อยู่ระหว่าง  pH 5.5–6.5                 
2. หากส้มแสดงอาการเพียงเล็กน้อยให้ฉีดพ่นด้วยซิงค์ซัลเฟต (ZnSo4)ปีละ 1-3 ครั้ง ระยะใบ
เพสลาด   


ผลแตก   
               
สาเหตุ 
เนื่องจากส้มได้รับน้ำกระทันหันในช่วงที่ให้ผลผลิต เช่น ในช่วงที่แล้ง ฝนทิ้งช่วงหลายวัน อุณหภูมิ
เมื่อฝนตกลงมาส้มปรับตัวไม่ทันทำให้ผลแตก       

การป้องกันกำจัด               
1. โดยการเลี้ยงหญ้าคลุมดินเพื่อรักษาความชื้น และอุณหภูมิในดินไว้
               
2. รดน้ำให้กับต้นส้มอย่างสม่ำเสมอ       

แนวทางการป้องกันกำจัดโรคส้มโชกุน
1. โรคทึ่เกิดจากเชื้อรา              
-  ใช้เมล็ดหรือต้นพันธุ์ที่ปราศจากเชื้อรา              
-  ทำลายส่วนของพืชที่เป็นโรค              
-  ทำลายต้นพืชที่เป็นพืชอาศัยของเชื้อ              
-  ใช้เครื่องมือเครื่องใช้สะอาดปราศจากเชื้อ              
-  ดินที่เพาะปลูกควรมีการระบายน้ำและถ่ายเทอากาศดี              
-  ใช้พันธุ์ต้านทาน
               
-  ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราที่เหมาะสมกับชนิดของโรค         


2. โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย              
-  ใช้ต้นพันธุ์ที่ปราศจากเชื้อ              
-  ไถพลิกดินตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อ              
-  ระมัดระวังการให้น้ำเพราะอาจแพร่เชื้อโรคไปได้ง่าย               
-  ป้องกันกำจัดแมลงที่ทำให้เกิดแผลด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง               
-  ใช้พันธุ์ต้านทาน 
              
-  ใช้ยาปฏิชีวนะ        

3. โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสและมายโคพลาสมา               
-  ใช้เมล็ดพันธุ์ ท่อนพันธุ์ และกิ่งพันธุ์ที่ปราศจากเชื้อ              
-  ถอนต้นที่เป็นโรคเผาทำลาย เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อ              
-  กำจัดพืชอาศัยที่อาจแพร่เชื้อ               
-  กำจัดแมลงพาหะด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง              
-  ใช้พันธุ์ต้านทานโรค               
-  ปัจจุบันยังไม่มีสารเคมีใด ๆ ที่ใช้ฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรง               
-  ในกรณีของมายโคพลาสมา สามารถใช้สารปฏิชีวนะได้             


เอกสารอ้างอิง : ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์พืชสวนยะลา. 2541
ส้มโชกุน  กรมส่งเสริมการเกษตร. 9  หน้า


                                                                            และสำ

ส้มโชกุนสีทอง



อันที่จริงแล้วส้มโชกุน คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันดี เพราะมีผลผลิตให้เลือกซื้อหารับประทานกันได้โดยทั่ว
ไปอยู่แล้ว แต่จะมีสักกี่คนละที่รู้จักกับส้มโชกุนสีทอง
           
ผลผลิตใหม่ของคนชาวยะลา ที่มีสีผิวของผลส้มเป็นสีทอง ดูแล้วสวยงาม ไม่มีตำหนิหรือรอยถูกทำลาย
จากเชื้อรา แมลง และพวกไรต่าง ๆ นั่นเอง ซึ่งดูแล้วแตกต่างจากส้มโชกุนโดยทั่วไปยิ่งนัก ทั้งนี้เนื่อง
จากมีเกษตรกรรายหนึ่งชื่อ นายจรูญศักดิ์ แซ่ชั้นบ้านเลขที่ 170 หมู่ที่ 1ตำบลธารน้ำทิพย์ อำเภอ
เบตง จังหวัดยะลา เคยปลูกส้มเขียวหวานมาก่อน ซึ่งปลูกในพื้นที่ราบตามหุบเขา แต่จะพบกับปัญหา
โรครากเน่าโคนเน่า ระบาดอยู่บ่อย ๆ ซึ่งเกิดจากเชื้อราไฟท๊อปทอร่า (Phytophtora Sp)ที่มัก
จะระบาดและแพร่กระจายได้ดีในสภาพพื้นที่ราบลุ่ม การระบายน้ำไม่ดี จึงเกิดความคิดที่จะปลูกในที่สูง
และได้ซื้อที่สวนยางพาราบนภูเขาแห่งนี้ เนื้อนี้ 25 ไร่ และล้มยางซึ่งเป็นยางเก่า แล้วลองปลูกส้ม
โชกุนแทนที่พื้นที่แปลงนี้ แม้จะเป็นพื้นที่บนภูเขาสูง ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ  1,500
ฟุต แต่ก็โชคดีที่อยู่ใกล้แหล่งต้นน้ำ สามารถดึงน้ำมาใช้ในแปลงปลูกได้ โดยให้น้ำในระบบสปริงเกอร์ 
(Sprinkler System) ไม่มี
ปัญหาแต่อย่างใด
                   

วิธีการปลูก  
โดยกิ่งพันธุ์ที่นำมาปลูกจะเป็นกิ่งปักชำส้มโชกุนยะลาทั่วไปแล้วใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 เพื่อเร่งทุก
ส่วนของต้น ใช้สูตร 13-13-21 เร่งผล ใช้สูตร 12-12-17+2 เร่งความหวาน และสูตร 15-
0-0 ใช้ในกรณีเปลือกผลส้มบาง นอกจากนั้นยังใช้ปุ๋ยชีวภาพสลับด้วย ส่วนยาเคมีใช้น้อยมาก ส่วน
ใหญ่จะใช้ยาเคมีปราบหนอนและเพลี้ย ใช้เมื่อมีการระบาด 2–3 เดือนต่อครั้ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ
ได้รับแสงแดดเต็มที่และยาวนาน ประกอบกับได้รับอากาศที่หนาวเย็น และถ่ายเทดี เนื่องจากอยู่ในที่
สูง จึงทำให้ผลส้มมีผิวสีทอง
 
                  

ส้มโชกุนสีทอง
มีชานนิ่ม รกน้อย ฉ่ำน้ำ กุ้ง(Juice Sae)ขนาดสั้น เนื้อผลสีส้มแดง รสหวาน
หอมอมเปรี้ยว

                 
สำหรับราคาจำหน่ายอาจจะแตกต่างจากส้มโชกุนโดยทั่วไปบ้าง จะอยู่ระหว่าง70–90 บาท/กิโลกรัม
แต่ส้มโชกุนโดยทั่วไปจะอยู่ระหว่างราคา 50-80 บาท/กิโลกรัม

                  
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นส้มโชกุน หรือ ส้มโชกุนสีทอง ก็น่าซื้อหารับประทานทั้งนั้นเพราะมีรสชาติ
อร่อย หอมหวานน่ารับประทาน หรือเหมาะที่จะซื้อไปฝากญาติ มิตร



 
ข้อมูลโดย  : สำนักงานเกษตรอำเภอเบตง และสำนักงานเกษตรจังหวัดยะลา




ส้มสายน้ำผึ้งธนาธร

ในช่วง 2 ปีของวิกฤตเศรษฐกิจไทย กิจการไร่ส้มของบัณฑูร จิระวัฒนากูล ที่อ.ฝาง เชียงใหม่ กลับไม่รู้สึกรู้สากับอาการไข้ดังกล่าว

เขาเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานในกลุ่มกว่า 300 คน เฉลี่ย 20% ทุกปี สามารถจ่ายเงินกู้ PIBF ผ่านธนาคารกรุงไทยรวมกันไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าหนี้เงินกู้อีก 70 ล้านบาทจะใช้หมดในอีก 2 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน ในช่วงดังกล่าวเขาขยายพื้นที่ปลูกจากระดับ 1,000 ไร่มาเป็น 3,000 ไร่อีกทั้งตั้ง เป้าขยายไร่ส้มให้ได้ 4,000 ไร่ในปี 2545 นี้ให้ได้


บัญฑูรบอกว่า ในช่วงที่เขาถอยเรากลับสวนกระแสรุกและได้กำไรดี อาจ เพราะในช่วงดังกล่าวส้มยังเป็นสินค้าที่ได้ราคาดีมาก คู่แข่งน้อย บางครั้งราคาในประเทศดีกว่าราคาส่งออกด้วยซ้ำ


เป็นเวลา 40 กว่าปีแล้วที่ชายเชื้อสายจีนวัย 58 ปีผู้นี้อพยพจากเมืองหลวงมาปักหลักในเชียงใหม่ โดยเมื่อปีพ.ศ. 2500 เขาเป็นลูกจ้างของร้านค้าขาย ของชำในตลาดเชียงใหม่ ต่อมาก็ขายของเร่ เช่น ข้าวเกรียบกุ้ง ผลไม้ และส้ม ต่อมาถูกเกณฑ์ทหารเมื่อพ.ศ. 2506 พอ ปลดประจำการเขาก็จับอาชีพเร่ขายส้มจนมองเห็นช่องทางที่จะขยับเป็นเจ้าของ สวนเอง โดยเขาให้เหตุผลว่า ตอนที่ขาย ส้มนั้นเขาต้องมาเหมาสวนล่วงหน้าแต่เมื่อถึงเวลาราคาในตลาดดีเจ้าของสวนกลับไม่ขายตามสัญญา เขาจึงตัดสินใจแก้ ปัญหาโดยการทำสวนเอง


2519 เป็นปีที่เขาเริ่มกิจการสวนส้มในเนื้อที่ 10 ไร่ที่อ.ฝาง ซึ่งในเวลานั้น เป็นพื้นที่กันดารห่างจากเชียงใหม่ด้วยการเดินทางถึง 1 วันเต็ม และเปลี่ยนบทบาทจากผู้ค้าปลีกมาเป็นผู้ผลิตเต็มตัว


ต่อมามีการขยายพื้นที่การผลิตออกมาเรื่อยๆ คือ ปี 2520 เพิ่มอีก 6 ไร่ ปี 2521-23 เพิ่ม 60 ไร่ รวมแล้วมีพื้นที่ประมาณ 80 ไร่ทั้งหมดเป็นส้มเขียวหวาน เพื่อจำหน่ายในตลาดภายในประเทศ


จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเชียงใหม่ ธนาธร ในปี 2523 ด้วยทุน 1 ล้านบาท

จุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตชาวสวนส้มของบัณฑูร เกิดขึ้นเมื่อช่วงปี 2524-25 เมื่อเขาได้รับออร์เดอร์ส้มเขียว หวานเพื่อจำหน่ายในตลาดมาเลเซีย- สิงคโปร์ แม้จะเป็นการส่งออกในมูลค่าไม่สูงมากนักแต่ก็เป็นการเปิดโอกาสใหม่ ให้กับชาวสวนส้มขนาดเล็กๆ จากภาคเหนือคนนี้

ประสบการณ์ของการส่งออกส้มล็อตเล็กๆ ไปยังสิงคโปร์ และมาเลเซีย ทำให้เขาได้รับคำแนะนำจากผู้นำเข้าเกี่ยว กับเรื่องแพ็กเกจจิ้ง โดยบอกว่า รูปแบบ ของการบรรจุกล่องของไทยล้าหลังมาก และสอนวิธีบรรจุกล่องแบบญี่ปุ่น ไต้หวัน ให้ นอกจากนั้น บัณฑูรยังพบว่าส้มเขียวหวานของไทยนั้นดีกว่าคู่แข่งเพียงราคา ขณะที่รสชาติหากต้องการขายในตลาดเอเชียจำเป็นต้องปรับปรุงในเรื่องของความหวาน "ในเอเชียต้องหวานนำมาก่อน ส่วนความเปรี้ยวเป็นตัวรอง"


บัณฑูร กลับมาขยายไร่ส้มของเขาเป็น 300 ไร่ในช่วงปี 2528-32 อันเป็น ผลพวงจากตลาดส่งออก ในช่วงดังกล่าว นี่เอง ที่ทำให้เขาค้นพบส้มสายพันธุ์ที่สร้าง ความสำเร็จอย่างสูงให้ในเวลาต่อมา นั่น คือ ส้มสายน้ำผึ้ง ซึ่งมีลักษณะของผิวและขนาดลูกคล้ายส้มเขียวหวาน แต่มีความหวานและหอมมากกว่า จนเป็นส้ม ที่มีรสชาติเฉพาะ


"เราได้เม็ดมาจากสิงคโปร์ ลองเอามาเพาะดู แรก ๆ ปลูกเพียง 8 ต้นได้ผลเก็บเกี่ยวเมื่อปี 2532-33 ผลผลิตต่อไร่ก็ไม่ดีนัก แต่รสชาติแปลกออกไป มีพรรคพวกมาเที่ยวเยี่ยมชมที่สวนหลาย คนลองชิมแล้วชอบใจ แรกๆ ตั้งชื่อกันว่า ส้มน้ำอ้อย แต่มีเพื่อนจากระยองมาชิม แล้วตั้งให้เป็นส้มสายน้ำผึ้ง ก็ชอบใจชื่อนี้ "


บัณฑูรกล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า เขาเป็นผู้ค้นพบส้มสายพันธุ์นี้เป็นไร่แรกใน ประเทศ และชื่อดังกล่าวที่ติดตลาดทั่วไป ก็มาจากไร่ของเขา


เขาตัดสินใจลงทุนกับส้มสายน้ำผึ้งเต็มตัว หลังจากทดลองตลาดและเชื่อ มั่นในรสชาติ โดยขยายแปลงปลูกสายพันธุ์นี้ถึง 4,000 กว่าต้นในอีก 5 ปีต่อมา และก็กลายเป็นผลผลิตเพื่อการส่งออกหลักของเชียงใหม่ธนาธร

และเพื่อประโยชน์ในการส่งออก จึงต้องสั่งซื้อเครื่องจักรล้างและคัดแยกส้มอัตโนมัติ เครื่องแรกของไทยมูลค่าประมาณ 9 ล้านบาทมารองรับ โดยเครื่อง ดังกล่าวทำงานตั้งแต่นำส้มมาล้าง ลงแปรงขัด อบแห้ง แวกซ์ อบอีกครั้ง ติดสติ๊กเกอร์ และแยกขนาดผล โดยประ-โยชน์ทางตรงก็คิอ ตลาดต่างประเทศเข้ม งวดในการตรวจสารตกค้างหากไม่ผ่านจะถูกตีกลับ

พ.ศ. 2537 ส้มสายน้ำผึ้งได้รับการยอมรับจากตลาด สิงคโปร์ ฮ่องกง ในนามของ Sweet Honey และ Specail Honey และเริ่มเพิ่มแบรนด์สินค้า "เชียงใหม่ธนาธร" หรือ "ธนาธร" เป็นสติ๊กเกอร์ติดที่ผลส้มในช่วงปี 2539


บัณฑูร เล่าว่า สติ๊กเกอร์ตรา "ธนาธร" นั้นเริ่มจากการส่งออกไปต่างประเทศ และสินค้าชนิดนี้ในกลุ่มบนส่วนใหญ่จะมีตราสินค้าเป็นสติ๊กเกอร์ติด ไว้เสมอ โดยที่ของตนนั้นเชื่อว่า ส้มสาย-น้ำผึ้ง ยี่ห้อ "ธนาธร" จะสร้างตลาดได้
 

ขณะที่ภายในประเทศนั้น การติดสติ๊กเกอร์เริ่มมาในช่วงเดียวกัน ซึ่งก่อนหน้านั้นส้มที่ขายปลีกเป็นผลจะไม่มีสติ๊กเกอร์ติด แต่เพราะว่าเขาต้องการรับประกันคุณภาพสินค้าให้ลูกค้าอีกทั้งต้องการตลาดที่จงรักภักดีกับสินค้าในระยะยาว


บัณฑูร ยอมรับว่า ในช่วงที่ผ่านมาสายพันธุ์ของสายน้ำผึ้งได้กระจายออก ทั่วไปบ้างก็เพราะเป็นพรรคพวกกันมาขอ แบ่งพันธุ์ไป ต่อมาจึงได้ขยายเป็นการขาย ต้นพันธุ์ให้กับสวนต่างๆ อย่างไรก็ตาม เทคนิคทางการเกษตรและสภาพภูมิประ-เทศ-อากาศ จะทำให้รสชาติของส้มในแต่ละที่แตกต่างกัน


" รสชาติของส้มจะเปลี่ยนไปเลย หากมีการปลูกผิดที่ หรือแม้แต่การบำรุง รักษา ให้สารอาหารบางตัวมากไปหรือน้อยไป หรืออาจจะให้ไม่ครบก็มีผลต่อส้มทั้งหมด "


ในช่วงปี 2539-40 ปริมาณส้มสายน้ำผึ้งที่ส่งออกมีประมาณ 40% ของผลผลิต ทั้งนี้เกิดจากความต้องการส้มในประเทศยังคงสูงอยู่ ในช่วงนั้นเองที่เริ่มมีผู้ผลิตรายใหม่ๆ เริ่มลงทุนทำไร่ส้มจำนวนมาก เฉพาะในอ.ฝาง เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่สูงในหุบเขาตอนเหนือเหมาะสมกับพืชชนิดดังกล่าว มีการลงทุน ทำสวนส้มรวมกันแล้วนับ 2 หมื่นไร่ในช่วงดังกล่าว ไม่นับรวมพื้นที่ภาคกลาง และภาคเหนือจังหวัดอื่นๆ เช่น น่านและ ลำปาง

ธนาธรก็เป็นหนึ่งในกิจการที่ลงทุนขยายแปลงปลูกเช่นเดียวกัน !


เขาบอกว่า เหตุผลที่เขาต้องลงทุนขนาดใหญ่เพื่อขยายสวนส้มจากระดับ 300 ไร่มาเป็น 3,000 ไร่ภายใน 3 ปีที่ผ่าน มาและจำเป็นต้องให้ได้ถึง 4,000 ไร่ในอีก 2 ปีข้างหน้าเพราะว่ามีการแข่งขันสูง ปริมาณส้มในตลาดจะมากขึ้น ซึ่งหาก ธนาธรไม่มีการเพิ่มผลผลิตก็จะถูกกลืนหายไปจากตลาดทันที


แนวคิดของเขาก็คือ "เรารู้ว่าอีกไม่กี่ปีส้มจะล้นตลาดและราคาจะตกลงมาแน่ๆ แต่ธนาธรก็ต้องขยายพื้นที่ เพื่อ จะยังสามารถต่อรองราคาในท้องตลาดได้ สิ่งที่ต้องเร่งทำเพื่อรองรับสภาพตลาด ก็คือ ต้องเร่งสร้างยี่ห้อสินค้าให้ติดตลาด ส่วนที่สำคัญที่สุดคือขยายตลาดส่งออกให้กว้างที่สุด เพื่อตลาดตัวนี้จะมารองรับ เป็นขาหยั่งในอนาคต"


เงินที่มาลงทุนซื้อที่ดิน ขยายสวน ส้ม และซื้อเครื่องจักรนั้น เป็นผลพวงมา จากการเปิดเสรีทางการเงิน เขาได้เงินกู้ PIBF จากต่างประเทศ ผ่านธนาคารกรุงไทยในพื้นที่ จำนวนประมาณ 120 ล้านบาท ในช่วงที่ตัดสินใจขยายกิจการเมื่อช่วงปี 2538 โดยมี"ผู้ใหญ่"ในวงการ เมืองคนหนึ่งช่วยค้ำประกันให้ เนื่องจาก ในระยะ 5 ปีดังกล่าว เชียงใหม่ธนาธร เริ่มขยับมาเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ใน เชียงใหม่ตอนบนแล้ว เล่ากันว่า บัณฑูรเป็นผู้สนับสนุนที่สำคัญคนหนึ่งให้กับนักการเมืองในพื้นที่ด้วย

"ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนไปหนัก มาก เพราะกู้มาที่ 25 บาท/ดอลลาร์ แต่เรา ก็สามารถใช้หนี้คืนได้โดยไม่บกพร่อง ใน 4 ปีที่ผ่านมาได้ใช้เงินกู้จำนวนดังกล่าวไปแล้วประมาณ 100 ล้านบาท ยังเหลือประมาณ 70 ล้านบาทคาดว่าภายใน 2 ปีนี้จะใช้ได้หมด" บัณฑูร ยืนยัน


เขาบอกว่า การขยายพื้นที่ปลูกส้มนั้นต้องใช้การลงทุนเฉลี่ยไร่ละ 1.2 แสนบาท ไม่นับรวมมูลค่าที่ดิน โดยจะต้องก่อสร้างอาคาร รถฉีดยา ระบบน้ำและท่อ รถขนส่งในสวน แหล่งน้ำและ กิ่งพันธุ์ ล้วนแต่จำเป็นต้องลงทุนขยายให้ทันกับสภาพการณ์ที่คาดว่าจะเกิดปรากฏการณ์ราคาตก แต่ในระหว่างนั้นเองที่ราคาส้มในตลาดสูงขึ้นมาถึงระดับ ก.ก. ละ 35-40 บาท จากต้นทุนเฉลี่ยของไร่ส้มเชียงใหม่ธนาธรที่ตกก.ก.ละ 18 บาท


แม้บัณฑูร จะไม่เปิดเผยยอดขาย โดยรวมแต่หากคำนวณคร่าว ๆ ถึงยอด ขายแต่ละปีของเขา ที่มีผลผลิตออกมาประมาณ 20,000- 25,000 ตัน ราคา เฉลี่ยตันละ 2 หมื่นบาท ยอดขายต่อปีของเชียงใหม่ธนาธร จะตกอยู่ที่ ประมาณ 400 ล้านบาททีเดียว !


ซึ่งราคาเฉลี่ยที่นำมาคำนวณนั้นตกก.ก.ละ 20 บาทเท่านั้น ขณะที่ราคาขายส่งจริงในช่วงที่ผ่านมาแตะระดับ ก.ก. ละ 30 บาทขึ้นไปด้วยซ้ำ

บัณฑูร ยืนยันว่า สถานะของ เชียงใหม่ธนาธร คือ ผู้ผลิตจะไม่ลงไปขายแข่งกับกลุ่มขายปลีกเด็ดขาดเพื่อรักษาเครือข่ายการตลาดของตนเอาไว้ หน้าที่สำคัญของผู้ผลิตก็คือ การลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพ นโยบายเวลานี้คือ พอใจในราคาขายส่งก.ก.ละ 18 บาท ซึ่ง คาดว่าในช่วงที่ราคาจะตกในอีก 2 ปีข้าง หน้า ราคาส้มก็จะคงไม่ตกถึงระดับ 18 บาท คาดว่าจะแตะที่ระดับ 20 บาทต้นๆ ซึ่งในเวลานั้นก็จะยังได้กำไรอยู่


"ผลผลิตของเราเฉลี่ยได้ 8-9 ตัน/ไร่ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติที่ส่วนใหญ่ทำได้กันไร่ละประมาณ 5-6 ตันเท่านั้น เป็น เหตุผลว่าทำไมเราสามารถทำกำไรได้มาก ในช่วงที่ผ่านมา เทคนิคในการดูแลเกิดจากประสบการณ์เป็นหลัก เราทำมานาน กว่า 20 ปีจนรู้ว่า จะจัดการอย่างไรให้ต้นส้มสมบูรณ์ที่สุด เก็บเกี่ยวแล้วบำรุงรักษาอย่างไร เช่นปุ๋ยใช้มาหลายยี่ห้อ ที่สุดมาสรุปกับปุ๋ยตราม้าบิน ซึ่งมีราคาแพงหน่อยแต่ส่วนผสมมีคุณภาพ เช่นเดียวกับสารอาหารประเภทฮอร์โมน ที่เราสรุปบทเรียนจนลงตัวว่าใช้สารตัวใด "


บัณฑูร ยังมีแผนที่จะจัดตั้งศูนย์ วิจัยส้มภายในไร่ของเขา โดยมีเป้าหมาย จะวิจัย ใบ และ ดิน ให้สามารถรู้ได้ว่า ใบ หรือดินดังกล่าว มีส่วนผสมของธาตุอาหารใดบ้าง ขาดตัวใด เพื่อจะสามารถเติมหรือลดให้ถูกสัดส่วนกับความต้อง การและยังเป็นการลดต้นทุนในกรณีที่ใช้ สารอาหารมากเกินไปจนเสียเปล่า เขาบอกว่าปัจจุบันบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านนี้ ในประเทศยังขาดอยู่มาก ขณะที่ต่างประเทศเมื่อนำใบ หรือ ดินเข้าเครื่องตรวจ ในแล็บ จะสามารถรู้ได้ภายในวันเดียวว่า ดิน กับ ใบ ขาดสารอาหารใด ทั้งนี้โครง การศูนย์วิจัยจะเริ่มก่อตั้งได้ภายในปี 2544 นี้ แต่เขาก็ยังบอกไม่ได้ว่า ต้องใช้เงินลงทุนกับโครงการดังกล่าวเท่าใด


ตลาดต่างประเทศ ทางรอดระยะยาว

แม้ว่าในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา ยอด การส่งออกต่างประเทศของส้มธนาธร จะตกลงมาเมื่อเทียบกับช่วงปี 2537-39 โดยช่วงก่อนนี้มีสัดส่วนขายในต่างประเทศประมาณ 40% ของผลผลิตมาเหลือประมาณ 30% เพราะตลาดหลักที่ได้ราคาสูง คือในประเทศ แต่เชียงใหม่ ธนาธร มีนโยบายมุ่งเน้นการเปิดตลาดต่างประเทศให้กว้างที่สุด แม้จะต้องลงทุน หรือไม่ได้ราคาก็ตาม


บัณฑูร บอกว่า นอกจากตลาดที่ เคยส่งประจำคือ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเล-เซีย แล้วในช่วงปีที่ผ่านมาได้บุกเบิก ตลาดใหม่ไปยังอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และแคนาดา


"แคนาดา เพิ่งจะส่งไปต้นปีที่ผ่านมา 4 ตู้คอนเทนเนอร์ เป็นสายน้ำผึ้ง ทั้งหมด และใช้วิธีเจาะตลาดเองโดยตรง กล่าวคือ เดินทางไปติดต่อยังผู้นำเข้าของที่นั่น นำตัวอย่างให้ดู แล้วก็ได้รับออร์เดอร์มา ส่วนอินโดนีเซีย ได้ยอดประมาณ 4-5 คอนเทนเนอร์/ปี ฟิลิปปินส์ ไม่มากนักเพราะเป็นตลาดใหม่ สาเหตุที่เจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลุ่ม นี้เนื่องจากเป็นพื้นที่ในเขตร้อนชื้น อายุของต้นส้มจะไม่ยืนและให้ผลผลิตไม่งาม เช่นที่เขตหุบเขาตอนเหนือของไทย "


วิธีการทำตลาดของเขาค่อนข้างจะเป็นเรื่องล้าสมัยในวงการค้าปัจจุบัน ชายวัยเกือบ 60 ปีที่เขาบอกว่ามีระดับการศึกษาประมาณ ป. 2 ต้องใช้ล่ามในการเดินทาง ได้รับข่าวสารข้อมูลว่าแหล่ง ที่รับซื้อที่ใดบ้างจากคนในวงการบอกกล่าวต่อกัน จึงนัดหมายและเดินทางไปเอง ส่วนรูปแบบธุรกรรมในการค้านั้น ใช้ ระบบเครดิตกับคู่ค้า โดยไม่ต้องมีเอกสาร สัญญา

"ส้มเดินทางไปถึงเขาแล้วยังต้อง ให้เวลาในการปล่อยสินค้าเมื่อถึงเวลาค่อยโอนเงินมาให้ หากเขาคิดจะเบี้ยวก็ ทำได้ แต่ในวงการนี้จะไม่เกิดปัญหา"


บัณฑูร เปิดเผยว่า ราคาที่เขาส่งออกนั้นได้กำไรน้อยกว่าขายภายในประ-เทศ แต่จำเป็นต้องมีวอลุ่มในการส่งเพื่อ ให้เกิดตลาดใหม่ให้ได้โดยเร็วที่สุด รองรับตลาดภายในที่ลุ่มๆ ดอนๆ ในทางราคา
ก็คือว่า ในช่วงนี้ก็คือ ช่วงของการ ต้องเร่งลงทุนบุกเบิกตลาดต่างประเทศให้ กว้างที่สุด รองรับอนาคตความผันผวนที่กำลังจะมาถึง


"ราคาไม่ดีก็ต้องส่งไป มันเป็นโอกาสในอนาคต ทั้ง ๆ ที่ถ้าเราขายในประเทศราคาจะดีกว่ากันมากก็ตาม"


เขาบอกว่า ตลาดโลกเวลานี้ ผู้ผลิตรายใหญ่คือ สเปน บราซิล อเมริกา โมร็อคโค ครอบครองอยู่ แต่ในส่วนของ ภาคพื้นเอเชีย มีคู่แข่งสำคัญเช่น ญี่ปุ่น และ ออสเตรเลีย ช่องว่างของตลาด เอเชียคือ รสชาติแบบเอเชีย นั่นคือ หวาน หอม นำความเปรี้ยว แตกต่างจากส้มจาก ตะวันตกที่มีรสเปรี้ยวนำ แต่มีผิวและสีสวยมาก ซึ่งตลาดดังกล่าวนี่เองที่เป็นโอกาสของส้มไทย เพียงแต่ระยะหลังส้ม ของจีนระบายออกสู่ต่างประเทศมากขึ้น คู่แข่งระยะยาวของไทยน่าจะเป็นจีน ที่ส่งออกราคาต่ำมาก

ปัจจุบันพื้นที่ประมาณ 3,000 ไร่ของเชียงใหม่ธนาธร มีส้มสายพันธุ์ ต่าง ๆ คือ ส้มเขียวหวานประมาณ 400 ไร่ ฟรีม็องต์ 300 ไร่ สายน้ำผึ้ง 1,000 กว่า ไร่ ส้มอื่น ๆ 100 กว่าไร่เพื่อเป็นแปลงทดลอง และส่วนสุดท้ายคือ ส้มสายพันธุ์ ใหม่ที่เพิ่งจะเก็บเกี่ยวครั้งแรกได้เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี่เอง ก็คือ สายพันธุ์ธนาธรนัมเบอร์วัน จำนวน 600 ไร่


บัณฑูร เปิดเผยว่า ส้มสายพันธุ์ใหม่ที่มีพื้นที่มากเป็นอันดับ 2 ตัวนี้ ได้ซื้อพันธุ์มาจากต่างประเทศโดยขอซื้อเป็น ลิขสิทธิ์ในการผลิต ไม่มีอำนาจจำหน่ายกล้าพันธุ์ ขณะนี้ถือเป็นความลับของบริษัทที่จะไม่เปิดเผยรายละเอียด ทั้งนี้สามารถจะตั้งชื่อพันธุ์ว่า "ธนาธรนัม-เบอร์วัน" ได้ ลักษณะของผลจะมีกลิ่นคล้ายส้มเช้ง แต่มีกลีบคล้ายส้มเขียวหวาน ผลโต ผิวสีส้มหนาเหมาะกับการส่งออกเพราะทนต่อการขนส่ง บริษัทตั้งเป้าจะผลักดันส้มตัวใหม่ควบคู่กับ ส้มสายน้ำผึ้งต่อไปในปีหน้า และเน้นการ ส่งออกภายใต้ชื่อ ธนาธร หรือ TNT


ผลพวงจากราคาส้มค้าส่งที่สูงกว่าต้นทุนถึงก.ก. ละ 15-20 บาทโดยเฉลี่ยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้การผลักดันสินค้า"แบรนด์ธนาธร" พันธุ์สายน้ำผึ้งที่ต้องใช้การลงทุนลดกำไรจำนวนมากในแต่ละปีเห็นผล บัณฑูร บอกว่า การเติบโตขยายตัวแบบสวนกระแสวิกฤตครั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโชคช่วยที่ราคาส้มดีมากโดยเฉพาะตลาด ในประเทศ อีกทางหนึ่งเพื่อเป็นโอกาสให้วางฐานการตลาดในต่างประเทศ เพื่อ ให้เป้าหมายการส่งออกไม่น้อยกว่า 50% ในอีก 2 ปีข้างหน้านี้


ปัจจุบัน เครือข่ายธุรกิจของ เชียงใหม่ธนาธร ขยายตัวไปอย่างมากใน รอบ 3 ปีที่ผ่านมา โดยก่อนนี้มีกิจการรถ บรรทุกรับส่งสินค้าฝาง-กรุงเทพฯ รองรับ กิจการไร่ส้มของตนเอง ขยายมาสู่ กิจการ โรงโม่หิน และรับเหมาก่อสร้าง ในเขตพื้นที่ตอนเหนือของเชียงใหม่ บัณฑูร บอกว่าเขาจะเกษียณอายุในวัย 60 ปีอย่างแน่นอน เพื่อมอบธุรกิจให้กับทายาท 2 คน คือ น.ส. ธนาธร จิระวัฒนากูล ซึ่ง เพิ่งจะจบการศึกษา MBA จากบอสตัน และลูกชาย บรรจง ที่กำลังศึกษาไฮสกูล เกรด 10 ที่ประเทศออสเตรเลีย


ซึ่งเวลานั้นรากฐานการตลาดในต่างประเทศ ก็จะสมบูรณ์เพียงพอรองรับสถานการณ์ผันผวนของตลาดส้มในประเทศ และกิจการส้มเชียงใหม่ธนาธร จะขยับมาเป็นผู้ผลิตเพื่อส่งออกเต็มตัวในเวลานั้น

โดยมีแบรนด์ และสายพันธุ์ของตนเองเป็นหัวหอก !


http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=1182




หน้าถัดไป (2/2) หน้าถัดไป


Content ©