เศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นหลักที่ทุกคน ทุกครอบครัว ทุกองค์กร ทุกชุมชนสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ครอบครัวอยู่อย่างมีความสุข
โดย-อัศวิน ภักฆวรรณ
การใช้ชีวิตปั้นปลายนั้นใช่เรื่องง่าย หากไม่ได้วางแผนอนาคตไว้ อยู่อย่างไร้ค่า ชีวิตก็น่าเสียดาย แต่สำหรับ นิยม อรุณรัตน์ แล้ว อนาคตเขาไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกวันนี้ได้วางแผนไว้แล้ว และทำวันนี้ให้ดีที่สุด เฉพาะทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นำมาปรับใช้จากพอมีพอกิน เป็นมีกินมีใช้ และในที่สุดก็เหลือกินเหลือใช้ ...
นิยม หรือลุงยม อายุ 70 ปี อดีตข้าราชการฝ่ายปกครอง อ.กงหรา อยู่บ้านเลขที่ 8 ม.1 ต.หานโพธิ์ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง บอกว่า หลังเกษียณอายุก่อนราชการในปี 2543 เงินที่ได้มาจากการเข้าโครงการเออร์รี่ ก็นำมาใช้หนี้จนหมด ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ประกอบกับวิชาชีพที่มีอยู่ ก็นำมาเปรียบเทียบกับชาวบ้านว่า ชาวบ้านนั้นไม่มีอะไรแต่เขาอยู่ได้ โดยการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายพอมีพอกิน เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เริ่มศึกษาและที่สำคัญต้องศึกษาให้รู้จริงถึงเน้อแท้ของงานทีทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯอย่างจริงจัง
โดยให้ความสำคัญไปที่แหล่งน้ำ จนนำมาสู่กระบวนการวางแผนการใช้ที่ดินของตน ในพื้นที่จำนวน 20 ไร่ ขุดคูยกร่อง แบ่งออกเป็นพื้นที่ปลูกปาล์ม 5 ไร่ ปลูกยางพารา 5 ไร่ ส่วนพื้นที่ที่เหลือปลูกไม้ผลรวม ทั้ง เงาะ มังคุด ทุเรียน ลองกอง สละ ส้มโชกุน มะพร้าวน้ำหอม แก้วมังกร เกาลัด กล้วย สะตอ และไม้กฤษณา
"โดยเฉพาะยางพาราได้คิดค้นจนประสบความสำเร็จในเรื่องของปริมาณน้ำยาง คือยางพารา 8 ต้น จะให้น้ำยาง 1 กิโลกรัม วิธีการก็คือนำต้นกล้ายางพาราจำนวน 2 ต้นมาปลูกในหลุมเดียวกัน หลังจากนั้นทำการทาบกิ่ง แล้วตัดให้เหลือยอดเพียงยอดเดียว ส่วนการเจริญเติบโตนั้นจะโตไวกว่ายางพาราที่ปลูกตามปกติ เนื่องจากยางพาราหนึ่งต้น แต่ระบบโคนราก 2 ระบบช่วยในการดูดซึมอาหาร ทำให้ยางพาราตามวิธีการปลูกดังกล่าวโตไวกว่าปกติ และให้ปริมาณน้ำยางที่มากกว่า"
ลุงยม ยังบอกอีกว่า หากต้องการให้ได้ปริมาณน้ำยางมากกว่านี้ 5 ต้นต่อ 1 กิโลกรัม ให้นำต้นกล้ายางพาราจำนวน 3 ต้น มาปลูกแล้วทาบกิ่ง หลังจากนั้นก็ตัดให้เหลือเพียงยอดเดียว เมื่อโตขึ้นและทำการเปิดกรีด ก็จะได้ปริมาณน้ำยางตามที่ต้องการ ทั้งนี้เหมาะสำหรับเกษตรกรที่มีพื้นที่ปลูกน้อย นอกจากวิธีการดักล่าวจะใช้ได้กับยางพาราแล้ว ยังนำมาใช้กับสะตอ มังคุด และทุเรียนได้อีกด้วย
หลังจากโครงการแรกประสบความสำเร็จ และอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต ลุงยม ก็ได้ยกให้กับบุตรชายเป็นคนดูแล ส่วนตนนั้นก็ไม่ได้หยุดคิดหยุดทำ โดยการไปสร้างโครงการใหม่ในเนื้อที่ 7 ไร่ หวังใช้เป็นที่พำนักช่วงปั้นปลายชีวิต โดยได้วางแผนเช่นเดียวกับโครงการแรก คือขุดบ่อเลี้ยงปลาเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้กว้างประมาณ 1 ไร่ ที่เหลือขุดคูยกร่อง และแบ่งเป็นพื้นที่บ้าน เพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อน
หลังจากนั้นก็ลงมือปลูกทุกอย่างที่กินได้ เช่น อินทผาลัม 100 ต้น มะนาว 200 ต้น สละ สะตอ ไม้ไผ่ เงาะ มังคุด ทุเรียน มะพร้าวน้ำหอม มะม่วง มะขามหวาน กล้วย ฝรั่ง ตลอดถึงพืชผักสวนครัว โดยเน้นการใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ซึ่งคาดว่าไม่เกิน 3 เดือน ผลผลิตจะสามารถออกสู่ท้องตลาดได้ ที่ผลผลิตทุกอย่างปลอดภัยจากสารพิษ
"ทุกวันนี้ที่ทำ ต้องการดูแลตัวเองมากกว่า ไม่ต้องการเป็นภาระให้กับลูกหลาน แต่ทุกสิ่งที่ทำก็เพื่อเป็นการปูพื้นฐานไว้ให้กับคนที่อยู่ข้างหลังเท่านั้น เพราะในอนาคตไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า"
จากอดีตข้าราชการฝ่ายปกครองผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัวนั้นใช่เรื่องง่าย ต้องลองผิดลองถูกมานับครั้งไม่ถ้วน ประกอบกับต้องเป็นคนขยัน รักในสิ่งที่ทำ ใฝ่รู้ และที่สำคัญต้องศึกษาให้รู้จริงถึงเนื้อแท้ของงานที่ทำ ก็จะประสบความสำเร็จได้
ที่มา : บางกอกโพสต์