เกษตรกรวังน้ำเขียวโคราช หันทิ้งไร่มันสำปะหลัง-ข้าวโพด ยึดอาชีพปลูก “พุทรานมสด” เนรมิตชีวิตใหม่ให้ครอบครัว
โดย....ประสิทธิ์ ตั้งประเสริฐ
ต้นพุทรานมสดที่กำลังออกผลผลิตเต็มทั่วสวนบนพื้นที่ 7 ไร่ ภายในพื้นที่หมู่ 7 ต.วังน้ำเขียน อ.วังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจของนายพยุงค์ มงคล อายุ 56 ปี เกษตรกรอีกหนึ่งคนใน อ.วังน้ำเขียว ที่ตัดสินใจผันตัวเองจากการปลูกพืชไร่ จำพวกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง รวมถึงมะม่วง มาลงทุนปลูกผลเมืองหนาวอย่างเช่นพุทรานมสด เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว
เนื่องจากที่ผ่านมาการปลูกพืชไร่แต่ตะชนิดต้องปะสบกับปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้นทุกวัน ในขณะที่ราคาผลผลิตกลับตกต่ำสวนทางกัน ทำให้มองไม่เห็นอนาคตในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร และมาถึงวันนี้การตัดสินใจของนายพยุงค์ฯ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิต ของครอบครัวนายพยุงค์ฯอย่างยิ่งใหญ่ เพราะในวันนี้พุทรานมสดถือเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากและเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อที่สุดในอ.วังน้ำเขียวชนิดหนึ่ง ทำให้นายพยุงค์ มีรายได้จากการจำหน่ายพุทรานมสดภายในสวนที่มีอยู่เพียง 7 ไร่ แต่ละปีไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ใช้เงินลงทุนเพียงไม่กี่หมื่นบาทต่อปีเท่านั้น ส่งผลให้วันนี้ชีวิตที่เคยมีแต่หนี้สินรอบตัว กลายเป็นเพียงอดีต แต่ปัจจุบันเงินที่เก็บหอมรอบริมจากการจำหน่ายพุทราน้ำนมของนายพยุงค์ฯ ก็เพียงพอที่จะใช้จ่ายเลี้ยงดูครอบครัวไปได้ตลอดชีวิต
นายพยุงค์ เล่าว่า เดิมทีแล้วตนเองมีภูมิลำเนาอยู่ที่จ.สระบุรี แต่ได้มาตั้งรกรากที่อยู่ที่อำเภอวังน้ำเขียวตั้งแต่ปี 2514 โดยซื้อผืนดิน สปก.จำนวน 7 ไร่ต่อจากชาวบ้านในราคาไร่ละ 150 บาท เพื่อทำการเกษตรปลูกพืชไร่ อาทิ มันสำปะหลัง และข้าวโพด เลี้ยงชีวิต ถึงแม้จะยึดอาชีพปลูกพืชไร่มานาน แต่ก็ไม่มีเงินเก็บ เพราะรายได้จากการขายผลผลิตส่วนใหญ่มักจะถูกจ่ายไปเป็นค่าต้นทุนการผลิต อาทิ ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าแรงงาน ขณะที่มีปัญหาเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำ โดยเฉพาะมันสำปะหลังขาย ได้ราคากิโลกรัมละ 2 บาทเท่านั้น แต่หลังจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เข้าไปรณรงค์ให้ชาวบ้านที่อาศัยในเขตพื้นที่ปฏิรูปที่ดินหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ “พุทรานมสด” แทนการทำไร่มันสำปะหลัง ตามยุทธศาสตร์การตลาดนำการผลิต เนื่องจากพืชดังกล่าวให้ผลตอบแทนสูง และเติบโตได้ดีในสภาพพื้นที่และภูมิอากาศอย่างวังน้ำเขียวที่ค่อนข้างหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี
"ตนเองจึงตัดสินใจทดลองปลูก โดยการลงทุนเบื้องต้นในการปลูกพุทราตั้งแต่ปี 2549 เริ่มปลูกพุทรามาเกือบ 3 ปี ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก. หลังปลูกได้ประมาณ 7 เดือน พุทราก็เริ่มให้ผลผลิต ที่ประมาณ 960 กิโลกรัมต่อไร่ จากนั้นการให้ผลผลิตก็เพิ่มขึ้นทุกปี เมื่อปี 2550 ผลผลิตจะอยู่ที่ 1,900 กิโลกรัมต่อไร่ พอมาปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 3,800 กิโลกรัมต่อไร่ โดยราคาของพุทรานมสดจะอยู่ที่ กิโลกรัมละ 401 – 50 บาท ทำให้ตนเองมีรายได้ประมาณ 180,000 บาทต่อไร่ ขณะที่ต้นทุนอยู่ที่ 30,000-40,000 บาทต่อไร่ ดีกว่าทำไร่มันสำปะหลังมาก เพราะพืชพวกนี้จะหมดไปกับค่าปุ๋ยค่ายาเป็นส่วนใหญ่"เกษตรกรผู้บุกเบิกปลูกไร่พุทรานมสดเล่าย้อนอดีต
โดยขั้นตอนการปลูกพุทราน้ำนมยุ่งยากพอสมควร เนื่องจากพุทราเป็นไม้ผลที่มีพุ่มกว้างพอควร แต่ที่สวนจะตัดแต่งและบังคับ ทรงพุ่มมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ให้เกินกว่า 3 ม. แล้ววันระยะช่องทางเดินไว้ 1 ม. ดังนั้น หลุมปลูกจึงมีระยะ 5 เมตร ต่อหลุม/ต้น จากนั้นขุดหลุม มีขนาด รัศมีวงกลม 50 ซม. และลึก ไม่เกิน 50 ซม. จากนั้นนำปุ๋ยหมัก ที่ประกอบด้วย รำละเอียด , แกลบดำ , แกลบขาว , มูลสัตว์ คลุกผสมกากน้ำตาลและอีเอ็มชีวภาพ ที่หมักทิ้งไว้ 1 เดือน ผสมกับดินในอัตราส่วน 50 ต่อ 50 ใส่ให้เต็มหลุมแล้วทำการแหวกหลุมนำกล้าพุทราใส่ลงไป
จากนั้นก็ดูแลอย่าขาดน้ำ ต้องมีการให้สม่ำเสมอ พอหน้าดินชื้น ระยะแรกให้น้ำทุกวัน จนกว่าต้นจะตั้งตัวได้ หลังจากนั้นให้น้ำตามความชุ่มชื้นของดิน โดยไม่ให้น้ำขังหรือแห้งจนเกินไป เมื่อต้นพุทราตั้งตัวได้แล้ว เริ่มให้ปุ๋ยนมสด ซึ่งผลิตจากรำละเอียด ผสมนมเปรี้ยวหรือนมข้น กากน้ำตาล อีเอ็ม ผลไม้หมัก และเศษอาหารหมัก ใช้ผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1:20 ฉีดให้ทั่วลำต้น และฉีดเข้าใต้ดินระยะห่างจากโคนต้นประมาณ 30 ซม. เป็นระยะๆ จนกว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งปุ๋ยนมสดนี้จะมีส่วนทำให้พุทรามีความหวานกรอบ เมื่อรับประทานจะมีกลิ่นน้ำนม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “พุทรานมสด”
ทั้งนี้ “พุทรา” เป็นพืชที่ปลูกง่ายแต่ต้องมีการดูแลและจัดการอย่างดี เพราะมีแมลงวันทองรบกวนมากในช่วงพุทราออกดอก ติดผล แต่หากใช้ปุ๋ยนมสดฉีดพ่นตามลำต้นและใบควบคู่ไปกับฉีดลงโคนต้นก็จะช่วยกันแมลงวันทองได้ หรือไม่ก็ให้ใช้นำน้ำหมักสมุนไพรอาทิเช่นสะเดามาผสมกับน้ำ อัตราส่วน 1/2 ลิตรต่อน้ำ 200 ลิตร ฉีดพ่นเพื่อป้องกันแมลง 7 วันต่อครั้งโดยผสมพร้อมกับปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ฉีดพ่นพร้อมกัน
ส่วนกากที่เหลือก็นำไปทำเป็นปุ๋ยหมักเป็นอาหารของพืชต่อไปได้อีกวิธีนี้ช่วยให้ต้นพุทราติดผลดก ลูกโต รสชาติดี ผิวสวย กรอบ อร่อย พบปัญหาผลหลุดร่วงน้อยขายได้ราคาดี ซึ่งวิธีการทั้งหมดนี้ส่งผลให้ตนเองกลายเป็นเกษตรกรคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นในปัจจุบัน โดยะมีลูกค้ามารับซื้อถึงหน้าสวนในราคาประมาณ 40 – 50 บาท ต่อกิโลกรัมในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดระหว่างเดือน พฤศจิกายนไปจนถึงปลายเดือนธันวาคามของทุกปี
สำหรับปัจจุบันเกษตรกรใน อ.วังน้ำเขียว สนใจหันมายึดอาชีพปลูกพุทรานมสดจำหน่าย แทนการปลูกพืชไร่ที่ไม่คุ้มทุนจำนวนเกือบ 100 ราย คิดเป็นพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 300 ไร่ ซึ่งทางสำนักงานเกษตรอำเภอวังน้ำเขียวได้พยายามที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรเหล่านี้ใช้วิธีการเพาะปลูกโดยไม่พึ่งสารเคมี อย่างที่นายพยุงค์ฯ ทำ และรวมกลุ่มกันเพื่อสามารถให้เกษตรกรได้กำหนดราคาการจำหน่ายผลผลิต และใช้ยุทธวิธีประสานงานด้านการตลาดให้แก่ทางเกษตรกรที่ปลูกพืชผักปลอดสารพิษให้มีแหล่งระบายผลผลิตในราคาที่สูงกว่าพืชผักแบบธรรมดาที่ไม่มีการควบคุมการใช้สารเคมี
นอกจากนี้เพื่อจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชไร้สารพิษเพิ่มขึ้น และสามารถมีผลผลิตป้อนทันตามความต้องการของตลาดที่สูงขึ้นได้ จนปัจจุบันในอ.วังน้ำเขียวมีเครือข่ายเกษตรกรร่วมเพาะปลูกพุทราสารพิษออกสู่ท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 70 ราย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งในการส่งเสริมเกษตรอินทรีปลอดสารที่ทางสำนักงานเกษตรอำเภอวังน้ำเขียวกำลังเร่งรณรงค์อยู่ในตอนนี้
...หากมองในภาพรวมแล้วปัจจุบันพื้นที่การเพาะปลูกพืชผักไปลอดสารพิษในอ.วังน้ำเขียว ขยายพื้นที่ไปทั่วอำเภอมากกว่า 60 % ซึ่งทางสำนักงานเกษตรอำเภอวังน้ำเขียวตั้งเป้าที่จะรณรงค์ให้เกษตรกรวังน้ำเขียวเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูกพืชปลอดสารพิษให้ได้ 80 % ภายในปีนี้
ที่มา : บางกอกโพสต์