หน้า: 1/2
ทำนาข้าวแบบประณีต
หมายถึง การปฏิบัติบำรุงต่อต้นข้าวอย่างครบวงจรตั้งแต่ เตรียมแปลง เตรียมเทือก เตรียมเมล็ดพันธุ์ หลังจากเมล็ดงอกขึ้นมาเป็นลำต้นแล้ว จะต้องปฏิบัติบำรุงด้วยสารอาหารที่ตรงกับระยะพัฒนาการอย่างแท้จริงจนกระทั่งถึงเก็บเกี่ยว
การปฏิบัติบำรุงต่อต้นข้าวอย่างประณีต ให้ประสบความสำเร็จสูงสุดเท่าที่ธรรมชาติของต้นข้าวจะพึงมีหรือให้ประสบความสำเร็จเหนือกว่าธรรมชาติของต้นข้าวนั้น บางขั้นตอนต้องจะเตรียมล่วงหน้ามาก่อน เช่น ดิน. น้ำ. สายพันธุ์. เป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องระมัดระวังเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น อากาศ. โรค. ซึ่งมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตโดยตรงอีกด้วย
ทุกช่วงของระยะพัฒนาการของต้นข้าวจะต้องหมั่นสำรวจแปลง พิจารณาลักษณะหรืออัตราการเจริญเติบโต การแตกกอ ขนาดรูปทรงต้นหรือกอ และอื่นๆ โดยเฉพาะต้นข้าวที่มีลักษณะ ข้าวปน จะต้องถอนทิ้งไป ช่วงต้นข้าวระยะกล้าอาจมีการปลูกแซมแทนต้นที่ตายบ้าง เพื่อให้ได้ผลผลิตข้าวคุณภาพเกรดเดียวกันทั้งแปลง
การทำนาแบบประณีตต้องทำแบบ นาดำ เพราะนอกจากจะได้ผลผลิต ทั้งปริมาณและคุณภาพดีกว่าการทำแบบ นาหว่าน แล้ว ยังช่วยให้การเข้าไปสำรวจแปลงทำได้ง่าย ข้าวทุกต้นได้รับแสงแดดเต็มที่ และโรคและแมลงเข้ารบกวนน้อยอีกด้วย
อย่างไรก็ตามการทำนาดำหรือการทำนาข้าวแบบประณีต แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้าจะทำ หรือ บำรุงเต็มที่ย่อมได้ผลผลิตเต็มที่ หรือ บำรุงเต็มทีแต่จะเอาผลผลิตเต็มที่ย่อมไม่ได้ เมื่อคิดจะปฏิบัติบำรุงต่อต้นข้าวแบบประณีตบรรจงเต็มที่แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความพร้อมในทุกๆ ด้านโดยเฉพาะ หัวใจ + สมอง บ่อยครั้งที่ชาวนาบางคนบ่นว่า การฉีดพ่นทางใบทุก 7 วัน ถี่เกินไป แม้แต่ 10 วันก็ยังถี่ทำไม่ไหวทำได้ กรณีนี้จะต้องไปขอต่อรองกับต้นข้าวเอาเอง
เพื่อให้ได้ผลเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ให้ถือตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
เตรียมแปลงตกกล้า
- ปรับเรียบเพื่อให้มีระดับน้ำในดินและใต้ผิวดินเสมอกันทั่วทั้งแปลง
- แปลงอยู่กลางแดด ได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน
- วัดค่ากรด-ด่างของดิน แล้วปรับให้ได้ค่าที่เหมาะสมสำหรับปลูกข้าว
- มีน้ำบริบูรณ์และช่องทางน้ำเข้า-ออก สามารถนำน้ำเข้าออกได้ทุกเวลาที่ต้องการ
- เตรียมเทือกโดยใส่ ยิบซั่มธรรมชาติ + กระดูกป่นหรือปลาป่น + ปุ๋ยคอก (มูลวัว-มูลไก่-มูลค้างคาว) หมักข้ามปี + กากก้นถังปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง หว่านให้ทั่วแปลง ไถดะไถแปรและไถพรวนหลายๆรอบ
- หลังจากไถพรวนแล้วปล่อยทิ้งไว้ 10-15 วัน ระหว่างนี้เติมจุลินทรีย์หน่อกล้วย 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน เพื่อเป็นการ บ่มดิน หรือเป็นการให้เวลาแก่จุลินทรีย์ในการปรับสภาพโครงสร้างดินและย่อยสลายอินทรีย์วัตถุต่างๆจนได้ฮิวมิค แอซิด เสียก่อน
หมายเหตุ :
- การเตรียมแปลงตกกล้าต้องพิถีพิถันมากว่าการเตรียมแปลงทั่วๆไป เพื่อให้ได้ต้นกล้าที่สมบูรณ์ที่สุด
- การบ่มดินควรใช้ระยะเวลานานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพื่อให้เกิดสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับต้นกล้าคุณภาพดี
- ใส่ “ปุ๋ยอินทรีย์หมักชีวภาพ 20-30 กระสอบปุ๋ย หรือปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 5 ล./1 ไร่” จะช่วยให้ดินดี ซึ่งจะส่งผลให้ต้นกล้าสมบูรณ์แข็งแรง ให้ผลผลิตดีเมื่อนำไปปลูก
เตรียมเมล็ดพันธุ์ตกกล้า
- ตรวจสอบความน่าเชื่อถือหรือคุณภาพ (สายพันธุ์ แหล่งผลิต ประวัติการบำรุง อายุการจัดเก็บ บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ) ของเมล็ดพันธุ์
- ตรวจสอบคุณภาพโดยการแช่เมล็ดพันธุ์ใน น้ำเกลือเจือจาง (ทดสอบความเจือจางโดยละลายเกลือในน้ำแล้วใช้ไข่สดลอยน้ำ ถ้าพื้นผิวเปลือกไข่ส่วนที่ลอยพ้นน้ำมีขนาดโตเท่ากับเหรียญห้าบาทหรือสิบบาท ถือว่าใช้ได้) คัดเมล็ดลอยทิ้งเพราะเป็นเมล็ดเสื่อมความงอกแล้ว เก็บไว้ใช้งานเฉพาะเมล็ดจม
- ตรวจลักษณะเมล็ดพันธุ์ แล้วคัดออกเมล็ดพันธุ์ที่มีรูปร่างลักษณะผิดเพี้ยนจากเมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่ รวมทั้งคัดออกเมล็ดหญ้า ข้าวนก เมล็ดวัชพืช และสิ่งปลอมปนอื่นๆ
- นำเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการแช่น้ำเกลือเจือจางแล้วลงแช่ใน น้ำ 100 ล. + ไคตินไคโตซาน 200-250 ซีซี. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 กรัม นาน 24 ชม. ครบกำหนดแล้วนำขึ้น ห่มชื้น ต่ออีก 24-48 ชม. ขั้นตอนการห่มนี้ต้องหมั่นตรวจสภาพเมล็ดพันธุ์ ถ้าเห็นว่าเมล็ดเริ่มแทงรากออกมาแล้วให้นำไปหว่านทันทีแม้จะยังไม่ครบกำหนดเวลา เพราะหากห่มนานกว่านั้นรากจะยาวมากทำให้หว่านเมล็ดไม่กระจาย เนื่องจากรากเกี่ยวพันกันเองเมล็ดพันธุ์ที่แช่ในไคตินไคโตซาน จะแทงรากเร็วกว่าการแช่น้ำเปล่าหรือสารเคมี
หมายเหตุ :
- ในไคตินไคโตซานนอกจากจะมีสาร “ไคติเนส” ซึ่งสามารถกำจัดเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับเมล็ดพันธุ์ได้แล้วยังมีฮอร์โมนกลุ่มอ๊อกซินที่เป็นประโยชน์ต่อต้นข้าว เมื่อเจริญเติบโตขึ้นอีกด้วย
- การแช่เมล็ดพันธุ์ข้าวใน “ธาตุรอง/ธาตุเสริม” เป็นการช่วยให้ต้นข้าวได้รับสารอาหารตั้งแต่ยังเป็นเมล็ดพันธุ์ซึ่งจะส่งผลให้ต้นที่โตขึ้นมีภูมิต้านทาน สมบูรณ์ แข็งแรง และให้ผลผลิตดี - การแช่เมล็ดพันธุ์ในสารเคมี เมล็ดพันธุ์ย่อมดูดซับสารเคมีเข้าไปไว้ในตัวเอง ตั้งแต่ก่อนงอก (สารเคมีเป็นสารพิษ ไม่ใช่สารอาหาร) จึงไม่ก่อประโยชน์ใดๆแก่ต้นข้าว
- ทดสอบด้วยวิธีนำเมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือกใส่แก้วแล้วเติมน้ำเปล่าพอท่วม ทิ้งไว้ 24 ชม. หรือ 48 ชม. จะพบว่าระดับน้ำในแก้วลดลงหรือหายไปส่วนหนึ่ง แสดงว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือกได้ดูดซับน้ำเข้าไปไว้ในตัวเองแล้ว
- ปัจจัยเสริมการงอกของเมล็ดพืช คือ “อากาศ” ขั้นตอนการแช่เมล็ดพันธุ์นั้น ถ้ามีการเติมออกซิเจนเข้าไปในถังแช่ด้วย นอกจากช่วยให้ได้เปอร์เซ็นต์งอกสูงแล้วยังจะทำให้ได้ต้นกล้าที่สมบูรณ์แข็งแรงอีกด้วย
- วิธีเตรียมเมล็ดพันธุ์สำหรับตกกล้าเพื่อทำนาดำแบบนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับวิธีเตรียมเมล็ดพันธุ์สำหรับนาหว่านได้ด้วย
บำรุงกล้าในแปลงตกกล้า
- ให้ธาตุรอง/ธาตุเสริม หรือ 20-20-20 + แคลเซียม โบรอน อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อต้นกล้าโตได้ใบจริง 2 ใบ ให้ทางใบ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ด้วยการฉีดพ่นบางๆหรือพอเปียกใบ และให้ครั้งสุดท้ายก่อนถึงวันถอนกล้า 3-5 วัน จะช่วยให้ลำต้นกล้าแข็ง ใบเขียวเข้ม สมบูรณ์ดี เมื่อนำไปปักดำนอกจากจะไม่ชะงักการเจริญเติบโตแล้วยังส่งผลไปถึงช่วงที่ต้นโตแล้วอีกด้วย
- ต้นกล้ามีอาการเหลืองโทรมเนื่องจากสภาพอากาศวิปริต (ร้อน-หนาว) ให้ฉีดพ่นทางใบด้วย ธาตุรอง/ธาตุเสริม + แม็กเนเซียม + สังกะสี + กลูโคส เจือจางมากๆหรือให้เพียง 1 ใน 4 ของอัตราปกติต่อต้นข้าวโตแล้ว โดยให้ล่วงหน้าก่อนอากาศเริ่มวิปริต 2-3 วัน (ทราบจากข่าวพยากรณ์อากาศ) พร้อมกับให้ระหว่างที่อากาศกำลังวิปริตอีก 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 3-5 วัน จนกว่าสภาพอากาศจะเข้าสู่สภาวะปกติ
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- การบำรุงช่วงระยะกล้าในแปลงตกกล้าอาจไม่จำเป็น ถ้ามีการเตรียมเทือกดีก่อนหว่านเมล็ดพันธุ์ เพราะปริมาณสารอาหารในเทือกมีมากพออยู่แล้ว แต่หากได้มีการให้บ้างเพียง 1 ครั้งเท่านั้น ต้นกล้าจะเจริญเติบโตสมบูรณ์ชัดเจนกว่าไม่ได้ให้เลย
- ลักษณะต้นกล้าที่สมบูรณ์แข็งแรง จะมีลำต้นอวบ อ้วน กลม แข็ง สีเขียวเข้ม รากขาวสะอาด จำนวนมาก ยาวเท่ากับขนาดความสูงของลำต้นจากโคนถึงปลายใบ
- สำรวจแปลงกล้า (กรณีที่ทำได้) พิจารณาเลือกถอนทิ้ง “ต้นข้าวปน” เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการถอนทิ้งหลังจากต้นโตแล้ว และเพื่อให้ได้ต้นกล้าที่ตรงสายพันธุ์จริงๆ
- กล้าที่ถอนขึ้นมาจากแปลงตกกล้า มัดรวมกำแล้วนำไปวางตั้งแช่ใน “น้ำ + มูลค้างคาว” พอท่วมรากก่อน นาน 24 ชม. แล้วจึงนำไปปักดำ จะช่วยให้แตกกอดีจำนวนมาก ส่งผลให้ได้จำนวนรวงมากขึ้นด้วย
- ขั้นตอนเตรียมกล้าข้าวสำคัญมาก กล่าวคือ ต้นกล้าที่มีความสมบูรณ์สูงนอกจากจะส่งผลไปถึงความสมบูรณ์ของต้นเมื่อต้นโตขึ้นแล้ว ยังส่งผลไปถึงผลผลิตที่จะขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพอีกด้วย
การปักดำ
- ดำนาด้วยมือหรือรถดำนา ปักดำกอละ 1-2 ต้น
- จับถือต้นกล้าเบาๆ นิ่มนวลแต่มั่นคง อย่าให้ต้นกล้าหักช้ำ
- ปักดำลึกเท่ากันทุกๆต้น
- จัดระยะห่างและจัดแถวให้เท่ากันทุกต้น
เตรียมเทือกในแปลงใหญ่
หลักการและเหตุผล :
ข้าวเป็นพืชอายุสั้นฤดูกาลเดียว อายุการเจริญเติบโตตั้งแต่เกิด (เมล็ดงอก) ถึงเก็บเกี่ยวเพียง 90-120 วันเท่านั้น หากต้องการให้ต้นข้าวสมบูรณ์ แข็งแรง ให้ผลผลิตดี มีคุณภาพ ก็ต้องบำรุงให้ต้นข้าวได้รับสารอาหารอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนถึงเก็บเกี่ยว หรืออย่าให้ต้นชะงักการเจริญเติบโตอย่างเด็ดขาดแม้แต่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ
แนวทางปฏิบัติ
พื้นที่ 1 ไร่ ไถกลบฟางพร้อมกับใส่ยิบซั่มธรรมชาติ 25 กก. + กระดูกป่น หรือ ปลาป่น 10 กก. + กากก้นถังปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง 10 กก. + มูลวัว/มูลไก่ (3:1) 30-50 กระสอบปุ๋ย เสริมด้วยมูลค้างคาว 10 % ของมูลวัว/มูลไก่ + 16-8-8 (10 กก.)
ผสมคลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากันดี แล้วหว่านทั่วแปลง จากนั้นไถด้วยรถไถจอบหมุนโรตารี่
ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หมักชีวภาพ อัตรา 20-30 กระสอบปุ๋ย จะช่วยให้ดินดี ส่งผลให้ต้นข้าวสมบูรณ์แข็ง มีภูมิต้านโรคสูง และให้ผลผลิตดี
หมายเหตุ :
- สำหรับนาข้าวรุ่นแรก ใส่ยิบซั่ม 25 กก./ไร่ เมื่อทำนารุ่น 2 รุ่น 3 และรุ่นต่อๆมาให้ใส่เพียง 25 กก.หรือน้อยกว่า เพราะของเดิมที่เคยใส่นั้นต้นข้าวนำไปใช้ไม่หมดจึงยังเหลือสะสมอยู่ในเนื้อดิน
- ใส่กระดูกป่นหรือปลาป่น 10 กก./3 รุ่น
- การให้ 16-8-8 จะช่วยให้ได้ใบใหญ่ หนา เขียวเข้ม เป็นใบสมบูรณ์ดีกว่าการใช้ 46-0-0 กรณีที่หา 16-8-8 ไม่ได้ ให้ใช้ 46-0-0 + 16-16-16 อัตราส่วน 1:1 แล้วใช้ในอัตราเดียวกันกับ 16-8-8 ก็ได้
- การให้ “ฮอร์โมนบำรุงราก 100-200 ซีซี. + ไคตินไคโตซาน 100 ซีซี. + สาหร่ายทะเล 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพรกำจัดหอยเชอรี่ 1-2 ล.” ไปพร้อมกับปุ๋ยน้ำชีวภาพในถังหน้ารถไถช่วงทำเทือกด้วยจะช่วยให้ได้ประโยชน์สูงสุด
- ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิงที่ผ่านการคัดสรรวัสดุส่วนผสมอย่างดี มีสารอาหารธรรมชาติครบถ้วน ผ่านกระบวนการหมักอย่างถูกต้อง กอร์ปกับได้สารอาหารส่วนหนึ่งจากอินทรีย์วัตถุ และสารปรับปรุงบำรุงดินที่ใส่ให้เมื่อช่วงเตรียมดิน (ทำเทือก) แล้วนั้น จะทำให้มีสารอาหารในปริมาณที่พอเพียงต่อความต้องการของพืชอายุสั้นฤดูกาลเดียวอย่างข้าวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมี หรือพึ่งพาน้อยที่สุด
- การใส่ปุ๋ยคอกมูลสัตว์โดยไม่ให้มีหญ้าหรือวัชพืชเกิดขึ้นในนา ทำได้โดยอย่าใช้มูลสัตว์ใหม่แต่ให้หมักด้วยจุลินทรีย์ก่อน หมักให้ร้อน หมักนานข้ามปี จนกระทั่งเมล็ดวัชพืชเสื่อมความงอก เมื่อนำมาใช้จะไม่มีวัชพืชขึ้นอีกเลย.........ถ้าไม่มีปุ๋ยมูลสัตว์เก่าหมักข้ามปีแต่ต้องการใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ใส่ในนา กรณีนี้มีทางออก นั่นคือใช้ น้ำมูลสัตว์ ราดรดลงบนเศษฟาง เมื่อฟางผสมกับน้ำมูลสัตว์ ฟางนั้นก็จะมีสภาพเหมือนมูลสัตว์แล้วก็ดีกว่ามูลสัตว์จริงๆอีกด้วย
วิธีใส่มูลสัตว์ในนาไม่ให้เกิดหญ้า
โดยวิธีละลายมูลสัตว์แล้วกรองกากออกใช้แต่น้ำ ใส่น้ำละลายมูลสัตว์ลงไปผสมกับฟางในแปลง แล้วไถกลบหรือย่ำ จากสภาพฟางเปล่าๆก็จะกลายสภาพเป็นปุ๋ยมูลสัตว์ วิธีนี้ สามารถทำได้ง่ายๆ โดยดัดแปลงรถไถให้มีตะแกงด้านหน้า ติดตั้งถังขนาดจุ 20-50 ล. เจาะรูเล็กๆก้นถัง 2-4 รู มีก๊อกปรับอัตราการไหลเร็ว/ช้า ยึดถังให้มั่นคง ก่อนลงมือไถใส่น้ำหมักมูลสัตว์ลงไปในถังหน้ารถไถ 10-20 ล.สำหรับเนื้อที่ 1 ไร่
ขณะวิ่งรถไถก็ให้ปล่อยน้ำหมักในถังให้ออกมา เมื่อน้ำมูลสัตว์หยดลงดินด้านหน้ารถแล้วถูกผานด้านหลังไถดินก็จะเป็นการคลุกเคล้า น้ำมูลสัตว์ เนื้อดิน ฟาง วัชพืช ยิบซั่มธรรมชาติ กระดูกป่นหรือปลาป่น และอื่นๆ ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
หมายเหตุ :
- ในมูลวัว-ควายประกอบด้วย “หญ้า-ฟาง และน้ำย่อย” ซึ่งมีแต่กากหญ้า-ฟาง เท่านั้น ส่วนสารอาหารพืช (วิตามิน โปรตีน ฯลฯ) ที่เคยมีในฟาง-หญ้าหมดไปแล้ว เพราะถูกน้ำย่อยในกระเพาะวัว/ควายสกัดออกไป ขณะที่ฟาง-หญ้าในนายังไม่ถูกกระเพาะวัว-ควายย่อยสลายทำให้ วิตามิน โปรตีน แร่ธาตุ ฯลฯ ยังคงอยู่ เมื่อไถกลบลงดินแล้วถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ก็จะได้วิตามิน โปรตีน ฯลฯ นั้น.........ฟาง-หญ้าในนาไม่มีน้ำย่อยจากกระเพาะวัว-ควาย และไม่มีจุลินทรีย์ เมื่อได้รับน้ำมูลสัตว์ จุลินทรีย์ และอื่นๆเข้าไปผสม ฟาง-หญ้านั้นจึงมีสภาพดีกว่ามูลวัว-ควายโดยตรง และสิ่งที่รับประกันได้แน่นอนก็คือ ไม่มีเมล็ดพันธุ์วัชพืชทุกชนิด
การปักดำ
- ดำนาด้วยมือหรือรถดำนา ปักดำกอละ 1-2 ต้น และให้ลึกสม่ำเสมอเท่าๆกัน
- ปักดำด้วยความระมัดระวัง (มือนิ่มและเบา) อย่าให้ต้นข้าวหัก