-
++kasetloongkim.com++
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - พืชสมุนไพรป้องกันกำจัดแมลง
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

พืชสมุนไพรป้องกันกำจัดแมลง
ไปที่หน้า 1, 2  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 04/03/2011 9:45 pm    ชื่อกระทู้: พืชสมุนไพรป้องกันกำจัดแมลง ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ลำดับเรื่อง.....


1. พืชสมุนไพรป้องกันกำจัดแมลง

พริกขี้หนู
แสยก
สลอด

เลี่ยน
มันแกว
มะละกอ

มะเขือเทศ
มะกล่ำตาหนู
สาบเสือ

ว่านน้ำ
สารภี
น้อยหน่า

ดีปลี
บอระเพ็ด
ลางสาด

ละหุ่ง
ต้นรัก
ยี่โถ

ยูคาลิปตัส
ประทัดจีน
ใบพลู

น้ำเต้า
หัวกลอย
กระทกรก

พริกไทย
บอระเพ็ด
หนอนตายหยาก
ตะไคร้หอม
ขอบชะนาง

ดาวเรือง
หางไหล
สะเดา

2. น้ำต้มสมุนไพร กำจัดศัตรูพืช ลดต้นทุน ที่ ชัยนาท
3. สมุนไพรไล่แมลง
4. พืชสมุนไพรไล่แมลงทดแทนการใช้สารเคมีสังเคราะห์ (ตอนที่2)
5. วิธีไล่ยุง มด แบบปลอดภัย ไร้กังวล

6. สมุนไพร กำจัด แมลงวันทอง
7. “ข่า” สมุนไพรป้องกันกำจัดแมลงวันทอง
8. กะเพรา
9. พืชที่มีพิษกำจัดแมลงศัตรู
10. ผลิตพืชอินทรีย์ / สมุนไพรกำจัดโรคและแมลง

11. เครื่องกลั่นสมุนไพรรุ่นแยกน้ำมัน
12. การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำ
13. นักวิจัย มก. คิดค้นเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยขนาดเล็กและราคาถูก
14. เครื่องกลั่นแบบแยกกากแยกน้ำ (เครื่องกลั่น Solvent, เครื่องกลั่นแบบพื้นฐาน, เครื่องกลั่นสมุนไพรแบบใช้แก๊ส รุ่นแยกน้ำมัน)



------------------------------------------------------------------------------------






1. พืชสมุนไพรป้องกันกำจัดแมลง



พริกขี้หนู

- ผลสุก มีคุณสมบัติในการฆ่าแมลง
- เมล็ดมีสารฆ่าเชื้อรา
- ใบและดอกมีสารยับยั้งการขยายตัวของเชื้อไวรัส


พริกจึงเป็นสารฆ่าแมลง ขับไล่แมลง ขัดขวางการดูดกินของศัตรูพืชหลายชนิด เช่น
มด เพลี้ยอ่อน หนอนผีเสื้อ ด้วงเต่า โคโลราโด หนอนผีเสื้อกะหล่ำ ด้วงงวงช้าง
แมลงศัตรูในโรงเก็บ ไวรัส โรคใบด่างของแตง ไวรัสโรคใบหดของยาสูบ ไวรัส
โรคใบจุดวงแหวนของยาสูบ




วิธีเตรียมและการใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืช
วิธีที่ 1 นำ พริกแห้งที่ป่นละเอียด 100 กรัม ผสมน้ำ 1 ลิตร คนให้เข้ากันทิ้งไว้ 1 คืน แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง หลังจากนั้นนำน้ำพริก
นี้ 1 ส่วนผสมกับน้ำสบู่ 5 ส่วน ซึ่งการผสมน้ำสบู่จะช่วยให้จับเกาะใบพืชได้ดีขึ้น ฉีดพ่นทุก ๆ 7 วัน

ในการนำไปใช้ ควรทดลองแต่น้อยๆ ก่อน เพราะสารละลายที่เข้มข้นเกินไปจะทำให้ใบไหม้ หากพืชเกิดอาการดังกล่าวให้ผสมน้ำเพื่อให้
เจือจางและควรใช้อย่างระมัดระวัง อาจเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังของผู้ใช้

วิธีที่ 2 สำหรับการใช้เพื่อยับยั้งเชื้อไวรัส โดยใช้น้ำคั้นจากใบและดอกของพริก ไปฉีดพ่นก่อนการระบาดของเชื้อไวรัสสามารถป้องกัน
ต้นพืชจากไวรัสได้ดีกว่า นำไปฉีดเมื่อพืชเกิดโรคแล้ว


****************************************************************************



แสยก

ป้องกันกำจัด หนอนกระทู้ หนอนใยผัก หนอนผีเสื้อ และแมลงในโรงเก็บ
น้ำยางสีขาวและเมล็ดของแสยกจะออกฤทธิ์เป็นพิษต่อแมลงศัตรูพืชหลายชนิด
โดยจะมีฤทธิ์ทำให้เยื่อบุผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ของแมลงอักเสบ

ช่วยยับยั้งการเข้ามาวางไข่ของ ด้วงถั่วเขียวในโรงเก็บและการฟักไข่ของด้วง ทั่วไปได้ด้วย






สารออกฤทธิ์ที่พบ :
Chemiebase


สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
ใช้น้ำยางจากต้นกัดหูด โดยการนำน้ำยางสีขาวไปทาโดยตรงบนหัวหูด ทาบ่อยๆ หูดจะค่อยๆ หายไปได้เอง

** ในสมัยก่อน ชาวบ้านตามชนบทนิยมเอาต้นแสยกแบบสดทั้งต้นกะจำนวนตามต้องการ ทุบพอแตกไปแช่น้ำตามหนองบึง หรือบ่อ
ที่มีปลาอาศัยอยู่ ประมาณครึ่งชั่วโมง ถ้าบ่อหรือหนองไม่กว้างนัก ปลาที่อยู่ในน้ำจะเกิดอาการเมาหรือตาย สามารถจับหรือช้อนขึ้นมา
ได้อย่างสบาย มีฤทธิ์เหมือนกับต้นหาง-ไหล หรือต้นโล่ติ้นของชาวจีน ยางของแสยกมีพิษแรงมาก ขนาดนำเอาทั้งต้นทุบพอแตก
ใส่ลงในวังน้ำหรือลำธารที่มีจระเข้ อาศัยอยู่ มันจะหนีไปที่อื่นจนหมด เหลือ เชื่อมาก แพทย์ตามชนบทนิยมเอาใบและยอดของแสยก
โขลกละเอียดพอกแผลสด เป็นยาประสานเนื้อดียิ่งนัก

มีชื่อเรียก ในประเทศไทยอีกคือ มหาประสาน (ปราณบุรี) (ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ ,นายเกษตร )

การนำไปใช้ทางการเกษตร :
วิธีที่1 ใช้ลำต้นของแสยกประมาณ 1 กิโลกรัม นำมาบดหรือทุบให้พอแตก จากนั้นนำไปแช่ในน้ำ 1 ปี๊บ ทิ้งไว้นาน 1 คืน จากนั้นกรอง
เอาแต่น้ำหมักที่ได้ ไปฉีดพ่นในแปลงพืชผัก จะช่วยป้องกันและกำจัดหนอนกระทู้และหนอนใยผักได้ดี

วิธีที่ 2 ใช้ส่วนของลำต้นแสยกจำนวน 2 ขีด ทุบหรือตำให้ละเอียด แล้วนำไปคลุกเคล้าให้เข้ากับเมล็ดถั่วเขียว จำนวน 1 กิโลกรัม
จะสามารถยับยั้งการวางไข่และการฝักตัวของด้วงถั่วเขียวได้


*************************************************************************


สลอด

กำจัด หอยทาก หนอนกระทู้ผัก หนอนไหม เพลี้ยอ่อน แมลงวันทอง แมลงวันบ้าน

“สลอด” มี ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีในด้านมีฤทธิ์ทำให้ถ่ายท้องอย่างรุนแรงน้ำมันที่ สกัดจากเมล็ด เป็นยาถ่ายอย่างแรง และมีพิษมาก
ใช้เพียง 1 หยดก็มากพอที่จะทำ ให้ผู้ที่รับมันเข้าไปในร่างกายถ่ายจู๊ดๆ จนแทบจะต้องไปนอนหยอดน้ำเกลือใน โรงพยาบาล นอกจาก
นี้ในเมล็ดของสลอดจะมีสาร Croton oil ซึ่งเป็นสารสำคัญ ที่ มีฤทธิ์ต่อการกำจัดแมลง เช่น หนอนกระทู้ผัก หนอนไหม เพลี้ยอ่อน
แมลงวัน ทอง แมลงวัน หอยทาก อีกด้วย














ลักษณะทั่วไป :
เป็นไม้พุ่มสูง 3- 6 เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับกัน รูปไข่ โคนใบกลมปลายใบแหลม ขอบใบหยักเป็นซี่ฟัน เนื้อใบบาง มีต่อมที่ฐานใบสองต่อม
ใบมีสีเขียวอ่อนแกมน้ำตาล ดอกมีขนาเล็ก ออกเดี่ยวหรือเป็นช่อที่ยอด ดอกมีขน ผลรูปไข่ สีน้ำตาลอ่อน มี 3 พลู แก่จัดจะแห้งและแตก
เมล็ดมีรูปร่าง 3 เหลี่ยม มุมบน สีนวล

แหล่งที่พบ :
พบอยู่ตามที่ป่าโปร่ง ที่โล่ง ดินค่อนข้างแห้งแล้ง

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ :
เมล็ด

สารออกฤทธิ์ที่สำคัญ :
++ เมล็ดมีน้ำมัน Croton oil 56% นอกนั้นเป็นสารประเภท Toxic albuminous substances ชื่อ Crotin มีน้ำตาล
และไกลโคไซด์ ชื่อ Crotonososide มีสารที่มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย และทำให้เกิดอาการระคายเคือง แก่ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่
สารประเภท terpenoid เป็นสารที่พบอยู่ในพืชวงศ์ Euphorbiaceae หลายชนิด เช่น ใน genus Croton และ Euphorbia
สาร Phorbals นี้ จากการทดลองพบว่าเป็นสารที่เป็น Co-carcinogens หมายถึง เป็นตัวช่วยเร่งให้เกิดมะเร็งเร็วขึ้น

++ ใบสลอด มี hydrocynaic acid, triperpinoid ส่วนในเมล็ด มีโปรตีนที่เป็นพิษ ๒ ชนิด คือ croton globulin และ croton albumin

** นอกจากนี้ยังมี น้ำตาล sucrose และ glycoside crotonoside ให้น้ำมันสลอดที่ประกอบด้วย oleic, linoleic, arachidic,
myristic, stearic, palmitic, acetic และ formic acid นอกจากนี้ยังมีกรดอีกหลายชนิด

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
เมล็ด มีน้ำมัน ใช้เป็นยาถ่ายอย่างแรงและระคายเคืองมาก เมื่อนำไปคั่วให้น้ำมันระเหยออกไปฤทธิ์จะอ่อนลง

หมายเหตุ :
++ เมล็ด รสเผ็ดร้อน มีพิษมาก ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะเป็นยาถ่ายอย่างแรงและเป็นพิษ ก่อนใช้ประกอบยาต้องฆ่าฤทธิ์ยา
ตามตำรับกำหนดไว้เสียก่อนจึงจะใช้เป็นยาถ่าย พิษเสมหะและโลหิต ถ่ายน้ำเหลือง ถ่ายลม ถ่ายพยาธิ แก้การผิดปกติของจิตประสาท
แก้โรคลมชักบางชนิด แก้ท้องผูกที่ใช้ยาอื่นไม่ได้ผล ขับพยาธิในลำไส้ แก้ท้องมาน บวมน้ำ ขับลม แก้ปวดท้อง แก้โรคเก๊าท์

++ ยาง จากทุกส่วนของต้นและเมล็ดมีพิษ

การนำไปใช้ทางการเกษตร :
นำเมล็ดสลอดมาบดละเอียด จำนวน 1 กิโลกรัม แช่ในน้ำจำนวน 1 ปี๊บ หมักทิ้งไว้นาน 3 วัน ในที่ร่ม แล้วกรองเอาแต่น้ำหมักไป
ใช้ฉีดพ่นกำจัดแมลงในแปลงพืช


************************************************************************************


เลี่ยน

ป้องกันกำจัด หนอนกระทู้ หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด ด้วงงวง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ตั๊กแตน มอดแป้ง ไรแดงส้ม

เปลือก ของต้นเลี่ยน ใบ ผล และ เมล็ด จะมีสารอยู่หลายชนิด ซึ่งมีประสิทธิภาพในการ ป้องกันกำจัดและขับไล่แมลง ฤทธิ์ของสารที่
มีอยู่ในต้นเลี่ยนจะไปยับยั้งการ กินและการเจริญเติบโตของแมลงได้













ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
เลี่ยนเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ตระกูลเดียวกันกับสะเดา ลักษณะลำต้นและใบมีความใกล้เคียงกันกับสะเดา มีความสูงประมาณ
20-30 เมตร เป็นต้นไม้ที่มีการเจริญเติบโตเร็ว แตกกิ่งก้านออกไปรอบ ๆ ลำต้นเป็นจำนวนมาก เปลือกผิวลำต้นมีสีน้ำตาล มีแผลเป็น
ร่องตามยาว ลำต้นเจริญขึ้นตรง ทรงพุ่มกลมรูปกรวยโปร่ง ใบออกเป็นช่อ ช่อหนึ่งมีใบอยู่ประมาณ 3-5 ใบ ช่อใบยาวประมาณ 12–15
เซนติเมตร ลักษณะของใบย่อย ปลายใบแหลมเรียวโคนใบสอบขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย บนใบเกลี้ยงสีเขียวส่วนล่างของใบมีขนสีเขียว
อ่อนเห็นเส้นใบชัด ขนาดความกว้างของใบประมาณ 3-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อ เป็นกระจุกใหญ่
ออกตามปลายกิ่งที่ง่าม ใบ ดอกมีฐานรองดอกเล็กมีกลีบดอก 5-6 กลีบ ดอกมีสีม่วงอ่อนหรือสีฟ้า กลิ่นหอม ผลกลม รี สีเขียวมีขนาด
โตประมาณ 0.5 เซนติเมตร เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 4-5 เมล็ด

การขยายพันธุ์ :
เมล็ด การตอน และ การปักชำ

แหล่งที่พบ :
มีถิ่นกำเนิดอยู่ใน อินเดีย แต่ปัจจุบันพบว่ามีอยู่ทั่วทุกภูมิภาค เขตร้อน และ ร้อนชื้น โดยเฉพาะในเขตเอเชียใต้ เช่น
ไทย ลาว พม่า มาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม และ ประเทศอื่นๆ ในเขตเดียวกัน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงา ในสวนและริมถนน

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ :
ใบ ดอก ผล เปลือกต้น และ เปลือกราก

สารสำคัญ :
เปลือกต้น มีสารอัลคาลอยด์ Margosine และ Tannin เปลือกรากและผลมีอัลคาลอยด์ประเภท Azaridine ซึ่งเป็นสารพิษ
ประเภท Bakayanin และ Margosin เมล็ดมี 60% ของไขมัน

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
++ ใบ น้ำคั้นจากใบสดใช้เป็นยาขับพยาธิ บำรุงธาตุ ขับระดู ขับปัสสาวะ แก้โรคนิ่ว
++ เปลือกต้นและเปลือกราก ทำให้อาเจียน ขับถ่ายพยาธิตัวกลม รักษาโรคไข้มาลาเรีย รักษาดรคผิวหนัง ฆ่าเหา
++ ดอก ใช้ทาแผลผุพอง จากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
หรือ ใช้ดอกเลี่ยน 1 ช่อ มาล้างให้สะอาดแล้วนำไปตำให้แหลกผสมกับน้ำมันมะพร้าวเล็กน้อย เอามาทาบริเวณที่มีการคันจากโรค
ผิวหนัง วันละ 3 ครั้ง จนกว่าจะหาย
++ ผล ใช้น้ำมันจากผลทารักษาโรคทางผิวหนัง

หมายเหตุ :
ผลเป็นพิษต่อคน สัตว์บางชนิด และ ปลา โดยจะทำให้เกิดอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร ทำให้อาเจียน และ ท้องเดินได้

การนำไปใช้ทางการเกษตร :
นำใบเลี่ยนสด จำนวน 2 กิโลกรัม หรือ อาจใช้ใบแห้ง จำนวน 1 กิโลกรัม นำมาแช่น้ำ 1 ปี๊บ นาน 2 วัน จากนั้นจึงคั้นเอาแต่น้ำ
หมักที่ได้ ไปกรอง ใช้ฉีดพ่นป้องกันกำจัดแมลงดังกล่าว

*****************************************************************************************


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 3:23 pm, แก้ไขทั้งหมด 12 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 05/03/2011 6:31 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มันแกว

ป้องกันกำจัด เพลี้ยอ่อน หนอนกระทู้ หนอนกะหล่ำ หนอนใยผัก มวนเขียว หนอนผีเสื้อ ด้วงหมัดกระโดดในเมล็ดแก่ของมันแกวนั้น
จะมีสารที่เป็นพิษต่อแมลง คือ สาร Pachyrrizin ซึ่ง เป็นพิษทางการสัมผัสและกระเพาะอาหาร มีประสิทธิภาพในการฆ่าแมลงและ
ออกฤทธิ์ ต่อต้านการดดูดกินอาหารของแมลงศัตรูพืช








ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
มันแกวเป็นพืชตระกูลถั่ว ลักษณะต้นเป็นเถาเลื้อย มีหัวใต้ดิน เป็นรากสะสมอาหาร โคนตันเนื้อแข็ง ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ
เรียงสลับ ดอกมีสีขาวหรือชมพูเป็นช่อ รูปร่างของดอกคตล้ายดอกบัว ผลเป็นฝักแบน มีขนปกคลุม ในหนึ่งฝักจะประกอบไปด้วยเมล็ด
สีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีแดงลักษณะสี่เหลี่ยมจตุรัสแบน ประมาณ 8-10 เมล็ด โดยต้นมันแกว 1 ต้นมีเพียงหัวเดียว ส่วนที่ใช้รับประทาน คือ
ส่วนของรากแก้ว





แหล่งที่พบ :
ถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในอเมริกาเขตร้อน ฟิลิปปินส์ อินเดีย จีน อินโดนีเซีย และ ไทย นิยขมปลูกเพื่อทานในส่วนของหัวสะสมอาหารใต้ดิน

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ :
เมล็ด และ หัว


สารสำคัญ :
เมล็ดมีสาร Pachyrrizin และ rotenone ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าแมลงได้เป็นอย่างดี และ Pachysaponin A และ B ซึ่งเป็นพิษต่อปลา
แต่ถ้าคนทานเมล็ดแก่ของมันแกวเข้าไป จะส่งผลทำให้เม็ดเลือดแดงแตก เกิดอาการช็อคหมดสติและหยุดหายใจได้

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
++ เมล็ด ใช้เมล็ดบดทาผิวหนังรักษาหูด และ ใช้เป็นยาเบื่อปลา

การนำไปใช้ทางการเกษตร :
วิธีที่ 1
สูตรสำหรับกำจัดแมลงวันนำเมล็ดมันแกวมาบดให้ละเอียด ใช้ในอัตราประมาณ ครึ่งกิโลกรัม ละลายในน้ำ 1 ปี๊บ แช่ทิ้งไว้นาน 2 วัน
จากนั้นจึงกรองเอาแต่สารละลายที่ได้ไปฉีดพ่นในแปลงพืชผัก ผลไม้

วิธีที่ 2
สูตรกำจัดเพลี้ยและหนอนชนิดต่างๆใช้เมล็ดมันแกว จำนวน 0.5 กิโลกรัม บดให้ละเอียด แล้วละลายในน้ำ 5 ปี๊บ แช่ทิ้งไว้นาน 1 วัน
จากนั้นจึงกรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่นในแปลงพืชผัก ผลไม้ได้




********************************************************************************


มะละกอ


ป้องกันกำจัดโรคที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคราสนิม โรคราแป้ง ส่วนของใบมะละกอจะมีสารออกฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อราสาเหตุของการเกิด
โรคได้ดี เช่น ราสนิม ราแป้ง

เป็นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อน ลำตันตั้งตรงสูง 3–6 เมตร ไม่แตกกิ่งก้านสาขา ลำต้นกลวงไม่มีแก่น ผิวขรุขระเป็นร่องตามยาวต้นอวบน้ำ
มียางขาว ใบเดี่ยวเรียงสลับรอบต้นบริเวณยอด ใบเป็นหยักเว้าลึกคล้ายฝ่ามือ ดอก มีหลายประเภท คือ ดอกตัวผู้ ดอกตัวเมีย และ ดอก
สมบูรณ์เพศ โดยดอกตัวผู้จะมีสีเหลืองนวลหรือสีนวล กลิ่นหอม ดอกตัวเมียและดอกสมบูรณ์เพศ จะออกมาเป็นกระจุก หรือ ดอกเดี่ยว
สีนวล ผล มีทั้งผลกลม ผลรี แตกต่างกันไปตามสาย
พันธ์ ผลอ่อนมีเปลือกสีเขียว เนื้อในเป็นสีขาว เมื่อผลแก่หรือสุกจะมีสีเหลืองส้ม เนื้อในอ่อนนุ่ม น้ำ เมล็ดมีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม





ดอกมะละกอตัวผู้...





สารสำคัญ :
ยางจากใบมะละกอหรือผล มีน้ำย่อยปาปะอิน (papain) หรือ ที่เรียกว่า ปาปะโยทิน (papayotin) ในส่วนของใบยังมีไกลโคไซด์ ชื่อ
carposide และ อัลคาลอยด์ capaine ส่วนผลดิบจะมีสาร petin แต่เมื่อสุกจะมีสาร carotenoid และมีสาร benzyl isothiocyanate
ในเมล็ด


สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
ยาง ใช้ยาง 5-6 หยด ทาบริเวณที่เป็นหูด วันละ 3-5 ครั้ง แต่ต้องระวังอย่าให้ถูกผิวหนังบริเวณอื่น

++ ยางสดจากใบหรือผล นำมาทาบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อย เช่น ผึ้ง ต่อ แตน มด ตะขาบ วันละบ่อยครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการปวดบวม
จนกระทั่งหายได้
++ เมล็ดแก่ ใช้เมล็ดแก่ จำนวน 1-2 ช้อนชา ม ผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปคั่วพอให้บดได้ง่าย แล้วนำไปบดให้ละเอียด เติมน้ำผึ้ง หรือ น้ำ
เชื่อมลงไปพอประมาณคนให้เข้ากัน ทานติดต่อกัน 2-3 วัน จะช่วยถ่ายพยาธิได้

++ ผลสุก ทานเป็นผลไม้เป็นยาระบายอ่อนๆ ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด
++ ผลดิบ ใช้ทำเป็นอาหาจะช่วยย่อยโปรตีนเพราะมีสารช่วยย่อย (papain)
++ รากสด ใช้รากสด 3- 6 กรัม (ประมาณ 1 กำมือ) ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 แก้ว แล้วดื่มให้หมด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ช่วยขับ
ปัสสาวะ


การนำมาใช้ทางการเกษตร :
นำใบมะละกอมาหั่นให้ได้น้ำหนัก 1 กิโลกรัม แล้วนำไปแช่ในน้ำสะอาด 1 ลิตร จากนั้นขยำชิ้นส่วนของใบมะกอกับน้ำ เพื่อคั้นเอาแค่น้ำ
ที่ได้จากใบมะละกอ นำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วเติมน้ำสะอาดลงไปผสมกับน้ำคั้นที่ได้จากใบมะละกอ ให้ได้น้ำสารละลายทั้งหมด 4 ลิตร
ก่อนนำไปใช้ให้ผสมกับน้ำสบู่ประมาณ 15 กรัม คนให้เข้ากันก่อนนำไปฉีดพ่นในแปลงพืชที่เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา

***********************************************************************************


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 03/04/2011 8:18 am, แก้ไขทั้งหมด 4 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 05/03/2011 6:40 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มะเขือเทศ


ป้องกันกำจัด ด้วงหมัดผัก ด้วงหน่อไม้ฝรั่ง หนอนใยผัก หนอนเจาะลำต้น หนอนผีเสื้อกะหล่ำ ไรแดง แมลงวัน แมลงสาบ

การใช้สารสกัดจากมะเขือเทศในแลงพืชผลทางการเกษตร สามารถป้องกันไม่ให้แมลงมาวางไข่ ยับยั้งการกินอาหารของ
แมลงศัตรูพืชได้ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันกำจัดด้วงหมัดผัก ด้วงหน่อไม้ฝรั่ง หนอนเจาะลำต้น หนอนใยผัก
หนอนผีเสื้อกะหล่ำ แมลงสาบ และ โรคเหี่ยวที่เกิดจากไรแดงได้








การนำมาใช้ทางการเกษตร :

วิธีที่ 1 ใช้ใบสดและลำต้นสดประมาณ
1 กิโลกรัม ทุบพอแตกแล้วนำไปแช่ในน้ำร้อน 1 ปี๊บ แช่ทิ้งไว้นาน 5 ชั่วโมง แล้วกรองเอาแต่น้ำไปฉีดพืชผัก

วิธีที่ 2 ปลูกมะเขือเทศแซมระหว่างแถวของพืชปลูก หรือ แถวกะหล่ำปลี สามารถช่วยป้องกันการเข้าทำลายของผีเสื้อกลาง
คืนตัวเต็มวัยของหนอนผีเสื้อกะหล่ำได้ ทั้งยังเป็นการป้องกันไส้เดือนฝอยเข้าทำลายพืชปลูกได้ด้วย


**********************************************************************************


มะกล่ำตาหนู


ป้องกันกำจัด หนอนกระทู้ หนอนใยผัก หนอนกินใบ ทั่วไป เมล็ดมะกล่ำตาหนูจะมีพิษโดยตรงกับระบบทางเดินอาหารและระบบ
ประสาททั้งคนและ สัตว์ เมื่อนำไปใช้ทางการเกษตรจึงสามารถป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชได้หลาย ชนิด

ชื่อ : มะกล่ำตาหนู
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Abrus precatorius L.
วงศ์ : LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE
ชื่อทั่วไป : กล่ำเครือ กล่ำตาไก่ มะกล่ำแดง มะแด๊ก มะขามไฟ ตาดำตาแดง ไม้ไฟ
ชื่อสามัญ : Jequirity bean, rosary bean, Buddhist rosary bean

ลักษณะทางพฤษศาสตร์ :
เป็นไม้เถาเลื้อย ใบประกอบมีใบย่อยออกเรียงเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อตามง่ามใบ กลีบเลี้ยงสีเขียว กลีบดอกสีขาว คล้ายดอกถั่ว
ผลออกเป็นฝัก เมื่อแก่ฝักจะแตกออก ภายในมีเมล็ดสีแดง ขั้วสีดำ ผิวเรียบ แข็ง

การขยายพันธุ์ :
ใช้เมล็ด

แหล่งที่พบ :
พบขึ้นตามที่รกร้าง ป่าโปร่งทั่วไป

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ :
ลำต้น ราก ใบ เมล็ด










สารสำคัญ :
เมล็ดมะกล่ำตาหนูมีสาร glycoside abrin acid เมล็ดมะกล่ำตาหนู มีเปลือกที่แข็งมาก ตาหนู มีส่วนประกอบของ N-methyltry
ptophan, abric acid, glycyrrhizin, lipolytic enzyme และ abrin ซึ่งสูตรโครงสร้างของ abrin คล้าย ricin เป็นส่วนที่
มีพิษสูงมาก หากเคี้ยว หรือกินเข้าไป เนื่องจากสารพิษจะไปทำลายเม็ดเลือดแดง ระบบทางเดินอาหาร และไต ซึ่งจัดว่าเป็นสารที่มี
พิษมากที่สุดสารหนึ่งที่พบในพืชชั้นสูง

อย่างไรก็ตาม ถ้ากลืนเข้าไปทั้งเมล็ดที่มีเปลือกแข็งจะไม่เกิดพิษ เนื่องจากกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่สามารถย่อยเมล็ดมะกล่ำตาหนู
ได้ แต่ถ้าเคี้ยวเมล็ดนี้ให้แตก และกลืนเข้าไปจะเกิดพิษต่อร่างกายส่งผลให้ตาบอดและถึงตายได้ ซึ่งสาร abrin นี้เมื่อถูกความร้อน
จะสลายตัวง่าย แต่คงทนอยู่ในทางเดินอาหาร หากร่างกายได้รับเข้าไปเพียง 0.01 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือกินเพียง 1
เมล็ด ก็ทำให้เสียชีวิตได้ หากสารพิษถูกผิวหนังอาจทำให้เกิดผื่นคัน หากถูกตาจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและอาจถึงกับตาบอดได้
ส่วนที่ใบมีสาร abrusosides มีความหวานสูงแต่ไม่มีพิษ

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
ต้มน้ำกินเป้นยาแก้เจ็บคอ แก้ไอ แก้หวัด หลอดลมอักเสบ และช่วยขับปัสสาวะได้

++ ใบสด มีรสหวาน ใช้ต้มกินแก้หวัด แก้ไอ แก้เจ็บคอ แก้หลอดลมอักเสบ แก้ปวดตามข้อ หรือ นำมาใบมาตำพอกบริเวณที่ปวดบวม

การนำมาใช้ทางการเกษตร :
นำเมล็ดมะกล่ำตาหนูมาบดให้ละเอียด แช่ในน้ำ 1 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วนำมากรอง เอากากออก จากนั้นนำน้ำหมักเข้มข้นที่กรอง
ได้ไปผสมเข้ากับน้ำสะอาดอีก 20 ลิตร แล้วนำไปฉีดพ่นกำจัดแมลงศัตรูพืชในแปลงผักต่อไป


**********************************************************************************


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 03/04/2011 8:20 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 05/03/2011 8:44 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สาบเสือ


ป้องกันกำจัด เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยหอย เพลี้ยไฟ หนอนกระทู้ หนอนใยผัก และ หนอนอื่นๆ
ใบของสาบเสือมีกลิ่นฉุนจึง
สามารถนำมาใช้เป็นสารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช เช่น เพลี้ยชนิดต่างๆ หนอนในแปลงผัก และใช้เป็นยาเบื่อปลาได้

ชื่ออื่น :
หญ้าเสือหมอบ ( สุพรรณ – ราชบุรี – กาญจน์ ), รำเคย ( ระนอง ), ผักคราด, บ้านร้าง(ราชบุรี) , ยี่สุ่นเถื่อน (สุราษฎร์), ฝรั่งเหาะ,
ฝรั่งรุกที่ (สุพรรณ) , หญ้าดอกขาว ( สุโขทัย – ระนอง ) , หญ้าเมืองวาย ( พายัพ ), พาทั้ง (เงี้ยว เชียงใหม่) , หญ้าดงรั้ง ,
หญ้าพระสิริไอสวรรค์ ( สระบุรี ), มุ้งกระต่าย (อุดร ) ,หญ้าลืมเมือง ( หนองคาย ),หญ้าเลาฮ้าง ( ขอนแก่น ) ,
สะพัง ( เลย ), หมาหลง ( ศรีราชา – ชลฯ) , นองเส้งเปรง ( กะเหรี่ยง เชียงใหม่) , ไช้ปู่กุย ( กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน ) ,
หญ้าเมืองฮ้าง ,หญ้าเหมือน( อิสาน) , หญ้าฝรั่งเศส , เบญจมาศ ( ตราด ) , เซโพกวย ( กะเหรี่ยง เชียงใหม่ ) , มนทน (เพชรบูรณ์ )
ปวยกีเช่า , เฮียงเจกลั้ง ( จีน )









ลักษณะทั่วไป :
ต้น เป็นพืชปีเดียวตาย ต้นสูง 1 – 3 เมตร ก้านมีริ้วรอย ปกคลุมด้วยขน ก้านและใบเอามาขยี้จะมีกลิ่นแรง

ใบ ออกตรงข้ามกัน ลักษณะค่อนมาทางรูปสามเหลี่ยม ตัวใบยาว 3 – 10 ซม. ปลายใบแหลม ฐานใบกว้างใหญ่ หรือ กลมๆ ขอบ
ใบมีรอยหยักคล้ายฟันขนาดใหญ่ มีขนปกคลุมทั้ง 2 ด้าน ด้านท้องใบมีขนหนาแน่นกว่าหลังใบ

ดอก ออกเป็นช่อลักษณะเป็นกระจุก คล้ายร่ม ดอกสีขาวออกม่วง มีดอกย่อยวงนอกเป็นเส้นสีขาวออกมา 1 วง ส่วนกลางของช่อ
ดอกเป็นดอกย่อยที่มีทั้งเกสนตัวผู้และเกสรตัวเมียในดอกเดียว กัน กลีบดอกมีลักษณะเป็นหลอด ส่วยปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ

ผล มีขนาดเล็ก มีห้าเหลี่ยม ส่วนปลายมีขนช่วยพยุงให้ลอยไปตกได้ไกลๆ ออกดอกในฤดูหนาว มักพบตามที่รกร้างทั่วไป ชอบขึ้น
ตามที่มีแสงแดดมากๆตามทุ่งกว้าง ริมถนน

ส่วนที่นำมาใช้ :
ก้านและใบ

แหล่งที่พบ :
พบได้ทั่วไป

สรรพคุณทางยา :
ก้าน และใบ รสสุขุม ฉุนเล็กน้อย ใช้ฆ่าแมลง ห้ามเลือดแก้แผลที่แมลงบางชนิดกัดแล้วเลือดไหลไม่หยุด ใช้ใบสดตำพอกปากแผล
หรือ อาจใช้ใบสดตำกับปูนกินหมากพอกแผลห้ามเลือดได้หรือใช้ใบสดขยี้ปิดปากแผลเลือด ออกเล็กน้อยได้ดี

ผลทางเภสัชวิทยา :
น้ำต้มสกัดจากใบ และต้น มีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้เล็กที่แยกออกจากตัวของหนูตะเภา แต่ลดการบีบตัวของลำไส้เล็กที่แยก
ออกจากตัวของกระต่าย น้ำต้มสกัดและผลึกสารที่สกัดได้จากต้นนี้ ไม่มีผลอย่างเด่นชัดต่อมดลูกที่แยกออกจากตัวของกระต่าย
หากนำไปฉีดเข้าช่องท้องของหนูเล็ก พบมีความเป็นพิษเพียงเล็กน้อย

การนำมาใช้ทางการเกษตร :
นำต้นสาบเสือและใบมาตากแห้งหรือจะใช้ต้นและใบสดก็ได้เช่นกัน จากนั้นนำมาบดให้ละเอียด ผสมน้ำในอัตราส่วน สาบเสือแห้ง
บด 5 ขีด ต่อน้ำ 10 ลิตร (ถ้าใช้สดก็ใช้ในอัตราส่วน สาบเสือบด 1 กิโลกรัม ต่อ น้ำ 10 10 ลิตร)แล้วคนให้เข้ากันแช่ทิ้งไว้นาน 1 วัน
แล้วนำมากรองด้วยผ้าขาวบางก่อนนำน้ำหมักที่ได้ไปใช้ ให้ผสมสารจับใบ เช่น สบู่ แชมพู หรือ ผงซักฟอก โดยใช้ในอัตราส่วน น้ำหมัก
สาบเสือ ครึ่งช้อนโต๊ะ ต่อ น้ำเปล่า 5 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่ว ทุกๆ 7 วัน ในช่วงเย็น


********************************************************************************


ว่านน้ำ

กำจัด ด้วงหมัดผัก หนอนกระทู้ผัก แมลงวันทอง แมลงในโรงเก็บ ด้วงงวงช้าง ด้วงเจาะเมล็ดถั่ว มอดตัวป้อม มอดข้าวเปลือก ในเหง้า
ของว่านน้ำจะมีน้ำมันหอมระเหยชนิด Calamol aldehyde ซึ่งเป็นพิษต่อ ระบบประสาทของแมลง โดยจะออกฤทธิ์เป็นยาฆ่าแมลง
ขับไล่แมลง และ หยุดชะงักการ ดูดกินอาหารของแมลงศัตรูพืช ทั้งยังมีฤทธิ์ยับยั้งระบบการสืบพันธุ์ของแมลง ได้อีกด้วย









ชื่ออื่น :
คงเจี้ยงจี้ ผมผา ส้มชื่น ฮางคาวน้ำ ฮางคาวบ้าน (ภาคเหนือ) ตะไคร้น้ำ (เพชรบุรี) ทิสีปุตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ว่านน้ำ ว่านน้ำเล็ก
ฮางคาวผา (เชียงใหม่)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ว่าน น้ำมีลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดินลักษณะเป็นแท่งค่อนข้างแบน มีใบแข็งตั้งตรง รูปร่างแบนเรียวยาวคล้ายใบดาบฝรั่ง ปลายใบแหลม
แตกใบเรียงสลับซ้ายขวาเป็นแผง ใบค่อนข้างฉ่ำน้ำ ดอกมีสีเขียวมีขนาดเล็กออกเป็นช่อ มีจำนวนมากอัดกันแน่นเป็นแท่งรูปทรง
กระบอก มีก้านช่อดอกลักษณะคล้ายใบ ทั้งใบ เหง้า และรากมีกลิ่นหอมฉุน ชอบขึ้นตามที่น้ำขัง หรือที่ชื้นแฉะ

ส่วนที่ใช้ :
ราก เหง้า น้ำมันหอมระเหยจากต้น

แหล่งที่พบ :
พบขึ้นอยู่ตามหนองน้ำ บ่อ บึงที่เป็นดินเลน

สารเคมี :
มีน้ำมันหอมระเหย (Calamus oil) 2-4% ในน้ำมันประกอบด้วย Sesquiterpene เช่น asarone,Betasalone (มี 70-80 %)
และตัวอื่นๆ ยังมี glucoside รสขมชื่อ acorin

สรรพคุณทางยา :
• ราก
- รับประทานมาก ทำให้อาเจียน แต่มีกลิ่นหอม รับประทานน้อย เป็นยาแก้ปวดท้อง ธาตุเสีย บำรุงธาตุ แก้จุก ขับลมในลำไส้ ปรุงลง
ในยาขมต่างๆ ทำให้ระงับอาการปวดท้องได้ดี
- ในว่านน้ำมีสารชนิดหนึ่งเรียกว่า อาโกริน acorine มีรสขมและแอลคาลอยด์ คาลาไมท์ อยู่ในนี้เป็นยาแก้บิด เป็นยารักษาบิดของ
เด็ก (คือมูกเลือด) และหวัดลงคอ (หลอดลมอักเสบ) ได้อย่างดี เป็นยาขับเสมหะอย่างดี ชาวอินเดียใช้ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ เคี้ยว 2-3 นาที
แก้หวัดและเจ็บคอ และใช้ปรุงกับยาระบายเพื่อเป็นยาธาตุด้วยในตัว
- เป็นยาเบื่อแมลงต่างๆ เช่น แมลงวัน
- เป็นยาแก้เส้นกระตุก แก้หืด ขับเสมหะ แก้ปวดศีรษะ แก้ Hysteria และ Neuralgia แก้ปวดกล้ามและข้อ แก้โรคผิวหนัง
• เหง้า – ใช้ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้โรคผิวหนัง เป็นยาหอม
• น้ำมันหอมระเหยจากต้น

– แก้ชัก เป็นยาขมหอม ขับแก๊สในท้อง ทำให้เจริญอาหาร ช่วยการย่อย

วิธีใช้และปริมาณที่ใช้ :
บำรุงธาตุ ใช้เหง้าสด 9-12 กรัม หรือแห้ง 3-6 กรัม ชงด้วยน้ำร้อน 2 ถ้วยแก้ว ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว ก่อนอาหารเย็น ติดต่อกันจน
กว่าธาตุจะปกติ

แก้ปวดท้องและจุกแน่น ใช้รากว่านน้ำ หนัก 60 กรัม โขลกให้ละเอียด ชงลงในน้ำเดือด 420 ซีซี. รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ
วันละ 3 ครั้ง

เป็นยาดูดพิษ แก้อาการอักเสบของหลอดลมและปอด

– ใช้รากฝนกับสุรา เจือน้ำเล็กน้อย ทาหน้าอกเด็ก

เป็นยาแก้ไอ ใช้ชิ้นเล็กๆ ของรากว่านน้ำแห้ง อมเป็นยาแก้ไอ มีกลิ่นหอมระเหยทางลมหายใจ

เป็นยาถอนพิษของสลอด และแก้โรคลงท้อง ปวดท้องของเด็ก

– ใช้รากว่านน้ำเผาจนเป็นถ่าน ทำผงรับประทานมื้อละ 0.5 ถึง 1.5 กรัม
ใช้ใบว่านน้ำสดตำละเอียดผสมน้ำสุมศีรษะแก้ปวดศีรษะได้
ตำพอกแก้ปวดกล้ามและข้อ ตำรวมกับชุมเห็ดเทศ แก้โรคผิวหนัง

เป็นยาขมหอม เจริญอาหาร ขับแก๊ส ช่วยย่อยอาหาร

ในน้ำมันหอมระเหยมีวัตถุขมชื่อ acorin และมีแป้งและแทนนินอยู่ด้วย ทำเป็นยาชง (1 ใน 10) รับประทาน 15-30 ซีซี. หรือทิงเจอร์
(1 ใน 5) รับประทาน 2-4 ซีซี. ขนาดใช้ 1-4 กรัม (ที่มา : www.samunprai.com)

การนำมาใช้ทางการเกษตร :
วิธีที่1 นำเหง้าของต้นว่านน้ำ มาบดละเอียด จำนวน 2 ขีด ผสมกัน้ำเปล่า 1 ปี๊บ ชทิ้งไว้ 1 วัน หรือ จะต้มนานประมาณ 40 นาที ทิ้งไว้ให้
เย็น แล้วนำไปฉีดพ่น ฆ่าแมลง ก่อนนำไปใช้ให้ผสมสารจับใบเข้าไปเล็กน้อย ฉีดพ่น ในแปลงพืช ทุกๆ 2 วัน

วิธีที่ 2 นำเหง้าว่านน้ำที่บด ละเอียด จำนวนครึ่งกิโลกรัม ผสมกับขมิ้นบด จำนวน ครึ่งกิโลกรัม เติมน้ำ 1 ปี๊บ แช่ทิ้งไว้นาน 2 วัน แล้ว
กรองเอาน้ำหมักที่ได้ ไปฉีดไล่แมลงวันในแปลงพืชผักและไม้ผล ทั้งยังเป็นการป้องกันหนอนกระทู้ผักเข้าทำลายพืชผักได้เป็นอย่างดี

วิธีที่ 3 นำเหง้าแห้งมาบดให้เป็นผง คลุกเคล้าให้เข้ากันกับเมล็ดพันธุ์พืชที่แห้งสนิท ในอัตราส่วน เมล็ดพันธุ์ 50 กิโลกรัม ต่อว่านน้ำ 1
กิโลกรัม สามารถ ป้องกันแมลง ในโรงเก็บได้

วิธีที่ 4 เป็นวิธีที่ใช้ในการ ป้องกันแมลงในโรงเก็บ ด้วยการใช้น้ำมันว่านน้ำ หรือชิ้นส่วนของเหง้า บดคลุกเคล้าให้เข้ากันกับเมล็ดพันธุ์พืช
เช่น เมล็ดถั่วเขียว เมล็ดถั่วเหลือง ที่ต้องการเก็บไว้ทำพันธุ์ในฤดูกาลถัดไป วิธีนี้สามารถป้องกันแมลงศัตรูในโรงเก็บอย่างได้ผลดี


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 03/04/2011 8:26 am, แก้ไขทั้งหมด 5 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 06/03/2011 8:13 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สารภี


กำจัด เพลี้ยอ่อน หนอนผีเสื้อกะหล่ำ หนอนใยผัก หนอนแตงเทศ ด้วงงวงข้าว และ แมลงในบ้าน(แมลงสาบ แมลงวัน มด) เมล็ดแก่ของสารภี
มีคุณสมบัติในการฆ่าแมลงได้เป็นอย่างดี ส่วนในใบ เปลือก และ ลำ ต้น มีฤทธิ์ในการกำจัดแมลงได้เช่นกัน แต่จะมีฤทธิ์น้อยกว่าการใช้เมล็ด
เป็นพิษทางการสัมผัสและทางกระเพาะอาหาร

ชื่ออื่น :
สร้อยภี (ภาคใต้) ทรพี (จันทบุรี) สารภีแนน (เชียงใหม่)








ลักษณะทั่วไป :
ต้นสารภีเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 12-20 เมตร เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ลำต้นตรง ขรุขระเล็กน้อย
เปลือกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ ผิวเปลือกมีสีน้ำตาล แตกกิ่งแน่น ปลายกิ่งมักห้อยลงลำต้นและกิ่งมียางสีเหลืองหรือขาว ใบรูปไข่ ปลายมนกว้าง
บางทีปลายใบเว้าลงเล็กน้อย ใบแตกออกเป็นคู่ตรงข้ามกันที่บริเวณกิ่ง โคนใบสอบเรียวแหลมถึงก้านใบ เนื้อใบหนาเกลี้ยงสีเขียว ขนาด
ความกว้างของใบประมาณ 5-8 เซนติเมตร ยาวประมาณ 9-12 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อเดี่ยว ตามกิ่งมีกลีบดอก 5 กลีบ มีสีขาว
กลิ่นหอม ตรงกลางดอกมีเกสรตัวผู้เส้นเล็ก ๆ เป็นวง มีสีเหลือง ขนาดดอกกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ผลกลมเป็นรูปกระปุกเล็ก
ผิวเรียบสีเขียว เมื่อสุกมีสีเหลือง เนื้อในมีรสหวาน ขนาดผลยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร

นิยมปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณอาคารบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 50 x 50 x 50 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน
อัตรา 1 : 3 ผสมดินปลูก ถ้าปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านหรืออาคารควรปลูกให้มีระยะห่างที่เหมาะสมเพราะ สารภีเป็นไม้ที่มีทรงพุ่มโต
พอสมควร ต้องการแสงแดดอ่อน หรือปานกลาง ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ชอบดินร่วนซุย มีความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์โดยการ
เพาะเมล็ดและการตอนกิ่ง ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรู เพราะมีความทนทานสภาพธรรมชาติได้ดี

แหล่งที่พบ :
มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบ และ นิยมนำมาปลูกตามสวนสาธารณธ หรือ บริเวณวัด

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ :
ดอก

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
ดอกที่เริ่มบานช่วยขับลม บำรุงหัวใจ ปรุงเป็นยาแก้ร้อนใน เข้ายาลม บำรุงปอด

** ดอกสารภีเป็นเครื่องยาบำรุงหัวใจชนิดหนึ่ง ที่ทำให้ร่างกายเกิดอารมณ์เยือกเย็นอ่อนหวาน ดังนั้นจึงทำให้ชีวิตมีอายุที่ยืนยาวได้เช่นกัน (www.maipradubonline.com)

สารสำคัญ :
ดอกสารภี มีสาร fravonoid ชื่อ itexin และ สารประกอบอื่นๆ เช่น sitosterol, stigmasterol, campesterol และ สารจำพวก
4-phynyl coumarins อีก 2 ชนิด

การนำมาใช้ทางการเกษตร :
วิธีที่ 1 นำเมล็ดแก่บดเป็นผงแล้วนำมา พ่นบนกะหล่ำปลี เพื่อป้องกันหนอนใยผัก โดยใช้ในอัตรา 8-9 กรัมต่อต้น การพ่นควรทำในขระ
ที่ยังีน้ำค้างเกาะอยู่บนต้น เพราะจะทำให้ผงยาเกาะติดบนต้นกะหล่ำปลีได้ดีขึ้น

วิธีที่ 2 ใช้เมล็ดแก่บดเป็นผงจำนวน 1 กิโลกรัม ละลายในน้ำสะอาด 20 ลิตร คนให้เข้ากันแล้วผสมน้ำสบู่เป็นสารจับใบก่อนนำไปใช้ฉีดพ่น
ในแปลงผัก

วิธีที่ 3 นำเมล็ดแก่บดเป็นผง อัตรา 300 กรัม แช่ในน้ำมันก๊าด 1 ลิตร ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วกรองเอาน้ำสารละลายที่ได้ไปฉีดพ่นกำจัดแมลงสาบ
แมลงวัน และ มด ภายในบ้านเรือน

*************************************************************************************


น้อยหน่า

กำจัด เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยหอย หนอนกระทู้ หนอนใยผัก ด้วงเต่าทอง แมลงวันทอง ตั๊กแตน และ มวนชนิด
ต่างๆ


น้อยหน่ามีความเป็นพิษทางการสัมผัส และทางกระเพาะอาหาร ใช้ฆ่าแมลง และกำจัดแมลงได้หลายชนิด โดยเฉพาะ เพลี้ยอ่อน
เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยกระโดสีน้ำตาล เพลี้ย หอย หนอนกระทู้ หนอนใยผัก ด้วงเต่าทอง แมลงวันทอง ตั๊กแตน และ มวนต่าง ๆ


ชื่อพื้นเมือง :
เหนือ นอแน่ มะแน่, ตะวันออกเฉียงเหนือ บักเขียบ. ปัตตานี ลาหนัง, เขมร เตียบ

ลักษณะทั่วไป :
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 8 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นก้านเล็กๆ มีผิวเรียบสีเทาอมน้ำตาลใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับตามข้อต้น

ใบ เดี่ยว ใบออกสลับกัน สีของใบเขียวอ่อน รูปใบยาวรี
โคนและปลายใบแหลม แผ่นใบบาง
ดอก เดี่ยว ออกตามซอกใบ ห้อยลง สีเหลืองอมเขียว กลีบดอกหนา รูปหอก มี 3 กลีบ
ผล ขนาดใหญ่ เป็นผลชนิด aggregate ผิวผลเขียวอ่อน และแข็ง เมื่อลูกผิวผลสีเหลืองอมเทาขาว ๆ นิ่ม ผิวผลขระขระเป็นร่อง ๆ เมล็ดสี
ขาวอมน้ำตาล มีเนื้อสีขาวค่อนข้างแข็งหุ้ม เมือผลสุก เมล็ดเปลี่ยนสภาพเป็นสีดำ ผิวมัน เนื้อที่หุ้มนิ่ม และมีรสหอมหวาน

ส่วนที่ใช้ :
ใบสด เนื้อในสีขาวของเมล็ดแก่ ผลสุก

การขยายพันธุ์ :
โดยการเพาะเมล็ด ติดตา เสียบยอด

แหล่งที่พบ :
เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ










สารที่สำคัญ :
ในใบและเมล็ดมีสารอัลคาลอยด์ ชื่อ anonaine, 1-benzyl-isoquinoline, bisbenzl-isoquinoline ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัด
แมลง

เมล็ด มีสารที่เป็นพิษทางประสาทสัมผัสและทางกระเพาะอาหารของแมลง สามารถใช้เป็นสารฆ่าหรือขับไล่แมลง ซึ่งสารพิษนั้นจะเข้าไป
ขัดขวางการทำงาของกระเพาะอาการของแมลง และออกฤทธิ์กับแมลงหลายชนิด เช่น เพลี้ยอ่อน หนอนใยผัก เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
เพลี้ยจักจั่นสีเขียว เพลี้ยหอย ตั๊กแตน และมวนชนิดต่างๆ

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
ใบสด
- ใช้ใบสด 1 กำมือ (ประมาณ 15 กรัม) ตำให้ละเอียดผสมกับน้ำมันมะพร้าว ขยี้ให้ทั่วศีรษะใช้ผ้าคลุมโพกไว้ 2 ชั่วโมง แล้ว ใช้หวีสาง
เหาออก สระผมให้สะอาด
- ใช้ใบ 10–12 ใบ หรือเมล็ด 10–12 เมล็ด ที่กระเทาะเอาแต่เนื้อ ตำให้ละเอียด เติมน้ำมันพืช ใช้อัตราส่วน 1/2 ทาชะโลมบนเส้นผม
ทิ้งไว้ 1/2–1 ชม. ขณะทายาให้ผ้าโพกกันน้ำยาไหลเข้าตา จากนั้นสระออกให้สะอาด ทำติดต่อกัน 2–3 วัน วันละหลาย ๆ ครั้ง ตัวจะ
ตาย ไข่จะฝ่อ

** ข้อควรระวัง **
• การใช้สมุนไพรอย่าใช้มาก โดยเฉพาะเมล็ดจะมีฤทธ์แรงกว่าใบ
• สมุนไพรใช้มากน้อยกว่ากำหนดได้เล็กน้อย ถ้าผมยาวหรือสั้น
• อย่าให้น้ำยาเข้าตา ตาจะอักเสบ
• อย่าชะโลมยาไว้เกิน 1 ชม.
• ต้องสระออกให้หมด

การนำมาใช้ทางการเกษตร :
วิธีที่ 1. การใช้เมล็ด นำเมล็ดน้อยหน่า แห้ง 1 กก. ตำให้ละเอียด แล้วแช่น้ำ 10 ลิตร นาน 12-24 ชม. แล้วกรองเอาแต่น้ำมาใช้ประโยชน์
ก่อนนำไปใช้ควรผสมสารจับใบ เช่น น้ำสบู่ หรือ ผงซักฟอก ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วฉีดพ่นทุก ๆ 6-10 วัน เวลา เช้าและเย็น

วิธีที่ 2. การใช้ใบ ใช้ใบสด 2 กก. ตำให้ละเอียด แช่ในน้ำ 10 ลิตร นาน 12–24 แล้วกรองเอาน้ำมาใช้ประโยชน์ ก่อนนำไปใช้ให้ผสม
ควรผสมสารจับใบ เช่น น้ำสบู่ หรือ ผงซักฟอก ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ฉีดพ่นทุก 610 วันตอนเย็น

** นอกจากน้อยหน่าแล้ว น้อยโหน่งซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกันก็ใช้ได้ดีเช่นกัน


***********************************************************************************


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 03/04/2011 9:07 am, แก้ไขทั้งหมด 3 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 06/03/2011 6:12 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ดีปลี

กำจัด แมลงศัตรูในยุ้งข้าว ด้วงมอดข้าว หนอนใยผัก หนอนกระทู้ผักน้ำมัน จากผลแก่ของดีปลีมีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัด
แมลงศัตรูพืชได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ แมลงศัตรูข้าวในยุ้งข้าว ด้วงมอดข้าว หนอนใยฟัก หนอนกระทู้ผัก

ชื่อท้องถิ่น ; ประดงข้อ พญาไฟ(ไทย) ดีปลีเชือก(ใต้)








ลักษณะทั่วไป :
ดีปลีเป็นไม้เลื้อย มีรากออกตามข้อสำหรับเกาะและพาดพันสิ่งอื่นได้ เถาเป็นไม้เนื้อแข็งมีข้อโป่งนูน ส่วนของลำต้นค่อนข้างกลมและ
เรียบ แตกกิ่งก้านสาขามาก

ใบ – เป็นใบเดี่ยว ออกแบบสลับ ตัวใบคล้ายรูปไข่ขอบขนาน หรือรูปไข่เรียว ปลายใบแหลมโคนใบมักมนหรือแหลม เนื้อโคนใบสอง
ข้างไม่เท่ากันดูเบี้ยวๆ ใบหนาและมันคล้ายหนัง

ดอก – เป้นช่อทรงกระบอก ดอกจะตั้งขึ้น คล้ายคลึงกับดอกชะพลู แต่จะบาวกว่า ดอกออกตรงส่วนยอดของเถา กรือ ตามง่ามใบ
ดอกกลมนาวประมาณ 1 นิ้ว ดอกอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะกลายเป็นสีส้ม

ผล – มีขนาดเล็กกลม ฝังตัวแน่นอยู่กับแกนช่อดอกที่อวบน้ำ เมื่ออ่อนสีเขียว แก่จัดเปลี่ยนเป็นสีแดง มีกลิ่นฉุนจัด

การขยายพันธุ์ :
ด้วยวิธีปักชำเถา

ส่วนที่นำไปใช้ประโยชน์ :
ผล ราก เถา

สารสำคัญ :
ผล แก่มีอัลคาลอยด์ piperine 6 % chavicine และ น้ำมันหอมระเหย 1 % ซึ่งมีฤทธิ์ ขับลม บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้อง
เสีย ผลที่ยังมีสีเขียวอยู่เป็นระยะที่มีน้ำมันหอมระเหยมากที่สุด

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
ผล ใช้ขับระดู แก้ท้องร่วง ขับลมในลำไส้ แก้หืด แก้ไอ บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร แก้หลอดลมอักเสบ แก้โรคนอนไม่หลับ แก้ปวด
กล้ามเนื้อ

- ใช้ดีปลี 2 ผล ฝนกับน้ำมะนาวและแทรกเกลือ 1–2 เม็ด ใช้ดื่มเป็นยาขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ท้องร่วง ขับเสมหะ

เถา ใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน ปวดท้อง

ราก เป็นยาแก้เส้นอัมพฤกษ์ อัมพาต และ รักษาโคลำไส้ใหญ่อักเสบ

การนำมาใช้ทางการเกษตร :
วิธีใช้ นำผลดีปลีแห้ง หนักประมาณ 0.5 กิโลกรัม ไปอบในอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส แล้วนำไปแช่ ในแอลกอฮอล์ 1.5 ลิตร
จากนั้นนำไปปั่นให้ละเอียด แล้วหมักค้างคืนไว้ 1 คืน ก่อนนำไปใช้ให้กรองกากออก แล้วนำน้ำที่ได้ไปผมสารจับใบก่อนฉีด
พ่นในแปลงพืช


*********************************************************************************


บอระเพ็ด


กำจัด เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยจักจั่น หนอนกอ โรคข้าวตายพราย โรคยอดข้าวเหี่ยว โรคข้าวลีบ บอระเพ็ด มีรสขม สามารถใช้
ได้ดีกับนาข้าว เมื่อดูดซึมเข้าไปในพืชทำให้แมลงไม่มาทำลาย รักษา โรคยอดข้าวเหี่ยว โรคข้าวลีบ และ โรคข้าวตายพราย ได้เป็น
อย่างดี

ชื่อท้องถิ่น : เจตมูล (ใต้) จุงจะลิง (เหนือ) เครือเขาฮอ (อีสาน)









ลักษณะทั่วไป :
บอระเพ็ดเป็นพันธุ์ไม้เถาเลื้อยเนื้ออ่อน แต่ถ้าอายุมากเนื้อของลำต้นอาจแข็งได้ เถาอ่อนผิวเรียบสีเขียว เถาแก่สีน้ำตาลอมเขียว ผิวขรุ
ขระ เป็นปุ่มๆ เถากลมโตขนาดนิ้วมือ ประมาณ 1-1.5 ซม. ยางมีรสขมจัด ขึ้นเกาะต้นไม้อื่นมักจะมีรากอากาศคล้ายเชือกเส้นเล็กๆ
ห้อยลงมาเป็นสาย ใบเดี่ยวเป็นแบบสลับใบเป็นรูปไข่ป้อม โคนใบหยักเว้าลึกเป็นรูปหัวใจ โดยปกติปลายใบจะแหลม มีเส้นใบ 5-7
เส้นที่เกิดจากฐานใบขอบทั้งหมด ขอบใบเรียบขนาดกว้าง 3.5-10 ซม. ยาว 6-13 ซม. แยกต้นตัวผู้ ตัวเมีย ดอกออกเป็นช่อตาม
กิ่งแก่บริเวณซอกใบหรือปลายกิ่งดอกขนาดเล็กสีเหลืองอมเขียว แดงอมชมพูเขียวอ่อนเหลืองอ่อน บอระเพ็ดมีลักษณะคล้ายชิงช้าชาลี
มาก ต่างกันที่เถามีขนาดใหญ่กว่า มีปุ่มมากกว่ามีรสขมกว่าและไม่มีปุ่มใกล้ฐานใบ

ส่วนที่ใช้ขยายพันธุ์ :
เมล็ด เถาแก่

ส่วนที่ใช้ประโยชน์ :
เถา

สารสำคัญ :
มีสารรสขมชื่อ picroetin นอกจากนี้ยังมีสารจำพวก diterpenoid ชื่อ tinosporan ซึ่งใกล้เคียงกับ columbin ที่สกัด
ได้จากเถาและราก นอกจากนี้ยังพบสารประเภท amine 2 ชนิด คือ

- N-trans-feruloyl tyramine N-cis-feruloyl tyramine และ
- phenolic glucoside ชื่อ tinoluberide

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
++ ใช้เถาสดหั่นครึ่งแก้ว ดองเหล้าดื่มวันละ 2- 4 ช้อนชา ก่อนอาหาร เช้า–เย็น เป็นยาเจริญอาหารบำรุงโลหิต แก้ตานขโฒย
แก้ไข้ ลดความร้อน

++ เถาโตเต็มที่ตากแห้งบดเป็นผงชงน้ำร้อนดื่ม 1 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง เช้า–เย็น รักษาโรคเบาหวาน

ลำต้น และ ใบ น้ำที่สกัดจากลำต้นและใบลดน้ำตาลในกระแสเลือด

++ ลำต้นทำเป็นยาชงดื่มขับพยาธิ ทำให้อาเจียน โดยใช้ทั้งต้นต้มเอาน้ำมาดื่ม

การนำมาใช้ทางการเกษตร :
วิธีที่ 1. นำเถา 1 กิโลกรัมมาบด หรือทุบแช่น้ำ 1 ปี๊บ ทิ้งไว้ 1 คืน
นำน้ำหมักมาฉีดพ่นฆ่าแมลงได้

วิธีที่ 2. ใช้เถาบอระเพ็ด 5 กก. สับเป็นชิ้นเล็กๆ ทุบให้แหลก แช่น้ำ 1 ปี๊บ แช่ทิ้งไว้
2 ชั่วโมงแล้วเอาน้ำไปฉีดในแปลงเพาะกล้า

วิธีที่ 3. ใช้เถาบอระเพ็ด 1 กก. สับหว่านปนในแปลงเพาะกล้าขนาด 4 เมตร

วิธีที่ 4. ใช้เถาบอระเพ็ดตัดเป็นท่อนๆ ขนาด 5 นิ้ว ปริมาณ 10 กก. หว่านในนาข้าว พื้นที่ 1 ไร่ หลังปักดำหรือหว่านข้าวแล้ว 7 วัน
และทำอีกครั้งหลังข้าวอายุ 2 เดือน ใช้ควบคุมหนอนกอ หนอนกระทู้ หนอนกระทู้และ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้ดี


**********************************************************************************


ลางสาด


กำจัด หนอนหลอดหอม และ แมลงในแปลงผัก ลางสาดจะมีรสขมอยู่ที่เมล็ด ซึ่งมีสาร Acid alkaloid ที่มีความเป็นพิษต่อ แมลง
และ หนอนชนิดต่างๆในแปลงผัก สามารถนำไปใช้ควบคุมและกำจัดได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ หนอนหลอดหอม







ลักษณะทั่วไป :
ลางสาดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ใบเป็นใบรวม มีใบย่อยเป็นแบบขนนกออกสลับกัน ดอกออกเป็นพวงสีเหลือง ผลสีเหลืองอ่อนรูปร่าง
กลมหรือรูปไข่ เปลือกผลบางมีขนนิ่ม มียางสีขาว ผลออกตามลำต้นหรือกิ่งที่แก่ เนื้อหุ้มเมล็ด ลักษณะใส ผลหนึ่งมีประมาณ 5 เมล็ด

การขยายพันธุ์ :
ใช้เมล็ดหรือกิ่งตอนปลูก

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
ใบ แก้บิด
เมล็ด ขับพยาธิ
เปลือกของผล สดหรือแห้ง 10 ผล หั่นคั่วชงน้ำดื่ม กินครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 4-5 ครั้งแก้ท้องร่วง ท้องเดิน หากนำเปลือกมาเผาเป็น
ควันจะขับไล่ยุงได้

การนำไปใช้ทางการเกษตร :
วิธีใช้นำเมล็ดลางสาด 0.5 กิโลกรัม บดให้ละเอียด แล้วนำมาผสมกับน้ำ 20 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นกรองเอาแต่น้ำผสมสารจับ
ใบ ไปฉีดพ่นตามแปลงผักที่พบการระบาดของหนอนกระทู้หอม และ หนอนผีเสื้อชนิดอื่นๆ


**************************************************************************************


ละหุ่ง


ป้องกันกำจัด ปลวก แมงกะชอน ไส้เดือนฝอย

ละหุ่ง เป็นพืชที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชได้เป็นอย่างดี เช่น แมงกะ ชอน หนู ปลวก ไส้เดือนฝอย เป็นต้น การ
นำเมล็ดละหุงมาใช้ในการกำจัดแมลงศัตรู พืชนั้น เหมาะที่จะนำมาใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชนั้น เหมาะที่จะนำมาใช้กำจัด แมลงศัตรูพืช
ในโรงเก็บ แต่ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช โดยการฉีดพ่น เพราะสารสกัดจากเมล็ดละหุงมีน้ำมันมากหากนำ
ไปฉีดพ่นในแปลงผักจะมีผลทำให้ใบผักไหม้ได้ เหมาะสำหรับป้องกันกำจัด ปลวก แมงกะชอน ไส้เดือน ฝอย หนู แมลงในโรงเก็บ

ชื่ออื่น :
มะโห่ง, มะโห่งหิน (ภาคเหนือ), ปี่มั้ว (จีน)










ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
เป็นพรรณไม้ล้มลุก ในประเทศไทยมีสองสายพันธุ์ คือ พันธุ์ละหุ่งขาว และ ละหุ่งแดง ละหุ่งขาวจะมีลำต้นและก้านใบเป็นสีเขียว ส่วน
ละหุ่งแดงจะมีลำต้นเป็นสีแดง

ใบ-เป็นใบเดี่ยว ลักษณะเป็นหยักแหลมคล้ายฝ่ามือ เป็นแผ่นกว้าง

ดอก – ออกเป็นช่อบริเวณส่วนยอดของลำต้น หรือ บริเวณง่ามใบ ดอกเป็นสีแดง

ผล - มี 3 พู และ มีหนาม ภายในผลจะมีเมล็ด เปลือกของเมล็ดจะเป็นจุดสีน้ำตาลอมเทา เนื้อในมีสีขาว

การขยายพันธุ์ :
โดยการใช้เมล็ด ขึ้นได้ดีในดินร่วนซุย

การแพร่กระจายพันธุ์ :
ไทย ลาว กัมพูชา อินเดีย จีน และ พม่า

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ :
เมล็ด ใบ และ ราก

สารสำคัญ :
มีโปรตีนประกอบ ด้วยglobulin,albumin,nucleoalbumin, glycoprotein และ ricid ซึ่งเป็น toxalbumin มีอัลคาลอยด์
ricinine นอกจากนี้เมล็ดยังมีสาร Ricin เป็นโปรตีน ที่มีพิษ เป็นพิษต่อคนและสัตว์เคี้ยวเอื้อง แต่ไม่เป็นพิษต่อสัตว์ปีก

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
ใบ ต้มรับประทาน ขับน้ำนม ขับเลือด ขับลม แก้ปวดท้อง และ ถ้าปิ้งไฟอ่อนๆ ประคบแก้ปวดช้ำบวมได้
ราก สุมไฟให้เป็นถ่าน แก้พิษไข้เซื่องซึม ไข้ที่มีพิษร้อน แก้เลือดลม และ ขับน้ำนม

การนำมาใช้ทางการเกษตร :
วิธีที่ 1 ปลูกต้นละหุ่งเป็นแนวรอบสวนจะ ช่วยป้องกันหรือขับไล่ศัตรูพืช เช่น แมงกะชอน ปลวก หนู หรือ ปลูกหมุนเวียนในไร่ เพื่อป้อง
กันกำจัดการแพร่ระบาดของไส้เดือนฝอย

วิธีที่ 2 นำเมล็ดละหุ่งบดให้ละเอียด แล้วคั้นเอาส่วนของน้ำมันมาคลุกเมล็ดถั่วเขียว สามารถยับยั้งการวางไข่ และการฟักไข่ของด้วง
ถั่วเขียวได้ 100 % และ สามารถเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ได้นานมากกว่า 6 เดือน โดยไม่มีศัตรูพืชรบกวนและน้ำมันละหุ่งจำนวน 5 ซีซี.
คลุกเมล็ดข้าวโพดหรือข้าวฟ่าง จำนวน 1 กิโลกรัม สามารถป้องกันการเข้ามาทำลายของด้วงงวงข้าว ด้วงงวงข้าวโพด มอดแป้ง
ผีเสื้อข้าวสารได้ผลดี


***************************************************************************************



ต้นรัก


กำจัด เพลี้ยอ่อน และ ตัวหนอนกินใบ ชนิดต่างๆ

ยางของต้นรักที่ได้จาก ใบ ดอก และ ผล จะเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ทั้งในคน และสัตว์ รวมทั้งแมลงและหนอนต่างๆ ด้วย
ซึ่งสามารถใช้ในการป้องกันกำจัดแมลงปะเภทเพลี้ยชนิดต่างๆ โดยเฉพาะ เพลี้ยอ่อน และ หนอนกัดกินใบ ได้







ลักษณะทั่วไป :
เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1.5–3 เมตร ทุกส่วนมียางขาวเหมือนน้ำนม ตามกิ่งมีขน
ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม รูปรีแกมขอบขนาน
ปลายแหลมโคนเว้า กว้าง 6– 8 ซ.ม. ยาว 10–14 ซ.ม. เนื้อใบหนา ใต้ใบมีขนนุ่ม ก้านสั้น

ดอก - มีสีขาวหรือสีม่วง ออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 2–3 ซม.
มีรยางค์เป็นคล้ายมงกุฎ 5 สันเกสรตัวผู้ 5 อัน ออกดอกตลอดปี

ผล - เป็นฝักคู่ กว้าง 3–4 ซม. ยาว 6–8 ซม. เมื่อแก่แตกได้ เมล็ดแบนสีน้ำตาล จำนวนมาก มีขนสีขาวเป็นกระจุกอยู่ที่ปลายด้านหนึ่ง

ถิ่นกำเนิด :
เอเซียกลาง อินเดีย

การขยายพันธุ์ :
ด้วยเมล็ด, ปักชำกิ่ง

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ :
เปลือก และ ดอก

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
เปลือก - แก้บิด ช่วยขับเหงื่อ ขับเสมหะ ทำให้อาเจียน
ดอก - ช่วยย่อยอาหาร แก้ไอ แก้หวัด แก้หืดหอบ

** ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากส่วนต่างๆ ของต้น ถ้าถูกผิวหนังจะระคายเคือง เข้าตาจะทำให้อักเสบ และ ยังมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง

การนำไปใช้ทางการเกษตร :
วิธีใช้ นำใบ ดอก และ ผลสด มาตำหรือบดรวมกัน แล้วนำมาคั้นเอาเฉพาะน้ำเข้มข้นที่ได้จากต้นรัก คั้นได้เท่าไหร่ให้ตวงใส่ในภาชนะ
ตวง (อะไรก็ได้) ถือ เป็น น้ำคั้นต้นรัก 1 ส่วน จากนั้นนำไปผสมกับน้ำสะอาด 10 ส่วน ผสมสารจับใบแล้วนำไปฉีดพ่นในแปลงพืช
ผักได้ทันที จะสามารถป้องกันกำจัดแมลงประเภทเพลี้ยและหนอนกัดกินใบได้


*********************************************************************************


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 03/04/2011 9:14 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 06/03/2011 7:47 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ยี่โถ

กำจัด ด้วงแมลงปีกแข็ง มด และแมลงปากกัด ในเปลือกละเมล็ดของยี่โถจะมีสาร Glycocode neriodorin ซึ่งมีฤทธิ์ในการกำจัด
แมลงปากกัดทุกประเภท มดชนิดต่างๆ ด้วงและแมลงปีกแข็ง รวมทั้งหนอนกัดกิน ใบอีกหลายชนิด

ชื่อพื้นเมือง : ยี่โถฝรั่ง











ลักษณะทั่วไป :
เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูง 2-5 เมตร ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านจำนวนมากที่โคนต้น ทุกส่วนของ ต้นมียางใส กิ่งอ่อนมีสีเขียว เปลือก
สีน้ำตาลเข้ม ดอกมีหลายสี มีทั้งสีชมพู ขาว แดง เหลือง ให้ดอกตลอดทั้งปี เป็นไม้ที่มีการเจริญเติบโตเร็วขึ้นได้ในดินทั่วไปที่มีการ
ระบายน้ำดี มีความชื้นสูง เป็นไม้ชอบแดด ควรปลูกไว้กลางแจ้งหรือที่ๆ มีแสงแดดตลอดวัน

ใบ - เป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับรอบกิ่ง ใบรูปแถบหรือรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 3-4 เซนติเมตร ยาว 15-17 เซนติเมตร ปลายใบ
แหลม โคนใบสอบเรียว ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนา ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน เส้นกลางใบเด่นชัดทั้งสองด้าน

ดอก - สีชมพู ขาว แดง เหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกเชิงประกอบที่ปลายกิ่ง ช่อละ 20-50 ดอก มีทั้งดอกลาและดอกซ้อน
พันธุ์ดอกลามีหลายสี เช่น สีชมพู ขาว แดง เหลือง ส่วนพันธุ์ดอกซ้อนสีชมพูเข้ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกมีขนาดใหญ่กว่าพันธุ์ดอกลา
ช่อดอกบานเต็มที่กว้าง 8-12 เซนติเมตร

ผล - ผลแห้งเป็นฝัก เมื่อแก่แตกแนวเดียว เมล็ดแบน รูปรี มีขนละเอียดคลุม

การขยายพันธุ์ :
โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง

ถิ่นกำเนิด :
เมดิเตอร์เรเนียน เคบเวอดี ญี่ปุ่น ขึ้นได้ดีในดินที่ร่วนซุย น้ำพอควร ความชื้นสูง กลางแจ้ง แดดจัด

สารสำคัญ :
ทั้งต้นมีสาร คาร์ดิแอคกลัยโคไซค์ ชื่อ nerin, oleandrin, folinerin ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ง่วงนอน ชีพจร
เต้นช้า ม่านตาขยาย ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด ชัก และอาจตายได้

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
เปลือกและใบ - ใช้ตำผสมกับนำมันทาแก้แผลผุพอง
น้ำมันจากเปลือกและราก - ทาแก้โรคผิวหนัง กาก เกลื้อน และโรคเรื้อน

*** ใบเป็นพิษ มีสารที่มีฤทธิ์แรงมากในการใช้ปรุงยา ถ้าใช้เกินขนาดเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เป็นยาเบื่อหนูและฆ่าแมลง ส่วนราก
เปลือกและเมล็ด เป็นพิษต่อหัวใจ มีฤทธิ์กดการหายใจ ใบทำให้คลื่นไส้อาเจียน

การนำมาใช้ทางการเกษตร :
มีวิธีการใช้หลายวิธีด้วยกัน ดังนี้

วิธีที่ 1 ให้นำดอกและใบยี่โถจำนวน 1 กิดลกรัม มาบดให้ละเอียด นำไปแช่ในน้ำครึ่งปี๊บ นาน 2 วัน กรองเอากากออก แล้วนำน้ำ
กรองที่ได้ไปฉีดพ่นกำจัดแมลงและหนอนได้หลายชนิด

วิธีที่ 2 นำใบและเปลือกไม้ยี่โถ ไปแช่น้ำอย่างน้อย 30 นาที แล้วนำน้ำแช่ที่ได้ไปฉีดพ่นมด และแมลงที่รบกวนในสวนไม้ผล

วิธีที่ 3 นำใบยี่โถหั่นฝอย จำนวน 30 กรัม นำมาคลุกเคล้ากับเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลือง จำนวน 1 กิโลกรัม จะทำให้เก็บเมล็ดถั่วเหลือง
ได้นานถึง 6 เดือน โดยไม่มีแมลงศัตรูในโรงเก็บเข้ารบกวน


**********************************************************************************


ยูคาลิปตัส

กำจัดหนอนและแมลงวัน

ยูคาลิปตัส ใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช ประเภท ตัวหนอน และ แมลงวัน โดยใช้ในส่วนของ ใบ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกำจัด
แมลงได้เป็นอย่างดี







ทางพฤกษศาสตร์ :
ลักษณะทั่วไป :
ไม้ยืนต้นขนาดกลาง-ใหญ่ สูง 24-30 ม. และอาจสูงได้ถึง 50 ม. ไม่ผลัดใบ เป็นพันธุ์ไม้โตเร็ว ถ้าปลูกในประเทศไทยจะมีรูป
ทรงสูงเพรียว ลำต้นเปลาตรงมีกิ่งก้านน้อยรูปทรง (เรือนยอด) เป็นรูปทรงกรวยสูง (ปลูกในประเทศไทย)

ใบ - เดี่ยว เรียงเขียนสลับ ใบรูปหอกหรือรูปขอบขนานแกมหอก

ดอก - มีขนาดเล็ก ออกตามง่ามใบไกล้ปลายกิ่ง เป็นช่อขนาดเล็กสีขาว ไม่มีกลิ่น
ออกดอกเกือบตลอดปี

ผล - เป็นแบบแห้งแข็งแล้วแตกอ้า มีขนาดเล็ก ภายในมีเมล็ดขนาดเล็กมาก (น้อยกว่า 1 มม.)

ผลแก่ - เกือบตลอดปี

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
ใบ - ใบมีน้ำมันยูคาลิปตัส ใช้สูดดมแก้หวัดคัดจมูก ทาถูนวด แก้ปวด บวมช้ำ
ราก - ใช้รากอ่อนฝนกับน้ำหรือเคี้ยวกินสดๆ แก้ไอ

การนำมาใช้ทางการเกษตร :
วิธีใช้ :
นำใบยูคาลิปตัสมาบดให้ละเอียด แล้หมักกับน้ำ ในสัดส่วน ใบยูคาลิปตัส จำนวน 2 กิโลกรัม ต่อน้ำ 10 ลิตร หมักทิ้งไว้ 1 วัน แล้ว
กรองอาส่วนของสารละลาย ไปใช้ในการฉีดพ่น หรือ เทราดบริเวณที่มีหนอน หรือ แมลงวันเข้ามารบกวน


*********************************************************************************


ประทัดจีน

กำจัดเพลี้ยอ่อน หนอนผีเสื้อ และ แมลงในแปลงผัก

ประทัด จีนมีฤทธิ์ในการป้องกันกำจัด เพลี้ยอ่อน หนอนใยผัก หนอนผีเสื้อ หนอนชอน ใบ หนอนแตงเทศ ด้วงเต่า และ ไร ได้ผลดี
มีสารคลาสซิน เป็นสารออกฤทธิ์ พบ มากในส่วนของลำต้น ส่วนใบและ รากจะมีสารชนิดนี้อยู่น้อย ซึ่งสารคลาสซิ นจะออกฤทธิ์แบบ
สัมผัสตายและยับยั้งการทำงานของกระเพาะอาหาร หากแมลงกัดกิน เข้าไป หากนำมาใช้ในการฆ่าตัวอ่อนของแมลงดังกล่าวจะ
ให้ผลดีอย่างยิ่ง

ชื่อท้องถิ่น :
ประทัดใหญ่ ประทัด ประทัดทอง ประทัดจีน








ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1.5-3 เมตร เป็นพรรณไม้ล้มลุก จะแตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นพุ่ม ลำต้นเป็นข้อปล้อง ใบ เป็นใบประกอบ
แบบขนนก เรียวยาว เล็ก เรียงสลับตามข้อรอบๆ ลำต้น ใบสีเขียว เส้นใบสีแดง ดอกออกเป็นช่อสีแดงสด ที่ปลายกิ่ง ผล เป็นผลกลุ่ม
ผลย่อยรูปไข่กลับสีแดงคล้ำ

การขยายพันธุ์ :
โดยการแยกหน่อ

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ :
รากและเนื้อไม้

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
ราก ใช้เป็นยาแก้ไข้ ยาขมช่วยย่อยอาหารและเจริญอาหาร

วิธีการปรุงยา :
ต้มเนื้อไม้จำนวน 4 กรัม ด้วยน้ำเปล่า 4 แก้ว แล้วเคี่ยวให้เหลือ 2 แก้ว กินครั้งละ เศษ 1 ส่วน 4 แก้ว วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร
แก้ไข้มาลาเรีย


การนำมาใช้เพื่อการเกษตร :
วิธีที่ 1 นำต้นประทัดจีนสดมาหั่นเป็นชิ้น เล็ก ๆ จำนวน 1 ขีด ไปต้มกับน้ำเปล่า จำนวน 1 ลิตร จนเดือดนาน 30 นาที จากนั้นกรอง
เอาน้ำต้มที่ได้พักไว้ให้เย็น ผสมกับน้ำสบู่เหลวจำนวน 30 กรัม แล้วนำไปผสมกับน้ำสะอาดจำนวนสามเท่าตัวให้เจือจาง ก่อนนำไปใช้
ฉีดพ่นกำจัดแมลงในแปลงพืช

วิธีที่ 2 นำต้นประทัดจีนสดหั่นเป็นชิ้น เล็ก ๆ จำนวน 5 ขีด น้ำสบู่เหลว จำนวน 5 ขีด และ น้ำเปล่าจำนวน 20 ลิตร ผสมเข้าด้วยกัน
แช่ทิ้งไว้นาน 2 ชั่วโมง จากนั้นกรองเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำจำนวน 20 ลิตร ก่อนนำไปฉีดพ่น วิธีนี้จะได้สารละลายที่มีประสิทธิภาพ
ต่อการกำจัดแมลงประเภทปากดูดโดยตรง โดยเฉพาะเพลี้ยอ่อนและมดดำ

วิธีที่ 3 นำต้นประทัดจีนสดหั่นเป็นชิ้น เล็ก ๆ จำนวน 5 ขีด ต้มในน้ำเปล่า จำนวน 10 ลิตร ให้เดือดชั่วครู่ แล้วยกลงตั้งทิ้งไว้ 1 วัน
เมื่อครบกำหนด ให้กรองเอากากทิ้ง แล้วนำน้ำสกัดที่ได้ไปละลายกับน้ำสบู่เหลว จำนวน 2 ขีด และ น้ำอีก 3 ลิตร แล้วเติมน้ำเปล่า
เข้าไปเจือจางอีก ประมาณ 5 ปี๊บ ก่อนนำไปฉีดพ่นให้ทั่วแปลงพืช


*********************************************************************************


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 03/04/2011 9:17 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 06/03/2011 8:10 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ใบพลู


กำจัดปลวก
คุณลุกมัน สา และ สมาชิก*1677 จ.นราธิวาส ได้สอบถามการปราบตัวปลวกที่เข้ามาทำลายต้น ยางพารา ว่าเป็นวิธีการปราบ
อย่างไรและจะป้องกันอย่างไร



http://www.oknation.net/blog/halfMoon/2007/10/02/entry-1





ทีมงานร่วมด้วย ช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด 3 จว.ภาคใต้ ได้ประสานคุณต่วนมะ ต่วนกือจิ ปราชญ์ชาวบ้าน ต.เกาะจัน อ.มายอ
จ.ปัตตานี ตอบคำถามนี้ว่าสาเหตุที่ปลวกมากัดกินต้นยางพารานี้ มาจากเจ้าของสวนยางพารา ใช้ปุ๋ยเคมี เป็นประจำทำให้พื้นดิน
เหมาะสมในการทำรังปลวก จึงทำให้ปลวกมาอยู่และทำลายต้นยางพารา โดยปลวกจะกัดกินตั้งแต่รากไปจนถึงลำต้น

วิธีแก้ ให้นำน้ำใบพลู ไปราด จะทำให้ปลวกจะค่อยๆหายไป วิธีนี้คุณต่วนมะ เล่าว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด และให้บำรุงดินและต้นยาง
โดยปุ๋ยชีวภาพ พด.3 เพื่อจะไม่ปลวกระบาดไปต้นอื่นๆ


***********************************************************************************


น้ำเต้า


กำจัดเพลี้ยแป้ง
น้ำเต้าผลกลม มี คุณสมบัติทางยาที่ใช้ในการป้องกันกำจัดเชื้อราดำ กำจัดเพลี้ยแป้งในมะม่วง และถั่วฝักยาว และอื่นๆ โดยมีวิธี
การนำมาใช้งาน ดังนี้



สูตรที่1 : นำเอาเนื้อในผลแก่จัดของน้ำเต้าจำนวน 1 กิโลกรัมคั้นเอาเฉพาะน้ำกรองด้วยตาข่ายเขียวและผ้าขาวบางจากนั้นนำไป
ผสมกับ น้ำเปล่าจำนวน 5 ลิตร นำไปใช้งานในอัตราส่วน 1 ลิตรผสมกับน้ำเปล่า 200 ลิตรทำการฉีดพ่นเพื่อกำจัดราดำและ
เพลี้ยในถั่วฝักยาว

สูตรที่2 : นำน้ำผงซักฟอกที่ใช้ซัก ผ้า(น้ำแรก)จำนวน 10 ลิตรผสมกับน้ำเปล่า 200 ลิตรนำไปฉีดพ่นในช่วงที่มีอากาศเย็น
1-2 ครั้งสามารถกำจัดเพลี้ยแป้งได้

สูตรที่3 : ใช้น้ำผงซักฟอกจำนวน 100 ซี.ซี.ผสมกับน้ำเปล่า 200 ลิตรแล้วนำไปผสมกับน้ำของน้ำเต้าที่กรองแล้วจำนวน 1 ลิตร
สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดศัตรูพืชได้ดี

ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์ปราชญ์ชาวบ้านคุณพ่อทอง สิงห์สุขุม ต.หนองพอก อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด


*********************************************************************************


หัวกลอย


กำจัดเพลี้ยแป้ง
ในหัวกลอยจะมีสาร พิษที่ชื่อว่า “ไดออสคารีน” ทีเป็นพิษต่อสิ่งมีชีงวิตทุกชนิด จึงเป็นการ เหมาะที่จะหัวหลอยมาหมักเพื่อให้กำจัด
แมลงทางการเกษตร โดยเฉพาะการมาใช้ใน การกำจัดเพลี้ยแป้ง ซึ่งให้ผลดีชะงัด

การทำน้ำหมักจุลินทรีย์ชีวภาพจากหัวกลอย :
วิธีการทำ
- หัวกลอยดิบ จำนวน 10 กิโลกรัม สับเป็นชิ้นเล็กๆบางๆ ใส่ในถัง ใส่น้ำพอดีท่วมหัวกลอย หมักไว้เป็นเวลา 3 วัน จะได้น้ำหมัก
ชีวภาพจากกลอยเป็นสีขาวข้น

ประโยชน์และการนำไปใช้
-ใช้เพื่อขับไล่เพลี้ยแป้งโดยเฉพาะ และฉีดพ่นเมื่อพบเพลี้ยแป้งระบาดในแปลงพืช ในอัตราน้ำ หมักกลอย 1 ส่วน ผสมกับน้ำ
เปล่า 1 ส่วน

***ฉีดพ่นในตอนเย็นช่วงที่ไม่มีแดด


http://www.rakbankerd.com/kaset/view.php?id=476&s=tblplant








http://www.oknation.net/blog/chabatani/2010/12/20/entry-1


*************************************************************************************


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 03/04/2011 9:18 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 06/03/2011 8:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

กระทกรก


กำจัดด้วงถั่วเขียว
กระทกรกเป็นไม้ เถาเลื้อยเนื้ออ่อน อายุฤดูเดียวหรือหลายปีมีระบบรากแก้ว มีมือเกาะและ เลื้อยพันต้นไม้อื่นๆ หรืออิงอาศัย มือเกาะ
มีความยาวมากกว่า 5 มม. มีขนอ่อน สีขาวคลุมทั่วต้นผิวเครือสีเขียวมีขนปกคลุ

ชื่อไทย : กระทกรก

ชื่ออื่นๆ : ผักแคบฝรั่ง(เหนือ) เครือขนตาช้าง(ศีรสะเกศ) ตำลึง ผรั่ง(ชลบุรี) เถาเงาะ เถาสิงโต(ชัยนาท) กระโปรงทอง(ใต้) ละพุ
บาบี(มลายู-นราธิวาส-ปัตตานี) หญ้ารกช้าง(พังงา) ผักขี้หิด หญ้าถลกบาตร รก เล่งจู ก้วย เล้งทุงจู (จีน)








กระทกรก หรือ บักหิงห่าง หรือ เงาะป่า
http://navithaifruit.blogspot.com/2011/01/blog-post_21.html


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
เป็นไม้ล้มลุก
ลำต้น - แตกแขนงทอดราบไปตามพื้นดิน ปลายกิ่งมักชูตั้งขึ้น สูงได้ถึง 50 ซม. ลำต้นมีขนประปราย

ใบ - เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกัน รูปรีมองคล้ายใบตำลึง มีแผ่นใบเว้าเป็รน 3 แฉก สองแฉก ล่างอาจแหลมหรือมน ส่วนแฉกบนปลาย
แหลมเป็นรูปใบที่สวยงาม กว้างประมาณ 2.5 ซม. ยาวประมาณ 5.5 ซม. ปลายแหลม โคนสอบ ขอบจักเล็กน้อย มีจักเป็นรูปสาม
เหลี่ยมกลางแผ่นใบทั้ง 2 ข้าง เส้นแขนงใบข้างละ 1 เส้น ที่โคนใบเห็นไม่ชัดเจน อีกคู่หนึ่งเห็นชัด เหนือขึ้นไปมีเส้นแขนงใบข้างละ
4 เส้น

ก้านใบ - สั้นหรือไม่มี

ดอก - เป็นดอกเดี่ยว ออกเป็นช่อตามง่ามใบใกล้ยอด กว้างประมาณ 2 ซม. ก้านช่อดอกยาว 4-6 ซม. โคนช่อมีใบประดับรูปรีเรียง
ซ้อนกัน 2 ชั้น ชั้นละ 4-5 ใบ ชั้นนอกโคนติดกัน ชั้นในเรียงสลับกับชั้นนอก อยู่โดยรอบฐานดอก ที่ขอบใบประดับมีขน ใบประดับ
ชั้นนอกจะใหญ่ขึ้นเมื่อดอกโรย

ดอกวงนอก - เป็นดอกเพศเมีย มี 8-10 ดอก

ดอกวงใน - ซึ่งเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ขนาดเล็กกว่าและมีจำนวนมากกว่า กลีบดอกวงนอกสีเหลืองติดกันเป็นแผ่น กว้าง 3- 4 มม.
ยาว 0.8-1 ซม. โคนติดกันเป็นหลอดสั้นมาก ปลายแยกเป็น 3 แฉก ดอกวงในกลีบดอกสีเหลือง โคนกลีบติดกันเป็นหลอด
ปลายแยกเป็น 5 แฉก ที่ขอบแฉกมีขน รอบๆ ดอกวงในมีใบประดับบางใส รูปท้องเรือปลายแหลมแทรกอยู่

ผล - เกิดจากดอกวงนอก ค่อนข้างกลม ขนาด 2-4 ซม. รูปไข่กลับ กลีบเลี้ยงเจริญเป็นร่างแหคล้ายมีขนคลุมผล เมื่ออ่นมีสี
เขียว ผลแก่เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้ม เมื่อแก่จะแตกออกเป็นสามซีก ปลายยอดผลมีเยื่อสีขาว รูปถ้วย โคนที่ติดกัน
กับฐานเรียวแหลมเป็นสามเหลี่ยม มีเนื้อนุ่มสีขาวหุ้มและขรุขระ

เมล็ด - เล็ก สีดำ เป็นมัน รูปสามเหลี่ยมปลายแหลม ยาวประมาณ 4 มม. มีเนื้อหุ้มเมล็ด ลักษณะคล้ายเม็ดแมงลัก รสชาติเปรี้ยว
อมหวาน

ประโยชน์ของกระทกรก :
ด้านอาหาร :
ใช้ส่วนของยอดอ่อนทานกับน้ำพริกจะได้ รสชาติที่อร่อย ส่วนเมล็ดในผลแก่ใช้ทานสดได้ แก้กระหายน้ำ

ด้านการเกษตร :
เนื้องจากในต้นของกระทกรกนั้นมีสารพิษชื่อ Cyanpgenetic glycosides สามารถนรำมาประยุกต์ใช้ฆ่าและป้องกันแมลงศัตรู
พืชได้ โดยเฉพาะแมลงศัตรูถั่ว อย่างด้วงถั่วเขียว ที่สารพิษในกระทกรกจะไปยับยั้งการเกิดเป็นตัวของไข่แมลงด้วงถั่วเขียว

วิธีการใช้ :
โดยจะใช้ทั้งต้นตำคั้นน้ำแล้วผสมน้ำคั้นที่ได้กับน้ำในอัตราส่วน 1 ต่อ 20 ลิตร ฉีดพ่น หรือจะใช้ผสมกับสมุนไพรกำจัดแมลงชนิด
อื่น ก็จะย่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงได้เป็นอย่างดี

ฤดูกาลให้ผลผลิต :
ออกดอกออกผลตลอดปี

การขยายพันธุ์ :
ใช้ส่วนของเมล็ดหรือชำยอด


**********************************************************************************


พริกไทย

กำจัดแมลง
พริกไทย : มีรสเผ็ดร้อน เป็นสารที่เกิดอันตรายต่อสัตว์ขนาดเล็ก จึงสามารถป้องกันหนอนและแมลงศัตรูพืชได้แทบทุกชนิด





วิธีการนำพริกไทยมาใช้เป็นสารกำจัดแมลงศัตรูพืช :
นำเมล็ดพริกไทยมาตำคั้นเอาน้ำ หรือต้มเอาน้ำ หรือกลั่นเอาน้ำ เมื่อได้ความเข้มข้นแล้ว จึงนำไปผสมน้ำให้ได้ความเข้มข้นพอประมาณ
โดยใช้อัตราส่วน น้ำเปล่า 20 ลิตร ต่อน้ำสกัดสมุนไพร 1 ลิตร

*** วิธีการใช้อาจให้ไปกับระบบน้ำในช่วงเย็นและค่ำ(เท่านั้น) และใช้ซ้ำทุกๆ 2-3 วัน(การพิจารณาใช้ซ้ำนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนแมลง
ที่เข้ามาทำลายให้เกิดความเสียหายในแปลงพืช และการใช้สารสกัดจากสมุนไพรนั้นจะไม่ให้ผลทันทีทันใดเหมือนการใช้สารเคมี
จำต้องใช้ซ้ำให้บ่อยครั้งกว่าการใช้สารเคมี และสลับตัวยาสมุนไพรในการใช้กำจัดแมลง เพื่อป้องกันแมลงดื้อยา)


**********************************************************************************


บอระเพ็ด

กำจัดเพลี้ยแป้ง
เพลี้ยแป้งเป็น แมลงศัตรูพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากมีพืชอาหาร ที่หลากหลาย พบเข้าทำลาย พืชหลาก
ชนิดทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ผลและขยาย พันธุ์ได้เร็ว สามารถแพร่กระจายได้ตามลม และ มีมดเป็นพาหะ ทั้งยังสร้างความ เสีย
หายให้แก่พืชได้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเพลี้ยแป้งจะเข้าทำลายพืชบริเวณ ยอดและใบอ่อน อาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืช พืชที่พบเพลี้ย
แป้งเข้าทำลาย ยอด และใบจะหงิกงอ มีผลทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตเสียหายและลดลงได้…


http://www.herblpg.com/thai/node/35



http://www.sixscentsherb.com/frmProductList.aspx?pcid=10018&pcnm=%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%94


การกำจัดเพลี้ยแป้งนั้นมีหลายวิธีด้วยกัน และการใช้บอระเพ็ดมาทำเป็นสารสกัดก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเพลี้ย แป้งที่สามารถ
ใช้ได้ผลดีและปลอดภัยต่อผู้ใช้

สูตรการกำจัดเพลี้ยแป้งด้วยบอระเพ็ด :
ส่วนผสม
1. บอระเพ็ด
2. ยาฉุน (ใบยาสูบ)
3. น้ำยาล้างจาน(ใช้เป็นสารจับใบ)

วิธีทำสมุนไพรกำจัดเพลี้ยแป้ง :
1. นำบอระเพ็ดมาหั่นเป็นท่อน ยาวพอประมาณ จากนั้นนำไปให้แหลง(สังเกตุดูจากความหนืดเหนียวของเถาที่ถูกตำ)

2. นำบอระเพ็ดที่ตำแหลกแล้วไปหมักกับน้ำเปล่า ใช้อัตราส่วนบอระเพ็ด 1 กก. ต่อน้ำ 20 ลิตร หมักทิ้งไว้จนได้น้ำเมือกเหนียว
(ไม่จำกัดเวลา ให้สังเกตุดูว่าน้ำหมักที่ได้มีความเหนียวหนืดเมื่อไหร่ก็สามารถนำไปใช้ได้ เลย) เพื่อให้สารในบอระเพ็ดละลายออกมา

2. ผสมยาสูบลงไปในน้ำละลายบอระเพ็ดที่เตรียมได้ ประมาณ 1-2 กำมือ คนให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที

4. ก่อนนำน้ำหมักบอระเพ็ดที่เตรียมได้ไปใช้ ควรผสมกับน้ำยาล้างจาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจับติดตัวแมลงหรือพื้นที่ผิว
ของใบพืช และควรนำน้ำหมักที่ได้ไปผสมน้ำเปล่าเพื่อเจือจางความเข้มข้นของน้ำ สมุนไพร(กะความเข้มข้นพอประมาณ) ป้องกัน
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้กับพืชหากใช้ในปริมาณที่เข้มข้นมากเกิน ไป

***สารกำจัดแมลงศัตรูพืชที่สกัดได้จากสมุนไพรนั้นจะให้ผลดีที่สุด เมื่อใช้สด กล่าวคือ นำมาตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำหรือนำไปต้ม
กับน้ำให้ได้ความเข้มข้น และก่อนนำไปใช้กับพืช ควรทำการปสมน้ำสกัดที่ได้กับน้ำเปล่าก่อนทุกครั้ง โดยใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 20 ลิตร
การใช้สารนั้นจะใช้การฉีดพ่นหรือให้ไปกับระบบน้ำในตอนเย็นเท่านั้น และควรฉีดพ่นซ้ำทุก ๆ 2-3 วัน เพื่อให้เกิดผลดีสุด และไม่
ทำให้แมลงเกิดการดื้อยา

***การใช้สารที่ความเข้มข้นสูงเลยในทันที นอกจากจะทำให้พืชใบไหม้เสียหายได้แล้ว ยังทำให้แมลงเกิดการดื้อยาได้ง่ายอีกด้วย
หากการใช้ในครั้งแรกทำไม่ถูกหลักการ และคุมแมลงไม่อยู่ Good Tip :T_Anukanon


**********************************************************************************


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 03/04/2011 9:20 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 06/03/2011 9:19 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หนอนตายหยาก


ปราบหนอนแมลง

เป็นไม้เลื้อยที่มีรากใต้ดินจำนวนมาก มีลักษณะคล้ายกระสวยหรือทรง กระบอกอยู่กันเป็นพวงยาวได้ถึง 10–30 ซม. ใบเป็นใบเดี่ยว
อยู่ติดกับลำต้นแบบ ตรงข้ามออกสลับกัน ใบเป็นรูปหัวใจ ก้านใบยาว ฐานใบมน ปลายใบเรียวแหลม คล้าย ใบพลู เส้นใบออกในแนว
ขนานกับขอบใบ พืชจำพวกหนอนตายหยากพอถึงฤดูแล้งต้นจะ โทรมเหลือแต่เหง้าและรากไว้ใต้ดิน เมื่อเริ่มฤดูฝนใหม่จึงแตกใบขึ้นมา
ใหม่ พร้อมออกดอก ซึ่งมีลักษณะเป็นช่อสีขาวหรือม่วงอ่อน ผลค่อนข้างแข็งสีน้ำตาล ขนาดเล็ก

ชื่อพื้นเมือง : หญ้าหนอนตาย, (เหนือ); เปลือกมืนดิน, (แม่ฮ่องสอน); ตอสีเพาะเกล,(กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน)



ลักษณะทั่วไป :
ต้น - เป็นไม้เลื้อย ลำต้นออกใบเป็นลำต้นเรียบ สูงประมาณ 2–3 ฟุต ลำต้นเหนือดิน ตั้งตรงเองได้

ใบ - ใบเดี่ยวออกสลับกัน รูปใบคล้ายใบพลู ปลายใบแหลม เส้นใบเด่นชัด กว้างประมาณ 1–2 นิ้วยาว 3–5 นิ้ว

ดอก - เป็นดอก 3 กลีบ ออกตามซอกใบเป็นช่อ สีขาวน้ำตาล

ผล - สีน้ำตาลเป็นกระจุกตามซอกใบเมื่อแห้งจะไม่แตก และร่วงลงบนดิน หรือปลิวตามลม ประมาณ 2–3 มิลลิเมตร

เมล็ด - เมล็ดกลมรีสีน้ำตาล ประมาณ 1–2 เมล็ดต่อผล และเมล็ดมีขนาดเล็กมาก

การกระจายพันธุ์ : ทั่วไปทุกภูมิภาคของประเทศ

การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์โดยเมล็ด

ประโยชน์ : ใช้ป้องกันกำจัดเชื้อราและแบคทีเรียได้ดี และยังขับไล่แมลงต่างๆได้อีกด้วย

ส่วนที่ใช้ขยายพันธุ์ : เหง้า เมล็ด

ส่วนที่ใช้ประโยชน์ : ราก

สารสำคัญ : stemonine

การนำไปใช้กำจัดแมลง: ใช้รากประมาณ 1 กก. ตำละเอียดแล้วแช่ในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำ 1 ปี๊บ ทิ้งไว้ 1 คืนนำน้ำหมักมา
ฉีดพ่นเพื่อฆ่าแมลงและหนอนต่าง ๆ ได้ดี (นันทวัน บุญยะประภัศร .2541. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน . กรุงเทพฯ : บริษัทประ
ชาชน จำกัด. )

หนอนตายหยากพืชที่เรียกชื่อเหมือนกันแต่เป็นพืชต่างชนิดกัน”

หนอนตายหยาก :
เป็นพืชสมุนไพรที่ชาวบ้านรู้จักนำมาใช้ประโยชน์มานานแล้ว เช่น การฆ่าเห็บเหาในสัตว์ประเภทโคและกระบือ บางชนิดใช้ฆ่าหนอน
หรือใส่ในไหปลาร้าเพื่อกำจัดหนอนแมลงวันและแมลงศัตรูพืช จากการศึกษาและรวบรวมพันธุ์หนอนตายหยาก พบว่าชาวบ้านมีการ
เรียกชื่อพืชหนอนตายหยากเหมือนกันในแต่ละท้องถิ่น และมีประสิทธิภาพในการกำจัดหนอนได้เช่นเดียวกัน แต่เป็นพืชต่างชนิด
กันเมื่อตรวจสอบทางอนุกรมวิธาน กล่าวคือพืชที่ชาวบ้านเรียกว่าหนอนตายหยากนั้น มีความแตกต่างกันดังนี้

1. หนอนตายหยาก พืชในวงศ์ Stemonaceae เป็นพืชหัวที่นำส่วนของรากมาใช้ประโยชน์ พบได้ในป่าทั่วๆ ไปของประเทศจีน
ญี่ปุ่น อินโดจีน มาเลเซีย ลาว ไทย ฯลฯ สำหรับประเทศไทยพบหนอนตายหยากได้ทั่วทุกภาค และมีชื่อเรียกแตกต่างกันตามท้องถิ่น
เช่น พญาร้อยหัว กระเพียดหนู ต้นสามสิบกลีบ โป่งมดง่าม สลอดเชียงคำ ฯลฯ นอกจากนั้นหนอนตายหยากในประเทศไทยยังมีความ
หลากหลายในชนิด (species) เช่น Stemona tuberosa Lour, Stemona collinsae Craib, Stemona kerri, Stemona
berkilii, Stemona stercochin ฯลฯ

สรรพคุณของต้นหนอนตายหยาก :
ใช้เป็นตัวยาสมุนไพรรักษาโรคในคนได้หลากหลาย เช่น โรคผิวหนัง น้ำเหลืองเสีย ผื่นคันตามร่างกาย ฆ่าเชื้อโรคพยาธิภายใน มะเร็งตับ
ลดระดับน้ำตาลสำหรับโรคเบาหวาน รวมทั้งริดสีดวง ปวดฟัน ปวดเมื่อย นอกจากนี้ในประเทศจีนมีการนำรากหนอนตายหยาก Stemona
tuberosa Lour., Stemona sessilifolia (Miq), Stemona japonica (BJ) Miq มาใช้ในการรักษาอาการไอ โรควัณโรค
ฯลฯ โดยใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ แต่ก่อนที่จะทำเป็นยาก็มีขั้นตอนการทำลายพิษ เช่น นำรากมาล้างให้สะอาดแล้วลวกหรือนึ่งจน
กระทั่งไม่เห็นแกนสีขาวในราก ต้องตากแห้งก่อนนำไปปรุงเป็นตำรับยา โดยหั่นให้มีขนาดเล็ก หรือในบางตำราจะนำไปเชื่อมกับน้ำผึ้ง
ก่อนนำไปใช้

ใช้เป็นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช กำจัดแมลงศัตรูพืช เช่น หนอนกัดกินใบ และเพลี้ยอ่อน กำจัดเชื้อสาเหตุโรคพืช เช่น Rhizoctonia
solani และ Erwinia carotovora รวมทั้งการกำจัดลูกน้ำยุง (นันทวัน และอรนุช, 2543) สารออกฤทธิ์ที่ตรวจพบอยู่ในกลุ่ม
alkaloids ได้แก่ stemofoline และ 16,17-didehydro-16(E)-stemofoline สารนี้ตรวจพบในหนอนตายหยาก
ชนิด Stemona collinsae Craib (Jiwajinda และคณะ, 2001) ในปัจจุบันมีการขยายพันธุ์และปลูกเลี้ยงหนอนตายหยาก นำ
มาขายเป็นการค้า โดยนำรากมาสกัดด้วยน้ำหรือแอลกอฮอล์เพื่อใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืชในแปลง เกษตรกร

การขยายพันธุ์ :
หนอนตายหยากเป็นพืชที่นำส่วนของรากมาใช้ประโยชน์ แต่เวลาที่ชาวบ้านขุดขึ้นมาขายมักติดส่วนของเหง้าที่ใช้ขยายพันธุ์มาด้วย ราก
ที่เห็นเป็นกอใหญ่ๆ นั้น ต้องใช้เวลานานหลายปีจึงจะเจริญเติบโตได้ขนาดนั้น ประกอบกับหนอนตายหยากแต่ละสายพันธุ์มีการ
ติดฝักและติดเมล็ดได้มากน้อยแตก ต่างกัน ถ้าเรายังขุดหนอนตายหยากจากป่ามาใช้โดยไม่มีการขยายพันธุ์หรือปลูกเพิ่มเติม ก็มี
โอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการสูญพันธุ์ได้ง่าย วิธีการขยายพันธุ์สามารถทำได้ทั้งการเพาะเมล็ด การแบ่งเหง้า หรือการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

2. ขอบชะนางแดงและขอบชะนางขาว ซึ่งมักจะเรียกกันว่า หญ้าหนอนตาย หนอนตายหยาก หญ้ามูกมาย ตาสียายเก เปลือกมืนดิน
หนอนแดง หนอนขาว ฯลฯ เป็นพืชวงศ์ Urticaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pouzolzia pentandra Benn. เป็นไม้ล้มลุก
คล้ายหญ้า ลำต้นขนาดประมาณก้านไม้ขีด ใบเป็นใบเดี่ยว ทั้งนี้ขอบชะนางแดงมีใบสีม่วงอมแดง ส่วนขอบชะนางขาวมีใบสีเขียวอ่อนๆ
พืชทั้งสองชนิดมีขนเล็กน้อยบนต้นและแผ่นใบ ดอกมีขนาดเล็ก ออกเป็นกระจุกระหว่างซอกใบและกิ่ง

สรรพคุณ :
สามารถใช้ได้ทั้งต้น โดยนำต้นมาปิ้งไฟแล้วชงกับน้ำเดือด ใช้ขับพยาธิในเด็ก ช่วยดับพิษในกระดูกและในเส้นเอ็น เป็นยาขับระดูใน
สตรี ขับปัสสาวะ รักษาโรคหนอง หั่นเป็นชิ้นเอามาใส่ในไห ปลาร้าที่มีหนอน ทิ้งไว้สักพักหนอนจะตาย ต้นสดใช้เป็นยาฆ่าหนอนหรือ
แมลงในโคและกระบือ คือ สามารถทำให้หนอนตาย และรักษาแผลที่เน่า

การขยายพันธุ์ : ใช้วิธีการปักชำต้น

3. หนอนตายหยากใบผีเสื้อ เป็นพืชวงศ์ Leguminosae-Papilionoideae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Christia vespertilionis Bakh.
f. ใบมีลักษณะคล้ายใบชงโค หรือปีกคล้ายผีเสื้อ ชาวบ้านนำใบและลำต้นมาใส่ในไหปลาร้าเพื่อป้องกันหนอนแมลงวัน และมีการนำ
ไปใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืชในบางพื้นที่การขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด

จากการศึกษาตัวอย่างหนอนตายหยากที่เก็บได้จากแหล่งต่างๆ มาตรวจวิคราะห์หาสารออกฤทธิ์ พบว่า มีสาร stemofoline และ 16,
17-didehydro-16(E)-stemofoline (ภาพที่ 1) ซึ่งพบปริมาณสารนี้มากใน

หนอนตายหยาก วงศ์ Stemonaceae โดยเฉพาะหนอนตายหยากชนิด Stemona collinsae Craib (ภาพที่ 2) หนอน
ตายหยากใบผีเสื้อ ในวงศ์ Leguminosae-Papilionoideae ไม่พบสารชนิดนื้แต่พบสารอื่นที่ยังไม่ทราบชนิด (ภาพที่ 2) สำหรับ
ขอบชะนางอยู่ระหว่างเพิ่มปริมาณต้นเพื่อให้ได้ปริมาณตัวอย่างมากพอกับ การวิเคราะห์สารออกฤทธิ์ต่อไป(โดย มณฑา วงศ์มณีโรจน์,
สุรัตน์วดี จิวะจินดา, ศิริวรรณ บุรีคำ, และ รงรอง หอมหวล ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขต
กำแพงแสน จ.นครปฐม )

ใน บทความนี้ คณะผู้เขียนมีความประสงค์จะชี้ให้ผู้อ่านได้เห็นความแตกต่างและความเหมือน กันของพืชสมุนไพร “หนอนตายหยาก”
ที่กำลังเป็นพืชยอดนิยมและมีการใช้ประโยชน์มากขึ้นเป็นลำดับ และหวังว่าข้อมูลที่รวบรวมมานี้จะได้สร้างความเข้าใจและเป็นประโยชน์
แก่ผู้ อ่านและผู้สนใจต่อไป อย่างไรก็ตามคณะวิจัยยังมีการดำเนินการวิจัยต่อเนื่องเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์เพิ่มเติม




http://www.oursiam.in.th/webboard/view.php?code=817



http://www.navy22.com/smf/index.php?topic=18117.0


************************************************************************************


ตะไคร้หอม


กำจัดและขับไล่แมลง
เป็นพืชตะกูลหญ้า ชนิดหนึ่ง ลำต้นสีแดง ต้นยาวใบยาวกว่าตะไคร้กอมากดอกออกเป็นพวงเป็นช่อฝอยสี น้ำตาล แทงขึ้นจากกลางลำต้น
คล้ายดอกอ้อหรือแขม ใบและต้นมีกลิ่นหอมฉุน จัด (มีน้ำมันหอมละเหยอยู่ในส่วนของใบและลำต้น) เจริญได้ดีในดินที่มีความ อุดม
สมบูรณ์ค่อยข้างสูง และมีปริมาณน้ำฝนตลอดปีสูง 1,500-1,800 มิลลิเมตร




ลักษณะทั่วไป :
เป็นพรรณไม้ล้มลุก จำพวกกอ ลำต้นแตกขึ้นจากต้นใต้ดิน จะตั้งตรง และแตกเป็นกอ ที่โคนจะมีกาบใบซ้อนทับเป็นชั้นๆ เหมือนกับ
ตะไคร้บ้าน แต่สีของลำต้นหรือกาบใบจะมีสีแดง

ใบ - ยาวแคบ ก้านใบเป็นกาบซ้อนกันแน่น ใบบาง ขอบใบคมเหมือนฟันเลื่อย มีสีเขียว และ มีกิ่นหอมฉุน

ดอก - ออกเป็นช่อฝอย โดยชูก้านดอกยาวออกมาจากส่วนยอด ช่อดอกจะแยกออกเป้นแขนง ซึ่งแต่ละแขนงจะมีช่ออยู่ 4-5 ช่อ
มีช่อขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 2 ฟุต คล้ายกับดอกอ้อ

การขยายพันธุ์ : สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการแยกหน่อปลูก

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ : เหง้า และ ต้น

สารสำคัญ : น้ำมันหอมระเหย ประกอบด้วย d-cutronellal และ geraniol ซึ่งมีคุณสมบัติในการแต่งกลิ่นน้ำหอมและขับไล่แมลง

ประโยชน์ : ด้านเกษตร ใช้ทำยา ป้องกันกำจัดแมลง และล่อแมลงวันตัวผู้

สรรพคุณทางยาสมุนไพร :
เหง้า - เป็นยาบีบมดลูก ขับประจำเดือน ขับปัสสาวะ ขับระดูขาว หรือ ทำเป็นยาประคบ

วิธีใช้
- ใช้เหง้าฝานเป็นแว่นบางๆ คั่วไฟอ่อนๆ พอเหลือง ใช้ครั้งละ 1 หยิบมือชงกับน้ำ 1 ถ้วยชา รินเฉพาะ ส่วนใสดื่มจนหมดถ้วยวันละ 3 ครั้ง
- ใช้ต้นสด วันละ 1 กำมือ (หนัก 40-60 กรัม) ต้มกับน้ำแบ่งดื่มวันละ 3 ครั้ง ๆ ละ ถ้วยชาก่อนอาหาร

ต้น - เป็นยาแก้ปากแตกระแหง แก้ริดสีดวงในปาก ขับลมในลำไส้ แก้แน่น ขับโลหิต ขับระดู หรือ ถ้าผู้ที่ท้องทานเข้าไปจะทำให้
แท้งได้ แก้แผลในปาก แก้ตานซางในลิ้นและปาก บำรุงไฟธาตุ แก้อาเจียน




วิธีใช้ตะไคร้หอมกำจัดแมลง :
วิธีที่ 1 : น้ำมันของต้นตะไคร้หอม ใช้ผสมกับน้ำมันอื่นๆ ฉีดพ่นไล่แมลงศัตรูพืช

วิธีที่ 2 : ใช้ใบสดที่แก่จัดผสมกับหัวข่าสด และใบสะเดาสด จากนั้นนำไปบดให้ละเอียด ใช้ในอัตรา 4:4:4 กก. แช่ในน้ำ 2 ปี๊บ
หมักทิ้งไว้ 1 คืน กรองเอาเฉพาะน้ำมาเป็นหัวเชื้อ เมื่อจะนำมาใช้ ให้ใช้หัวเชื้อที่หมักได้ ในอัตรา 10 ช้อนแกง ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ฉีด
พ่นกำจัดแมลงในพืชผัก ข้าว และ ไม้ผลบางชนิด เช่น ส้มเขียวหวาน ได้ผลดี

วิธีที่ 3 : นำใบแห้ง มาใช้รองพื้นยุ้งฉาง จะช่วยลดการเข้าทำลายของมอดข้าวเปลือก หรือรองไว้ในรังไก่ จะช่วยทำให้ไม่มีไรไก่
มารบกวน

วิธีที่ 4 : โดยปลูกตะไคร้หอมใต้ต้นไม้ผล หรือในแปลงผักเป็นระยะ ๆ เมื่อถึงช่วงมืดค่ำก็ใช้ ไม้ฟาดที่ต้นตะไคร้หอม เพื่อให้กลิ่นน้ำมัน
หอมระเหยออกมา กลิ่นจะฟุ้งกระจายไป ในอากาศ ช่วยขับไล่ผีเสื้อกลางคืน ไม่ให้มาวางไข่

วิธีที่ 5 : สูตรกำจัดหนอน นำเหง้าและใบตะไคร้หอมมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วบดให้ละเอียดประมาณ 5 ขีด นำไปผสมกับน้ำ 10 ลิตร
แช่ทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำไปใช้ฉีดพ่นกำจัดหนอนที่รบกวนในแปลงพืช ก่อนนำไปใช้ให้ผสกับสารจับใบ
เช่น สบู่ แชมพู เป็นต้น


************************************************************************************


ขอบชะนาง


ฤทธิ์เบื่อเมาฆ่าแมลง

คนอยู่ในชนบทมักคุ้นเคยกับ “ขอบชะนาง” ได้ดี มีอยู่ 2 ชนิดคือ “ขอบชะนาง แดง” และ “ขอบชะนางขาว” เพราะคนเก่าคนแก่
มักจะเอาต้นและใบมาหั่นเป็นชิ้น เล็ก ไปโรยปากไหปลาร้าหนอนจะตายหมด หรือใช้ฆ่าแมลงอย่างอื่นก็ได้ ชาวบ้าน จึงเรียก “หญ้า
นอนตาย” หากนำทั้งต้นย่างไฟให้แห้งกรอบ มาชงกับน้ำเดือด เป็น ยาขับพยาธิในเด็กได้ดี เปลือกต้นช่วยดับพิษในกระดูก และเส้น
เอ็น หรือต้มผสม เกลือรักษาโรครำมะนาด ขับเลือด ขับระดูขาว และขับปัสสาวะ (โดย…นายสวี สอง คอลัมภ์ เกษตรทำมาหากิน
นสพ. คม ชัด ลึก วันพุธ ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2550 เป็นไม้ล้มลุกตระกูลหญ้า ลำต้นเลื้อยตามพื้นดิน แต่ยอดจะตั้งขึ้น )

ชื่ออื่นๆ :
ขอบชะนางขาว, หนหนตายอยากขาว, หนอนขาว (ไทยภาคกลาง) ขอบชะนางแดง, หนอนตายอยากแดง, หนอนแดง (ไทยภาค
กลาง), หญ้าหนอนตาย(เหนือ), หญ้ามูกมาย (สระบุรี), ตาสียายเก้อ, ตดสีเพาะเกล(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)






ลักษณะทั่วไป:
ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกหญ้า และเลื้อยแผ่ไปตามดินแต่ยอดจะตั้งขึ้นมี 2 ชนิด คือ ขอบชะนางแดง กับ ขอบชะนางขาว และ
มีลำต้นขนาดโตกว่าก้านไม้ขีดเล็กน้อย

ใบ : เป็นใบเดี่ยวจะออกสลับกัน รูปเป็น รูปปลายหอก ในขอบชะนางแดง ส่วนรูปใบขอบชะนางขาว จะมีลักษณะรูปค่อนขางมนและกลม
เส้นใบของทั้งสองชนิด จะเห็นเด่นชัดเป็น 3 เส้น ใบจะโตประมาณ 2 กระเบียดนิ้ว ยาวประมาณ 1 นิ้วครึ่ง ถึง 1 นิ้วฟุต ส่วนสีใบและ
ต้นของขอบชะนางจะมีสีม่วงอมแดง เฉพาะแผ่นใบนั้นสีจะเด่นชัดคือ หลังใบจะมีสีเขียวเข้มอมแดง ท้องใบจะเป็นสีแดงคลํ้า และสีใบ
ของขอบชะนางขาวเป็นสีเขียวอ่อนๆ รวมทั้งสองชนิดจะมีขนเล็กน้อยบนต้นและแผ่นใบ

ดอก : จะมีขนาดเล็ก และจะออกเป็นกระจุกระหว่างซอกใบและกิ่งเป็นดอกตัวผู้กับดอกตัวเมีย ดอกของขอบชะนางแดงมีสีแดง ส่วน
ดอกของขอบชะนางขาวจะเป็นสีเขียวอมเหลือง

ผล : แห้งไม่แตกแบบ Achene

ส่วนที่ใช้ : ทั้งต้น ต้นและดอก ใบสด เปลือกของต้น

สรรพคุณ :
ทั้งต้น – นำมาปิ้งไฟแล้วชงกับนํ้าเดือด ใช้ขับพยาธิในเด็กต้นและดอก ใบ จะมีรสเมาเบื่อ นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก เอามาในปากไหปลาร้า
ที่มีหนอน อีกไม่นานหนอนก็จะตายต้นสด ใช้ตำเป็นยาฆ่าหนอน ฆ่าแมลง วัวควายที่เป็นแผลจนเน่าขนาดใหญ่ หนอนจะตายและจะช่วย
รักษาแผลด้วย

เปลือกของต้น – ช่วยดับพิษในกระดูกและในเส้นเอ็น รักษาพยาธิผิวหนัง เช่น หุงนํ้ามันทาริดสีดวงทวาร หรือจะใช้ต้มผสมเกลือให้เค็ม
นำมาอมรักษารำมะนาด ขอบชะนางทั้ง 2 ชนิด นำมาปรุงรับประทานเป็นยาขับเลือด ประจำเดือน และขับระดูขาวขับปัสสาวะ รักษา
โรคหนอง

ที่มา : เอกสารสมุนไพรไทย สำนักวิทยบริการ ราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา


วิธีการใช้ขอบชะนางกำจัดแมลง:
1. นำขอบชะนาง(ใช้ได้ทั้งแดงและขาว)มาโขลกให้ละอียด(ใช้ได้ทั้งต้น) หรือจะนำทั้งต้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปวางบนปาก
ไหปลาร้า จะสามารถฆ่าแมลงและตัวหนอนที่รบกวนปลาร้าได้ดี

2. นำต้นขอบชะนางทั้งต้นมาสับหรือโขลก จำนวน 2 กิโลกรัม มาต้มในน้ำ 1 ปี๊บ(20ลิตร) เคี่ยวให้สารในขอบชะนางออกมานาน
ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นนำน้ำขอบชะนางที่ได้ไปผสมน้ำสะอาดให้ได้ความเข้มข้นปานกลาง ฉีดพ่นแมลงจำพวกเพลี้ยต่างๆ
และตัวหนอนแมลงศัตรูพืชได้ดี (ควรฉีดซ้ำทุกๆ 3 วัน)



ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม:
- สารอินทรีย์จะสลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อนหรือแสงแดด ควรใช้ในขณะที่ไม่มีแดด เช่น ช่วงเช้ามืด หรือ ช่วงเย็น

- การกำจัดแมลง ควรเริ่มในช่วงเช้า ขณะที่ไม่มีแดด และอากาศยังเย็นอยู่ เนื่องจากแมลงจะไม่ค่อยเคลื่อนไหวขณะอากาศเย็น จึง
จัดการกับแมลงได้โดยง่าย โดยเฉพาะแมลงที่มีปีก

- การใช้สารกำจัดแมลงควรฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่ม ด้านบนใบและด้านล่างใบ เพราะแมลงชอบหลบซ่อนอบยู่ตามใต้ใบ

- สารอินทรีย์หรือสารที่สกัดจากพืชจะใช้ได้ผลดีสุด เมื่อคั้นสดแล้วนำไปใช้เลย

- ควรสลับสับเปลี่ยนพืชสมุนไพรให้บ่อยครั้ง เพื่อป้องกันแมลงสร้างภูมิต้านทานพืชสมุนไพรชนิดใดชนิดหนึ่ง

- ควรฉีดพ่นสมุนไพรกำจัดแมลงทุกๆ 3 วัน/ครั้ง เพราะสารในสมุนไพรนั้นมีความเข้มข้นน้อยกว่า (เมื่อเทียบกับสารเคมีกำจัดแมลง)
จึงไม่สามารถจัดการกับแมลงได้ทันทีทันใด


**********************************************************************************


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 03/04/2011 9:23 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 07/03/2011 7:34 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ดาวเรือง

กำจัดแมลง
ดอกดาวเรืองนอกจากจะนำไปใช้ประโยชน์ในแง่ของไม้ตัดดอกตบแต่งอาคารเพื่อความสวย งามแล้ว ยังสามารถนำดอกดาวเรือง
มาประยุกต์ใช้เป็นสารกำจัดแมลงศัตรูพืช ประเภท

• เพลี้ยกระโดด
• เพลี้ยจักจั่น
• เพลี้ยหอย เพลี้ยอ่อน
• เพลี้ยไฟ
• แมลงหวี่ขาว
• แมลงวันผลไม้
• หนอนใยผัก
• หนอนผีเสื้อ
• หนอนกะหล่ำ
• ด้วยปีกแข็ง
• ไส้เดือนฝอย
• หนอนผีเสื้อกะโหลก
• หนอนกะหล่ำปลี





โดยทั่วไปมักจะมีการปลูกดาวเรืองแซมตามแปลงผัก เพราะดอกและใบมีกลิ่นฉุนแมลงจึงไม่อยากเข้าไกล้

วิธีการใช้ดาวเรืองกำจัดแมลง:
วิธีที่ 1. นำดอกมาคั้นเอาน้ำผสมน้ำ 3 ต่อ 1 ส่วน ฉีดพ่น สามารถกำจัดหนอนใยผักได้ดี
วิธีที่ 2. นำดอกมาคั้นเอาน้ำ ผสมน้ำ 1 ต่อ 1 ส่วน ฉีดพ่น สามารถกำจัดเพลี้ยอ่อนได้ผลดี
วิธีที่ 3. นำดอกดาวเรือง 500 กรัม ต้มในน้ำ 4 ลิตร ทิ้งไว้ให้เย็น กรองเอาแต่น้ำ ไปผสมน้ำเปล่าอีก 4 ลิตร น้ำสบู่ 1 ช้อนโต๊ะ ฉีด
พ่นวันละ 2 ครั้ง(ช่วงเช้าไม่มีแดด และเย็น)ติดต่อกัน 2 วัน

ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม:
- สารอินทรีย์จะสลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อนหรือแสงแดด ควรใช้ในขณะที่ไม่มีแดด เช่น ช่วงเช้ามืด หรือ ช่วงเย็น

- การกำจัดแมลง ควรเริ่มในช่วงเช้า ขณะที่ไม่มีแดด และอากาศยังเย็นอยู่ เนื่องจากแมลงจะไม่ค่อยเคลื่อนไหวขณะอากาศเย็น
จึงจัดการกับแมลงได้โดยง่าย โดยเฉพาะแมลงที่มีปีก

- การใช้สารกำจัดแมลงควรฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่ม ด้านบนใบและด้านล่างใบ เพราะแมลงชอบหลบซ่อนอบยู่ตามใต้ใบ

- สารอินทรีย์หรือสารที่สกัดจากพืชจะใช้ได้ผลดีสุด เมื่อคั้นสดแล้วนำไปใช้เลย

- ควรสลับสับเปลี่ยนพืชสมุนไพรให้บ่อยครั้ง เพื่อป้องกันแมลงสร้างภูมิต้านทานพืชสมุนไพรชนิดใดชนิดหนึ่ง

- ควรฉีดพ่นสมุนไพรกำจัดแมลงทุกๆ 3 วัน/ครั้ง เพราะสารในสมุนไพรนั้นมีความเข้มข้นน้อยกว่า (เมื่อเทียบกับสารเคมีกำจัด แมลง)
จึงไม่สามารถจัดการกับแมลงได้ทันทีทันใด T_Anukanon


*************************************************************************************



หางไหล


ใช้เบื่อปลา ฆ่าแมลง
หางไหลหรือโล่ติ๊น เป็นพืชที่ใช้ป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช ในสมัยโบราณ และพบ ว่าสามารถนำมาใช้เบื่อปลาได้ แต่ไม่เป็นอันตรายต่อ
คน ปัจจุบันใช้กำจัด แมลงศัตรูผักได้ผลดี หางไหลมี 2 ชนิด ได้แก่ หางไหลขาว ซึ่งเป็น พันธุ์ที่มีสารโรตีโนนมากใช้ป้องกันกำจัด
แมลงศัตรูพืชได้ผลดี โดยนำรากมา ทุบแช่น้ำจะทำให้มีสีขาวขุ่นคล้ายสีนม ยังไม่มีรายงานว่าพบตาม ธรรมชาติ สถาบันวิจัยและฝึกอบรม
การเกษตรลำปางได้สายพันธุ์มาจากชลบุรี และ ได้ขยายพันธุ์แจกจ่ายไปให้เกษตรกรที่ภาคเหนือเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี แล้ว
ส่วนหางไหลแดงพบเห็นทั่วไปตามธรรมชาติ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกัน กำจัดแมลงศัตรูพืชต่ำเพราะมีสารโรทีโนนต่ำ เมื่อนำรากมา
ทุบแช่น้ำจะทำให้มี สีแดงขุ่นทั้งสองชนิดมีลักษณะคล้ายกันมากดูที่ใบแยกชนิดได้ยาก ควรส่ง ตัวอย่างให้ผู้เชี่ยวชาญจำแนกจะถูกต้อง
มากที่สุด


หางไหลขาว....
http://share.psu.ac.th/blog/marky12/14470



หางไหลแดง....
http://www.saiyathai.com/herb/938000.htm



http://www.cmadong.com/board/index.php?topic=2635.875


ชื่ออื่น : โล่ติ๊น กะลำเพาะ เครือไหลน้ำ หางไหลแดง ไหล ไหลน้ำ (เหนือ) อวดน้ำ (สุราษฎร์ธานี)

ลักษณะต้นหางไหล :
หางไหลเป็นไม้เลื้อยชนิดเนื้อแข็ง เจริญเติบโตเร็ว ถ้ามีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอสามารถปลูกได้ทั้งกลางแจ้งและในร่มเงาแต่การ ปลูก
กลางแจ้งจะเจริญเติบโตได้ดีกว่า ในก้านใบหนึ่ง ๆ จะมีใบตั้งแต่ 5 – 13 ใบ ใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ มี 2 พวก คือ D. elliptica
ใบย่อยมี 7 ใบขึ้นไป และ D. malacecum มีใบย่อย 5 ใบ ใบคู่แรกนับจากโคนก้านใบมีขนาดเล็กที่สุดและเริ่มใหญ่ขึ้นเป็นลำดับจนถึง
ใบสุดท้ายที่อยู่ตรงปลายเป็นใบเดี่ยว ซึ่งมีขนาดของใบใหญ่ที่สุด ช่อดอกออกที่ซอกใบ ดอกย่อยรูปดอกถั่ว กลีบดอกสีชมพูแกมม่วง
ผลเป็นฝัก เมื่อฝักอ่อนเป็นสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลปนแดง เมื่อฝักแก่ ภายในฝักมีเมล็ดซึ่งมีลักษณะกลมและแบนเล็กน้อย มีสีน้ำตาล
ปนแดง การออกดอกอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม เมื่อดอกบานเต็มที่มีกลิ่นหอม รากมีปมแบคทีเรียเหมือนกับปมของรากพืชตระกูลถั่ว

การขยายพันธุ์ :
หางไหลสามารถขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ โดยใช้กิ่งชำที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 25 เซนติเมตร
ตัดใบออกให้หมด ถ้าเหลือไว้จะทำให้มีจำนวนรากน้อยลง การใช้ฮอร์โมนเร่งรากช่วยทำให้กิ่งชำมีจำนวนรากเพิ่มมากขึ้น การปักชำควร
มีความชื้นสม่ำเสมอโดยให้น้ำหล่อเลี้ยงด้านล่าง วัตถุไว้เสมอ ทำให้กิ่งชำมีโอกาสแห้งตายน้อยลง ในช่วงฤดูแล้งควรปักชำในถุงพลาสติก
เพื่อรักษาความชื้นและควรฉีดสารป้องกัน เชื้อราในถุงชำ ระหว่างการปักชำควรให้ปุ๋ยยูเรีย (0.1%) จำนวน 3 ครั้ง ห่างกัน 10 วัน ปักชำ
ไว้นานประมาณ 45 วัน จึงแยกกิ่งชำลงถุงดำพกไว้ที่ร่มรำไรควรให้ปุ๋ยยูเรียกับต้นกล้าสัปดาห์ละ ครั้งประมาณ 1 เดือนกิ่งชำจึงมีความ
พร้อมที่จะย้ายไปปลูกในแปลงควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนที่มี ความชื้นในดินสูง (อรุณ, 2544)

การปักชำหางไหล :
1. ใช้กิ่งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร
2. ความยาวของกิ่งปักชำประมาณ 25 เซนติเมตร
3. ควรตัดใบออกให้หมด
4. ใช้ฮอร์โมนเร่งรากในการออกรากที่มีขายตามท้องตลาด
5. ให้ปุ๋ยยูเรีย 3 ครั้ง ในระหว่างการปักชำ

การปลูก/การดูแลรักษา/การเก็บเกี่ยว :
หางไหลเป็นพืชที่ปลูกง่ายแต่ควรมีการดูแลให้น้ำในช่วงที่ปลูกใหม่ไม่ควร ปล่อยให้ดินแห้งจะทำให้ต้นหางไหลตายได้ แต่ถ้าต้นหางไหล
ตั้งตัวได้แล้วจะทนความแห้งแล้งได้พอสมควร แต่จะเจริญเติบโตดีถ้ามีความชื้นสม่ำเสมอ สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรลำปาง ได้
ทดลองปลูกในถังซีเมนต์ให้ระบบน้ำหยดทำให้หางไหลเจริญเติบโตเร็ว

สามารถเก็บเกี่ยวรากได้ภายในระยะเวลา 12 เดือน มีปริมาณสารโรทีโนนเพียงพอที่จะนำมาสกัดเป็นสารกำจัดแมลง ผลผลิตน้ำหนักราก
สดที่ได้โดยเฉลี่ยมากกว่า 367.00–522.90 กรัม/ต้น ส่วนถ้าปลูกในแปลงจะได้ผลผลิต รากสดประมาณ 150–200 กิโลกรัม/ไร่
ใช้ระยะเวลา 1 ปี (150–200 กรัม/ต้น)

การปลูกในสภาพกลางแจ้ง ควรปลูกระยะชิด โดยใช้ระยะปลูก 1 x 1 เมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก การขุดรากนำมาใช้อาจ
ขุดทั้งหมดเป็นรุ่นทั้งแปลงและทำการปลูกใหม่ ถ้าทำเป็นอุตสาหกรรม แต่ถ้าเกษตรกรปลูกไว้ใช้เองตามริมรั้วควรทยอยขุดแบ่ง
รากมาใช้ ซึ่งประมาณ 150–200 ต้นที่จะพอใช้ต่อพื้นที่ปลูกผัก 1 งาน (ปลูกผักตลอดปี) ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนและดินมีความชื้น
และการเก็บเกี่ยวควรเป็นช่วงปลายฤดู ฝน ประมาณเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งดินมีความชื้นอยู่ ทำให้ขุดรากได้ง่าย ถ้าดินแห้ง
แล้งจะขุดรากลำบากมาก การปลูกในภาชนะจะได้รากมากกว่าในแปลง 4 เท่า

การนำไปใช้ทางการเกษตร :
จากการทดสอบสารสกัดที่ได้จากรากหางไหลกับแมลงหลายชนิดพบว่ามีฤทธิ์ถูกตัวตาย และกินตาย นอกจากนี้มีแมลงบางชนิดจะไม่ยอม
กินใบพืชที่มีการฉีดพ่นสารสกัดจากหางไหล ซึ่งอาจเรียกว่ามีผลยับยั้งการกิน เช่น หนอนผีเสื้อ กินใบปอเทือง และด้วงน้ำมันเมื่อได้กลิ่น
หางไหลจะหนีไปนอกจากนี้ยังใช้ได้ผลดีกับหมัดสุนัข เห็บวัว ไรไก่ ในแปลงผักสามารถกำจัด ด้วงหมัดผัก ด้วงเต่าทอง เพลี้ยไฟมะเขือ
เทศ ไรขาวพริก ด้วงงวงตัดใบมะม่วง เพลี้ยจักจั่น และเพลี้ยอ่อนผักกาด

ส่วนหนอนผีเสื้อจะมีผลยับยั้งการกิน อัตราการใช้ รากสด 2–3 ขีด/น้ำ 20 ลิตร โดยนำมาทุบแช่น้ำ 1 คืน พ่นสารสกัดตอนเช้าตรู่
สามารถกำจัดด้วงหมัดผักได้ผลดี ใส่สารจับใบจะทำให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น อาจนำมาทำเป็นผงแห้งแล้วใช้แอลกอฮอล์สกัด ในอัตรา 2 ขีด
/แอลกอฮอล์ 1 ลิตร แช่ไว้อย่างน้อย 5 วัน จากนั้น
นำมาเก็บไว้ในขวดสีชาสามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 8 เดือน เวลานำมาใช้เจือจางด้วยน้ำในอัตรา 200–300 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร ควรพ่น
ให้ถูกตัวแมลง

วิธีการนำหางไหลมาใช้กำจัดแมลง :
นำรากหางไหล 1/2–1 กิโลกรัม มาทุบแล้วแช่น้ำ 20 ลิตร ทิ้งไว้ค้างคืน นำน้ำหมักมาฉีดพ่นในแปลงพืชผล ควรฉีดพ่นในช่วงแดดอ่อนๆ
ใช้ฉีดพ่นป้องกันแมลงวัน หนอนเพลี้ยอ่อน ด้วงงวงถั่ว ตั๊กแตนตัวอ่อน เพลี้ยจักจั่น ฯลฯ โดยไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะสาร rotennone
ที่มีในโล่ติ๊นสามารถสลายตัวได้ง่าย และไม่เป็นอันตรายต่อคน

ข้อควรระวัง :
เป็นพิษต่อปลา จึงไม่ควรใช้กับแปลงผักหรือแปลงไม้ผลที่มีบ่อเลี้ยงปลาอยู่ใกล้ ๆ

แนวทางการพัฒนาสารสกัดจากพืชในอนาคต :
1. ควรศึกษาวิธีการปลูกที่ทำให้ได้รากจำนวนมากเพื่อเพิ่มผลผลิตและทำให้มีระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวเร็วขึ้น
2. ควรศึกษาเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บเกี่ยวรากในสภาพแปลง
3.ควรศึกษาเครื่องมือที่ใช้ในการอบและบดรากหางไหลให้มีคุณภาพของวัตถุดิบดีขึ้น
4. ควรศึกษาเครื่องต้นแบบในการผลิตสารสกัดจากรากหางไหล
5. ควรมีการศึกษาสารสกัดจากพืชอื่นที่ช่วยเสริมฤทธิ์สารสกัดจากรากหางไหลให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
6. ควรมีการศึกษาการใช้สารสกัดจากรากหางไหลในด้านการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูสัตว์เลี้ยง


************************************************************************************


สะเดา

กำจัด ตั๊กแตน หนอนชอนใบ เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยกระโดดหลังขาว เพลี้ยกระโดสีน้ำตาล แมลงหวี่ขาว ด้วงหมัดผัก หนอนใย
กะหล่ำปลี หนอนใยผัก หนอนกอเจาะสมอฝ้าย หนอนบุ้งปอแก้ว แมลงในโรงเก็บ ไส้เดือนฝอย


สารสกัดสะเดาที่มีอยู่ ในเมล็ดและใบ มีฤทธิ์ในการฆ่าแมลง ขับไล่แมลง ต่อต้านการดูดกิน ยับยั้งการ เจริญเติบโตของแมลง ป้องกัน
และกำจัดแมลงได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ตั๊กแตน หนอนชอนใบ เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยกระโดดหลังขาว เพลี้ยกระ โดสีน้ำตาล
แมลงหวี่ขาว ด้วงหมัดผัก หนอนใยกะหล่ำปลี หนอนใยผัก หนอนกอเจาะ สมอฝ้าย หนอนบุ้งปอแก้ว แมลงในโรงเก็บ ไส้เดือนฝอย และ
ด้วงหมัด เพลี้ย จักจั่นสีเขียว หนอนกอ หนอนกอสีครีม ด้วงเต่าฝักทอง หนอนชอนใบส้ม ผีเสื้อ มวนหวาน หนอนม้วนใบข้าว แมลงหวี่
ขาวฝ้าย ผีเสื้อหนอนแก้วส้ม หนอนเจาะสมอ ฝ้ายอเมริกัน หนอนกระทู้ควายพระอินทร์ หนอนกระทู้กัดต้น หนอนบุ้งปอ แก้ว หนอน
เจาะลำต้นลายจุดในข้าวโพดและข้าวฟ่าง


http://share.psu.ac.th/blog/marky12/14470



http://www.nanagarden.com/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B2-azadirachta-indica-102549-4.html


สารสำคัญ:
bitter principle เปลือกต้นมีสาร nimbin, desacetylnimbin ในใบมี quercetin ในเมล็ดมีสาร azadirachtin สามารถ
ฆ่าแมลงได้ และพวก quinone ตำรายาไทย ใช้ก้านใบเป็นยาแก้ไข้ทุกชนิด เปลือกต้นแก้ท้องเดิน แก้บิดมูกเลือด ผลเป็นยาถ่าย
พยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะพิการ ดอกเป็นยาบำรุงธาตุ รากแก้ไข้ ทำให้อาเจียน

การใช้สารสะกัดจากใบหรือกิ่งสะเดา :
วิธีทำ
- ตัดกิ่งหรือใบสะเดา ให้เป็นท่อนๆ ขนาด 5 เซนติเมตร ในอัตราส่วนตามต้องการ
- ตัดต้นตะไคร้หอม ให้เป็นท่อนๆ ขนาด 5 เซนติเมตร
ในอัตราส่วนตามต้องการ โดยเทียบใช้ในอัตราเดียวกันกับสะเดา

++ ผสมสะเดาเข้ากับตะไคร้หอม ในสัดส่วที่เท่ากัน จากนั้นนำไปต้มกับน้ำ โดยใส่น้ำใหท่วมส่วนผสม แล้วเคี่ยวนานครึ่งชั่วโมง–1 ชั่วโมง
ก็จะได้สารละลายสีเขียวคล้ำ นำไปใช้กำจัดแมลงได้ผลดี ใช้ฉีดพ่นบนพืช เช้า -เย็น วิธีนี้จะสามารถไล่แมลง ยับยั้งการเติบโตของแมลง
ซึ่งใช้ไดกับหอนชอนใบส้ม หนอนใยผัก เพลี้ยอ่อน

วิธีใช้
นำสารละลายที่ได้ 1 ส่วน ผสมเข้ากับน้ำ 1 ส่วน แล้วเติมสารจับใบเช่น สบู่เหลว น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก เล็กน้อย

การนำไปใช้ทางการเกษตร :
วิธีที่ 1 โรยเมล็ดสะเดาบดตามแปลงผักเพื่อปรับสภาพดิน

วิธีที่ 2 นำเมล็ดสะเดา 1 กก. บดให้ละเอียด ห่อผ้าแช่น้ำ 1 ปี๊บ แช่ทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนใช้ผสมน้ำสบู่ 1 ช้อนโต๊ะ นำไปฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน
ในตอนเย็น

วิธีที่ 3 นำเมล็ดและใบสะเดา เหง้าข่าแก่ ตะไคร้หอม อย่างละ 2 กก. สับให้ละเอียด แล้วตำหรือบดรวมกัน แช่น้ำ 1 ปี๊บ แช่ทิ้งไว้
1 คืน แล้วกรองเอาหัวเชื้อที่ได้ ผสมน้ำเปล่า 1 ปี๊บ ต่อน้ำยา 0.5 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน ในตอนเย็น

วิธีที่ 4 นำเมล็ดสะเดาแห้ง ที่ประกอบด้วยเปลือกหุ้มเมล็ด และเนื้อเมล็ด มาบดให้ละเอียด แล้วนำผงเมล็ดสะเดามาหมักกับน้ำ ในอัตรา
ส่วน 1 กก. ต่อน้ำ 20 ลิตร โดยใช้ผงสะเดาใส่ไว้ในถุงผ้าขาวบาง แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ใช้มือบีบถุงตรงส่วนของผงสะเดา เพื่อให้
สาร อะซาดิแรคติน ที่อยู่ในผลสะเดา สลายตัวออกมาให้มากที่สุด เมื่อจะใช้ก็ยกถุงผ้าออก บีบถุงให้น้ำในผงสะเดาออกมาให้หมด ก่อน
ใช้นำน้ำที่ได้ผสมน้ำสบู่หรือแชมพู แล้วนำไปฉีดพ่น


************************************************************************************


ตะไคร้หอม

ป้องกันยุง กำจัดหนอนกระทู้
ตะไคร้หอมมีลักษณะส่วนใหญ่คล้ายกับตะไคร้ ต่างกันที่กลิ่น กาบใบและแผ่นใบ กาบใบ ของตะไคร้หอมจะมีสีเขียวปนม่วงแดง แผ่น
ใบกว้าง ยาวและนิ่มกว่าเล็กน้อย ทำ ให้ปลายห้อยลงปรกดินกว่า ดอกช่อ สีน้ำตาลแดง แทงออกจากกลางต้น ผลเป็นผล แห้ง ไม่แตก


http://www.google.co.th/imglanding?q=%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1&imgurl=http://intipon.tarad.com/shop/i/intipon/img-lib/spd_20100215171628_b.jpg&imgrefurl=http://intipon.tarad.com/product.detail_573199_th_2656662&usg=__rhe7gK4Mt8hBkBp0iWr633I0YCM=&h=463&w=300&sz=42&hl=th&zoom=1&itbs=1&tbnid=tptTAakG10Ka3M:&tbnh=128&tbnw=83&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A1%26hl%3Dth%26sa%3DX%26tbs%3Disch:1%26prmd%3Divns&ei=Itp0Ta_wLszPrQeTtKHTCg&sa=X&tbs=isch:1&prmd=ivns&start=5#tbnid=tptTAakG10Ka3M&start=9


http://www.google.co.th/imglanding?q=%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1&imgurl=http://i666.photobucket.com/albums/vv29/kobnon/cymbona.jpg&imgrefurl=http://www.bloggang.com/viewdiary.php%3Fid%3Dluckystar%26month%3D08-2009%26date%3D01%26group%3D6%26gblog%3D156&usg=__GAkHVvHQzw6I1cTR-A_VCnakUqE=&h=326&w=285&sz=33&hl=th&zoom=1&itbs=1&tbnid=zGVKRtW5ldHHSM:&tbnh=118&tbnw=103&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A1%26start%3D80%26hl%3Dth%26sa%3DN%26ndsp%3D20%26tbs%3Disch:1%26prmd%3Divns&ei=ONt0TbGwDYeyrAf-orHSCg&start=85&sa=N&ndsp=20&tbs=isch:1&prmd=ivns#tbnid=zGVKRtW5ldHHSM&start=89


ประโยชน์ด้านกำจัดแมลง : ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช อาทิ แมลง แมลงสาบ หนอนกระทู้ หนอนใยผัก ไล่ยุง

ชื่ออื่น : หัวจังไคร้ไทย ไคล หัวขิงไคร จะไคร้มะขูด ตะไคร้มะขูด ตะไคร้แดง

การนำไปใช้ :
ภายในหัวตระไคร้หอมจะมีสารพวก Verbena oil, lemon oil, indian molissa oil ซึ่งมีฤทธิ์ในการขับไล่แมลง ยุง และแมลงสาบ รวมทั้งยังกำจัดหนอนกระทู้ และหนอนใยผัก ได้อีกด้วย

วิธีใช้ :
ต้นสด นำเหง้าและใบตะไคร้หอมมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วบดให้ละเอียดประมาณ 5 ขีด นำมาผสมน้ำ 10 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 1 วัน จากนั้นกรอง
เอาแต่น้ำ ผสมสารจับใบเช่น สบู่หรือแชมพู ฉีดพ่นกำจัดหนอน

สารหอมระเหย ตะไคร้หอมได้ถูกนำมาใช้ไล่แมลง อย่างแพร่หลายนานมาแล้ว โดยละลายน้ำมันตะไคร้หอม 7 ส่วน ผสมในแอลกอฮอล์
(70%) 93 ส่วน ฉีดพ่นหรือตำใบสดหมักในแอลกอฮอล์ใน อัตราส่วน 1:1 ทาตรงขอบประตู ที่ปิดเปิดเสมอ หรือชุบสำลีแขวนเอาไว้หน้า
ประตูเข้าออก หรือใช้ใบตะไคร้หอม มัดแล้วทุบให้ช้ำวางใว้ตามมุมห้องหรือใต้เตียง ปัจจุบันมีการนำตะไคร้หอมมาผลิตเป็นโลชั่นกันยุง

ในส่วนขององค์การเภสัชกรรมได้มอบทุนให้แก่ รศ.ดร. พิมลพรรณ พิทยานุกูล วิจัยและพัฒนาตำรับยาทากันยุงน้ำมันตะไคร้หอม
โดยใช้ ความเข้มข้น 6% สามารถป้องกันยุงกัด ได้นาน 4-5 ชั่วโมง โลชั่นกันยุงนี้เป็นการนำสมุมไพรมาพัฒนาเป็นตำรับป้องกันยุง
ที่มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ช่วยลดมลภาวะในอากาศและยังช่วยลดการนำเข้าสารเคมีจากต่างประเทศ

สารสำคัญ :
น้ำมันหอมระเหยประกอบด้วย d-citronellal และ geraniol ซึ่งมีคุณสมบัติแต่งกลิ่นน้ำหอม และใช้ไล่แมลง Components Identified: 1) limonene (3.0%); 2) linalool (0.8%); 3) citronellal (35.3%); 4) citronellol (12.0%); 5) geraniol (24.9%); 6) citronellyl acetate (4.3%); 7) geranyl acetate (6.3%)


http://blog.taradkaset.com/%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94/


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 03/04/2011 9:26 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 10/03/2011 7:19 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ชัด ขำเอี่ยม chinchainat@hotmail.com

2. น้ำต้มสมุนไพร กำจัดศัตรูพืช ลดต้นทุน ที่ ชัยนาท

กำไรจากการทำนาของเกษตรกรเกิดความแตกต่าง เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตและการบริหารจัดการของเกษตรกร ส่งผลให้ต้นทุน
การผลิตของกลุ่มเกษตรกรที่ใช้สารเคมีเพื่อการป้องกันกำจัดศัตรูพืชสูงมาก บางรายอาจมีต้นทุนสูงมากกว่า 5,000 บาท/ไร่

ในขณะที่เกษตรกรบางส่วนได้ประยุกต์ใช้องค์ความรู้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่น เพื่อการป้องกันและกำจัดศัตรู
พืชแบบผสมผสานตามที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้แบบโรงเรียนเกษตรกรจากนักวิชาการส่งเสริมการเกษตร สอดคล้องกับคำที่กล่าวว่า
"เพียงเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน"

เกษตรกรนิยมใช้สารเคมี เพราะยังคงติดกับการแข่งขันการทำนาที่ตัดสินกันด้วยปริมาณผลผลิตที่ได้รับ ต่างจากเกษตรกรบางส่วนที่
มีต้นทุนต่ำ ตัดสินผลลัพธ์ความสำเร็จของการทำนาด้วยกำไร ด้วยการนำสมุนไพรมาใช้ประโยชน์เพื่อใช้ในการป้องกันและกำจัดโรค-
แมลง ศัตรูพืชได้ดีไม่แพ้สารเคมี อย่างประหยัด และปลอดภัย ไม่มีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ฉะนั้น การใช้สมุนไพรในการเกษตร น่าจะ
เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบันและอนาคต ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น

คุณสัมฤทธิ์ ไม่ยาก เกษตรกรทำนา วัย 57 ปี บ้านเลขที่ 58 หมู่ที่ 11 ตำบลนางลือ อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท เปิดเผยว่า
ได้ทำนาข้าว 28 ไร่ มานานแล้ว ตั้งแต่จบการศึกษาภาคบังคับ แต่พบว่ายิ่งทำนา ยิ่งมีต้นทุนมากขึ้น เนื่องจากแมลงศัตรูพืชดื้อยา "สร้าง
ภูมิต้านทานต่อสารเคมี บางครั้งสารเคมี 3-4 ชนิด ผสมกันฉีดพ่น แต่ไม่สามารถกำจัดแมลงศัตรูพืชได้ จึงได้ศึกษาการป้องกันและ
กำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสานตามกระบวนการโรงเรียนเกษตรกรร่วมกับเพื่อนเกษตรกรในกลุ่มศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อการผลิตข้าว
ให้ได้มาตรฐานและปลอดภัยจากสารพิษ จากสำนักงานเกษตรอำเภอเมืองชัยนาท สำนักงานเกษตรจังหวัดชัยนาท ศูนย์วิจัยข้าวชัยนาท
และศูนย์บริหารศัตรูพืชชัยนาท

จากการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ ตั้งแต่การเตรียมดินด้วยลดการเผาตอซังและฟางข้าว หมักด้วยน้ำหมักชีวภาพ อัตราเมล็ดพันธุ์ไม่เกิน
20 กิโลกรัม/ไร่ ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์ม่าป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อรา อนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ (ตัวห้ำ-ตัวเบียน) ด้วยการใช้สารสมุนไพร
ผลที่ได้รับเป็นที่น่าพอใจ เพราะต้นทุนการผลิตในปีที่ผ่านมาประมาณ 3,200 บาท/ไร่ ในขณะที่ผลผลิตประมาณ 850 กิโลกรัม/ไร่
รอดพ้นจากการเข้าทำลายของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลด้วยน้ำสมุนไพรต้ม แต่ต้องพ่นซ้ำบ่อยๆ คือ 7-10 วัน/ครั้ง ในขณะที่เพื่อนเกษตร
กรบางส่วนใช้สารเคมีจำนวนมาก แต่ผลผลิตเสียหายอย่างน่าเสียดาย

การทำน้ำต้มสมุนไพรไม่ยุ่งยากนัก เตรียมวัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น คือ ใบน้อยหน่า หรือ ใบน้อยโหน่ง ใบต้นรัก สาบเสือ เถามะระขี้นก
อย่างละ 1 กิโลกรัม และใบสะเดา 5 กิโลกรัม ส่วนผสมสมุนไพรแต่ละชนิดมีทั้งสารที่เป็นอันตรายต่อแมลงศัตรูพืช ทำลายตัวอ่อน ตัว
แก่ และไข่ อีกทั้งกลิ่นที่แรงไล่แมลงศัตรูพืชไม่ให้เข้าในแปลงนา แต่ไม่เป็นอันตรายต่อแมลงศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืช
(ตัวห้ำและตัวเบียน)


เมื่อได้สมุนไพรดังกล่าวแล้ว นำมาสับให้แหลกละเอียด นำไปใส่ในถังก่อนเทน้ำส้มสายชู 5% และเหล้าขาว อย่างละ 1 ขวด เทลง
ไปคนให้ทั่ว ปิดฝาทิ้งไว้ อย่างน้อย 5 ชั่วโมง เทลงปี๊บเติมน้ำให้เต็ม นำไปต้มด้วยไฟกลาง จนน้ำเดือดทิ้งไว้รอจนน้ำเหลือครึ่งปี๊บ
ทิ้งให้เย็นนำไปกรอง ควรใช้ให้หมด แต่ถ้าจะเก็บควรเก็บในที่เย็นๆ ไม่ควรเก็บนานเกินไป อัตราส่วนที่ใช้ 50 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร ฉีด
พ่นทุก 7-10 วัน

เวลาที่เหมาะสมในการฉีดพ่น คือ เวลาเช้าหรือเวลาเย็น แดดไม่ร้อนมากนัก เพื่อป้องกันการสลายตัวของสารสมุนไพร สามารถ
ป้องกันแมลงศัตรูพืชได้เป็นที่น่าพอใจ ไม่แพ้สารเคมีที่มีราคาแพง ในขณะที่น้ำต้มสมุนไพรมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่เหล้าขาว น้ำส้มสายชู
และค่าก๊าซสำหรับต้มเท่านั้น ซึ่งสามารถผสมน้ำฉีดพ่นได้หลายพันลิตร นำไปฉีดพ่นในพื้นที่นาหลายไร่


การใช้สารเคมีเพื่อการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชนั้น เกษตรกรต้องมีความมั่นใจ แต่ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ลองทำก่อน อย่าเพิ่งปฏิเสธ แต่
ขอให้ศึกษารายละเอียดจากเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรหรือเกษตรกรที่ทำแล้วประสบผลสำเร็จ ก็จะสามารถทำนาให้ได้กำไรงาม
ไม่ต้องรอให้ขายข้าวได้ราคาเป็นหมื่นบาท เพราะถ้าลงทุนในอัตรา 3,200 บาท ผลผลิตข้าว 800 กิโลกรัม/ไร่ นั่นหมายถึง มีต้น
ทุนที่ 4 บาท/กิโลกรัม ถ้าราคาข้าวเพียง 6 บาท/กิโลกรัม ก็จะมีกำไรที่ 2 บาท/กิโลกรัม หรือ 1,600 บาท/ไร่


คุณวีระศักดิ์ อัตถะไพศาล เกษตรจังหวัดชัยนาท กล่าวเสริมถึงการป้องกันและกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลว่า ได้ดำเนินการตามนโยบาย
ของกรมส่งเสริมการเกษตร ในการส่งเสริมการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสานด้วยการจัดตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนที่
กระจายอยู่ในพื้นที่

ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน เป็นสถานที่สำหรับเรียนรู้และฝึกปฏิบัติด้านการจัดการศัตรูพืชของเกษตรกรและชุมชน โดยจัดทำแปลง
ติดตามสถานการณ์ศัตรูพืช ใช้เป็นสถานที่เรียนรู้และฝึกปฏิบัติ เรื่องระบบนิเวศในแปลงนา โดยมีการเก็บข้อมูลศัตรูพืช ศัตรูธรรมชาติ
และสภาพแวดล้อม นำมาจำแนก วิเคราะห์ และตัดสินใจร่วมกันของแกนนำและสมาชิกที่ร่วมกันเรียนรู้ และเลือกวิธีควบคุมศัตรูพืช
ได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งการผลิตขยายจุลินทรีย์ และศัตรูธรรมชาติได้ด้วยตนเอง โดยมีกลไกท้องถิ่นเป็นตัวขับเคลื่อน ได้แก่ เกษตรกร
องค์กรท้องถิ่น และภาครัฐ มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่สนับสนุนด้านเทคโนโลยีการจัดการศัตรูพืชอยู่หลายส่วน เช่น ส่วนกลาง ได้แก่
ส่วนบริหารศัตรูพืช สำนักพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตร ในส่วนภูมิภาค ได้แก่ ศูนย์บริหารศัตรูพืช สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
เขต และสำนักงานเกษตรอำเภอ ซึ่งการใช้สารสมุนไพร สารชีวภัณฑ์ ไม่ทำลายแมลงที่เป็นประโยชน์ เป็นการแก้ปัญหาได้ในระยะ
ยาว ช่วยให้ธรรมชาติสมดุล ไม่มีศัตรูพืชระบาด ประหยัด เพราะวัสดุส่วนใหญ่มีอยู่ในท้องถิ่น

ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ คุณชัด ขำเอี่ยม นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร 7ว สำนักงานเกษตรจังหวัดชัยนาท หมู่ที่ 2 ตำบลเขาท่าพระ
อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท 17000 โทร. (056) 421-512 โทรสาร (056) 421-513


http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05046010354&srcday=&search=no


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 1:57 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 20/03/2011 9:50 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

3. สมุนไพรไล่แมลง


ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และสถานการณ์ของสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน กำลังเข้าขั้นวิกฤต อันเนื่องมากจากการกระทำของมนุษย์
โดยเฉพาะการใช้สารเคมีเพื่อเพิ่มผลผลิต และกำจัดศัตรูพืช ซึ่งมีผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติก่อให้เกิดปัญหาความ
เสื่อมโทรมของทรัพยากร ดิน น้ำ และระบบนิเวศน์ ต้องถูกทำงายลงไปทุกๆ เวลา และในสภาวะปัจจุบันทั่วโลกกำลังรณรงค์
ให้มีการรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติให้มีสภาพดีขึ้น จึงมีการออกมาตรการต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ เช่น ออกมาตรฐาน ISO การ
กีดกันทางการค้า ผลผลิตที่ปนเปื้อนสารพิษ การซื้อสินค้าประเภทผลผลิตทางเกษตรที่เรียกว่า ผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์


เกษตรกรในประเทศเราส่วนใหญ่ยังนิยมใช้วิธีการผลิตโดยใช้สารเคมี เพื่อเพิ่มผลผลิตและกำจัดศัตรูพืชโดยไม่ได้คำนึงถึงความยั่งยืน
และมั่นคงของทรัพยากรธรรมชาติที่นับวันจะเสื่อมโทรมลงไปโดยไม่มีการบำรุงรักษา และฟื้นฟู จนได้มีการคิดค้นวิธีการที่จะฟื้นฟู
สภาวะสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติกลับมามีสภาพสมบูรณ์ดังเดิม ควบคู่ไปกับการผลิตโดยไม่ใช้สารเคมี โดยเฉพาะการกำจัดแมลงศัตรูพืช
ซึ่งมีหลายชนิดแต่ละชนิดมีลักษณะแตกต่างกัน เช่น


แมลงปีกแข็งมี 6 ขา ตัวเล็กตัวใหญ่แล้วแต่ชนิดของแมลง ส่วนประเภทของหนอนนั้นมีหนอนกระทู้ หนอนชอนใบ หนอนหนังเหนียว
หนอนใย หนอนใต้ หนอนเจาะอเมริกัน ฯลฯ ซึ่งได้มีการคิดค้นวิธีที่จะกำจัดโดยใช้พืชสมุนไพรในการกำจัดแมลง โดยสรุปเป็นประเภท
ดังต่อไปนี้


วิธีผสมตัวยาสมุนไพร สำหรับเพลี้ย ไรแดง เพลี้ยไก่แจ้ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย ฯลฯ
สูตรที่ 1
ยาฉุน 1/2 กิโลกรัม น้ำตาล 1 กิโลกรัม ตะไคร้หอม 1 กิโลกรัม จุลินทรีย์ 1 ลิตร สาบเสือ 1 กิโลกรัม น้ำ 10 ลิตร นำวัตถุ
ดิบที่ตำแล้วมาหมักไว้ 7 วัน ใช้น้ำยา & frac 12 ; ลิตร ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 7 วันต่อครั้ง

สูตรที่ 2
หางไหล 1 ½ กิโลกรัม น้ำ 10 ลิตร ใช้เคียวทุบให้แหลก แช่น้ำ 1 คืน น้ำยา 1 ฝาลิตร ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 7 วันต่อครั้ง

สูตรที่ 3
ยาฉุน 1/2 กิโลกรัม เม็ดสะเดา 1/2 กิโลกรัม ข่า 1 กิโลกรัม ตะไคร้หอม 1 กิโลกรัม น้ำตาล 1 กิโลกรัม น้ำ 10 ลิตร
จุลินทรีย ์ 1 ลิตร นำวัตถุดิบทั้งหมดหมักไว้ 7 วัน น้ำยา ½ ลิตร ผ สมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 7 วัน ต่อครั้ง

สูตรที่ 4
หนอนตายอยาก 1 กิโลกรัม บอระเพ็ด 1 กิโลกรัม กระทกรก 1 กิโลกรัม น้ำ 10 ลิตร จุลินทรีย์ 1 ลิตร
น้ำตาล 1 กิโลกรัม นำวัตถุดิบตำให้แหลก หมักไว้ 7 วันขึ้นไป แล้วฉีดพ่น น้ำยา 1/2 ลิตร ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 7 วันต่อครั้ง

สูตรที่ 5
น้ำส้มสายชู 3 กิโลกรัม น้ำ ½ กิโลกรัม จุลินทรีย์ 1 ลิตร น้ำตาล 1 กิโลกรัม หรือ ส้ม,
มะนาว, ส้มโอ, มะขาม, อย่างละ 1 กิโลกรัม เท่าๆ กัน รวม 3 กิโลกรัม นำทุกอย่างสับหยาบๆ แล้วหมักไว้ 7 วัน น้ำยา & frac
12 ; ลิตร ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 7 วันต่อครั้ง

สูตรที่ 6
ใบน้อยหน่า ½ กิโลกรัม กระทกรก ½ กิโลกรัม ยาฉุน ½ กิโลกรัม บอระเพ็ด & frac
12; กิโลกรัม สาบเสือ ½ กิโลกรัม เปลือกมังคุด ½ กิโลกรัม จุลินทรีย์ 1 ลิตร
น้ำตาล 1 กิโลกรัม น้ำ 10 ลิตร นำตัวยาทุกอย่าง มาตำแล้วหมัก 7 วัน น้ำยา 1/2 ลิตร ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 7 วันต่อครั้ง




วิธีผสมตัวยาสมุนไพร สำหรับฆ่าหนอนกระทู้ หนอนชอนใบ หนอนหนังเหนียว หนอนใย หนอนใต้ หนอนเจาะอเมริกัน ฯลฯ
สูตรที่ 1
ฟ้าทะลายโจร 1 กิโลกรัม เปลือกแค 1 กิโลกรัม หางไหล 1 กิโลกรัม ตะไคร้หอม 1 กิโลกรัม
น้ำตาล 1 กิโลกรัม จุลินทรีย์ 1 ลิตร น้ำ 10 ลิตร นำทุกอย่างสับหยาบๆ แล้วหมัก 7 วัน น้ำยา ½ ลิตร ผสมน้ำ 20 ลิตร
ฉีดพ่น 7 วัน ต่อครั้ง

สูตรที่ 2
โทงเทง 1 กิโลกรัม หนอนตายยาก 1 กิโลกรัม สาบเสือ 1 กิโลกรัม น้ำตาล 1 กิโลกรัม
จุลินทรีย์ 1 ลิตร น้ำ 1 ลิตร นำทุกอย่างมาตำแล้วหมัก 7 วัน น้ำยา &frac 12 ; ลิตร ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 7 วันต่อครั้ง

สูตรที่ 3
สะเดา 1 กิโลกรัม ยาฉุน ½ กิโลกรัม กระทกรก 1 กิโลกรัม น้ำตาล 1 กิโลกรัม
จุลินทรีย์ 1 ลิตร น้ำ 10 ลิตร นำทุกอย่างมาสับหยาบๆ แล้วหมัก 7 วัน น้ำยา ½ ลิตร ผสมน้ำ
20 ลิตร ฉีดพ่น 7 วันต่อครั้ง



วิธีผสมตัวยาสมุนไพรสำหรับแมลงทั่วไป
เปลือกส้ม & frac12 ; กิโลกรัม น้ำ 10 ลิตร มะกรูด ½ ลิตร จุลินทรีย์ 1 ลิตร มะนาว &
frac 12 ; กิโลกรัม นำตาล 1 กิโลกรัม น้ำส้มสายชู 5 ขีด น้ำมะขาม 5 ขีด นำตัวยาทุกอย่างมาตำ
ผสมกัน หมักไว้ 7 วัน น้ำยา 1/2 ลิตร ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 7 วันต่อครั้ง

นอกจากจะใช้สมุนไพรไล่แมลง การกำจัดแมลงยังใช้วิธีอื่นๆ อีก เช่น กาวดักแมลง ไฟล่อแมลง การปลูกพืชหมุนเวียน การสร้าง
ระบบนิเวศในบริเวณโดยรอบเพื่อสร้างสมดุลทางธรรมชาติโดยปราศจากการใช้สารเคมี




ประเภทสมุนไพรใช้ในการกำจัดแมลง / ศัตรูพืช
สมุนไพรที่มีรสขม ฆ่าเชื้อแบคทีเรียป้องกันแมลง ฟ้าทลายโจร บอระเพ็ด สะเดา หญ้าใต้ใบ โทงเทง

สมุนไพรที่มีรสฝาด แก้เชื้อรา โรคพืช เปลือกแค เปลือกมังคุด เปลือกสีเสียด ใบฝรั่ง ใบทับทิม ขมิ้น

สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว ไล่แมลง แสบร้อน เปลือกส้ม มะกรูด มะนาว น้ำส้มสายชู น้ำมะขาม



สมุนไพรประเภทเมา เบื่อ ฆ่าหนอน เพลี้ย แมลงอื่นๆ หางไหล ยาสูบ ขอบชะนางแดง – ขาว หอนตายอยาก ใบน้อยหน่า
สลัดได พญาไร้ใบ แสยก เม็ดมะกล่ำ


สมุนไพรหอมระเหยไล่แมลง เปลี่ยนกลิ่นศัตรูพืช ตะไคร้หอม โหระพา กระเพรา ผักชี สาบเสือ สาบแร้งสาบกา
กระทกรก ผักแพรวแดง ข่า



วิธีการหมักสมุนไพรที่นิยมใช้ 2 วิธีคือ
หมักภายใน 24 ชั่วโมง ไม่เกิน 48 ชั่วโมง
สมุนไพรสด 3 กิโลกรัม น้ำเปล่า 10 ลิตร หรือสมุนไพรแห้ง 2 กิโลกรัม น้ำเปล่า 10 ลิตร
หมักภายใน 1 สัปดาห์ สำหรับฉีดพ่น
สมุนไพรสด 3 กิโลกรัม กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม จุลินทรีย์ 1 ลิตร น้ำเปล่า 10 ลิตร (น้ำยา 1 ลิตร ผสมน้ำ 20 ลิตร สำหรับ
ฉีดพ่น 7 วันต่อครั้ง หรือน้ำยา 1 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร ใช้ราดต้นไม้ 7 วันต่อครั้ง หรือเดือนละ 1 ครั้ง





จัดทำโดย อาจารย์มะลิวรรณ ประวัง
โรงเรียนบ้านหนองกุลา จ.พิษณุโลก
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1

โดยการสนับสนุนจาก
การผลิตสื่อและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและขอขอบคุณอาจารย์พูนศักดิ์ สักกทัติยะกุล
โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย กรุงเทพฯ

Copyright (c) 2004. Maliwan Prawang. All rights reserved.

<>maliwan_prawang@hunsa.com<>


http://www.skb.ac.th/~skb/media/media_webnamo/sec/job/tech_veget1/course2.html


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 1:58 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 21/03/2011 9:12 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

4. พืชสมุนไพรไล่แมลงทดแทนการใช้สารเคมีสังเคราะห์ (ตอนที่2)

มนุษย์นั้นรู้จักการใช้สมุนไพรป้องกันกำจัดศัตรูพืชมานานแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้กลับถูกมองข้าม ขาดการเผยแพร่ ประกอบกับสารเคมี
ทางการเกษตรในปัจจุบันหาได้ง่าย ใช้ได้ง่าย และเห็นผลรวดเร็วกว่า แต่เมื่อมีการใช้ในระยะเวลานานๆ ก็จะเริ่มส่งผลเสียออกมา
ให้เห็น มีทั้งผลกระทบต่อมนุษย์ สัตว์ พืช รวมทั้งสิ่งแวดล้อมด้วย ปัจจุบัน นักวิชาการทางการเกษตร เกษตรกรผู้ผลิตและผู้
บริโภค จึงได้ให้ความสำคัญกับการใช้สมุนไพรควบคุมศัตรูพืช สนใจภูมิปัญญาพื้นบ้านมากขึ้น รวมถึงนักวิชาการบางท่าน ได้หัน
มาสนใจค้นคว้าและพัฒนาสมุนไพรเพื่อให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สมุนไพรป้องกันกำจัดศัตรูพืช ยังมีข้อดีหลายอย่างคือ มีราคาถูก ปลอดภัย ต่อเกษตรกรผู้ใช้ ไม่มีสารพิษตกค้างในผลผลิต
จึงปลอดภัยต่อผู้บริโภค รวมทั้งไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่เป็นประโยชน์ในแปลงพืชผัก ไม่ตกค้างในดินและ

สภาพแวดล้อม

ชนิดของสมุนไพรป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช
สมุนไพรที่มีประสิทธิภาพป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช ได้แก่ :- หางไหลขาว (โล่ติ้น) หางไหลแดง (กะเพียด) ยาสูบ (ยาฉุน)
เถาบอระเพ็ด สาบเสือ พริกไทย ข่าแก่ ขมิ้นชัน ตะไคร้หอม ตะไคร้แกง ดีปลี พริก โหระพา สะระแน่ กระเทียม กระชาย กระเพรา
ใบผกากรอง ใบดาวเรือง ใบมะเขือเทศ ใบคำแสด ใบน้อยหน่า ใบยอ ใบลูกสบู่ต้น ใบลูกเทียนหยด ใบมะระขี้นก เปลือกว่านหาง
จระเข้ ว่านน้ำ เมล็ดโพธิ์ เมล็ดแตงไทย เปลือกมะม่วงหิมพานต์ ดอกลำโพง ดอกเฟื่องฟ้าสด กลีบดอกชบา ลูกทุเรียนเทศ ราก
เจตมูลเพลิงแดง

สมุนไพรที่มีประสิทธิภาพป้องกันกำจัดหนอนชนิดต่าง ได้แก่ :- สะเดา (ใบ+ผล) หางไหลขาว (โล่ติ้น) หางไหลแดง (กะเพียด)
หนอนตายหยาก สาบเสือ ยาสูบ (ยาฉุน) ขมิ้นชัน ว่านน้ำ หัวกลอย เมล็ดละหุ่ง ใบและเมล็ดสะบู่ต้น ดาวเรือง ฝักคูณแก่ ใบเลี่ยน
ใบควินิน ลูกควินิน ใบมะเขือเทศ เถาบอระเพ็ด ใบลูกเทียนหยด เปลือกใบเข็มป่า เปลือกต้นจิกและจิกสวน ต้นส้มเช้า เมล็ดมันแกว
ใบยอ ลูกเปลือกต้นมังตาล เถาวัลย์ยาง เครือบักแตก คอแลน มุยเลือด ส้มกบ ตีนตั่งน้อย ปลีขาว เกล็ดลิ้น ย่านสำเภา พ่วงพี
เข็มขาว ข่าบ้าน บัวตอง สบู่ดำ แสยก พญาไร้ใบ ใบแก่-ผลยี่โถ


สมุนไพรป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช สามารถแยกตามชนิดของแมลงศัตรูพืชได้ดังนี้
1. หนอนกระทู้ - มันแกว สาบเสือ ยี่โถ สะเดา หนอนตายหยาก ใบมะเขือเทศ ดาวเรือง ขมิ้นชัน ข่า ขิง คูน น้อยหน่า
2. หนอนคืบกระหล่ำ - มันแกว สาบเสือ ยาสูบ ยี่โถ สะเดา หนอนตายหยาก ใบมะเขือเทศ ดาวเรือง ขมิ้นชัน คูน ตะไคร้หอม
3. หนอนใยผัก - มันแกว ยี่โถ สะเดา หนอนตายหยาก ใบมะเขือเทศ ดาวเรือง ขมิ้นชัน คูน ตะไคร้หอม

4. หนอนกอข้าว - ยาสูบ บอระเพ็ด ใบมะเขือเทศ
5. หนอนห่อใบข้าว - ผกากรอง
6. หนอนชอนใบ - ยาสูบ ใบมะเขือเทศ

7. หนอนกระทู้กล้า - สะเดา
8. หนอนหลอดหอม - ยี่โถ สะเดา หนอนตายหยาก ใบมะเขือเทศ ตะไคร้หอม
9. หนอนหนังเหนียว - ยี่โถ สะเดา หนอนตายหยาก ใบมะเขือเทศ คูน

10. หนอนม้วนใบ - ยี่โถ สะเดา หนอนตายหยาก ใบมะเขือเทศ คูน ตะไคร้หอม
11. หนอนกัดใบ - ยี่โถ สะเดา หนอนตายหยาก ใบมะเขือเทศ คูน ตะไคร้หอม
12. หนอนเจาะยอดเจาะดอก - ยี่โถ สะเดา ขมิ้นชัน คูน

13. หนอนเจาะลำต้น - สะเดา ใบมะเขือเทศ คูน
14. หนอนแก้ว - ใบมะเขือเทศ ขมิ้นชัน ตะไคร้หอม
15. หนอนผีเสื้อหัวกะโหลก - ใบมะเขือเทศ ดาวเรือง

16. หนอนผีเสื้อต่างๆ - มันแกว หนอนตายหยาก สะเดา คูน
17. ด้วงหมัดกระโดด - มันแกว ว่านน้ำ มะระขี้นก ยาสูบ กระเทียม
18. ด้วงเจาะเมล็ดถั่ว - ขมิ้นชัน ด้วงกัดใบ มะระขี้นก คูน

19. ด้วงเต่าฟักทอง - สะเดา กระเทียม น้อยหน่า
20. ด้วงหรือมอดทำลายเมล็ดพันธุ์ - ยี่โถ กระเทียม ขมิ้นชัน ข่า ขิง
21. มอดข้าวเปลือก - ว่านน้ำ

22. มวนเขียว - มันแกว ยาสูบ
23. มวนหวาน มันแกว ยาสูบ
24. แมลงสิงห์ข้าว - มะระขี้นก

25. เพลี้ยอ่อน - มันแกว ยาสูบ สะเดา หนอนตายหยาก ดาวเรือง กระเทียม น้อยหน่า
26. เพลี้ยไฟ - ยางมะละกอ สะเดา สาบเสือ ยาสูบ หนอนตายหยาก กระเทียม
27. เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล - สะเดา สาบเสือ บอระเพ็ด

28. เพลี้ยจั๊กจั่นสีเขียว - สะเดา สาบเสือ บอระเพ็ด
29. เพลี้ยหอย - สาบเสือ
30. เพลี้ยแป้ง - ยาสูบ สะเดา ไรแดง ยาสูบ ขมิ้นชัน ไรขาว ยาสูบ ขมิ้นชัน

31. แมลงหวี่ขาว - ดาวเรือง กระเทียม
32. แมลงวันแดง - ว่านน้ำ น้อยหน่า สลอด ข่าเล็ก เงาะ บัวตอง ขิง พญาไร้ใบ
33. แมลงวันทอง - ว่านน้ำ หนอนตายหยาก บัวตอง มันแกว แสลงใจ

34. แมลงปากกัดผัก - ว่านน้ำ
35. แมลงกัดกินรากและเมล็ดในหลุมปลูก - มะรุม
36. จิ้งหรีด - ละหุ่ง สบู่ดำ สลอด

37. ปลวก - ละหุ่ง
38. ตั๊กแตน - สะเดา


สมุนไพรไล่แมลง เป็นพืชที่มีส่วนต่าง ๆ เช่น ใบ ราก เปลือก ดอก ผล ที่มีสารออกฤทธิ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในการป้องกันกำจัด
แมลงศัตรูพืช

ผลทางตรง จะมีผลกระทบต่อระบบประสาท และระบบหายใจ ทำให้แมลงตายทันที

ผลทางอ้อม จะมีผลต่อระบบอื่น ๆ โดยการไปยับยั้งการกินอาหาร การลอกคราบ การเจริญเติบโตของแมลง

การใช้สมุนไพรไล่แมลงหรือกำจัดศัตรูพืชควรใช้ให้เหมาะสม คือ เลือกใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืชสมุนไพรในช่วงเวลาที่เหมาะสม ดังนี้
ดอก ควรเก็บในระยะดอกตูมเพิ่งจะบาน
ผล ควรเก็บในระยะที่ผลยังไม่สุก เพราะสารต่างยังไม่ถูกส่งไปเลี้ยงเมล็ด
เมล็ด ควรเก็บในระยะที่ผลสุกงอมเต็มที่ ซึ่งจะมี
ระยะที่เมล็ดแก่เต็มที่ และจะมีสารต่าง ๆ สะสมอยู่ในปริมาณมาก
หัวและราก ควรเก็บในระยะที่เริ่มมีดอก เพราะระยะนี้ต้นพืชจะมีการสะสมสารต่าง ๆ ไว้ที่รากและควรเก็บในฤดูหนาวปลายฤดูร้อน
เพราะเป็นช่วงที่กระบวนสังเคราะห์แสงหยุดทำงาน
เปลือก ควรเก็บก่อนที่จะมีการผลิใบใหม่และควรเก็บในฤดูร้อนและฤดูฝน


ดังนั้นก่อนที่จะนำสมุนไพรแต่ละชนิดมาในในการป้องกันกำจัดหรือไล่แมลงศัตรูพืช ควรมีการศึกษาหาข้อมูลให้ดีเสียก่อนว่าจะนำส่วน
ไหนมาใช้และใช้ในช่วงเวลาใดจึงจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันกำจัดแมลง เพราะบางคนรู้เพียงว่าใช้พืชตัวนั้นตัว
นี้ในการป้องกันกำจัดแต่ไม่ทราบว่าใช้ส่วนใดเวลาใดจึงจะเกิดประสิทธิภาพดีที่สุด ในตอนต่อไปผู้เขียนจะได้กล่าวถึงพืชสมุน
ไพรที่มีคุณสมบัติในการป้องกันกำจัดโรคพืชและวิธีการทำน้ำสมุนไพรไล่และป้องกันกำจัดศัตรูพืช(ทั้งโรคและแมลง)ด้วยสูตร
ต่างๆกัน ขอท่านผู้อ่านได้ติดตามการใช้พืชสมุนไพรไล่แมลงทดแทนการใช้สารเคมีสังเคราะห์ตอนที่3

ท่านผู้อ่านท่านใดสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อาจารย์แสงเดือน อินชนบท สำนักฟาร์มมหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทร.
053-873071 ในวันและเวลาราชการ

รายงานโดย

ฝ่ายส่งเสริมการเกษตร สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร
มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทร. 053-873938-9



http://www2.it.mju.ac.th/dbresearch/rae/index.php?option=com_content&view=article&id=1268:herb2&catid=105:2553-02-04-04-m-s&Itemid=496


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 1:59 pm, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 02/04/2011 8:54 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)




5. วิธีไล่ยุง มด แบบปลอดภัย ไร้กังวล

ไม่ว่าจะเป็นโรคชิคุนกุนยาไข้เลือดออก มาลาเรียหรืออีกหลายๆ โรค ล้วนมีสาเหตุมาจากยุง ยิ่งหน้าฝนที่น้ำขังอย่างนี้ยุงยิ่งเยอะ
ลำพังยุงก็ปวดใจจะแย่ บางบ้านยังมีมดที่หนีน้ำขึ้นมาสมทบ ฉบับนี้เราจึงนำวิธีแบบธรรมชาติไว้ไล่ยุงและมดมาบอก และด้วยความ
เป็นธรรมชาติจึงไม่เป็นภัยกับคนในบ้าน และยังไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เรียกได้ว่าปลอดภัยไร้กังวลจริงๆ



4 ของในครัวไล่ยุงร้าย
กระเทียม
นำกระเทียมตำให้พอบุบ ผสมกับน้ำแล้วทาลงบนจุดชีพจรต่างๆ ในร่างกายและบนใบหน้าจะช่วยให้ยุงไม่เข้าใกล้อีก แต่ระวังอย่า
ให้เขาตาและไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบกลิ่นกระเทียม เพราะอาจจะมีกลิ่นค่อนข้างฉุน

น้ำมันมะกอก
นำน้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นลาเวนเดอร์ ยูคาลิปตัส มะนาว ตะไคร้ ทีทรีไธม์ และ เปปเปอร์มินต์ หยดลงในน้ำมันมะกอก 2-3 หยด
แล้วทาลงบนผิวจะช่วยให้ยุ่งไม่เข้าใกล้ แถมยังมีกลิ่นหอม ช่วยผ่อนคลายความเครียดอีกด้วย

วานิลา
นำผงวานิลาผสมกับน้ำเล็กน้อย แล้วทาลงบริเวณจุดชีพจรบนผิวหนัง หรืออาจจะแต้มลงบนเสื้อผ้า เมื่อยุงได้กลิ่นจะไม่กล้าเข้าใกล้

ตะไคร้
นำตะไคร้มาตำให้แหลก ผสมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน แล้วมาทาลงบนผิว ช่วยป้องกันยุงได้อย่างดี


4 วิธีไล่มดตัวจิ๋วจอมป่วน
คุณแม่บ้านทั้งหลายคงคำราญกับการก่อกวนของเจ้าพวกมดตัวน้อยตัวนิด ที่เวลาวางกับข้าวหรือน้ำหวานเพียงไม่กี่นาทีก็เดินขบวน
ยาวสามัคคีกันมาเป็นแถว หากจะกำจัดปัญหาปวดหัวนี้ แค่ใช้วิธีง่ายๆ ด้วยการหาของใช้ในบ้านเรานี่แหละมาปราบเจ้ามดกัน

วิธีที่ 1 นำน้ำส้มสายชูผสมน้ำ แล้วเช็ดตามทางเดินมด จะทำให้มดไม่กลับมาเดินอีก และยังช่วยไล่แมลงสาบได้อีกด้วย

วิธีที่ 2 ใช้ผงฟูโรยตามทางเดิน หรือใช้ฟองน้ำเปียกๆ เช็ดตามทางเดินมด จะทำให้มดหาทางเดินไม่เจอ ไม่เดินกลับมาที่อาหารได้อีก

วิธีที่ 3 โรย พริกป่น กากกาแฟ สะระแหน่แห้ง ตามทางที่มดเดิน จะทำให้มดสับสนหาทางเดินไม่ได้

วิธีที่ 4 นำมะนาวบีบลงไปในรูมด แล้วทิ้งเปลือกมะนาวไว้ตรงนั้นจะทำให้มดไม่กลับมาอีก

เห็นไหม เพียงแค่เดินเข้าครัวก็หาสิ่งของป้องกันเจ้ายุงร้ายกับมดตัวจี๊ดได้ไม่ยาก โดยที่ไม่ต้องไปหาซื้อลิ้นเปลืองและยังปลอดภัย
ไม่มีสารพิษตกค้างให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพคนในบ้านด้วย


วิธีกำจัดยุง และแมลง
1.สำรวจในบ้านและบริเวณรอบๆบ้านที่อาจเป็นแหล่งน้ำขัง เช่น ป่าหญ้า กองขยะ เศษภาชนะ อ่าง ขวด ขัน แก้ว ถ้วย โถ ที่ไม่ใช้
แล้วและทิ้งเกะกะ กองยางรถยนต์เก่าๆ

2. ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงตามข้อ 1 เช่นรื้อเก็บไปทิ้ง ไปขาย พัฒนาพื้นที่ไม่ให้เป็นแหล่งน้ำท่วมขัง

3. สำรวจและพัฒนาการสุขาภิบาลที่อยู่อาศัยภายในบ้านและปรับปรุงแก้ไข เช่น
-มุ้งลวดไม่มีรู หรือช่องโหว่ ประตูเปิดและปิดให้เป็นนิสัย ไม่เปิดทิ้งไว้
-การระบายอากาศต้องให้มีการถ่ายเทอากาศได้สะดวก
-แสงสว่างเพียงพอโดยอาจใช้กระเบื้องหลังคาแบบใส
-ภายในบ้านไม่ควรมีมุมมืด หรืออับชื้น เพราะสภาพดังกล่าวเป็นสิ่งที่ยุงชอบอยู่อาศัย
-การกักเก็บน้ำดื่มน้ำใช้ต้องมีฝาปิด หรือมุ้งครอบ
-พื้นห้องน้ำ ลานบ้าน ดาดฟ้า และบริเวณที่อาจมีน้ำเข้าถึง มีความลาดเอียง เรียบ ไม่เป็นแอ่งให้มีน้ำขัง


4. หากจำเป็นต้องมีภาชนะ หรือแหล่งขังน้ำภายในบ้านและบริเวณรอบบ้าน เช่น บ่อน้ำ อ่างบัว จานรองขาตู้กับข้าว แจกันดอกไม้
จะต้องหาทาง
- ปกปิดภาชนะเหล่านั้น ถ้าทำได้ หรือ
- เปลี่ยนน้ำบ่อยๆ
- ปล่อยปลาหางนกยูง หรือปลาอื่นที่กินลูกน้ำเป็นอาหาร


5. ฉีดพ่นยากำจัดแมลงในบ้านเป็นครั้งคราวโดยเลือกช่วงเวลาที่ไม่มีคนอยู่บ้าน และควรปิดประตูหน้าต่างเพื่อให้ยาตกค้างนาน
พอที่จะออกฤทธิ์ และควรกลับเข้าบ้านหนังจากที่ฉีดไปแล้วอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง





http://atcloud.com/stories/71721


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 2:00 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 03/04/2011 2:14 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

6. สมุนไพร กำจัด แมลงวันทอง






เมื่ออังคารที่แล้วกล่าวถึงการกำจัดแมลงวันทอง ด้วยวิธีการใช้สารเคมีเป็นส่วนประกอบ สำหรับส่วนการใช้ สมุนไพรกำจัดแมลงวันทอง
นั้นก็มีนักวิชาการศึกษาวิจัยกันมากมาย เช่น การศึกษาวิจัยเรื่อง “การวิจัยเพื่อค้นหาพืชของไทยที่มีคุณสมบัติในการป้องกันและกำจัดแมลง
วันทอง” โดย สุธรรม อารีกุล ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประเทืองศรี สินชัยศรี กองเกษตรเคมี
กรมวิชาการเกษตรและ แสน ติกวัฒนานนท์ คณะเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง งานวิจัยชิ้นนี้
ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเยี่ยม จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ

แต่ที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องที่ทำโดยเกษตรกรโดยตรงที่ทำแล้วนำไปใช้ได้ผลดี เพราะคนที่ทำก็เป็นเกษตรกรดีเด่น จังหวัดชัยนาท
คือ นายเสรี กล่ำน้อย (ข้อมูลโดยอัครินทร์ ท้วมขำ และ นิทัศน์ กาญจนภา สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 จ.ชัยนาท) โดย
นายเสรี ได้นำข่าแก่และข่าดง มาบดให้ละเอียดก่อนจะนำไปบดกับน้ำสะอาด โดยการนำข่าบดไปใส่ในภาชนะแล้วเอาฝ่ามือกดลงไป
แล้วเติมน้ำให้ท่วมหลังมือ จากนั้นก็หมักไว้ 1 คืน พอตอนเช้าให้นำผ้าขาวบางมากรองเอาแต่น้ำข่าหมัก ต้องระวังอย่าให้มีเศษผง
ข่าไหลปนมากับน้ำข่าหมัก แล้วนำน้ำข่าหมักไปผสมกับน้ำสะอาดด้วยอัตรา 1 : 10 (น้ำข่าหมัก 1 ลิตร ต่อน้ำสะอาด 10 ลิตร)

เมื่อผสมน้ำข่าหมักกับน้ำสะอาดตามสูตรแล้ว นายเสรี มีวิธีการนำไปใช้กับต้นชมพู่ทับทิมจันทร์ที่ปลูกอยู่ 10 ต้น ดังนี้ ฉีดพ่นผลที่ติด
หลังผสมเกสรแล้วมีขนาดเท่าหัวไม้ขีด โดยพ่น 3 วัน/ครั้ง ต่อมาเมื่อผลโตเท่าหัวแม่มือก็ฉีดพ่น 7-10 วัน/ครั้ง

ผลคือ สามารถป้องกันการทำลายของแมลงวันทองได้ถึง 70% แต่วิธีนี้มีข้อเสียคือ น้ำหมักข่าเก็บไว้ได้แค่ 2 วันเท่านั้น จากนั้นกลิ่น
เริ่มเหม็น ใช้การไม่ได้...

ฉะนั้นจึงหาวิธีที่จะทำให้อยู่ได้นาน ๆ กว่านั้น... นายเสรีจึงนำเอทิลแอลกอฮอล์ 95% มาหมักแทนน้ำ วิธีนี้ ทำให้สามารถเก็บไว้ได้
นานเป็นปี และมีประสิทธิภาพขับไล่แมลงวันทองได้ถึง 90%

โดยทำดังนี้ นำข่าแก่มาหั่น สับ บด ให้ละเอียด 3 ส่วน เอทิลแอลกอฮอล์ 95% อัตรา 1 ส่วน น้ำสะอาด 1 ส่วน และสบู่เหลว ส่วน
(ตัวอย่าง ข่าบดหรือสับ หรือหั่น 30 กก. เอทิลแอลกอฮอล์ 95% ปริมาณ 10 ลิตร น้ำสะอาด 10 ลิตร สบู่เหลว 2 ลิตร (สบู่เหลว
ใช้แทนสารจับใบและช่วยให้สารจับสมุนไพรที่ผิวของ ผลไม้และใบได้ทนทานไม่ถูกชะล้างเมื่อฝนตก)

นำทั้งหมดมาผสมกันแล้วหมักไว้ในภาชนะที่มีฝาปิด-เปิดได้ หมักไว้ 7 วัน ในห้องที่มีอากาศถ่ายเท ระหว่างนั้นก็คอยเปิดฝาระบายก๊าซ
ที่เกิดขึ้น แล้วปิดฝา... หลัง 7 วันก็นำไปใช้ได้

วิธีใช้ของนายเสรี ดังนี้คือ นำน้ำหมัก 50-70 ซีซี (ประมาณ 3-5 ช้อนโต๊ะ) ต่อน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ) ฉีดพ่นชมพู่ติดผลใหม่ทุก 7-10
วันต่อครั้ง กระทั่งพ้นระยะเข้าทำลายของแมลงวันทอง

นอกจากเหง้าข่าแก่ มีพืชชนิดอื่น ๆอีกหลายชนิดที่สามารถขับไล่แมลงวันทอง ได้แก่

ใบสะเดา ใบแก่คำแสด ใบแก่มะกรูด หัวแก่พระตะบะ หัวแก่เอ็นหลวง เมล็ดละหุ่ง เมล็ดแตงไทย ต้นเสน่ห์จันทร์ขาว ต้นหญ้างวงช้าง...

ลองนำวิธีของนายเสรี กล่ำน้อย เกษตรกรดีเด่นของจังหวัดชัยนาทไปปฏิบัติ หรือนำไปประยุกต์ใช้ก็น่าจะได้ผลดีแก่เกษตรกรที่ต้องการ
ป้องกันและกำจัดแมลงวันทอง หรือแมลงวันผลไม้ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลไม้หลายชนิดเสียหาย.


เธียรจรัส
เพิ่มเติมข้อมูลได้ที่ farmdaily@dailynews.co.th


ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์
http://blog.eduzones.com/futurecareer/37565


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 2:03 pm, แก้ไขทั้งหมด 3 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 03/04/2011 2:21 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

7. “ข่า” สมุนไพรป้องกันกำจัดแมลงวันทอง


แมลงวันทอง หรือแมลงวันผลไม้ เป็นศัตรูพืชที่สำคัญอย่างหนึ่งของเกษตรกรที่ปลูกพืชผักและผลไม้ต่างๆ ซึ่งแมลงวันทองก็มีหลายชนิด
บางชนิดเข้าทำความเสียหายให้กับผลผลิตของเกษตรกรตั้งแต่ผลไม้ยังมีขนาดเล็ก จนถึงผลไม้ที่สุกแก่ บางชนิดเข้าทำลายพืชผักต่างๆ เกษตร
กรต่างก็มีวีการ ในการป้องกันกำจัดได้หลายวิธี เช่น การทำกับดักเหยื่อล่อ

เหยื่อล่อแมลงวันทองนั้น มีทั้งเป็นสารสังเคราะห์ที่มีวางจำหน่าย และเกษตรกรยังสามารถใช้พืชสมุนไพรต่างๆ มาเป็นเหยื่อล่อได้อีกด้วย เช่น

กระเพรา ,พลับพลึง , เล็บมือนาง , เดหลีใบกล้วย ฯลฯ

โดยพืชเหล่านี้จะมีกลิ่นคล้ายกลิ่นของแมลงวันทองเพศเมีย ดังนั้นการใช้สมุนไพรที่ดึงดูดแมลงวันทองจะสามารถกำจัดได้เฉพาะแมลงวัน
ทองเพศผู้เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีพืชสมุนไพรที่มีพิษต่อแมลงวันทอง เช่น มีกลิ่นที่แมลงวันทองไม่ชอบ หรือมีพิษต่อแมลงวันทอง ดังนั้นการใช้สมุนไพร
ที่ป้องกันและกำจัดแมลงวันทองจะเป็นการไล่หรือป้องกันการวางไข่ของแมงวันทอง ได้แก่ ข่า

ส่วนที่ใช้ : เหง้า
วิธีการใช้

วิธีที่ 1) ตำข่า 200 กรัม เมล็ดสะเดา 200 กรัม ตะไคร้หอม 200 กรัม แช่ผสมกันในน้ำ 20 ลิตร สารสกัดที่ได้ 1 ลิตร ผสมน้ำ 1 ปี๊บ
ฉีดฆ่าแมลงศัตรูพืช

วิธีที่ 2) ตำข่าแก่ 1 กิโลกรัม แช่ในน้ำ 20 ลิตร นาน 1 คืน นำน้ำที่ได้ไปฉีดพ่น

- ฉีดทุกๆ 5 วัน เพื่อป้องกันแมลงวันทองมาวางไข่



http://gotoknow.org/blog/kasetchan/209736


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 2:03 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 03/04/2011 2:30 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

8. กะเพรา


ชื่อวิทยาศาสตร์ :Ocimum sanctum? L.
ชื่อพ้อง : Ocimum tenuiflorum? L.
ชื่อสามัญ : Holy basil,? Sacred Basil
วงศ์ : Lamiaceae (Labiatae)
ชื่ออื่น : กะเพราขน กะเพราขาว กะเพรา (ภาคกลาง) กอมก้อ กอมก้อดง (เชียงใหม่) อีตู่ไทย (ภาคอีสาน)


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 30-60 ซม. โคนต้นค่อนข้างแข็ง กะเพราแดงลำต้นสีแดงอมเขียว ส่วนกะเพราขาวลำต้นสีเขียวอมขาว
ยอดอ่อนมีขนสีขาว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน รูปรี กว้าง 1-3 ซม. ยาว 2.5-5 ซม. ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบแหลม ขอบใบจัก
เป็นฟันเลื่อย แผ่นใบสีเขียว มีขนสีขาว ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกสีขาวแกมม่วงแดงมีจำนวนมาก กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกัน ปลาย
เรียวแหลม ด้านนอกมีขน กลีบดอกแบ่งเป็น 2 ปาก ปากบนมี 4 แฉก ปากล่างมี 1 แฉก ปากล่างยาวกว่าปากบน มีขนประปราย เกสรเพศผู้มี 4
อัน ผล เป็นผลแห้ง เมื่อแตกออกจะมีเมล็ด สีดำ รูปไข่

ส่วนที่ใช้ : ใบ และยอดกะเพราแดง ทั้งสดและแห้ง ทั้งต้น

เป็นยาสมุนไพร ใช้ไล่หรือฆ่ายุง
ใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด 1 กิ่งใหญ่ ๆ เอาใบมารขยี้ แล้ววางไว้ใกล้ๆ ตัว จะช่วยไล่ยุงได้ และยังสามารถไล่แมลงได้ด้วย น้ำมันกะเพรา เอาใบสด
มากลั่น จะได้น้ำมันกะเพรา ซึ่งมีคุณสมบัติไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสดๆ

เป็นสมุนไพรไล่แมลงวันทอง
ใช้น้ำมันที่กลั่นจากใบสด ตามความเหมาะสม น้ำมันหอมระเหยนี้ไปล่อแมลง จะทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้


สารเคมี :
ในใบพบ Apigenin, Ocimol, Linalool , Essential Oil, Chavibetal







http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=23ca0f02e12d0ac9


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 2:04 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 03/04/2011 2:36 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

9. พืชที่มีพิษกำจัดแมลงศัตรู

รหัสสินค้า: 000123
บทความอ่านฟรี

รายละเอียด:
สมุนไพรพื้นบ้านสามารถนำมาปกป้องพืชผลทางการเกษตรได้ มาลองดูกันว่ามีสมุนไพรอะไรบ้าง

พืชที่เป็นพิษต่อเพลี้ยอ่อน : ว่านน้ำ สลอด ลำโพง กลอย พญาไร้ใบ ทานตะวันสบู่แดง เลี่ยน มันแกว รัก ข่าลิง

พืชที่เป็นพิษต่อหนอกกระทู้หอม : ว่านน้ำ น้อยหน่า สะเดา สลอด ว่านเศรษฐี มันแกว หนอนตายหยาก แสลงใจ

พืชที่เป็นพิษต่อแมลงวัน : น้อยหน่า สลอด มันแกง แสลงใจ

พืชที่เป็นพิษต่อแมลงวันทอง : ข่าเล็ก หมาก น้อยหน่า เลี่ยน เงาะ ยาสูบ พริกไทยดำ บัวตอง ขิงช้างคลาน สลอด

พืชที่มีมารไล่แมลงวันทองไม่ให้วางไข่ : กระเทียม สะเดา คำแสด มะกรูด แตงไทย ตะไคร้ ข่าดง หญ้างวงช้าง ลำดวน ละหุ่ง


การผลิตสมุนไพรใช้ ให้พยายามใช้หลายๆสูตร สับเปลี่ยนหมุนเวียนไป ใช้วัสดุหาง่าย ให้ฉีดพ่นต่อเนื่องทุกๆ 3-4 วัน เวลาใช้ให้ผสมน้ำ
สบู่(ยาจับใบ) ฉีดพ่นตอนเย็น หรือให้ระบบน้ำสปริงเกลอร์ ตอนเย็น


เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง: http://www.kokomax.com
19/05/2553 (update 23/05/2553)



http://www.kokomax.com/product-th-631967-2998581-%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B9.html


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 2:04 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 03/04/2011 2:48 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

10. ผลิตพืชอินทรีย์ / สมุนไพรกำจัดโรคและแมลง


หลักการผลิตพืชอินทรีย์

• ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ในกระบวนการผลิต
• มีการพัฒนาระบบการผลิตไปสู่แนวทางเกษตรผสมผสานที่มีความหลากหลายของพืชและสัตว์
• มีการพัฒนาระบบการผลิตที่พึ่งพาตนเองในเรื่องของอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารภายในฟาร์ม
• มีการฟื้นฟูและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วยอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักและปุ๋ยพืชสดอย่างต่อเนื่อง
• โดยใช้ทรัพยากรในฟาร์ม หมุนเวียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
• ส่งเสริมให้มีการแพร่ขยายชนิดของสัตว์และแมลงที่มีประโยชน์ (ตัวห้ำ ตัวเบียน) เช่น การปลูกพืชให้เป็นที่อยู่ของสัตว์ และแมลงที่
เป็นประโยชน์ เพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศในฟาร์ม และลดปัญหาการระบาดศัตรูพืช
• เลือกใช้พันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและมีความต้านทานต่อโรคและแมลง
• เจ้าของไร่นา หรือผู้ทำการผลิต มีความพยายามอย่างเต็มที่ในการป้องกันและหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของสารเคมี และมลพิษจากภายนอก
• สนับสนุนการเลี้ยงสัตว์ที่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม ควรได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมตามพฤติกรรมธรรมชาติ ไม่ควรเลี้ยงในที่คับแคบแออัด
• การแปรรูปผลิตผลเกษตรอินทรีย์ ควรเลือกวิธีการแปรรูปที่คงคุณค่าทางโภชนาการให้มากที่สุด โดยไม่ต้องใช้สารปรุงแต่งหรือใช้
น้อยที่สุด
• การผลิตและการจัดการผลิตผลเกษตรอินทรีย์ ควรคำนึงถึงวิธีที่ประหยัดพลังงานและควรพยายามเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ ที่มีผลกระทบ
ต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด




สมุนไพรกำจัดโรค-แมลง


ขมิ้นชัน
• หนอนกระทู้ผัก • หนอนผีเสื้อ • ด้วงงวงช้าง • ด้วงเจาะเมล็ดถั่ว • มอด • ไรแดง

เหง้ามีน้ำมันหอมระเหย ขับไล่และกำจัดแมลงได้หลายชนิด
1. ขมิ้นครึ่งกิโลกรัม ตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำ 1 ปี๊บ หมักทิ้งไว้ 1-2 วัน กรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่นกำจัดแมลง
2. ตำขมิ้นให้ละเอียด ผสมกับน้ำปัสสาวะวัว (ใช้ว่านน้ำตำละเอียดแทนได้) อัตราส่วน 1 ต่อ 2
3. กรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่นกำจัดแมลง ถ้าจะใช้กำจัดหนอนให้เติมน้ำผสมลงไปอีก 6 เท่า
4. บดขมิ้นให้เป็นผง ผสมเมล็ดถั่วในอัตรา ขมิ้น 1 กก. ต่อเมล็ดถั่ว 50 กก.
5. เพื่อช่วยในการเก็บรักษาเมล็ดถั่วป้องกันไม่ให้แมลงมา
ทำลายเม็ดถั่ว



ข่า
• แมลงวันทอง

น้ำคั้นจากเหง้า มีสารดึงดูด สารไล่แมลง สารฆ่าแมลง สามารถไล่แมลงวันทองไม่ให้วางไข่ได้ 99.21% และทำให้โรคใบจุดสีน้ำตาลใน
นาข้าวหายไป
1. นำเหง้าแก่สดหรือแห้ง มาบดเป็นผง ละลายน้ำ
2. กรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่นกำจัดแมลง



คูน
• หนอนกระทู้ผัก • หนอนกระทู้หอม • ด้วง

เนื้อฝักคูนจะมีสารประเภท Antraquinounes เช่น Aloin, Rhein Sennoside A, B และมี Organic acid

สาร Antra quinone มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทของแมลง

1. นำฝักคูนมาบดให้ละเอียด แล้วผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1 กก. ต่อน้ำ 20 ลิตร
2. หมักทิ้งไว้ 3 – 4 วัน นำมากรองเอาแต่น้ำ ฉีดพ่นกำจัดแมลง




ผกากรอง
• หนอนกระทู้ผัก

เมล็ดมีสาร Lantadene มีผลต่อระบบประสาทของแมลง

1. บดเมล็ด 1 กก. ผสมกับน้ำ 2 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 24 ชม. กรองเอาแต่น้ำนำไปฉีดพ่นกำจัดแมลงไม่ให้มาวางไข่ในแปลงผัก
2. ใช้ดอกและใบบดละเอียด หนัก 50 กรัม ผสมน้ำ 400 ซีซี แช่ทิ้งไว้ 1 คืน กรองเอาแต่น้ำ นำมาผสมน้ำ 1 : 5 ส่วน ใช้ฉีดพ่นกำจัดแมลง




ไพร
• เชื้อรา

ใช้ยับยั้งการเติบโตของเชื้อราในข้าวบาร์เลย์

1. บดไพลแห้งให้ละเอียด แล้วละลายในแอลกอฮอล์ ในอัตราส่วนร้อยละ 15 โดยน้ำหนัก แล้วนำไปฉีดพ่น




มะรุม
• เชื้อรา • แบคทีเรีย • โรคเน่า

ในใบจะสารพวกผลึกของอัลคาลอยด์ ซึ่งสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Pythium debangemum กำจัด
เชื้อราและแบคทีเรีย ได้แก่ โรคโคนต้น และผลเน่าของตระกูลแตง โรคผลเน่าใกล้พื้นดินของมะเขือเทศ โรคเน่าคอดินของคะน้ โรงแง่งขิงเน่า

1. นำใบมะรุมรูดเอาแต่ใบมาคลุกเคล้ากับดินที่เตรียมไว้ สำหรับเพาะกล้าหรือปลูกพืชผัก
2. ทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ เพื่อให้ใบมะรุมย่อยสลายไปกับดิน
3. สารที่อยู่ในใบของมะรุมจะออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ดี



http://www.lartc.rmutl.ac.th/d_Interview.php?InterID=0011


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 2:05 pm, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 03/04/2011 3:19 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

11. เครื่องกลั่นสมุนไพรรุ่นแยกน้ำมัน






การใช้สารสกัดจากพืชควบคุมแมลงศัตรูพืช
(The Use Plant Extracts in Controlling Insect Pests)

อำนวย อิศรางกูร ณ อยุธยา



เนื่องจากปัจจุบันการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรต้องพึ่งสารป้องและกำจัดศัตรูพืชอันได้แก่ ยาฆ่าแมลงต่างๆ ซึ่งสารเหล่านี้นับ
วันจะมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ และปัญหาจากการใช้สารพวกนี้ก็ติดตามมามากเช่น การดื้อยาของแมลง การแพ้ยาของผู้ใช้หรือผู้ที่อยู่ใกล้เคียง
ตลอดจนสัตว์เลี้ยงและเกิดปัญหาพิษตกค้างบนพืชผลเกษตร ตลอดจนระบบนิเวศวิทยาที่สูญเสียไป

ในอดีตเกษตรเคยใช้สารพิษจากพืชบางชนิดในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช ซึ่งสามารถใช้ได้ผลดีกับแมลงศัตรูพืชหลายชนิด เช่น
ใบยาสูบใช้กำจัดแมลงจำพวกเพลี้ยอ่อนและหนอนผีเสื้อ โล่ติ้นใช้ในการกำจัดหนอนผีเสื้อ

ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณาจารย์ของภาควิชากีฏวิทยามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ได้ทำการทดสอบพืชหลายชนิดเพื่อค้นหาว่าพืชชนิดใดมีสารที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการป้องกันกำจัดแมลงของตนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสาร
เคมีฆ่าแมลงโดยไม่พึ่งพาจากต่างประเทศ

จากผลการทดลองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 มาจนปัจจุบัน มีพืชที่ผ่านการทดลองในรูปแบบต่างๆ กัน 231 ชนิด ปรากฎผลดังนี้คือ ได้พบ
พืชที่มีพิษต่อเพลี้ยอ่อน 18 ชนิด พืชที่มีพิษต่อหนอนกระทู้ 9 ชนิด พืชที่มีพิษต่อแมลงวัน 4 ชนิด พืชที่มีพิษต่อแมลงวันทอง 18
ชนิด พืชที่มีสารดึงดูดแมลงวันทอง 23 ชนิด พืชที่ไล่แมลงวันทอง 14 ชนิด

หลักการทำงาน
ใช้ความร้อนจากไอน้ำเดือนสกัดเป็นสารระเหยจากพืชกลายเป็นไอระเหย ผ่านท่อและควบแน่นด้วยน้ำหล่อเย็น กลายเป็นน้ำผสมสาร
ระเหยจากพืช

วิธีการทำงาน
1. ใส่น้ำในถังสกัดให้ต่ำกว่าตะแกรง 2 นิ้ว และในถังควบแน่นให้เต็ม
2. ใส่ส่วนของพืช (ตัดหรือหั่นหรือทุบ) บนตะแกรง ให้เต็มตะแกรงชิดกับขอบถัง
3. ปิดฝารัดเข็มขัดให้แน่น ติดไฟเตาแก๊สต้มน้ำให้เดือด
4. ไอน้ำผสมกับสารระเหย จะผ่านไปยังท่อควบแน่นกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ
5. รองน้ำผสมสารระเหยด้วยขวดแก้ว ก็จะได้น้ำสกัดสารระเหยจากพืชตามต้องการ




ประสิทธิภาพการทำงาน

http://www.kasetvirul.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5346754&Ntype=2


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 2:06 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 03/04/2011 3:37 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

12. การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำ
(Steam distillation)


การกลั่นด้วยไอน้ำเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของการสกัดด้วยตัวทำละลาย โดยใช้ไอน้ำเป็นตัวทำละลาย ละลายสารและพาสารที่ต้องการออก
จากของผสมได้ ส่วนใหญ่การกลั่นด้วยไอน้ำมักจะใช้สกัดสารอินทรีย์ออกจากส่วนต่าง ๆ ของพืชที่อยู่ตามธรรมชาติ เช่น การสกัดน้ำมัน
หอมระเหยจากตะไคร้ ใบมะกรูด เป็นต้น

หลักการที่สำคัญ การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำอาศัยหลักการที่ว่า “สารที่ต้องการสกัดจะต้องระเหยได้ง่าย สามารถให้ไอน้ำพาออกมา
จากของผสมได้ และสารที่สกัดได้จะต้องไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกับน้ำหรือไม่ละลายน้ำนั่นเอง” (ถ้าของเหลวที่กลั่นได้ละลายน้ำ หรือรวมเป็น
เนื้อเดียวกันกับน้ำจะต้องนำไปกลั่นแยกอีกครั้งหนึ่ง)

หลังจากที่สกัดด้วยไอน้ำแยกออกมาจากของผสมแล้ว ของเหลวจะแยกเป็น 2 ชั้น ชั้นหนึ่งเป็นน้ำ อีกชั้นหนึ่งเป็นสารที่ต้องการ ซึ่งสามารถ
ใช้กรวยแยก แยกออกจากกันได้

เนื่องจากสารที่ต้องการสกัดจะต้องระเหยออกมาเป็นไอพร้อมกับไอน้ำ และไม่ละลายน้ำ ดังนั้นการสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำ จึง
เหมาะสมที่จะใช้แยกสารที่ระเหยง่าย และไม่ละลายน้ำ ออกจากสารที่ระเหยหรือกลายเป็นไอได้ยาก โดยเฉพาะสารที่มีลักษณะเป็น
ยางเหนียว


การกลั่นด้วยไอน้ำอาจจะทำได้ 2 วิธี คือ การกลั่นด้วยไอน้ำโดยตรง และทางอ้อม

ก. การกลั่นโดยตรง โดยให้น้ำและสารที่ต้องการจะ
สกัดอยู่ในภาชนะเดียวกัน เมื่อให้ความร้อนแก่น้ำจนกลายเป็นไอ ไอน้ำจะสกัดสารที่ต้องการออกมา

ข. การกลั่นโดยทางอ้อม วิธีนี้น้ำและสารที่ต้องการสกัดจะอยู่ต่างภาชนะกัน ในตอนแรกต้องต้มน้ำให้กลายเป็นไอก่อน แล้วจึงผ่านไอน้ำ
เข้าไปในสารที่ต้องการสกัด ให้ไอน้ำพาสารที่ต้องการสกัดออกมา วิธีนี้เป็นที่นิยมมากกว่า เพราะสามารถป้องกันการเดือดอย่างรุนแรง
ของสารละลายได้



การกลั่น
การกลั่น จัดว่าเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดวิธีหนึ่งสำหรับการทำของเหลวให้บริสุทธิ์ ใช้แยกของเหลวหรือของแข็งกับของเหลวที่ผสมกันเป็นสาร
ละลายเนื้อเดียวออกจากกัน โดยอาศัยความแตกต่างของจุดเดือด

การกลั่นเป็นกระบวนการที่ทำให้ของเหลวได้รับความร้อนจนกลายเป็นไอ แล้วทำให้ควบแน่นกลับมาเป็นของเหลวอีก ในขณะที่กลั่นของ
ผสม ของเหลวที่มีจุดเดือดต่ำจะกลายเป็นไอแยกออกมาก่อน ของเหลวที่ที่มีจุดเดือดสูงขึ้นจะแยกออกมาภายหลัง
การกลั่นมีหลายประเภท เช่น
• การกลั่นแบบธรรมดา
• การกลั่นลำดับส่วน
• การกลั่นโดยการลดความดัน
• การกลั่นด้วยไอน้ำ



การกลั่นแบบธรรมดา
การกลั่นแบบธรรมดาเหมาะสำหรับการแยกสารละลายที่ตัวถูกละลายเป็นสารที่ระเหยยาก และตัวถูกละลายมีจุดเดือดสูงกว่าตัว
ทำละลายมาก เช่น น้ำเชื่อม น้ำเกลือ นอกจากนั้นยังใช้แยกของเหลว 2 ชนิด ที่มีจุดเดือดต่างกันมาก ๆ เช่น ต่างกันมากกว่า 80
องศา C ออกจากกันได้ “ในขณะที่กลั่นตัวทำละลายจะแยกออกมา ตัวถูกละลายจะยังคงอยู่ในขวดกลั่น” ทำให้ตัวทำละลายที่บริ
สุทธิ์แยกออกจากสารละลาย

ตัวอย่างเช่น การกลั่นน้ำเกลือ ซึ่งประกอบด้วย น้ำ (จุดเดือด 1000 C) และเกลือโซเดียมคลอไรด์ (จุดเดือด 1,413 0 C) เมื่อ
สารละลายได้รับความร้อน จะมีแต่น้ำเท่านั้นที่กลายเป็นไอออกมา เมื่อไอน้ำผ่านเข้าไปในเครื่องควบแน่นซึ่งมีน้ำเย็นไหลเวียน
ตลอดเวลา ไอน้ำจะควบแน่นได้ของเหลว คือน้ำบริสุทธิ์ออกมา ในขณะที่เกลือยังคงอยู่ในสารละลายในขวดกลั่น ถ้ายังคงกลั่นต่อ
ไปจนแห้งจะเหลือแต่เกลืออยู่ในขวดกลั่น จึงทำให้สามารถแยกน้ำกับเกลือออกจาก
กันได้



ลักษณะโดยทั่วไปของเครื่องกลั่นแบบธรรมดา จะเป็นดังนี้

การแยกสาร
สารต่างๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปของสารละลายหรือของผสม ซึ่งเป็นสารไม่บริสุทธิ์ เช่น ในเมล็ดนุ่นมีน้ำมันที่ใช้
ประกอบอาหารผสมอยู่ในดอกไม้บางชนิดมีสารหอมระเหย วึ่งใช้ทำน้ำหอม ในน้ำมันปิโตรเลียมมีสารที่ใช้ทำเชื้อเพลิง และในสมุนไพร
มีสารที่ใช้เป็นยารักษาโรคผสมอยู่ เป็นต้น สารเหล่านี้จัดว่าเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน แต่เนื่องจากอยู่ปะปนกันกับสารอื่น ถ้านำ
มาใช้โดยตรงจะทำให้คุณค่าของสารเหล่านี้ด้อยลงไป หรือกลายเป็นสารที่ไม่มีประโยชน์เลยก็ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีวิธีการแยกสาร
เหล่านี้ ออกจากของผสมให้ได้สารบริสุทธิ์ก่อนเพื่อจะใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

การแยกสาร เป็นการทำสารให้บริสุทธิ์ ซึ่งอาจจะใช้วิธีการทางเคมี หรือทางกายภาพก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสมบัติของสารที่ผสมกันนั้น

การแยกสารหรือการทำสารให้บริสุทธิ์จัดเป็นสิ่งสำคัญ และมีประโยชน์มากทั้งในชีวิตประจำวัน และในอุตสาหกรรม เครื่องมือและเทคนิค
ที่ใช้แยกสารเคมีแบบต่าง ๆ กัน ตามลักษณะของสาร ของผสมบางอย่างอาจจะแยกออกจากกันได้หลายวิธี แต่ของผสมบางอย่างอาจจะ
แยกออกจากกันได้เพียงวิธีเดียว อย่างไรก็ตามการแยกสารโดยทั่ว ๆ ไปจะยึดหลักของ “ความง่ายและประหยัด” ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่
ใช่วิธีที่เหมาะสมที่สุด หรือไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น ใช้การระเหยเพื่อแยกเกลือ NaCl ออกจากน้ำทะเล ใช้การหีบอ้อย
เพื่อแยกน้ำตาลออกจากอ้อย และใช้การคั้นเพื่อแยกกะทิออกจากเนื้อมะพร้าว

วิธีที่ใช้แยกสาร
โดยทั่ว ๆ ไป ได้แก่
• การกลั่นแบบต่าง ๆ
• การกรอง
• การตกผลึก
• การสกัดด้วยตัวทำละลาย
• โครมาโทกราฟี

........ ฯลฯ ..............


http://202.143.148.60/myscrapbook/index.php?section=21&page=21


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 2:07 pm, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 03/04/2011 4:06 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

13. นักวิจัย มก. คิดค้นเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยขนาดเล็กและราคาถูก


นักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คิดค้นเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหย สามารถกลั่นน้ำมันจากตะไคร้และเปลือกมะนาวได้
ซึ่งได้ปริมาณน้ำมันมากขึ้น เครื่องมีขนาดเล็กขนย้ายสะดวก ทนทาน และราคาถูก เหมาะกับ อุตสาหกรรมขนาดเล็กและ
ครัวเรือน เชื่อมั่นว่าสามารถตอบสนองธุรกิจสปาในประเทศไทยที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงอยู่ในขณะนี้ อีกทั้งยังลด
การนำเข้าน้ำมันหอมระเหยจากต่างประเทศอีกด้วย

สืบเนื่องมาจากปี 2542 ที่เกษตรกรประสบปัญหามะนาวล้นตลาด รัฐบาลจึงเร่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งทำวิจัยเพื่อ
แก้ปัญหาและหาทางเพิ่มมูลค่าของมะนาว สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่ง มก. จึงระดมความคิดเห็นจากนักวิจัยของมหาวิทยา
ลัยเกษตรศาสตร์ จัดทำโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ โดยอาจารย์สุรัตน์วดี จิวะจินดา ได้เสนอขอทำ
โครงการวิจัยเรื่องการผลิตน้ำมันหอมระเหยจากมะนาวไทยเพื่อการส่งออก เนื่องจากเคยทำโครงการวิจัยเรื่องน้ำมัน
ตะไคร้หอมมาก่อนหน้านี้และได้ออกแบบเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยแนะนำให้เกษตรกรใช้กลั่นน้ำมันตะไคร้หอม
สำหรับไล่แมลง ซึ่งในงานวิจัยครั้งนั้นพบว่าเครื่องกลั่นที่เคยออกแบบให้เกษตรกรกลั่นน้ำมันตะไคร้และ
ตะไคร้หอมไม่สามารถกลั่นน้ำมันจากเปลือกมะนาวให้ได้ผลเป็นที่พอใจ จึงคิดออกแบบเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยนี้
ขึ้นโดยได้รับเงินอุดหนุนการวิจัยจากสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่ง มก.

โดยในขั้นตอนการวิจัย ได้ทดลองกลั่นโดยเครืองกลั่นแบบต่างๆที่มีอยู่ กับเครื่องที่ออกแบบขึ้นใหม่ที่เพิ่มเติมส่วนใน
การควบคุมการไหลของไอเพื่อเพิ่มความดันในถังกลั่น ใช้เวลาในการทำวิจัย รวมทั้งการเก็บข้อมูลในการกลั่นประมาณ
3 ปี และประสบความสำเร็จให้ผลที่น่าพอใจโดยให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันประมาณ 2% จากที่เคยกลั่นได้น้อยกว่า 1%
จากเครื่องกลั่นเดิม และเห็นว่าเครื่องกลั่นในรูปแบบนี้ยังไม่มีในท้องตลาด จึงได้ยื่นจดอนุสิทธิบัตรต่อกรมทรัพย์สิน
ทางปัญญาแล้ว พร้อมทั้งได้ทำการผลิตออกจำหน่ายแก่ผู้สนใจแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งจากผลงานนี้ ส่งผลให้เครื่องกลั่น
น้ำมันหอมระเหยได้รับรางวัลที่ 1 ในการประกวดสิ่งประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำปี 2546
ของมูลนิธิธนาคารกรุงเทพ ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยนี้ ออกแบบขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมขนาดเล็ก เนื่องจาก
เครื่องกลั่นในระบบอุตสาหกรรม ทั่วไปมักจะมีขนาดใหญ่ ยากต่อการขนย้ายหรือขนย้าย และมีราคาแพง ส่วนชุดเครื่อง
กลั่นที่ใช้ในห้องปฏิบัติการมักจะมีส่วนประกอบที่เป็นแก้วซึ่งชำรุดเสียหายได้ ไม่เหมาะกับการใช้งานในลักษณะ
ของอุตสาหกรรมในครัวเรือนหรือในกลุ่มเกษตรกร

สำหรับคุณสมบัติพิเศษของเครื่องกลั่นที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้ จะใช้กลั่นเพื่อสกัดแยกเอาน้ำมันชนิดน้ำมันหอมระเหย ไม่ใช่
น้ำมันพืชทั่วไป จากส่วนที่มีน้ำมีนหอมระเหยสะสมอยู่ของพืช เช่น ราก ใบ ดอก หรือเนื้อไม้ ออกแบบเป็นถังกลั่น
ชนิดเบ็ดเสร็จถังเดียวขนาดเล็กโดยใช้ระบบการกลั่นด้วยน้ำ ระบบควบคุมอุณหภูมิและความดัน โดยมีส่วนที่ทำการ
ควบแน่นแยกต่างหาก สามารถประกอบหรือถอดชิ้นส่วนออกได้ง่ายและขนย้ายสะดวก ทำจากเหล็กปลอดปลอด
สนิมที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร สามารถทนแรงดันจากภายในได้ไม่ต่ำกว่า 3 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร มี
ส่วนประกอบทั้งหมด 5 ส่วน ได้แก่ ถังกลั่น ฝาของถังกลั่น ท่อนำไอน้ำ ตัวควบแน่น และถังรองรับน้ำมันและแยกน้ำมัน

วิธีการทำงาน คือ เมื่อใส่น้ำ ชิ้นส่วนของพืช และติดตั้งส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และเปิดให้เครื่องทำงานแล้ว ตัวทำ
ความร้อนจะทำงานจนทำให้น้ำเดือด ไอน้ำจะลอยผ่านชั้นที่บรรจุพืชขึ้นมา ความร้อนจากไอน้ำจะระเหยน้ำมันหอม
ระเหยที่มีอยู่ในพืชให้กลายเป็นไอปนออกมารวมกับไอน้ำ ผ่านทางช่องระบายไอน้ำด้านบนของฝาถัง โดยสามารถ
ควบคุมความเร็วในการไหลของไอน้ำและความดันภายในถัง โดยการปิดเปิดวาวล์ที่ครอบอยู่บนช่องระบายไอน้ำ
ไอน้ำและน้ำมันจะไหลผ่านท่อนำไอน้ำเข้าสู่ตัวควบแน่นแล้วกลั่นตัวเป็นของเหลวงลงสู่ภาชนะเก็บและแยกน้ำมัน
ซึ่งจะแยกเอาน้ำมันออกจากน้ำได้หรืออาจนำไปแยกด้วยกรวยแยกก็ได้ ซึ่งจะทำให้ได้น้ำมันหอมระเหยที่ต้องการ
ในที่สุด

หลังจากประสบความสำเร็จ ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ไปให้แก่ประชาชน โดยจัดอบรมเรื่องการกลั่นน้ำมันหอม
ระเหยไปแล้วหลายรุ่น ประมาณ 300 – 400 คน และขณะนี้ก็มีเอกชนรายย่อยหลายรายและโรงพยาบาลแพทย์
แผนไทยบางแห่งสั่งไปใช้บ้างแล้ว เช่น บริษัท ภูต้นน้ำ บริษัทนิธิกรฟาร์มแอนด์เอสเซนเชียลออยล์ โรงพยาบาลสุวรรณ
ภูมิจังหวัดร้อยเอ็ด และเอกชนที่ไม่อยู่ในรูปบริษัทอีก 4 ราย

อย่างไรก็ตาม อาจารย์สุรัตน์วดีบอกว่า การวิจัยนี้ยังขาดผู้ช่วยทำงานวิจัยที่คิดไว้หลายเรื่อง อีกทั้งเงินทุนวิจัยที่ได้
รับค่อนข้างจำกัดทำให้พัฒนางานได้ค่อนข้างช้า แต่ยังมีความคิดดี ๆ และน่าสนใจอีกหลายเรื่องที่น่าจะทำต่อ และ
ในอนาคต อาจพัฒนาออกไปได้อีกเป็นเครื่องกลั่นอเนกประสงค์ เพื่อใช้ประโยชน์ในงานวิจัยทางด้านสมุนไพรต่อไป

อาจารย์สุรัตน์วดี กล่าวด้วยว่า บ้านเรามีดอกไม้หอมกลิ่นไทย ๆ หลายชนิดที่เป็นเอกลักษณ์แบบตะวันออกที่สามารถ
สกัดกลิ่นหอมมาขายเป็นสินค้าประเภทเครื่องหอมได้ ถ้าจะมีคู่แข่งก็น่าจะมีไม่มาก อยากทำเรื่องนี้แต่คงต้องใช้งบ
ประมาณค่อนข้างสูงในการทำวิจัย รวมไปถึงเรื่องการทำการตลาดซึ่งไม่ถนัด หากต้องการนำสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด
ต้องมีคนที่มีความสามารถในหลาย ๆ แขนงมาช่วยกันคิด

“อยากขอให้รัฐบาลเห็นความสำคัญของงานวิจัยให้มากขึ้น โดยเฉพาะงานวิจัยที่จะมีผลทำให้ประเทศไทยไม่ต้องซื้อ
Know how จากต่างประเทศ แต่เป็นการสร้าง Know how เพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศ อีกประการ
หนึ่งคือในปัจจุบันกิจการสนับสนุนกิจกรรมท่องเที่ยวของไทยเช่น สปา ที่มีข่าวเสมอว่านำรายได้เข้าประเทศปีละมาก ๆ
นั้น ส่วนใหญ่มักจะนำเข้าน้ำมันหอมระเหยจากต่างประเทศมาใช้และนำมาเป็นจุดขาย มีน้ำมันหอมระเหยของไทยที่
ดีๆ หลายชนิด สปาของไทยก็น่าจะลองใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นไทย ๆ บ้าง และควรแนะนำให้ชาวต่างชาติลองใช้ อาจ
เป็นการเปิดตลาดสินค้าส่งออกชนิดใหม่ๆได้ และทำให้เกิดพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ นอกจากพืชชนิดเดิม ๆ อย่างข้าวหรือ
ข้าวโพดที่มีคู่แข่งในตลาดโลกมาก” อาจารย์สุรัตน์วดี กล่าว

เครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหย เป็นโครงการพัฒนาวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยจำหน่ายเป็น
ถังขนาด ต่าง ๆ สำหรับถังความจุ 30 ลิตร ราคา 80,000 บาท ถังความจุ 50 ลิตร ราคา 100,000 บาท และถัง
ความจุ 100 ลิตร ราคา 150,000 บาท (ยังไม่รวมภาษี) รายได้จากการจำหน่ายนำไปพัฒนางานวิจัยของมหาวิทยาลัยต่อไป


ผู้สนใจสามารถติดต่อได้โดยตรงที่ อาจารย์สุรัตน์วดี จิวะจินดา โทรศัพท์ 0-3435-1399, 0-3428-1092 หรือ
e-mail : rdiswj@nontri.ku.ac.th


http://pr.ku.ac.th/pr_news/interest/413.htm


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 2:08 pm, แก้ไขทั้งหมด 4 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 03/04/2011 4:23 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

การสกัดสารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพร ....

สมุนไพรประเภทรสขม สกัดด้วยวิธี ต้ม
สมุนไพรประเภทรสเผ็ดร้อน สกัดด้วยวิธี ต้ม
สมุนไพรประเภทรสฝาด สกัดด้วยวิธี หมัก
สมุนไพรประเภทกลิ่น สกัดด้วยวิธี กลั่น

ลุงคิมครับผม




14. เครื่องกลั่นแบบแยกกากแยกน้ำ :


http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images2/20090930133007.jpg





เครื่องกลั่น Solvent


http://www.miller-thai.com/product.detail_46403_th_2986251





เครื่องกลั่นแบบพื้นฐาน(Basic of Distillation Process)


http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?passTo=9c0fff4473cb4c1fbb608682c402f670&bookID=1619&pageid=10&read=true&count=true





เครื่องกลั่นสมุนไพรแบบใช้แก๊ส (รุ่นแยกน้ำมัน)




- ถังสกัดทำจากสแตนเลสหนา ขนาด 38X80 นิ้ว
- เทอร์โมมิเตอร์ เกย์วัดความดัน สามารถกลั่นพืช
- ได้หลายชนิดและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เลย

การสกัดสารสมุนไพรแบบหมัก คั้น บดผง จะต้องทำและใช้เลย ไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เมื่อจะใช้จึงค่อยทำ บางครั้งหาก
เกษตรกรละเลยการตรวจแปลง มาพบที่หลังว่ามีการระบาดก็จะควบคุมแมลงศัตรูพืชไม่ทันกาล ดังนั้นหลายคนจึงได้พยายามพัฒนาวิธี
การสกัดสาร เพื่อให้สารสกัดที่ได้ สามารถเก็บไว้ได้นานขึ้น สะดวกต่อการใช้มากขึ้น

ปัจจุบันจึงได้ใช้การกลั่นในการสกัดสารสมุนไพรออกมา เมื่อได้สารสกัดมาแล้ว ก็จะนำมาผสมกับน้ำ หรือแอลกอฮอล์ เพียงจำนวน
น้อย แล้วนำไปฉีดพ่นแทน

หลักการสกัดด้วยการกลั่น
พืชสมุนไพรที่นำมาสกัดด้วยการกลั่นนี้ไม่สามารถใช้ได้กับพืชทุกชนิด สมุนไพรที่นำมากลั่นส่วนใหญ่จะเป็นพืชสมุนไพรที่มีกลิ่น
กลิ่นดังกล่าวเกิดจากน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในพืชเหล่านั้น น้ำมันหอมเหล่านี้จะระเหยเมื่ออุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ดังนั้น เมื่อ
กลั่นออกมาแล้ว ควรเก็บไว้ในภาชนะทีบแสง หรือขวดสีชา สีน้ำเงิน หรือสีเขียว และเก็บไว้ในที่ค่อนข้างเย็น

อุปกรณ์ในการกลั่น ก็จะมีหม้อนึ่ง กับหมอควบแน่น เกษตรกรส่วนใหญ่จะดัดแปลงเอาหม้อกลั่นเหล้ามาใช้ บางคนก็เอาแกลลอน
น้ำมันมาดัดแปลง บางคนก็ใช้หม้อก๋วยเตี๋ยว บางคนก็ใช้ถังน้ำแข็งมาดัดแปลง (ดูรูป)

สมุนไพรจะถูกหั่น สับ หรือทุบให้เป็นชิ้นเล็กๆ ก่อน แล้วนำมาวางอยู่ในหม้อนึ่ง โดยวางไว้บนตะแกรงเหนือน้ำ ความร้อนจากน้ำ
เดือดจะกลายเป็นไอผ่านสมุนไพรที่วางบนตะแกรง ความร้อนนี้จะทำให้น้ำมันหอมระเหยในสมุนไพรกลายเป็นไอออกมา ผ่าน
ท่อไปสู่หม้อควบแน่น

ในหม้อควบแน่นก็จะมีท่อขดอยู่รอบด้านในของหม้อ (หากจะทำให้ได้สารมีคุณภาพดีแนะนำให้ใช้ท่อสแตนเลท) ท่อเหล่านี้จะ
จุ่มอยู่ในน้ำเย็น (จะมีท่อปั้มเอาน้ำเย็นใส่ บางคนเริ่มแรกก็ก็น้ำแข็งใส่ พอมีเงินก็ปรับปรุงใช้เป็นคอนเดนเซอร์แทน)

เมื่อไอน้ำและไอน้ำมันหอมระเหยไหลผ่านท่อมาเจอน้ำเย็น ไอเหล่านั้นก็จะควบแน่นเป็นของเหลว ไหลออกปลายท่อไปยังภาชนะ
รองรับ ส่วนที่เป็นน้ำจะอยู่ด้านล่าง ส่วนที่เป็นน้ำมันหอมระเหยจะอยู่ด้านบน

ในการสกัดแต่ละครั้ง ถ้าใช้น้ำในการนึ่ง 10 ลิตร จะได้สารสกัด (น้ำและน้ำมันหอมระเหย) ประมาณ 6 ลิตร ปริมาณที่ได้ขึ้นอยู่
กับอุปกรณ์ที่ใช้

สารที่สกัดได้สามารถเก็บไว้ใช้ได้นานเป็นปี เพราะเป็นสารที่ผ่านความร้อนมาแล้ว หากเก็บที่ภาชนะที่สะอาด และทึบแสง ปิดฝา
ให้สนิท และเก็บไว้ในที่เย็นก็จะรักษาคุณภาพของสารให้คงทีมากยิ่งขึ้น

วิธีการใช้สมุนไพรกลั่นในการฉีดพ่นไล่แมลงศัตรูพืช
สารสกัด ที่มีทั้งน้ำกลั่นและน้ำมันที่ได้จะนำไปฉีดพ่นพืชผักผลไม้ เพื่อไล่แมลง จะเจือจางสารสกัดด้วยน้ำก่อน สารสกัด 50 ซีซี.
ละลายกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 5-10 วัน กรณีที่แยกสารสกัดเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำมันหอมระเหยมาใช้ โดยนำน้ำมันหอมระเหย
หลายชนิดมาผสมกัน ควรผสมกันอย่างน้อย 5 วัน และให้เขย่าขวดที่ผสมทุกวันเช้าเย็น ครั้งละ 5 นาที เพื่อให้น้ำยาเข้ากับ จากนั้น
นำสารสกัดที่ผสมแล้ว 2 0-30 ซีซี ไปผสมน้ำ 20 ลิตร เขย่าและนำไปฉีดพ่น (ที่ให้เขย่าเพาะน้ำกับน้ำมันไม่เข้ากันนัก ทางที่ดี
น้ำที่เหลือจากการนึ่ง ควรเก็บใส่ถังไว้ผสมด้วย)

เวลาในการฉีดพ่น ควรฉีดในตอนเย็นจะได้ผลดีกว่า เพราะแมลงศัตรูพืชมักออกหากินในตอนกลางคืน

ส่วนน้ำต้มในถังนึ่ง/ถังต้ม ก็นำไปรถต้นไม้ มีสรรพคุณเท่ากับยูเรีย ต้นไม้ใบเหลืองไม่งาม เมื่อใช้น้ำนี้รดจะกลับมาสมบูรณ์ งอกงาม
เศษกากพืชบนตะแกรงก็นำไปทำเป็นปุ๋ยหมักได้อีก




แนะนำสมุนไพรที่จะนำมาสกัด และประสิทธิภาพ

ตะไคร้หอม
น้ำสกัดจากตะไคร้หอม สามารถขับไล่แมลงพวกเพลี้ยและหนอนต่างๆ ได้ดี ทั้งยังใช้ไล่ยุง ไล่แมลงตามบ้านเรือนได้ด้วย อย่างไร
ก็ตามน้ำสกัดจากตะไคร้หอมนี้ไม่ใช้ผลในทางการทำลายแมลง (ลดการทำบาปจ๊ะ)

วิธีใช้ที่ปลอดภัยก็คือ เทน้ำมันหอมจากตะไคร้หอมใส่ถ้วยแก้ว กระเบื้อง หรือสแตนเลท ตั้งทิ้งไว้ในห้องเพื่อไล่ยุง หรือใส่ขวดป๊อกกี้
ที่มีหัวฉีดพ่น ใช้พ่นตามตัวสัตว์เพื่อกำจัดเห็บหมัด โดยใช้น้ำสกัดจากตะไคร้หอม ผสมกับน้ำสกัดจากยูคาลิปตัส ฉีดพ่นให้สุนัข ทุก
3-7 วัน จะขับไล่เห็ดหมัดได้ดี (ไม่ต้องใช้ส่วนที่เป็นน้ำมัน ใช้ส่วนที่เป็นน้ำก็ได้ หากไม่ได้ผลจึงเอาส่วนที่เป็นน้ำมันมาผสมเพิ่ม)


หางไหลแดง
หางไหลแดงเป็นสมุนไพรที่ต่างประเทศให้ความสนใจสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะประเทศเยอรมัน

การสกัดให้นำหางไหลแดงมาทุบก่อน สารสกัดจะมีลักษณะเป็นของเหลวสีแดง มีประสิทธิภาพในการฆ่าแมลงได้ทุกชนิด แมลง
ตายหมดทั้งตัวแม่และตัวหนอน

ยาสูบ
น้ำสกัดจากต้นและใบยาสูบ จะมีสารทาร์และนิโคตินอยู่มาก ใช้ฉีดพ่นต้นมะม่วงเพื่อป้องกันเพลี้ยจั๊กจั่น หรือแมลงตัวเต็มวัย (ตัวแม่)
แมลงเหล่านี้จะไม่มารบกวนเลย แต่สารนี้ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าทำลาย

ยูคาลิปตัส
น้ำสกัดใบยูคาลิปตัส ใช้ฆ่าหอยเชอรี่ในนาข้าว โดยใช้น้ำสกัดยูคาฯ เทลงไปในนาข้าว นอกจากนั้นยังใช้ฉีดไล่เพลี้ย แมลงที่กินพืช
ผักผลไม้ได้ผลดี



http://www.kasetvirul.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=406516


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/08/2011 2:09 pm, แก้ไขทั้งหมด 5 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11623

ตอบตอบ: 03/04/2011 4:44 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


http://www.baanpud.net/forum/viewtopic.php?f=20&t=1111






http://www.carabao2524.com/board/images/2009/03/Carabao2524_00004338004.jpg






ขอส่งความสำเร็จขั้นพื้นฐาน หลังจากงมโข่งอยู่นาน จนในที่สุดผมก็ใช้หลักปรัชญาพื้นฐานแก้ไขสำเร็จ คือกลั่นให้ดี กลั่นให้ถูกและ
ต้องประหยัดต้นทุน ความปลอดภัยยังตกอยู่ครับ ได้ผลดีมากกว่าชุดแรก และชุดสอง เอากันง่ายๆเรียกเครื่องกลั่นกรีเซอรีนคนจน
ก็แล้วกัน เพราะที่ถามตามร้านขายอุปกรณ์ผลิตสุรา ว่ากันเลข5-6หลัก ของผมรวมแล้วไม่เกิน 5 พัน ครับ. อุณหภูมิการกลั่น 72-75
องศา C 250 ซซ./3 นาที ต้มครั้งละ 150 ล

คุณภาพแอลกอฮอล์ที่กลั่นได้ 90% + เพราะผมทำ glycerine prewashed 5%

มีข้อติชมเชิญได้ นะครับ


โครงสร้างโดยคร่าว
- ถัง 200 ล 1 ใบ รูเล็กเสียบเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ อัดด้วยจุกยาง
- รูใหญ่ใช้ท่อเหล็ก 2.5 นิ้ว ต่อสูง 1.50 ม. ลดต่อกับท่อทองแดง
- เจาะอีกรูไว้เทกรีเซอรีนเข้าถัง เจาะก้นถังใส่ก็อกไว้เทกรีเซอรีนออก
- ทำถังคอนเดนเซอร์ โดยใช้ท่อทองแดงขนาด 3/8 นิ้ว ขดรัศมี 12 นิ้ว จนหมกม้วน 15 ม.
- ทำท่อน้ำเข้า (ล่าง)
-น้ำออก (บน)

ประกอบทุกอย่าง วางบนเตาจุดแก็ส จนอุณหภูมิใกล้ 55 เบาไฟ รอจนอุณหภูมิถึง 70-72 แล้ว เมทานอลบริสุทธิ์ก็จะไหลออกมา
ใสกว่าชุดสองของผมเยอะ

แล้วคุณจะติดใจ

http://www.vcharkarn.com/vcafe/60235/2
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า 1, 2  ถัดไป
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©