-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-* ฮอร์โมนธรรมชาติ ................. 1732
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - * จุลินทรีย์ ............................ 1727
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

* จุลินทรีย์ ............................ 1727

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11625

ตอบตอบ: 06/11/2021 11:04 pm    ชื่อกระทู้: * จุลินทรีย์ ............................ 1727 ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
*************** จุลินทรีย์ **************



บทบาทของจุลินทรีย์เพื่อการเกษตร
1. ย่อยสลาย (กิน) อินทรียวัตถุและอนินทรีย์วัตถุแล้วถ่ายมูลออกมาเรียกว่า "กรดอินทรีย์" ส่วนที่เป็นธาตุอาหารพืชซึ่งอยู่ใน "รูป" ที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ทันที ได้แก่ โพลิตินอล. ควินนอยด์. อโรเมติค. ซิลิลิค. ออแกนิค. ส่วนที่เป็นฮอร์โมนพืช ได้แก่ ออกซิน (ไซโตคินนิน. จิ๊บเบอเรลลิน. เอทธิลิน. อีเทฟอน. อีเทรล. แอบซิสสิค. เอบีเอ. ไอเอเอ. เอ็นเอเอ.ฯลฯ) และส่วนที่เป็นท็อกซิก. ซึ่งมีคุณสมบัติในการกำจัดเชื้อโรคพืชได้

2. ปรับค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน ทำให้ดินเป็นกลาง
3. จับยึดธาตุอาหารพืชจากอากาศไปไว้ในตัวเองแล้วปลดปล่อยให้แก่ต้นพืช
4. ปลดปล่อยปุ๋ยเคมีที่ถูกดิน (กรดจัด) ตรึงไว้ให้ออกมาเป็นประโยชน์แก่ต้นพืช
5. ตรึงปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ที่ใส่ลงไปไว้แล้วปลดปล่อยให้ออกมาช้าๆ เพื่อให้พืชได้มีเวลาดูดซับไปใช้งานได้ทันทีและสม่ำเสมอ

6. สลายฤทธิ์สารที่เป็นพิษต่อพืชให้เจือจางลงๆ จนกระทั่งหมดไปในที่สุด
7. กำจัดจุลินทรีย์ประเภทที่ไม่มีประโยชน์หรือเป็นโทษ (เชื้อโรค) ต่อต้นพืช
8. เกิดได้เองตามธรรมชาติภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

ประโยชน์ของฮิวมัส :
1. ป้องกันการชะล้างหน้าดิน
2. ป้องกันเม็ดดินอัดตัวกันแน่นจนเป็นดินเหนียวจัด
3. รักษาความชุ่มชื้นของเม็ดดิน (ปุ๋ยอินทรีย์ 10 กก.เก็บน้ำได้ 19.66 ล.)
4. ลดและสลายสารพิษในดิน
5. กระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช
6. เสริมประสิทธิภาพของธาตุอาหารพืชที่ได้จากการสังเคราะห์แสง


เกร็ดความรู้เรื่อง "จุลินทรีย์" เพื่อการเกษตร :
1. จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตแต่ไม่ใช่สัตว์หรือพืช เรียกว่า "สัตว์เซลล์เดียว" อาศัยอยู่ในแหล่งที่มีความชื้นตั้งแต่ระดับความชื้น 1-100 เปอร์เซ็นต์ ........ องค์การนาซาได้รายงานว่าพบจุลินทรีย์ในก้อนเมฆ และรายการ ทีวี.ดิสคัฟเวอรี่ แชลแนล ได้ให้ข้อมูลว่า ดิน 1 ลบ.ซม.มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ถึง 78 ล้านตัว

2. จุลินทรีย์เพื่อการเกษตร หมายถึง จุลินทรีย์ประเภทมีประโยชน์ต่อพืชและสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรกรรมโดยเฉพาะ

3. จุลินทรีย์เพื่อการเกษตรเกี่ยวกับพืชโดยมีหน้าที่อนุรักษ์ดิน น้ำ สภาพแวดล้อม ผลิตและจัดการธาตุอาหาร กำจัดจุลินทรีย์เชื้อโรคและอื่นๆ ที่เป็นการส่งเสริมให้พืชเจริญเติบโตดี และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ดีภายใต้ความชื้น 25-50 เปอร์เซ็นต์

4. จุลินทรีย์ขยายพันธุ์โดยการแบ่งตัวเองแบบทวีคูณ เช่น 1 ตัวเมื่อโตเต็มที่จะแบ่งตัวเองออกเป็น 2 ตัว และ 2 ตัวเมื่อโตเต็มที่ก็จะแบ่งตัวเองออกเป็น 4 ตัว หรือจุลินทรีย์ 1 แสนตัวเมื่อโตเต็มที่ต่างก็แบ่งตัวเองกลายเป็น 2 แสนตัวเป็นต้น

5. จุลินทรีย์เพื่อการเกษตรแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ แบคทีเรีย. ไวรัส. ยีสต์. และรา. ซึ่งกลุ่มใหญ่ๆ เหล่านี้แยกออกเป็นประเภทต่างๆ อีกหลายประเภท เช่น

- ประเภทที่มีประโยชน์ (ฝ่ายธรรมะ) มีประสิทธิภาพในการสร้างและส่งเสริมปัจจัยพื้นฐานด้านการเกษตร (ดิน-น้ำ-อุณหภูมิ-สายพันธุ์-โรค) ให้พืชเจริญเติบโต

- ประเภทที่ไม่มีประโยชน์หรือเชื้อโรค (ฝ่ายอธรรม) มีประสิทธิภาพในการทำลายปัจจัยพื้นฐานด้านการเกษตร ทำให้พืชไม่เจริญเติบโตหรือตาย

- ประเภทไม่ต้องการอากาศ ชอบและอยู่ในดินลึกที่อากาศลงไปถึงได้น้อยหรือไม่มีอากาศเลย แต่ยังเป็นจุลินทรีย์ประเภทมีประโยชน์ต่อพืช มีพลังในการย่อยสลายเหนือกว่าจุลินทรีย์ประเภทต้องการอากาศ

- ประเภทต้องการอากาศ ชอบและอยู่บริเวณผิวหน้าดินที่อากาศผ่านหรือถ่ายเทสะดวก
- ประเภทต้องการความชื้นน้อย เจริญเติบโต ขยายพันธุ์ได้ดีภายใต้สภาพความชื้นน้อยๆ หรือแห้งแล้ง

- ประเภทต้องการความชื้นมาก เจริญเติบโตได้ภายใต้สภาพความชื้นที่เหมาะสม เช่น ชื้นพอดี ชื้นแฉะ น้ำขังค้าง

- ประเภทเกิดได้เร็ว เกิดและขยายพันธุ์ได้ในถังหมักหรือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมภายใน 3-10 วัน

- ประเภทเกิดได้ช้า เกิดและขยายพันธุ์ได้ในถังหมักหรือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต้องใช้ระยะเวลานานนับเดือนหรือหลายๆ เดือนทั้งจุลินทรีย์ประเภทเกิดได้เร็วและเกิดได้ช้า ถ้าเป็นจุลินทรีย์ฝ่ายธรรมะย่อมมีประโยชน์ต่อพืชเหมือนๆ กันดังนั้นการใช้จุลินทรีย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจึงควรใช้ทั้งจุลินทรีย์ประเภทหมักใหม่และหมักนานแล้วร่วมกัน

6. จุลินทรีย์ในปุ๋ยอินทรีย์แห้งที่ได้จากการหมักอินทรีย์วัตถุ (ซากพืชและสัตว์) จะเจริญเติบโต สมบูรณ์ แข็งแรง ขยายพันธุ์ และมีประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงที่อินทรีย์วัตถุเริ่มสลายตัวและอุณหภูมิในกองเริ่มเย็นลง

7. จุลินทรีย์ในปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่ได้จากการหมักอินทรีย์วัตถุ (ซากพืชและสัตว์) จะเจริญเติบโต สมบูรณ์ แข็งแรง ขยายพันธุ์ และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระบวนการหมักหมดฟองใหม่ๆ

8. การใช้จุลินทรีย์เพื่อการเกษตรที่เกี่ยวกับพืชให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรใช้ "ปุ๋ยอินทรีย์แห้ง" หรือ "ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ" ที่หมักนานข้ามปีแล้วกับที่หมักใช้การได้ใหม่ๆ ผสมกัน 1:1 จะได้ทั้งจุลินทรีย์ประเภทเกิดเร็วและประเภทเกิดช้า

9. อาหารที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ คือ "รำละเอียด" และ "สารรสหวาน" เช่น กากน้ำตาล น้ำตาลในครัว น้ำหวานในเครื่องดื่มต่างๆในอัตราที่เหมาะสม ปริมาณของสารรสหวานมีผลต่อการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์ทั้งสองชนิด กล่าวคือ

- สารรสหวานปริมาณมากเกินจะยับยั้งการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์ทั้งจุลินทรีย์ดีและจุลินทรีย์โทษ

-สารรสหวานปริมาณที่น้อยเกินไปจะยับยั้งการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์ดีและส่งเสริมการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์โทษ

- สารรสหวานปริมาณที่พอดีจะส่งเสริมการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์ดี และยับยั้งการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์โทษ

10. จุลินทรีย์ในถังหมักจะเจริญเติบโต สมบูรณ์ แข็งแรง และขยายพันธุ์ได้ดีมากภายใต้อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส มีอากาศหมุนเวียน มีสารอาหาร และค่ากรด-ด่างที่เหมาะสมสำหรับชนิดของจุลินทรีย์

11. จุลินทรีย์เพื่อการเกษตรที่ดีที่สุด คือ "จุลินทรีย์ธรรมชาติ" หรือ "จุลินทรีย์ประจำถิ่น" ซึ่งมีอยู่ในแปลงเกษตรนั้นๆ เป็นจุลินทรีย์ที่อยู่มานานแล้วและจะคงอยู่ที่นั่นต่อไปตราบเท่าที่สภาพแวดล้อมต่างๆ เหมาะสม

12. การบำรุงจุลินทรีย์ประจำถิ่นสามารถทำได้โดยการโรยรำละเอียดบางๆ รดด้วยน้ำเจือจางสารรสหวานพอหน้าดินชื้น ใส่หรือคลุมทับด้วยอินทรียวัตถุ แสงแดดส่องถึงได้เล็กน้อย อากาศถ่ายเทสะดวก มีระดับความชื้นพอดี เมื่อจุลินทรีย์ได้รับสารอาหารและสภาพแวดล้อมเหมาะสมก็จะเจริญเติบโต สมบูรณ์ แข็งแรง ขยายพันธุ์และทำหน้าที่ได้ดีเอง

13. จุลินทรีย์ประเภทที่มีประโยชน์ (ฝ่ายธรรมะ) สามารถดำรงชีวิต (เกิด กิน ขับถ่าย ขยายพันธุ์ และตาย) ได้ดีภายใต้สภาพโครงสร้างดินเป็นกลางหรือเป็นกรดอ่อนๆ......ถ้าเป็นกรดจัดหรือด่างจัดจะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้

14. จุลินทรีย์ประเภทไม่มีประโยชน์ (ฝ่ายอธรรม) หรือเชื้อโรค สามารถดำรงชีวิต (เกิด กิน ขับถ่าย ขยายพันธุ์ และตาย) ได้ดีภายใต้สภาพโครงสร้างดินที่เป็นกรดจัดหรือด่างจัด.......ถ้าดินเป็นกรดอ่อนๆ หรือเป็นกลางจุลินทรีย์ประเภทไม่มีประโยชน์ (เชื้อโรคพืช) นี้จะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้หรือตายไปเอง

15. เนื่องจากพืชกินธาตุอาหารที่เป็นของเหลวด้วยการดูดซึม ไม่สามารถกินอาหารที่เป็นชิ้น แม้ว่าอาหารชิ้นนั้นจะมีขนาดเท่าปลายเข็มก็กินไม่ได้ แต่หากอาหารชิ้นเท่าปลายเข็มนั้นเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวแล้วนั่นแหละพืชจึงจะดูดซึมไปใช้ได้.........จุลินทรีย์ คือ ตัวทำหน้าที่ย่อยสลายอาหารพืชที่สภาพยังเป็นชิ้นๆ (อินทรีย์วัตถุ) ให้กลายเป็นของเหลวจนพืชสามารถดูดซึมผ่านปลายรากไปใช้ได้ จุลินทรีย์จึงเปรียบเสมือน "แม่ครัว" หรือผู้สร้างอาหารของต้นพืชนั่นเอง

16. การดูด้วยสายตาให้รู้ว่าบริเวณใดมีจุลินทรีย์ประเภทมีประโยชน์ต่อพืช หรือมีจุลินทรีย์ประเภทมีโทษต่อพืช ดูได้จากการเจริญเติบโตของพืชที่ขึ้นในบริเวณนั้น ถ้าระบบรากสมบูรณ์ อวบอ้วน มีจำนวนมาก แสดงว่าดินดี หรือสังเกตการณ์ตอบสนองของพืชต่อปุ๋ยทางราก ทั้งๆ ที่ใส่ปุ๋ยเพียงน้อยนิดแต่ต้นพืชยังเจริญเติบโตได้ดี ก็แสดงว่าดินดีอีกเช่นกัน และการที่ดินดีได้ก็เพราะมีจุลินทรีย์ประเภทมีประโยชน์ (ธรรมะ) ทำหน้าที่อนุรักษ์ให้ในทางตรงกันข้าม ถ้าระบบรากไม่ดีหรือต้นพืชไม่เจริญงอกงามทั้งๆ ที่ใส่ปุ๋ยลงไปแล้วก็แสดงว่าดินไม่ดี และดินไม่ดีก็คือดินที่เป็นแหล่งอาศัยของจุลินทรีย์ประเภทไม่มีประโยชน์ (เชื้อโรค/อธรรม) นั่นเอง

17. แหล่งจุลินทรีย์ประเภทมีประโยชน์ :
- บาซิลลัส ซับติลิส. มีอยู่ในตาติดเปลือกสับปะรดสด
- ฟังก์จัย. จินเจียงลินซิส. มีอยู่ในฟางเพาะเห็ด
- คีโตเมียม. ไรโซเบียม. ไมโครไรซา. มีอยู่ในเปลือกถั่วลิสง
- แอ็คติโนมัยซิส. มีอยู่ในเหง้า/รากกล้วย มูลสัตว์กินหญ้า
- แล็คโตบาซิลลัส. มีอยู่ในยาคูลท์ โยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
- แฟลงเกีย. มีอยู่ในสนทะเล สนประดิพัทธ์
- แอ็คติโนมัยเกรต. ซีอะโนแบคทีเรีย. อัลเกีย. ฟังก์จัยลิเซ่. เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นได้เองจากดินที่มีสภาพโครงสร้างเป็นกลางดีอย่างต่อเนื่อง และมีอินทรียวัตถุสะสมมานาน

- ไบโอโพลิเมอร์. คลาไมโดโมแนส. มีอยู่ในสาหร่ายน้ำจืด
- นอสท็อก. มีอยู่ในรากต้นปรง
- อะโซโตแบ็คเตอร์. มีอยู่ในเหง้าหญ้าขน และหญ้าประเภทหน้าแล้งตายหน้าฝนฟื้น

18. ทดสอบจุลินทรีย์โดยการใส่จุลินทรีย์น้ำลงไปในขวด ใช้ลูกโป่งไม่มีลมสวมปากขวดรัดให้แน่น ทิ้งไว้ 2-5 วัน ถ้าลูกโป่งค่อยๆ พองโตขึ้นแสดงว่ามีจุลินทรีย์จำนวนมากสมบูรณ์ แข็งแรงดี แต่ถ้าลูกโป่งพองโตช้าหรือไม่พองโตก็แสดงว่ามีจุลินทรีย์น้อยและไม่สมบูรณ์แข็งแรง

19. ช่วงแรกๆ ลูกโป่งจะพองโตขึ้น แสดงว่ามีจุลินทรีย์ประเภทต้องการอากาศเกิดขึ้น แต่ครั้นนานๆ ไปลูกโป่งจะยุบแล้วถูกดูดเข้าไปในขวดทดสอบก็แสดงว่าจุลินทรีย์ประเภทต้องการอากาศตายหมดแล้ว แต่มีจุลินทรีย์ประเภทไม่ต้องการอากาศเกิดขึ้นมาแทน กรณีนี้ไม่เป็นปัญหาเพราะจุลินทรีย์ประเภทไม่ต้องการอากาศก็เป็นจุลินทรีย์เพื่อการเกษตรที่มีประโยชน์ต่อพืชเช่นกัน

20. จุลินทรีย์เพื่อการเกษตรมีหลายชนิดหรือหลายประเภท แต่ละชนิดหรือแต่ละประเภทที่ผ่านกรรมวิธีในการหมักหรือขยายเชื้อดีแล้วสามารถนำมาใช้รวมกันหรือใส่ลงไปดินพร้อมๆ กันแล้วให้อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งจะได้รับประโยชน์มากกว่าการใช้จุลินทรีย์เพียงอย่างเดียวหรือตัวเดียว

21. จุลินทรีย์ไม่ใช่ธาตุอาหารหรือฮอร์โมนพืช แต่เป็นผู้สร้างหรือผลิตอาหารหรือฮอร์โมนให้แก่พืช ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าจุลินทรีย์ คือ "ผู้อารักขาพืช" ก็ได้ เพราะนอกจากผลิตอาหารหรือฮอร์โมนให้แก่แล้วยังปรับปรุงดูแลสภาพแวดล้อม ที่อยู่ที่กินของพืชอีกด้วย

22. จุลินทรีย์กลุ่มหนึ่งจะมีประสิทธิภาพในการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุให้เปลี่ยนสภาพเป็นธาตุอาหารพืชตัวหนึ่ง กล่าวคือ อินทรีย์วัตถุชิ้นหนึ่ง (ชิ้นเดียวกัน) เมื่อถูกจุลินทรีย์กลุ่มใดเข้าย่อยสลายก็จะได้สารอาหารพืชตัวนั้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยจุลินทรีย์หลากหลายกลุ่มเข้าย่อยสลายอินทรีย์วัตถุชิ้นนั้น จึงจะได้สารอาหารพืชกลากหลายชนิด เช่น

- AZOSPIRILLUM SPP. เป็นจุลินทรีย์กลุ่มที่ทำให้ N. ในบรรยากาศคงที่เพื่อให้พืชได้รับอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้สีสันของใบพืชเขียวสด ส่งเสริมกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชดำเนินไปอย่างราบรื่น ป้องกันและแก้ปัญหาใบเหลืองในพืช

- PHOSPHATE SOLUBILIZING BACTERIA ช่วยย่อยสลาย P. (ในอินทรีย์วัตถุ) ที่ยังอยู่ในรูปที่พืชนำไปใช้ไม่ได้ให้เปลี่ยนรูปมาอยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ได้

- LACTOBACILLUS มีประสิทธิภาพในการสร้างสารละลาย K. ให้มาอยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ ช่วยเพิ่มระดับ K. ให้เพียงพอต่อความต้องการของพืชเพื่อใช้ในการพัฒนาผลผลิต ช่วยในการสร้างรูปร่างลักษณะและแบบของดอก-ผล และน้ำหนัก

- LAIN-LAIN BACTERIA & OTHER BACTERIA มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสารพิษในแอมโมเนีย ให้เป็น แอมโมเนีย ไนเตรท. เพื่อเสริมประสิทธิระบบการดูดซึมสารอาหารในลำต้นพืช

- YEAST GROUP SERIES มีประสิทธิภาพในการสร้างฮอร์โมนที่จำเป็น ช่วยย่อยสลายสารอนินทรีย์ให้มาอยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ดี ช่วยเพิ่มสมรรถภาพและความแข็งแรงในการกำจัดเชื้อโรค

- ACTINOMYCES SERIES มีประสิทธิภาพในการสร้างสารกำจัดเชื้อโรค ช่วยเพิ่มความ ต้านทานต่อสภาวะความรุนแรงอันเกิดจากเชื้อโรค

- GROWTH FACTOR PRODUCING BACTERIA SERIES มีประสิทธิภาพใน การสร้างฮอร์โมน เพื่อเสริมสร้างความเจริญทางด้าน ต้น. กิ่ง. ใบ.

23. น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง (เน้น..... เลือกวัสดุส่วนผสมเฉพาะตัว และกรรมวิธีในการหมัก) หมักข้ามปี หลังจากกากส่วนผสมทั้งหมดจมลงนอนก้นถังแล้วไม่มีการคนให้อากาศตลอดระยะเวลาข้ามปี จะมีจุลินทรีย์กลุ่มบาซิลลัส.ที่ไม่ต้องการอากาศเกิดขึ้นจำนวนมาก จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะผลิตสาร "ท็อกซิก" ซึ่งเป็นสารพิษต่อศัตรูพืช (โรค-แมลง-หนอน) เมื่อใช้ให้ทางใบประจำจะช่วยป้องกันและกำจัดศัตรูพืชได้.......ในถังหมักน้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง ไม่มีแมลงวันตอม เป็นสิ่งบอกเหตุว่าในน้ำหมักนั้นมีสารท็อกซิก.

24. จุลินทรีย์ดีมีประโยชน์กินกากน้ำตาลหรือสารรสหวานเป็นอาหาร ในขณะที่จุลินทรีย์โทษ (เชื้อโรค) ไม่กินสารรสหวาน การมีสารรสหวานในอัตราส่วนที่เหมาะสมจะช่วยให้จุลินทรีย์ดีมีประโยชน์เจริญพัฒนาแล้วกำจัดจุลินทรีย์โทษได้เองตามธรรมชาติวิสัยของจุลินทรีย์

25. ในถังหมักที่เป็นของเหลวและมีจุลินทรีย์เป็นองค์ประกอบหนึ่งทุกชนิด ย่อมมีจุลินทรีย์หลากหลายชนิด ทั้งที่เจาะจงใส่ลงไปและที่เกิดเองตามธรรมชาติ เมื่อจุลินทรีย์เหล่านี้ตายจะเกิดเป็นฝ้าบนผิวหน้าของๆเหลวที่หมักนั้น ถ้าเป็นจุลินทรีย์ดีมีประโยชน์ ฝ้านั้นจะไม่มีกลิ่น ครั้นเมื่อคนให้ฝ้าจมลงจะกลายเป็นอาหารอย่างดีของจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่.........แต่ถ้าเป็นจุลินทรีย์โทษ (เชื้อโรค) จะมีกลิ่นเหม็น แสดงว่าอัตราส่วนวัสดุที่ใช้หมักกับกากน้ำตาลไม่สมดุลกัน จึงเกิดจุลินทรีย์โทษได้ แก้ไขโดยเติมเพิ่มกากน้ำตาล คนเคล้าให้เข้ากันดีทั่วถัง จากนั้นจะลินทรีย์ดีจะกินกากน้ำตาลแล้วเจริญพัฒนาขึ้นและกินฝ้าจุลินทรีย์โทษจนจุลินทรีย์โทษจะค่อยๆตายแล้วหมดไปในที่สุดไป

26. จุลินทรีย์เพื่อการเกษตรที่ขยายเชื้อใน "น้ำ + สารรสหวาน + อากาศ" หลังจากผ่านขั้นตอนการขยายเชื้อเรียบร้อยแล้ว จะต้องนำขึ้นจาก "น้ำขายเชื้อ" ออกใช้งานทันที หรือนำไปฝากหรือส่งไปอยู่ในที่ชื้น เช่น ปุ๋ยอินทรีย์. ปุ๋ยคอก. หรือลงดินไปเลย......การเก็บนานจุลินทรีย์ที่ผ่านการขยายเชื้อแล้วไว้ในน้ำสารรสหวาน จะทำให้จุลินทรีย์ชุดแรกที่ได้ตายแล้วเกิดจุลินทรีย์ชุดใหม่ขึ้นมาแทน เป็นเหตุให้ไม่ได้จุลินทรีย์ประเภทที่ต้องการ

การใช้จุลินทรีย์ชนิดน้ำจากท่องตลาดซึ่งมีสารรสหวาน (น้ำ) เป็นแหล่งอาศัย จึงเท่ากับได้เพียง "สารอาหาร" จุลินทรีย์เท่านั้น โดยไม่มีตัวจุลินทรีย์แต่อย่างใด เมื่อไม่มีตัวจุลินทรีย์หรือมีแต่น้ำสารอาหารจุลินทรีย์เปล่าๆ แล้ว "ใช้ได้ผล" นั้น เป็นผลโดยตรงของ "จุลินทรีย์ประจำถิ่น" ซึ่งอดีตที่ผ่านมาไม่เคยได้รับสารอาหารใดๆเลย ครั้นเมื่อได้รับสารอาหารก็ย่อมเจริญพัฒนาเป็นธรรมดา

การเก็บจุลินทรีย์เพื่อใช้งานนานๆ ต้องเก็บใน "ความชื้น-อากาศ-อุณหภูมิ.ควบคุม" เช่น เก็บในผงคาร์บอนเบา. แป้งข้าวฟ่าง. มูลม้า. รำพวนข้าว. เป็นต้น

27. เทคนิคการใช้จุลินทรีย์ท้องตลาดให้ได้ผลสูงสุด ทำดังนี้ เตรียม "น้ำ (พีเอช 6.0) 10 ล. + น้ำมะพร้าว 1 ล. + กากน้ำตาล 1 ล." คนเคล้าให้เข้ากันดีแล้วเติม "จุลินทรีย์ (ผง) 100 กรัม" คนเคล้าให้เข้ากันดีอีกครั้ง......เติมอากาศ (ปั๊มออกซิเจน) ตลอดเวลานาน 48 ชม. ครบกำหนดแล้วให้นำออกใช้ทันที

28. ในกากน้ำตาลมีสารพิษต่อ 18 ชนิด ก่อนใช้งานขยายเชื้อจุลินทรีย์ควรนำขึ้นความร้อน 70 องศาเซลเซียส นาน 30 นาทีก่อน ความร้อนจะช่วยสลายฤทธิ์ความเป็นพิษในกากน้ำตาลได้

29. สารรสหวานตามธรรมชาติ ได้แก่ น้ำผึ้ง. น้ำอ้อย. น้ำตาลจากมะพร้าว-ตาล. น้ำต้มฝักก้ามปูสุก. เป็นสารรสหวานที่ปราศจากสารเคมีอย่างแท้จริง

30. การใส่ "อินทรีย์วัตถุ" ลงไปในดิน พีเอช 6.0 แล้วราดรดด้วย "สารรสหวาน" เดี่ยวๆ คือการให้อาหารแก่จุลินทรีย์ ที่มีอยู่เดิมในอินทรียวัตถุและในดิน เทคนิคนี้ นอกจากจะได้ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เหนือกว่าการใส่จุลินทรีย์จากแหล่งอื่นแล้วยังประหยัดและไม่ต้องเสี่ยงกับจุลินทรีย์โทษที่อาจแฝงปนเปื้อนมาด้วย

------------------------------------------------------------



1. จุลินทรีย์ธรรมชาติ
หลักการและเหตุผล :
- การที่จะรู้ว่าพื้นดินหรือแหล่งปลูกพืชบริเวณใดมีจุลินทรีย์ประเภทใดได้นั้น สังเกตจากการเจริญเติบโตของต้นพืชที่ขึ้นในบริเวณนั้นหรือใกล้เคียงเป็นหลัก ถ้าต้นพืชเจริญเติบโตดีแสดงว่ามีจุลินทรีย์ประเภทมีประโยชน์ แต่ถ้าต้นพืชไม่เจริญเติบโตแสดงว่ามีจุลินทรีย์ประเภทไม่มีประโยชน์

ประเภทของจุลินทรีย์ธรรมชาติในแหล่งธรรมชาติ :
*** รากหญ้าแฝก หญ้าขน หญ้าประเภทหน้าแล้งตายหน้าฝนฟื้น มีจุลินทรีย์อะโซโตแบ็คเตอร์
*** ปมรากถั่วลิสง มีจุลินทรีย์คีโตเมียม. ไรโซเบียม. ไมโครไรซ่า.
*** รากมะกอกน้ำ มีจุลินทรีย์บาซิลลัส
*** รากกล้วย มีจุลินทรีย์แอ็คติโนมัยซิส
*** รากพืชตระกูลถั่วยืนต้น เช่น สะดา เหลียง มะขามเทศ

*** เศษใบไม้ เศษกิ่งไม้ ผุเปื่อย
*** ดินผิวดินที่ประวัติเคมีมีเห็ดธรรมชาติเกิดประจำ

วิธีขยายเชื้อจุลินทรีย์ธรรมชาติ :
น้ำ (พีเอช 6.7-7.0).................... 10 ล.
กากน้ำตาล............................... 1 ล.
น้ำมะพร้าว................................ 1 ล.
วัสดุจุลินทรีย์เริ่มต้นหลายๆอย่าง......... 1-2 กก.

คนเคล้าให้เข้ากันดี
เติมอ๊อกซิเจนตลอด 24 ชม. ........... 7-10 วัน
ได้ "หัวเชื้อ" พร้อมใช้งาน
ใช้ "หัวเชื้อ 1 ล./น้ำ 500 ล." (1:500) ราดรดลงดิน หรือบนกองปุ๋ยอินทรีย์

หมายเหตุ :
การนำวัสดุที่เป็นแหล่งจุลินทรีย์ธรรมชาติ หลายๆอย่าง สับเล็ก ใส่ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์หมักในกอง ก็จะทำให้จุลินทรีย์จากแหล่งธรรมชาติที่ใส่ร่วมลงไปนั้นขยายเชื้อเพิ่มปริมาณได้


2. จุลินทรีย์ อีแอบ.
เตรียมเชื้อจุลินทรีย์เริ่มต้น :
1. ใช้ “ปลาทะเลสดยังมีชีวิตทั้งตัวบดละเอียด 1 กก. + กากน้ำตาล 50 ซีซี. + หัวกระเทียมบดละเอียด 200-300 กรัม.” ผสมนวดให้เข้ากันดี

2. นำเนื้อปลาที่นวดดีแล้วห่อด้วยใบตองหลายๆ ชั้น รัดห่อด้วยเชือกเป็นเปราะๆ เหมือนห่อหมูยอ แล้วเก็บไว้ในตู้กับข้าว ทิ้งไว้ 7-10 วัน ช่วงอุณหภูมิอากาศปกติ หรือ 15-20 วันช่วงอุณหภูมิอากาศเย็น ได้ “ก้อนเชื้อจุลินทรีย์ อีแอบ." เข้มข้น พร้อมนำไปขยายเชื้อ

ขยายเชื้อจุลินทรีย์ :
1. เตรียมน้ำต้มเดือดจัดเพื่อฆ่าเชื้อโรค ปล่อยทิ้งให้เย็น 10 ล.ในภาชนะที่ไม่ใช่โลหะ สะอาด ใส่กากน้ำตาลลงไป 1 ล. หรืออัตราส่วน 10 : 1 คนให้เข้ากันดี

2. นำก้อนเชื้อจุลินทรีย์ออกมาจากห่อ ใส่ลงไปในน้ำ ขยายเชื้อ คนเคล้าให้เข้ากันดี

3. ใส่ก้อนเชื้อจุลินทรีย์ลงไปแล้วช่วงการหมัก 24-48 ชม.แรกให้ปิดฝาสนิท อย่าให้อากาศเข้าได้ ผ่าน 24-48 ชม.ไปแล้วคลายฝาออกปิดพอหลวม ระวังอย่าให้สิ่งแปลกปลอมตกลงไป ติดปั๊มออกซิเจนเพื่อเติมอากาศให้แก่จุลินทรีย์

4. ตรวจสอบประจำวันด้วยการสังเกตฟองที่เกิดขึ้นในถังขยายเชื้อ ถ้ามีฟองผุดขึ้นมามากแสดงว่ามีจุลินทรีย์จำนวนมาก สมบูรณ์ และแข็งแรง แต่ถ้ามีฟองผุดขึ้นมาน้อยแสดงว่ามีจุลินทรีย์น้อยให้ใส่เพิ่ม “ก้อนเชื้อจุลินทรีย์” พร้อมกับเติมกากน้ำตาลอีก อัตรา ¼ ของที่ใส่ครั้งแรกกับน้ำมะพร้าวอ่อนเล็กน้อยลงไป คนเคล้าให้เข้ากันดีอีกครั้งแล้วหมักขยายเชื้อต่อไป

- หลังจากหมดฟองแล้วได้ “หัวเชื้อจุลินทรีย์ อีแอบ.เข้มข้น” ให้นำออกใช้ทันทีในวันรุ่งขึ้น
- ขั้นตอนการหมัก การตรวจสอบ และการนำออกไปใช้ ให้ปฏิบัติเหมือนขยายเชื้อจุลินทรีย์ประจำถิ่น

หมายเหตุ :
- ไม่ควรเก็บจุลินทรีย์ที่ขยายเชื้อจนเจริญดีแล้วไว้ในน้ำขยายเชื้อนานเกินไป เพราะจะทำให้จุลินทรีย์กลุ่มแรก (จุลินทรีย์ที่ต้องการ) ซึ่งเกิดก่อนต้องตายแล้วเกิดจุลินทรีย์กลุ่มใหม่ (ไม่รู้จัก) ขึ้นมาแทน ทั้งนี้จุลินทรีย์เพื่อการเกษตรส่วนใหญ่ต้องการความชื้นเพียง 30-70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

- การควบคุมอุณหภูมิในถังขยายเชื้อหรือถังหมักให้อยู่ที่ 40 องศาเซลเซียสอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้จุลินทรีย์เจริญและขยายพันธุ์ได้เร็วขึ้น

* ดร.สุริยา ศาสนรักกิจ. ตรวจสอบจุลินทรีย์ อีเอ็ม. ว่ามีจุลินทรีย์กลุ่มไหนบ้าง จากนั้นพยายามคัดสรรสารพัดวัสดุเพื่อนำมา เพาะ/ขยายเชื้อ จนกระทั่งพบว่า ปลาทะเล. ทำให้ได้จุลินทรีย์กลุ่มเดียวกันกับ อีเอ็ม. ทันทีที่พบถึงกับอุทานว่า "แอบ" อยู่นี่เอง และนี่คือที่มาของชื่อว่า "อีแอบ" ที่ลุงคิมตั้งให้เอง


3. จุลินทรีย์ อีแอบ. ซุปเปอร์
เตรียมเชื้อเริ่มต้น :
ใช้ “ก้อนเชื้อจุลินทรีย์ อีแอบ.เข้มข้น” หมักนานจนพร้อมใช้งานแล้ว

การขยายเชื้อและวิธีใช้ :
- เตรียมน้ำขยายเชื้อเหมือนเดิม
- ใส่ “ก้อนเชื้อจุลินทรีย์ อีแอบ.เข้มข้น + จุลินทรีย์ท้องตลาดหรือจุลินทรีย์อื่นๆ” ลงในถังขยายเชื้อ คนเคล้าให้เข้ากันดี
- กรรมวิธีการหมักขยายเชื้อเหมือนการทำจุลินทรีย์ อีแอบ.ทุกประการ

หมายเหตุ :
- จุลินทรีย์ท้องตลาดได้แก่ ยาคูลท์ โยเกิร์ต และร้านขายสินค้าเกษตรทั่วไป
- จุลินทรีย์อื่นๆ หมายถึง พด. จุลินทรีย์หน่อกล้วย. จุลินทรีย์ประจำถิ่น. ฯลฯ ที่พร้อมใช้งานดีแล้ว ซึ่งจะทำให้ในอีแอบ.มีจุลินทรีย์กลุ่มอื่นเพิ่มขึ้น


4. จุลินทรีย์หน่อกล้วย
เตรียมเชื้อจุลินทรีย์เริ่มต้น :
1. เลือกหน่อกล้วยความสูง 1 ม.จากพื้นถึงยอด เป็นหน่อชนิดที่สมบูรณ์ แข็งแรง ไม่มีโรค เกิดจากต้นแม่ที่สมบูรณ์แข็งแรงให้ผลผลิตดี ทั้งต้นแม่และหน่ออยู่ในบริเวณที่ดินมีค่ากรด-ด่างเป็นกลางหรือเป็นกรดอ่อนๆ

2. ขุดหน่อขึ้นมาให้มีเหง้าติดรากมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สลัดดินทิ้งไปให้เหลือติดรากไว้เล็กน้อย ไม่ต้องล้างน้ำ

3. สับเล็กหรือบดละเอียดทั้งต้น (ราก เหง้า ต้น ใบ) อัตราส่วน หน่อกล้วย 3 ส่วน : กากน้ำตาล 1 ส่วน (3:1) เติมน้ำมะพร้าวอ่อนพอเหลว บรรจุในภาชนะที่ไม่ใช่โลหะ คลุกเคล้าให้เข้ากันดี เก็บในร่ม อุณหภูมิห้อง คนบ่อยๆ เพื่อเร่งอากาศให้แก่จุลินทรีย์ หมักนาน 7-10 วัน กรองเอากากออก น้ำที่ได้คือ “น้ำหัวเชื้อจุลินทรีย์หน่อกล้วยเข้มข้น” พร้อมใช้งานขั้นตอนการหมัก การตรวจสอบ และการนำไปใช้เหมือนจุลินทรีย์ประจำถิ่น อายุการเก็บนาน 6 เดือนหลังจากหมดอายุแล้วนำมาขยายเชื้อด้วยจุลินทรีย์เริ่มต้นชุดใหม่ได้

ประโยชน์ :
- ใช้ในการหมักปุ๋ยน้ำชีวภาพ ฮอร์โมนพืช บ่มดิน ปรับปรุงดิน ฯลฯ
- ราดลงดินช่วยปรับโครงสร้างของดิน ทำให้ดินโปร่งร่วนซุยและกำจัดเชื้อโรคในดิน
- ผสมกับปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอก ให้ได้ความชื้น 50 เปอร์เซ็นต์ ช่วยเร่งให้ปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอกใช้งานได้เร็วและดีขึ้น

- ช่วยย่อยสลายเศษซากอินทรีย์วัตถุที่ใส่ลงไปในดินให้เกิด “ฮิวมิค แอซิด” ได้เร็วและจำนวนมาก

- ช่วยย่อยสลายฟางในนาข้าวที่ไถกลบช่วงทำเทือกให้เปื่อยยุ่ยเร็วขึ้น
- ฉีดพ่นทางใบช่วยกำจัดเชื้อรา ทำให้หนอนไม่ลอกคราบไม่กินอาหาร (ทำลายพืช) ทำให้ไข่ของแม่ผีเสื้อฝ่อจนฟักออกมาเป็นตัวหนอนไม่ได้ และขับไล่แม่ผีเสื้อไม่ให้เข้าวางไข่

- กำจัดเชื้อโรคในน้ำในร่องสวน สระกักเก็บน้ำ และคอกปศุสัตว์

หมายเหตุ :
- ในหน่อกล้วยมีจุลินทรีย์กลุ่ม “แอ็คติโนมัยซิส” ซึ่งมีประสิทธิภาพในการย่อยสลายสูง
- ฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วยทางใบให้ทั่วทรงพุ่มตอนกลาวันช่วงหลังฝนหยุด (ฝนต่อแดด) เพื่อล้างน้ำฝนออกจากต้นไม่ให้น้ำฝนแห้งคาต้นช่วยกำจัดเชื้อราแอนแทร็คโนส. ไม่ให้เข้าทำลายใบ ยอด ดอก ผล และส่วนต่างๆ ของพืชได้.....ฉีดพ่นตอนเช้ามืดเพื่อล้างน้ำค้างและหมอกออกจากต้นก่อนที่น้ำค้างและหมอกจะแห้งคาต้น ช่วยกำจัดเชื้อราน้ำค้าง. ราแป้ง. ราสนิม. ไม่ให้เข้าทำลายส่วนต่างๆ ของต้นพืชได้

- จุลินทรีย์กลุ่มแอ็คติโนมัยซิส. มีประสิทธิภาพในการกำจัดจุลินทรีย์เชื้อโรคพืชประเภทเชื้อราในดิน เช่น เชื้อไฟธอปเทอร่า. พิเทียม. ฟูซาเลียม. สเคลโรเทียม. และไรช็อคโธเนีย. ได้ผลดีมาก

- ถ้าไม่ใช้หน่อกล้วยทั้งหน่อ สามารถใช้เฉพาะส่วนลำต้นของต้นกล้วยแก่ตัดเครือใหม่ๆ แทนก็ได้ ด้วยอัตราส่วนและวิธีการเดียวกัน


5. จุลินทรีย์เปลือกถั่วลิสง
วัสดุส่วนผสมและวิธีทำ :
ใช้ “เปลือกถั่วลิสงสดใหม่ผึ่งลมให้แห้ง บดละเอียด 10 กก. + ข้าวฟ่างสดใหม่บดละเอียดผึ่งลมให้แห้ง 1 กก. + มูลม้าสดใหม่บดละเอียดผึ่งลมแห้ง 1 กก. + รำละเอียดใหม่ 1 กก.” คลุกเคล้าให้เข้ากันดีพร้อมกับพรมด้วย “น้ำ 10 ล. + จุลินทรีย์ อีแอบ.ซุปเปอร์ หรือ จุลินทรีย์หน่อกล้วย (อย่างใดอย่างหนึ่ง) 100 ซีซี.” ให้ได้ความชื้น 50 เปอร์เซ็นต์ ทำกองอัดแน่น คลุมด้วยพลาสติก ระหว่างหมักช่วง 5-7 วันแรกถ้าเกิดควันให้กลับกอง และกลับกองทุกครั้งที่มีควันขึ้น หมักไปจนกระทั่งอุณหภูมิในกองเย็นลง หมักนาน 3-6 เดือน ได้ “หัวเชื้อจุลินทรีย์เปลือกถั่วลิสงแห้ง” พร้อมใช้งาน

อัตราส่วนผสมและวิธีทำ :
ใช้ “หัวเชื้อเข้มข้น 1 กก. ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์หมักใหม่ 100 กก.” จุลินทรีย์ในเปลือกถั่วลิสงจะแพร่ขยายพันธุ์ในกองปุ๋ยอินทรีย์ชุดใหม่ หรือใส่ลงดินแล้วไถกลบ/คลุมด้วยอินทรีย์วัตถุก็จะแพร่ขยายพันธุ์ในดินเอง

หมายเหตุ :
ในเปลือกถั่วลิสงมีจุลินทรีย์กลุ่ม คีโตเมียม. ไรโซเบียม. และไมโครไรซ่า


6. จุลินทรีย์ก้นครัว
วัสดุส่วนผสมและวิธีทำ :
ใช้อาหารหมักดองที่ สี กลิ่น และรสชาติ พร้อมบริโภค เช่น แหนม. ส้มฟัก. ปลาส้ม. ผักดอง. เต้าเจี้ยว. เต้าหู้ยี้. ยาคูลท์. โยเกิร์ต. นมเปรี้ยว. ถั่วเน่า. กะปิ. สภาพสดใหม่ สะอาด สภาพดีรับประทานได้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆละเท่าๆกัน ขยำพอแหลก เป็น “จุลินทรีย์เริ่มต้น” ใส่ใน “น้ำขยายเชื้อ” แล้วดำเนินการหมักเหมือนการขยายเชื้อจุลินทรีย์ตามปกติ

วิธีใช้และอัตราใช้ :
- ใช้เป็นจุลินทรีย์เริ่มต้นในกองปุ๋ยหมักหรือในดินหมายเหตุ :
- ในมูลไก่ค้างคอน มูลสัตว์กินเนื้อ ขี้เพี้ยวัว/ควายสภาพสดใหม่ก็มีจุลินทรีย์ เมื่อนำมาขยายเชื้อในน้ำขยายเชื้อหรือผสมปุ๋ยอินทรีย์ใส่ลงดินก็จะได้จุลินทรีย์ที่ดีเช่นกัน

- น้ำผักดองที่อยู่ในไห คือ “หัวเชื้อเข้มข้น” พร้อมใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องนำไปขยายเชื้ออีก อัตราใช้ “น้ำผักดองในไห 1 ล./น้ำ 500 ล.” (1:500) ให้ทางดินหรือใส่ร่วมในปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอก จุลินทรีย์ก็จะเจริญขยายพันธุ์ได้เอง

- ดร.อิงะ นักวิชาการเกษตรอินทรีย์ญี่ปุ่น ศึกษาเกี่ยวกับจุลินทรีย์จากแหล่งต่างๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะอาหารหมักดองแล้วพัฒนาจนกลายเป็นจุลินทรีย์ อีเอ็ม.นำมาใช้อย่างได้ผลจนกระทั่งปัจจุบัน


7. จุลินทรีย์ฟังก์จัย
วัสดุส่วนผสม :
ฟางเห็ดฟางที่เชื้อเห็ดเริ่มเจริญ ..... 10 ... กก.
มูลวัวไล่ทุ่งแห้งเก่าค้างปี ............ 10 ... กก.
รำละเอียด ............................ 1 ..... กก.
ข้าวฟ่างสดใหม่บดละเอียด .......... 1 .... กก.
ยิบซั่มรรมชาติ ........................ 1 ..... กก.

คลุกเคล้าวัสดุส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี ทำกองบนแผ่นพลาสติกหรือพื้นคอนกรีตน้ำเข้าไม่ได้ อยู่ในร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก

น้ำขยายเชื้อ :
น้ำต้มปล่อยให้เย็น ........... 10 .... ล.
น้ำมะพร้าวอ่อน .............. 1 ...... ล.
กากน้ำตาล .................. 1 ....... ล.
นมสดสัตว์รีดใหม่ ........... 1 ....... ล.

ใส่ส่วนผสมตามลำดับ คนเคล้าให้เข้ากันดี

วิธีทำ :
คลุกเคล้าวัสดุส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดีพร้อมกับพรมด้วยน้ำขยายเชื้อให้ทั่วกองได้ความชื้น 50 เปอร์เซ็นต์เสร็จแล้วทำกองอัดแน่น ปิดทับด้วยพลาสติกให้อากาศเข้าได้น้อยที่สุด ช่วงการหมัก 5-7 วันแรกถ้ามีควันเกิดขึ้นให้กลับกองระบายอากาศ และให้กลับกองทุกครั้งเมื่อมีควันเกิดขึ้น หลังจากหมดควันแล้วให้กลับกองทุก 10-15 วัน จนกระทั่งเห็นว่าวัสดุส่วนผสมเย็น มีกลิ่นหอมรำข้าว เนื้อนุ่มเปื่อยยุ่ยสีน้ำตาลอมดำ ได้ "หัวเชื้อจุลินทรีย์ฟังก์จัยเข้มข้น" พร้อมใช้งาน

วิธีใช้และอัตราใช้ :
ใช้ "หัวเชื้อเข้มข้น 1 กระป๋องนม/พื้นที่ 1 ตร.ว." เป็นเชื้อเริ่มต้น หรือใช้ "หัวเชื้อเข้มข้น 10 กก.ผสมปุ๋ยหมัก 100 กก." เป็นเชื้อเริ่มต้น วิธีขยายเชื้อจุลินทรีย์

วัสดุผสมและวิธีทำ :
น้ำ 10 ล. ต้มเดือดจัดเพื่อฆ่าเชื้อโรคแล้วทิ้งให้เย็น ใส่กากน้ำตาลต้มความร้อน 70 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที อัตรา 1 ล. คนเคล้าให้เข้ากันดี ใส่จุลินทรีย์ที่ต้องการขยายเชื้อลงไป 1 ล.หรือ 100 กรัม คนเคล้าให้เข้ากันดีอีกครั้งช่วงการหมัก 24 ชม.แรก ปิดฝาให้สนิทให้อากาศเข้าได้น้อยที่สุด ครบ 24 ชม.แล้วคลายฝาพอหลวม ติดปั๊มออกซิเจนเพื่อให้อากาศแก่จุลินทรีย์แบบตลอด 24 ชม. นานติดต่อกัน 7 วัน เก็บในร่ม อุณหภูมิห้อง ระวังอย่าให้ถูกแสงสว่างหลังจากให้ออกซิเจนครบ 7 วัน ให้ตรวจสอบโดยหยุดให้ออกซิเจน 2-3 วัน จากนั้นให้สังเกตฟอง.........ถ้ามีฟองเกิดขึ้น แสดงว่ามีจุลินทรีย์ดี จำนวนมาก ให้หมักต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องให้ออกซิเจน จนกว่าจะไม่มีฟองเกิดขึ้นหรือนิ่งหมดฟองก็จะได้ "หัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้น" พร้อมใช้งาน

วิธีใช้และอัตราใช้ :
ใช้เหมือนจุลินทรีย์ดั้งเดิมตั้งแต่ยังไม่ได้นำมาขยายเชื้อ

เป้าหมาย :
เหมือนจุลินทรีย์ดั้งเดิมตั้งแต่ยังไม่ได้ขยายเชื้อ
- ช่วงการหมักครบ 24 ชม.แรก ค่อยๆ เปิดฝาพร้อมกับสังเกตก๊าซที่พุ่งสวนออกมา ถ้าเสียงก๊าซพุ่งออกมาแรงแสดงว่ามีจุลินทรีย์มากและแข็งแรงดี ให้เปิดฝาแล้วเติมออกซิเจนได้เลย แต่ถ้าเสียงก๊าซพุ่งออกมาค่อยๆแสดงว่ามีจุลินทรีย์ไม่มากและไม่ค่อยแข็งแรง ให้ปิดฝาแน่นป้องกันอากาศเข้าต่อไปอีก 24 ชม. จากนั้นให้ตรวจสอบปริมาณก๊าซด้วยการเปิดฝาทุกๆ 24 ชม.เพื่อให้รู้ว่ามีจุลินทรีย์มากหรือน้อย

- ตรวจสอบจุลินทรีย์โดยการขยายเชื้อจุลินทรีย์ในขวดปากแคบ ใช้ลูกโป่งสวมปากขวดไว้ แล้วสังเกตลูกโป่ง ถ้าลูกโป่งพองดีแสดงว่ามีจุลินทรีย์จำนวนมาก ถ้าลูกโป่งไม่พองหรือพองช้าก็แสดงว่าไม่มีจุลินทรีย์หรือมีจำนวนน้อย


8. จุลินทรีย์ ไอเอ็มโอ.
วัสดุส่วนผสมและวิธีทำ :
1. หุงข้าว (ข้าวใหม่ดีกว่าข้าวเก่า) ให้สุกปกติพอดีๆ ปล่อยให้เย็นคาหม้อหุง ตักใส่กระบะพลาสติก ยีข้าวให้แตกเมล็ดดีพร้อมกับโรยน้ำตาลทรายแดงบดละเอียดบางๆ อัตราส่วน ข้าว 1,000 ส่วน น้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน (1,000 : 1) คนเคล้าให้เข้ากันดีปิดฝากระบะด้วยผ้า รัดขอบให้มิดชิด

2. นำกระบะข้าวไปวางไว้ในสวนบริเวณร่มเย็น ความชื้นสูง (กลางกอกล้วย) ปลอดสารเคมี-ยาฆ่าหญ้าและสารเคมีอื่นๆ ทุกชนิด แล้วคลุมด้วยเศษพืชแห้งบางๆ โปร่งอากาศผ่านสะดวก

3. ทิ้งกระบะไว้ 5-7 วัน เมล็ดข้าวสุกจะเริ่มเป็นสีเหลืองอมเขียวอ่อนๆ บริเวณผิวหน้าก่อน เมื่อปล่อยไว้ต่อไปอีกเมล็ดข้าวสุกจะเป็นสีเหลืองอมเขียวทั้งหมดและมีน้ำใสๆ อยู่ที่ก้นกระบะนำกระบะข้าวสุกกลับมา ได้ “หัวเชื้อจุลินทรีย์ ไอเอ็มโอ. เข้มข้น” พร้อมใช้งาน

อัตราใช้และวิธีใช้ :
ใช้ “น้ำ 1,000 ล. + กากน้ำตาล 1 ล. + หัวเชื้อเข้มข้น 1 กก.” คนให้เข้ากันดี กรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่นทางใบแก่พืชช่วงหลังค่ำ อากาศไม่ร้อน หรือผสมปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อขยายเชื้อจุลินทรีย์ให้มากและแข็งแรงขึ้น


9. จุลินทรีย์นมสด
วัสดุส่วนผสม วิธีทำ และวิธีใช้ :
นมโคสด รีดใหม่ จากฟาร์ม............ 10 ล.
น้ำส้มสายชู 5% ...................... 100 ซีซี.
น้ำมะพร้าว.............................. 1 ล.
กากน้ำตาล............................. 1 ล.
ยิสต์ทำขนมปัง......................... 100 กรัม

คนเคล้าทุกอย่างให้เข้ากันดี เติมอ๊อกซิเจน ตลอด 24 ชม. นาน 7-10 วัน
ได้ "หัวเชื้อ" เข้มข้น

วิธีใช้ "หัวเชื้อ 20 ซีซี./น้ำ 20 ล. ราดรดลงดิน


10. จุลินทรีย์ย่อยสลายฟาง
วัสดถุส่วนผสม วิธีทำ และวิธีใช้ :
น้ำ (พีเอช 6.5-7.0) ......................... 10 ล.
เศษฟางเปื่อยยุ่ยเองตามธรรมชาติ ............ 1-2 กก.
กากน้ำตาล..................................... 1 ล.
น้ำมะพร้าว...................................... 1 ล.
ยูเรีย............................................ 100 กรัม

คนเคล้าส่วนผมทุกอย่างให้เข้ากันดี เติมอ๊อกซิเจนตลอด 24 ชม. นาน 7-10 วัน
ได้ "หัวเชื้อ" เข้มข้น

ใช้ "หัวเชื้อ 1-2 ล." ผสมน้ำตามความเหมาะสม สาดให้ทั่วแปลงนา 1 ไร่ ช่วงหมักฟาง หรือใส่กองปุ๋ยอินทรีย์หมัก 1 ตัน



-------------------------------------------------------------


.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 05/01/2023 7:50 am, แก้ไขทั้งหมด 4 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11625

ตอบตอบ: 05/01/2023 7:33 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

....
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©