การปลูกปอ
ฤดูปลูก
ปอเป็นพืชที่ตอบสนองต่อช่วงแสงมากซึ่งกระตุ้นให้ปอออกดอกในช่วงเวลาของวันสั้น ปอกระเจาเริ่มออกดอกราวเดือนสิงหาคมปอคิวบาออกดอกประมาณเดือนกันยายนถึงตุลาคม สำหรับปอแก้วช่วงแสงในเวลากลางวันมีผลให้ออกดอกประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม การออกดอกของปอทำให้การเจริญเติบโตทางลำต้นสิ้นสุดการสร้างผลิตผลของเส้นใยก็สิ้นสุดลงด้วย การปลูกปอจึงจำเป็นต้องให้ปอเจริญเติบโตทางลำต้นยาวนานที่สุดเพื่อจะให้ได้ผลิตผลเส้นใยสูงสุดตามปกติเกษตรกรจะเริ่มปลูกปอเมื่อฝนเริ่มตกในระยะแรกประมาณเดือนเมษายนหรืออย่างช้าเดือนพฤษภาคม การปลูกปอช้าไปกว่านี้จะทำให้ปอมีโอกาสเจริญเติบโตทางลำต้นน้อยลงเป็นผลให้ปลูกปอได้เพียงปีละ ๑ ครั้ง
การเลือกพื้นที่ปลูกและการเตรียมดิน
ปอแต่ละชนิดมีความต้องการแตกต่าง กันสภาพพื้นที่จึงมีผลต่อการเจริญเติบโตของปอมากปอแก้วเป็นปอที่สามารถ เจริญเติบโตได้ในสภาพที่แห้งแล้งมีฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานานชอบดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำได้ดีในสภาพน้ำขังหรือมีฝนตกชุกจะมีโรคโคนเน่าระบาดจึงเหมาะสมที่จะปลูกในที่ดอน ส่วนปอคิวบาเป็นปอที่ทนต่อความแห้งแล้งได้น้อยกว่าปอแก้ว สภาพที่ฝนทิ้งช่วงจะทำให้ปอคิวบาชะงักการเจริญเติบโต นอกจากนี้ปอคิวบายัง
ต้องการดินที่มีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าปอแก้วแต่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพน้ำขังเช่นในนาข้าวเนื่องจากมีความต้านทานต่อโรคโคนเน่าได้ดีปอคิวบาจึงเป็นพืชที่ปลูกได้ก่อนปลูกข้าวในนา ปอกระเจาเป็นพืชที่ทนความแห้งแล้งได้น้อยกว่าปอแก้วและปอคิวบามีความต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์มาก ปอกระเจาจึงไม่สามารถขึ้นกระจายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั่วไปได้ ปอกระเจาฝักยาว ส่วนใหญ่จะปลูกกันบริเวณริมแม่น้ำโขงที่มีสภาพดินอุดมสมบูรณ์มากมีฝนตกทั่วไปตลอดฤดูปลูกเช่นในเขตจังหวัดหนองคายและสกลนครส่วนปอกระเจาฝักกลมสามารถปรับตัวได้ดีกว่าปอกระเจาฝักยาว สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพที่แห้งแล้งหรือน้ำขังได้ดีกว่า ในอดีตได้พบว่าปลูกมากในเขตภาคกลาง ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อใช้ทำเชือกมัดฟ่อนข้าว แต่ปัจจุบันการปลูกปอกระเจาฝักกลมมีเพียงเล็กน้อย
การเตรียมดินเป็นการกำจัดวัชพืชและเพิ่มพูนคุณสมบัติทางกายภาพของดินให้มีอากาศถ่ายเทและสามารถเก็บความชื้นได้ดี การเตรียมดินในการปลูกปอก็เหมือนกับการเตรียมดินของพืชไร่อื่นๆคือเริ่มไถเมื่อฝนตกครั้งแรกประมาณเดือนเมษายน แต่ไม่ควรไถในช่วงที่ดินเปียกเกินไปเพราะจะทำให้ดินอัดตัวแน่นมีการระบายน้ำและอากาศไม่ดีมีโรคระบาดได้ง่ายควรไถดะและไถแปรอย่างละ๑ครั้งและไถลึกประมาณ ๑๕ เซนติเมตรก็เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของปอ สำหรับการเตรียมดินของปอกระเจาจะต้องมีการเตรียมให้หน้าดินเรียบสม่ำเสมอ เนื่องจากปอกระเจามีเมล็ดขนาดเล็กไหลตามน้ำได้ง่ายเมื่อเวลาฝนตกน้ำฝนจะชะเมล็ดไหลมารวมกัน ขึ้นเป็นกลุ่มในที่ต่ำไม่กระจายออกทั่วแปลง นอกจากนี้ต้องทำให้หน้าดินละเอียดพอสมควร เพื่อป้องกันไม่ให้เมล็ดปอกระเจาตกลงไปลึกระหว่างก้อนดินทำให้การงอกของปอไม่สม่ำเสมอ
วิธีปลูก
การปลูกปอให้ได้ผลิตผลสูงควรปลูกให้มีจำนวนต้นปอต่อไร่อยู่ระหว่าง๕๓,๐๐๐-๖๐,๐๐๐ต้นต่อไร่ถ้าปลูกให้มีจำนวนมากกว่านี้ผลิตผลก็ไม่เพิ่มขึ้นแต่ขนาดของลำต้นจะเล็กลงเนื่องจากการแข่งขันกันเอง ทำให้เสียเวลาในการเก็บเกี่ยวและแช่ฟอกทั้งอาจจะมีการระบาดของโรคและแมลงได้ง่ายแต่ในทางตรงกันข้ามถ้าปลูกปอให้มีจำนวนน้อยกว่าที่กำหนดปอจะแตกกิ่งและล้มง่ายมีปัญหาเรื่องวัชพืชมากและผลิตผลต่ำ ตามปรกติการปลูกปอนิยมปลูกอยู่ ๒ วิธี คือ
๑. การปลูกเป็นแถว
โดยมีการปลูกที่ใช้ระยะปลูกระหว่างแถว ๓๐ เซนติเมตร ระหว่างต้น ๑๐ เซนติเมตร ปอ ๑ ต้นต่อหลุม แต่การปลูกโดยวิธีนี้ทำให้ปลูกได้ช้า เสียค่าใช้จ่ายมากอาจปลูกโดยโรยเมล็ดปอเป็นแถว เพิ่มระยะระหว่างแถวเป็น ๕๐ เซนติเมตร สำหรับปอแก้วใช้เมล็ดพันธุ์ในอัตรา ๓ กิโลกรัมต่อไร่ และปอกระเจาใช้ในอัตราประมาณ ๐.๕ กิโลกรัมต่อไร่ ข้อดีของการปลูกเป็นแถวคือทำให้ดูแลรักษาได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้มีการถ่ายเทอากาศได้ดี ลดโอกาสการระบาดของโรคและแมลงลงได้
๒. การปลูกแบบหว่าน
เป็นวิธีการที่กสิกรปฏิบัติกันมาก เพราะสามารถปลูกได้เร็ว ใช้แรงงานน้อย วิธีการนี้จะเหมาะสมในสภาพที่มีวัชพืชรบกวนน้อย แต่ถ้าเกิดโรคขึ้นในแปลงปลูก โรคจะแพร่ระบาดได้เร็วกว่าการปลูกเป็นแถว สำหรับอัตราเมล็ดพันธุ์ที่แนะนำให้กสิกรหว่านคือ ปอแก้วใช้ในอัตรา ๓ กิโลกรัมต่อไร่ ปอกระเจาใช้ในอัตรา ๐.๕-๑.๐ กิโลกรัมต่อไร่
การดูแลรักษา
ตามปกติปอเป็นพืชที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีต้องการการดูแลรักษาไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับพืชไร่ชนิดอื่น ๆ สำหรับการดูแลรักษาโดยทั่วไป ได้แก่ การถอนแยกเพื่อให้ปอคงประชากรในแปลงปลูกประมาณ ๕๓,๐๐๐-๖๐,๐๐๐ ต้นต่อไร่ การถอนแยกโดยทั่ว ๆ ไป จะทำเมื่ออายุไม่เกิน ๒๐ วัน ทำพร้อมกับการกำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ย ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำควรใช้ปุ๋ยสูตร ๑๕-๑๕-๑๕ ในอัตรา ๕๐ กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่ในขณะที่ดินยังมีความชื้นอยู่แมลงที่ระบาดเป็นประจำและเป็นศัตรูสำคัญของปอแก้วและปอคิวบา ได้แก่ เพลี้ยจักจั่น แมลงชนิดนี้จะพบทั่วไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระบาดรุนแรงเมื่อฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน ตามปกติระบาดสูงในช่วงเดือนมิถุนายนกันยายน แมลงทำลายปอโดยการดูดน้ำเลี้ยงใต้ใบ ทำให้ใบปอเหลือง ซีดและม้วนลง เป็นผลให้ปอชะงักการเจริญเติบโต ถ้าระบาดในช่วงปอมีอายุน้อยต้นปออาจตายได้ ปอแก้วทนต่อการทำลายของเพลี้ยจักจั่นได้ดีกว่าปอคิวบาการระบาดของแมลงชนิดนี้จะหายไปเมื่อมีฝนตก สำหรับปอกระเจา หนอนคืบเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุด ทำลายโดยกัดกินใบให้เป็น รพรุน ปอจะชะงักการเจริญเติบโต แต่ถ้าระบาดในช่วงปอออกดอกก็จะไม่มีผลต่อผลิตผลปอ โรคโคนเน่า (Collar rot) เป็นอันตรายและทำความเสียหายให้แก่ปอแก้วมากที่สุด พบได้ในแหล่งปลูกทุก ๆ ที่ โรคนี้เกิดจากเชื้อราไฟทอฟทอรา ไมโคเทียมี พรรณ พาราสิติคา (Phytophthora micotiame Var. Parasitica) ที่อาศัยอยู่ในดิน เชื้อรานี้สามารถเข้าทำลายปอได้ทุกช่วงอายุ แต่โดยทั่วไปจะพบในช่วงที่ปอใกล้ออกดอกและช่วงที่มีฝนตกชุก โรคนี้ทำให้ปอเหี่ยวและตายได้ ปอคิวบาต้านทานต่อโรคนี้ได้ดีกว่าปอแก้ว จึงสามารถปลูกในสภาพชื้นแฉะได้ แต่ปอคิวบาอ่อนแอต่อโรครากปม (Rootknot) ซึ่งเกิดจากไส้เดือนฝอยที่พบว่าระบาดมากในดินร่วนปนทรายของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่ปลูกปอคิวบาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจึงมีจำกัดโรคเน่าคอดิน (Damping-off) เกิดจากเชื้อรามาโครฟอมินา คอร์โคไร (ฟาริโอลินา) (Macrophomina Corchori (phareolina)ซึ่งสามารถอาศัยอยู่ในดินตามซากพืชหรือติดมากับเมล็ดเชื้อรานี้ระบาดมากในช่วงฝนตกและอากาศอบอ้าว ป้องกันได้โดยใช้เมล็ดพันธุ์จากต้นที่ไม่เป็นโรคและปลูกปอแต่เนิ่น ๆ
|