-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-* หัวใจเกษตรไท ห้อง 1 “ปุ๋ย-จุลินทรีย์”
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - * หัวใจเกษตรไท ห้อง 1 “ปุ๋ย-จุลินทรีย์”
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

* หัวใจเกษตรไท ห้อง 1 “ปุ๋ย-จุลินทรีย์”

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11836

ตอบตอบ: 17/12/2025 8:34 pm    ชื่อกระทู้: * หัวใจเกษตรไท ห้อง 1 “ปุ๋ย-จุลินทรีย์” ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หัวใจเกษตรไท ห้อง 1 “ปุ๋ย-จุลินทรีย์”

สารบัญ :
เกร็ดความรู้เรื่องปุ๋ย
เกร็ดความรู้เรื่องธาตุอาหารพืช
สมการปุ๋ยอินทรีย์ (แห้ง)
อินทรีย์นำ เคมีเสริม V.S. เคมีนำ อินทรีย์เสริม
ปุ๋ยอินทรีย์ (ไบโอ ซัมมิต BIO SUMMIT)

ปุ๋ยอินทรีย์ ไบโอ โซลิด
ปุ๋ยอินทรีย์ ซุปเปอร์
ปุ๋ยอินทรีย์ พด.
ปุ๋ยอินทรีย์แบบเติมอากาศ
ปุ๋ยคอก ซุปเปอร์

ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ :
น้ำหมักชีวภาพ สูตรกล้อมแกล้ม
สมการปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
ปุ๋ยน้ำชีวภาพ สูตรระเบิดเถิดเทิง
น้ำหมักชีวภาพ สูตรก้นครัว
น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง สูตรฟาจีก้า

น้ำหมักชีวภาพ BMW
น้ำหมักชีวภาพ สูตรสำหรับไฮโดรโปรนิกส์
น้ำหมักชีวภาพ สูตรมั่วซั่วซุปเปอร์
น้ำหมักชีวภาพกำจัดวัชพืช

ฮอร์โมนธรรมชาติ :
ฮอร์โมนสมส่วน
ฮอร์โมนเขียว
ฮอร์โมนบำรุงราก
ฮอร์โมนเร่งรากกิ่งตอน
ฮอร์โมนจิ๊บเบอเรลลิน (ทำเอง)

จุลินทรีย์เพื่อการเกษตร :
สมการจุลินทรีย์
บทบาทของจุลินทรีย์เพื่อการเกษตร
เกร็ดความรู้เรื่อง "จุลินทรีย์" เพื่อการเกษตร
จุลินทรีย์ธรรมชาติ
จุลินทรีย์ อีแอบ

จุลินทรีย์ อีแอบ ซุปเปอร์
จุลินทรีย์จาวปลวก
จุลินทรีย์หน่อกล้วย
จุลินทรีย์เปลือกถั่วลิสง
จุลินทรีย์ก้นครัว

จุลินทรีย์ฟังก์จัย
จุลินทรีย์ข้าวสุก
จุลินทรีย์นมสด
จุลินทรีย์นมเปรียง
จุลินทรีย์ย่อยสลายฟาง

ขยายเชื้อไตรโคเดอร์ม่า
ขยายเชื้อจุลินทรีย์
ขยายเชื้อเห็ดธรรมชาติ
ทำจุลินทรีย์ผง
วิธีเพาะเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์

ทดสอบจุลินทรีย์
ใช้งานจุลินทรีย์
จุลินทรีย์ ไอเอ็มโอ. (พร้อมใช้)

ปุ๋ยเคมีทางใบ :
ปุ๋ยน้ำทางใบ-ผักใบ (พร้อมใช้)
ปุ๋ยน้ำ-ผักกินดอกและผล (พร้อมใช้)
ปุ๋ยน้ำ-ผักกินดอกและผล (พร้อมใช้)
ปุ๋ยน้ำ-กล้วยไม้ (พร้อมใช้)
สูตรบำรุงต้น หัวเชื้อเข้มข้น (พร้อมใช้)

สูตรบำรุงต้น หัวเชื้อเข้มข้น (พร้อมใช้)
สูตรเปิดตาดอก หัวเชื้อเข้มข้น (พร้อมใช้)
สูตรบำรุงดอก หน้าฝน (พร้อมใช้)
สูตรบำรุงดอกหน้าแล้ง (พร้อมใช้)
สูตรบำรุงผลยูเรก้า (พร้อมใช้)

สูตรบำรุงผลอเมริกาโน (พร้อมใช้)
สูตรบำรุงต้น สร้างความสมบูรณสะสม (พร้อมใช้)
สูตรสารลมเบ่งนาข้าว (พร้อมใช้)
แคลเซียม โบรอน
สูตรอาหารทางด่วน สำหรับไม้ผล

สูตรสะสมอาหารเพื่อการออกดอก
ปุ๋ยไฮโดรโปรนิกส์
สูตรสหประชาชาติ
น้ำตาลทางด่วน (สูตรพร้อมใช้)
น้ำตาลทางด่วน

ฮิวมิก
เคล็ด (ไม่) ลับ ปุ๋ยเคมีน้ำทางใบ กับ เกษตรกรไทย
การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ร่วมกับปุ๋ยเคมีในการผลิตพืช
ความสำคัญของการปรับปรุงดินในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
ดินเสื่อมโทรมและแนวทางการแก้ไข
ความสำคัญของการปรับปรุงดินในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน

ดินเสื่อมโทรมและแนวทางการแก้ไข

.......................................................................................................


.

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 17/12/2025 6:24 pm, แก้ไขทั้งหมด 14 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์

kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11835

ตอบตอบ: 11/10/2023 10:04 am ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote) แก้ไข/ลบคำตอบนี้ ลบคำตอบนี้ แสดง IP
.
.
หัวใจเกษตรไท ห้อง 1 “ปุ๋ย-จุลินทรีย์”

** ต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี 30%
** ในธรรมชาติไม่มีตัวเลข ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีคันเร่ง ไม่มีบล็อก
** ปัจจัยพื้นฐาน “ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธุ์-โรค”
ผิดพลาดปัจจัยเดียว หมายถึง ล้มเหลวทั้งหมด
** จุลินทรีย์-ปุ๋ย คนละตัวกัน แต่อยู่ด้วยกัน
** ปุ๋ยถูก + ใช้ผิด = ไม่ได้ผล
** ปุ๋ยผิด + ใช้ถูก = ไม่ได้ผล
** ยุโรปทำเกษตร อินทรีย์-เคมี-ผสมผสาน
** อเมริกาทำนาข้าว ไม่เผาฟาง แต่ทำฟางเปล่าๆ ให้เป็นฟางซุปเปอร์

"ปุ๋ยน้ำทางใบ-สารสมุนไพร" ที่วางขายในท้องตลาด....
** มหาลัยไหน สอนวิธีทำ ........................................ คำตอบ ไม่มี
** คณะภาควิชาอะไร สอนวิธีทำ ................................. คำตอบ ไม่มี
** ระดับปริญญาตรี หรือโท หรือเอก สอนวิธีทำ ................. คำตอบ ไม่มี

*******************************************************************

เกร็ดความรู้เรื่องปุ๋ย :
- หลักการพื้นฐาน คือ ต้นพืชรับสารอาหารหรือปุ๋ยได้ 2 ทาง ทางใบกับทางราก เมื่อไม่รู้ว่าทางรากส่งสารอาหารไปเลี้ยงต้นได้หรือไม่ เราก็ให้ทางใบแทน แม้ไม่เต็มร้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย หรือแม้ว่า ทางรากส่งสาร อาหารได้แล้วให้ทางใบเพิ่มเข้าไปอีก ก็เท่ากับได้ทั้ง 2 ทาง ซึ่งต้องดีกว่าได้รับทางเดียวแน่นอน

- ปัจจัยที่มีผลต่อพืชหลังจากได้รับสารอาหาร (ปุ๋ย) ทั้งทางใบและทางรากไป แล้ว การตอบสนองหรือการเจริญเติบโตไม่เหมือนกัน ได้แก่

- ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศตามโซนภูมิศาสตร์โลก .... ในความชื้นมีไนโตรเจน ในเมื่อไนโตรเจนคือสารอาหารสร้างการเจริญโตโดยตรง ภาคไต้มีความ ชื้นสัมพัทธ์ในอากาศสูง จึงไม่จำเป็นต้องให้มากนัก ในขณะที่ภาคเหนือหรือภาคอื่นๆ ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศมีน้อย จึงจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณไนโตรเจนให้แก่พืช

- ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศตามฤดูกาล ภาคไต้มีฤดูร้อนกับฤดูฝน กับมีสายลมที่พัดขึ้นมาจากทะเลตลอดเวลา ในสายลมทะเลมีสารอาหารพืชที่ระเหิดขึ้นมาจากน้ำทะเล เช่น แม็กเนเซียม สังกะสี โซเดียม ปนเปื้อนอยู่ด้วย แต่ภาคเหนือทุกฤดูกาลจะไม่มีสารอาหารเหล่านี้เลย ดังนั้น จึงจำเป็นที่ต้องจัดหาให้แก่พืช

- กับอีกหลากหลายปัจจัย ที่ทำให้ “ปุ๋ย” ทั้งทางใบและทางราก เกิดประ สิทธิภาพประสิทธิผลต่างกัน ทั้งที่เป็นสูตร (เรโช) เดียวกัน ให้แก่พืชชนิดเดียวกันและทุกเทคนิคเดียวกัน .... ที่กล่าวอย่างนี้มิใช่เจตนาบอกว่า “ไม่ต้องให้” แต่ตรงกันข้าม “ต้องให้” ด้วยซ้ำไป ตัดปัญหาปัจจัยต้านเหล่านั้นออกไปแล้วให้แบบ “ให้น้อย บ่อยครั้ง” แทน นั่นเอง

- ปุ๋ยทางใบ หมายถึง ปุ๋ยที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก เป็นโมเลกุลเดี่ยว ละลายดี แล้วฉีดพ่นทางใบ เพื่อให้ธาตุอาหารแก่พืช ทั้งเพื่อเพิ่มสารอาหารโดยตรง และเพื่อทดแทนที่ระบบรากไม่สามารถรับสารอาหารแล้วส่งไปให้ต้นได้

- ประสิทธิภาพของปุ๋ยทางใบจะบังเกิดได้ ต้องมีความสมบูรณ์ของต้นเป็นสิ่งรองรับ และความสมบูรณ์ของต้นมาจาก “6 ปัจจัยพื้นฐานเพื่อการเพาะปลูก” ของพืชชนิดนั้นๆ

- ปุ๋ยทางใบจะผ่านปากใบได้ เมื่อปากใบเปิด (แดดออก, เวลา 10 โมงเช้าถึงเที่ยง) .... ฉีดพ่นน้ำเปล่าก่อนเพื่อกระตุ้นให้ปากใบเปิด ใบเริ่มๆ (เน้นย้ำ....เริ่ม) แห้ง จึงฉีดพ่นปุ๋ยทางใบตาม

ชนิดของปุ๋ยทางใบ :
1. ปุ๋ยเกล็ด คือ ปุ๋ยเคมีชนิดแข็ง เป็นรูปผลึกของสารประกอบ ผลิตจากการนำแม่ปุ๋ยชนิดต่างๆ มาผสมกันให้ได้สูตรที่ต้องการ และละลายน้ำง่าย

2. ปุ๋ยน้ำหรือปุ๋ยเหลว คือ ปุ๋ยที่ได้จากการละลายแม่ปุ๋ย 2-3-4 ตัว หรือมากกว่า ในน้ำตามสัดส่วนที่เหมาะสมกับชนิดพืช ระยะพัฒนาการ และปัจจัยเสริมหรือปัจจัยต้าน ของพืชชนิดนั้นๆ

ข้อดีของการใช้ปุ๋ยทางใบ :
1. ช่วยให้พืชรับเข้าสู่ต้น ส่งผลให้พืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
2. เพื่อชดเชยธาตุอาหารที่ขาด หรือเพิ่มเติมเพื่อเร่งการเจริญเติบโตแก่พืชได้
3. ใช้ผสมร่วมไปกับสารเคมี หรือสารสกัดสมุนไพร อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างได้ เพื่อประหยัดเวลาและแรงงาน

4. ใช้กับพืชที่มีปัญหาเกี่ยวกับดิน เช่น ดินเค็ม ดินเปรี้ยวจัด ดินทรายจัด ดินเหนียวจัด หรือดินที่มีปัจจัยแวดล้อมขวางการดูดใช้ธาตุอาหารทางระบบราก

5. พืชสามารถดูดธาตุอาหารโดยทางใบได้มากกว่า และเร็วกว่าการดูดทางราก ต้นไม้จึงใช้ประโยชน์จากธาตุอาหารได้เร็วกว่า

6. ช่วยให้พืชฟื้นตัวเร็วหลังจากชะงัก เนื่องจากกระทบแล้งหรือถูกโรคแมลงทำลาย
7. ปุ๋ยชนิดน้ำมีความสม่ำเสมอของเนื้อปุ๋ยแน่นอนกว่าปุ๋ยชนิดแข็งและปุ๋ยชนิดเกล็ด มีปริมาณเนื้อปุ๋ยรวม (N+P2O5+K2O) สูงกว่าปุ๋ยเม็ด ทำให้ได้ประสิทธิภาพเหนือกว่า

8. ปุ๋ยชนิดน้ำผลิตง่าย และเปลี่ยนแปลงปรับปรุงสูตรได้ง่าย จึงผลิตได้มากสูตรกว่าปุ๋ยชนิดแข็งหรือชนิดเกล็ด

ข้อเสียของปุ๋ยทางใบ :
1. การให้ปุ๋ยทางใบเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืชได้ จึงควรให้ทั้ง 2 ทาง คือ ทั้งทางใบและทางราก หรือใช้ควบคู่กัน

2. การให้ปุ๋ยทางใบควรให้ปุ๋ยบ่อยครั้งตามกำหนดเวลาอย่างสม่ำเสมอ
3. ให้ในระดับความเข้มข้นสูงเกินไป อาจทำให้พืชใบไหม้
4. ปุ๋ยชนิดน้ำไม่สามารถทำให้มีเปอร์เซ็นต์เนื้อปุ๋ยสูงๆ ได้ โดยทั่วไปมักมีปริมาณของธาตุอาหารหลัก (N+P2O5+K2O) รวมไม่เกิน 30 %

5. ปุ๋ยชนิดเกล็ด มักมีคุณสมบัติดูดความชื้นจากอากาศได้ง่ายกว่าปุ๋ยเม็ด แม้จะมีการใส่สารป้องกันความชื้นแล้ว จึงทำให้เสื่อมคุณภาพเร็ว

6. ราคาของปุ๋ยชนิดเกล็ดสูงกว่าปุ๋ยชนิดเม็ดมาก
7. ปุ๋ยชนิดน้ำละลายธาตุอาหารเสริมและธาตุอาหารรองได้น้อย ยกเว้นปุ๋ยชนิดน้ำที่ใช้แม่ปุ๋ยในรูปของโพลิฟอสเฟต และสารคีเลต

8. ปุ๋ยชนิดน้ำควบคุมคุณภาพได้ยากกว่าปุ๋ยเม็ด และปุ๋ยเกล็ด

คุณสมบัติที่ดีของปุ๋ยทางใบ :
1. ควรประกอบด้วยธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริมบางธาตุ หรือหลายๆธาตุ นอกเหนือจากธาตุอาหารหลัก N-P-K

2. เป็นปุ๋ยที่มีความเป็นกรดมากพอ เมื่อนำไปละลายน้ำในระดับความเข้มข้น 0.25 - 0.30 % ของตัวปุ๋ย (อัตราที่ใช้อยู่ในประเทศไทย) จะได้ส่วนผสมของสารละลายปุ๋ยที่มีค่า pH ระหว่าง 4.5 - 6.0 ทั้งนี้เนื่องจากค่า pH ในช่วงดังกล่าว
ใบพืชจะสามารถดูดธาตุอาหารได้ดีและเร็วกว่าค่า pH ของปุ๋ยที่ต่ำหรือสูงกว่านี้

3. ปุ๋ยทางใบชนิดเกล็ดสามารถละลายน้ำได้เร็ว และละลายน้ำได้ทั้งหมด
4. ปุ๋ยทางใบชนิดเกล็ดควรอยู่ในรูปผลึกขนาดเล็ก ที่มีความบริสุทธิ์สูง และไม่ควรมีค่าความชื้นมากกว่า 1%

วัตถุประสงค์หลักในการให้ปุ๋ยทางใบ :
1. เพื่อแก้ไขอาการขาดธาตุอาหาร :
ในดินด่างพืชมักขาดธาตุเหล็ก (Fe) ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) แมงกานีส (Mn) และโบรอน (Bo)การให้ปุ๋ยฟอสเฟตอัตราสูงก็คงเป็นเหตุให้พืชขาดสังกะสีได้เช่นกัน การใส่ปุ๋ยจุลธาตุเหล่านั้นทางดินในรูปเกลืออินทรีย์ ก็มักจะตกตะกอน และไม่เป็นประโยชน์ต่อพืชเต็มที่แต่ถ้าใช้ปุ๋ยจุลธาตุคีเลตในดินก็ย่อมเสียค่าใช้จ่ายสูง วิธีการแก้ไข คือ ใช้สารละลายของเกลือจุลธาตุดังกล่าวฉีดพ่นทางใบ ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ผลเร็วและชัดเจนกว่าการให้ทางดิน แต่อย่างไรก็ตามดินยังเป็นทรัพยากรหลักในการผลิตพืชและถือว่าดินเป็นแหล่งธาตุอาหารที่สำคัญสำหรับพืช การบำรุงดินตามหลักการทีกล่าวข้างต้นจึงเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้การใช้ปุ๋ยทางใบจึงอาจยอมรับเข้ามาเสริมความสมบูรณ์ของการผลิต โดยเฉพาะช่วยแก้ไขการขาดธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม ดังนี้

2. เพื่อเพิ่มคุณภาพและผลผลิต :
ปุ๋ยทางใบที่มีสัดส่วนของไนโตรเจนดังนั้นเป็นที่นิยมใช้กันมาก คือ ราวร้อยละ 50 ของปุ๋ยทางใบทั้งหมด เมื่อนำมาใช้ร่วมในการผลิตผักและช่วยให้ผักดูอวบและเขียวสด เนื่องจากไนโตรเจน ส่งเสริมการเติบโตของต้นและใบยังช่วยเพิ่มปริมาณของคลอโรฟิลล์ในใบ

ปุ๋ยทางใบชนิดเกล็ดที่มีสัดส่วนของฟอสฟอรัสสูงได้รับความนิยมรองลงมา คือ ใช้ประมาณร้อยละ 28 ปุ๋ยประเภทนี้ช่วยเพิ่มคุณภาพของไม้ดอกไม้ประดับ หากใช้เสริมในไม้ผลก่อนการออกดอกจะช่วยให้ดอกสมบูรณ์

ปุ๋ยทางใบที่มีสัดส่วนของโพแทสเซียมสูง ใช้กันเพียงร้อยละ 11 ของปุ๋ยทางใบทั้งหมดเพื่อเสริมธาตุนี้ในช่วงการพัฒนาของผลในไม้ผลหลายชนิดและช่วยให้รสชาติของผลไม้ดีขึ้น

3. เพื่อช่วยให้พืชฟื้นตัวจากปัญหาความขาดแคลนในบั้นปลาย :
สำหรับพืชล้มลุกโดยทั่วไป เมื่อย่างเข้าสู่ผลิดอกออกผล อินทรีย์สารต่าง ๆ ที่เคยสะสมไว้ในใบจะเริ่มเคลื่อนย้ายไปสร้างผล เป็นเหตุให้รากพืชได้รับอาหารน้อย ในช่วงนี้การเจริญเติบโตของระบบรากจึงหยุดลง แต่รากก็ยังต้องทำหน้าที่ต่อไปด้วย ประสิทธิภาพที่ต่ำ ปริมาณของธาตุอาหารที่ดูดได้จากดินก็น้อยลงไปด้วย สำหรับในพืชตระกูลถั่วนั้นช่วงนี้ปมรากอาจขาดอาหารจึงเริ่มเน่าและหลุดจากราก ขณะที่รากดูดธาตุไนโตรเจนได้น้อยลง และไม่มีกิจกรรมการตรึงไนโตรเจนอีก พืชจึงไม่มีไนโตรเจนเพียงพอแก่การบำรุงลำต้น ใบ ดอก และผล ในช่วงนี้ไนโตรเจนจากใบจะเคลื่อนย้ายไปสร้างผลเป็นเหตุให้ใบเหลืองและในที่สุดก็แห้งตาย พืชตระกูลถั่วมักประสบปัญหานี้ได้มากกว่าพืชตระกูลหญ้าเพราะใช้ไนโตรเจนมากกว่า ดังนั้นการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนทางใบแก่พืชเหล่านี้ในช่วงที่ออกดอก จะช่วยชะลอการร่วงของใบและมีแนวโน้มจะเพิ่มผลผลิตได้ด้วย

4. เพื่อวัตถุประสงค์อื่น :
เช่นบังคับให้ออกดอกและติดผลนอกฤดู โดยการใช้ฮอร์โมน

ข้อควรระวังในการใช้ปุ๋ยทางใบ :
- ละลายหรือผสมปุ๋ยกับน้ำในอัตราส่วนที่แนะนำ อย่าผสมให้เข้มข้นเกินไป จะทำให้ใบพืชไหม้

- ปุ๋ยทางใบจะช่วยแก้ปัญหาการขาดธาตุอาหารได้ดี ถ้าฉีดพ่นปุ๋ยที่ให้ธาตุนั้นเร็วที่สุด ถ้ามีอาการรุนแรงมากแล้วการใช้ปุ๋ยทางใบจะไม่เกิดผล

- ควรถือว่าการใช้ปุ๋ยทางใบเป็นเพียงการเสริม แต่การบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีทางดินเป็นงานหลัก หากบำรุงดีแล้วไม่จำเป็นต้องให้ปุ๋ยทางใบ

http://www.doae.go.th/spp/biofertilizer/flo1.htm

เกร็ดความรู้เรื่องธาตุอาหารพืช :
ราว พ.ศ. 2488 หรือประมาณสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 นักวิชาการระดับดอกเตอร์จากประเทศอินเดียเข้ามาเผยแพร่ความรู้เรื่อง “ปุ๋ยอินทรีย์” ถึงวิธีทำวิธีใช้แก่เกษตรกรในประเทศไทย และราวเวลาไล่เลี่ยกันนั้น สหรัฐ อเมริกา มหามิตรประเทศ โดยนักการตลาดก็เข้ามาเผยแพร่ความรู้เรื่อง “ปุ๋ยเคมี” ถึงวิธีการใช้แก่เกษตรกรในประเทศไทย เช่นกัน

ด้วยความที่การเกษตรด้านพืชที่เกษตรกรไทยทำนั้น ผืนดินยังบริสุทธิ์ ไร้สารพิษ (ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ของเสียโรงงาน ปุ๋ยเคมีเกิน พันธุ์กรรม) ทุกชนิด การใส่ปุ๋ยอินทรีย์ตามดอกเตอร์อินเดียจึงเห็นผลไม่ชัดเจน ต่างกับการใส่ปุ๋ยเคมีตามนักการตลาดอเมริกาที่เห็นผลชัดเจน ชนิดหน้ามือกับหลังมือเลยก็ว่าได้

1. ปุ๋ย หมายถึง สารเหลวที่พืชนำไปใช้สร้างและบำรุงส่วนต่างๆ ของต้นให้เจริญพัฒนา เรียกว่า “ธาตุอาหาร” ประกอบด้วย

ธาตุหลัก : ไนโตรเจน. ฟอสฟอรัส. โปแตสเซียม
ธาตุรอง : แคลเซียม. แม็กเนเซียม. กำมะถัน
ธาตุเสริม : เหล็ก. ทองแดง. สังกะสี. แมงกานิส. โบรอน. โมลิบดินั่ม. ซิลิก้า.
คลอรีน. โซเดียม. นิเกิล. โคบอลท์. ฯลฯ

ฮอร์โมน :ไซโตคินนิน. จิ๊บเบอเรลลิน. ไอเอเอ. เอบีเอ. ไอบีเอ. อะมิโน. โปรตีน ฯลฯ

2. ธาตุอาหารพืช มีอยู่ในอินทรีย์วัตถุ และอนินทรีย์วัตถุ......อินทรีย์วัตถุ หมายถึง วัสดุที่ได้จากสัตว์และพืช เรียกว่า “ปุ๋ยอินทรีย์” เช่น เศษซากสัตว์ มูลสัตว์ เศษซากพืช น้ำคั้นจากพืช

อนินทรีย์วัตถุ หมายถึง วัสดุที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมีวิทยาศาสตร์ เรียกว่า “ปุ๋ยสังเคราะห์ หรือ ปุ๋ยวิทยาศาสตร์” เช่น ปุ๋ยเคมี ฮอร์โมนวิทยาศาสตร์

เคมีชีวะ หมายถึง ธาตุอาหารพืชที่เกิดเองตามธรรมชาติ มีชื่อเรียกและมีคุณสมบัติเป็นธาตุอาหารชัดเจน เกิดเองตามธรรมชาติ พืชดูดซึมไปใช้ได้ทันที เช่น

- ในน้ำมะพร้าวอ่อนมีจิ๊บเบอเรลลิน กลูโคส ฯลฯ
- ในน้ำมะพร้าวแก่มี โซเดียม โปแตสเซียม แคลเซียม แม็กเนเซียม เหล็ก ทองแดง ฟอสฟอรัส ไซโตโคนิน กลูโคส ฯลฯ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น ความสมบูรณ์ของต้นขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้น ฐานฯ มีโมเลกุลขนาดเล็กที่พืชสามารถรับทางปากใบ และรับทางปลายรากเข้าสู่ต้นได้เลย

- ในปลาทะเลมีมีธาตุอาหาร หลัก/รอง/เสริม ครบ 14 ตัว ที่มีมากเป็นพิเศษ คือ แม็กเมเซียม, สังกะสี, โซเดียม, ฟลาโวนอยด์, ควินนอย, โพลิตินอล, ฮิวมัส, ซึ่งในปลาน้ำจืดไม่มี ธาตุเหล่านี้เกิดมาจากกระบวนการย่อยสลาย (ENZIME) โดยจุลินทรีย์ มีโมเลกุลขนาดใหญ่พืชสามารถรับได้ทางปลายรากทางเดียว มีทั้งชนิดน้ำและชนิดแห้ง .... หากต้องการให้ทางใบต้องปรับโมเลกุลให้เป็นโมเลกุลเดี่ยวก่อนการใช้

- อาหารคน อาหารสัตว์ อาหารพืช ทุกตัว คือ ตัวเดียวกัน เช่น คนต้องการธาตุแคลเซียม พืชและสัตว์ก็ต้องการธาตุแคลเซียม, คนต้องการธาตุเหล็ก พืชและสัตว์ก็ต้องการธาตุสังกะสี หากคนสัตว์พืชหรือจุลินทรีย์ขาดธาตุอาหารตัวใดตัวหนึ่งจะเกิดโรค “ทุโภชนา หรือ ขาดสารอาหาร” ร่างกายจะชะงักการเจริญเติบโต

- ในเศษซากสัตว์และพืชมี ธาตุหลัก-ธาตุรอง-ธาตุเสริม-ฮอร์โมน-วิตามิน ครบทุกตัว มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของเศษซากนั้น ธาตุอาหารเหล่านี้จะเปลี่ยนรูปทางเคมี (ภาษาวิชาเคมี) มาอยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ ต้องถูกหรือได้รับการย่อยสลายจากจุลินทรีย์ภายไต้สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม

- ในมูลสัตว์จะมีธาตุอาหารอะไร มากหรือน้อย พิจารณาจากอาหารที่สัตว์นั้นกิน และระบบย่ออาหารของสัตว์นั้น เช่น วัวไล่ทุ่งกินหญ้าเป็นหลัก ในมูลจึงมี N ที่มาจากหญ้ามาก ส่วนวัวเนื้อวัวนมอยู่ในฟาร์ม กินอาหารที่คนเลี้ยงจัดสรรให้เป็นการเฉพาะ ในมูลจึงมีธาตุอาหารครบมากกว่าวัวไล่ทุ่ง และ/หรือ ในมูลของสัตว์ปีก มี P และ K มากกว่าสัตว์สี่เท้า โดยมูลค้างคาวกินแมลง มีธาตุอาหารมากที่สุด ....ข้อมูลในสารคดีดิสคัพเวอรี่ บอกว่า มูลนกทะเล มีธาตุอาหารพืชมากที่สุด เนื่องจากนกทะเลกินแต่ปลาทะเล

น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว เช่น กลูโคสผง (คนกิน), กลูโคสน้ำ (ทำน้ำอัด ลม เครื่องดื่มชูกำลัง), น้ำตาลธรรมชาติ (งวงตาล งวงมะพร้าว) น้ำอ้อยคั้น, น้ำตาลในสาโท,

น้ำตาลทางด่วน หมายถึง สารอาหารพืชที่ผ่านปากใบเข้าสู่ต้นได้เร็ว หลังจากฉีดพ่น 2-3 ชั่วโมง เพราะเป็นโมเลกุลเดี่ยว ให้กับไม้ผล ในช่วงที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เช่น แล้งรุนแรง น้ำท่วมขังค้างนาน ต้นรับภาระเลี้ยง ดอก/ผล จำนวนมาก และสร้างความสมบูรณ์สะสม ให้ต้นพร้อมต่อการสร้างดอก (ซี/เอ็น เรโช)

ฮอร์โมนสด : ได้แก่ นมน้ำเหลือง นมตกเกรด นมจากฟาร์มประท้วง ขี้เพลี้ยไส้อ่อน กะปิ น้ำมะพร้าวอ่อน น้ำมะพร้าวแก่ น้ำตาลสดงวงตาล/งวงมะพร้าว น้ำซาวข้าว น้ำแช่ปลา น้ำล้างเขียงทำปลา น้ำหอยเผา นมสด น้ำเต้าหู้ น้ำต้มกระดูกก้นหม้อก๋วยเตี๋ยว สาโท ข้าวหมาก เบียร์สด แบลนด์ ลิโพกระทิงแดงคาราบาว วีฟีด ไวตามิลท์ ยาคูลท์ ปัสสาวะใหม่/เก่า

ฮอร์โมนธรรมชาติ : ได้แก่ ใบแก่ผักกินใบ ยอดอ่อนผักกินยอด ผลอ่อนขบเผาะ หัวไชเท้า หน่อไม้ไผ่ หน่อไม้ฝรั่ง กล้วยสุกงอม มะละกอสุกงอม ข้าวน้ำนม เมล็ดเริ่มงอก กวาวเครือขาว หัวแก่จัดเนื้อเป็นเสี้ยน

หมายเหตุ :
- น้ำล้างเขียงปลาสดใหม่ ให้สะระแหน่ ดีมากๆ
- นมสดจากฟาร์มประท้วง ใส่ลงดินแล้วไถพวนช่วงเตรียมดินปลูกอ้อย ดีมากๆ
- นมน้ำเหลือง ใส่ลงดินแล้วไถพวนช่วงเตรียมดินปลูกทานตะวัน ดีมากๆ
- นมสดในกล่อง ให้บัวในบึง ดอกดี ใบใหญ่
- น้ำแช่ไส้เดือนสดใหม่ ให้ถั่วฝักยาว ดีมากๆ
- น้ำคั้นมะละกอสุกงอมสดใหม่ ให้กล้วยช่วงผลแก่ใกล้ตัด ดีมากๆ
- น้ำเจือจางกะปิ เร่งรากกิ่งตอน ดีมากๆ
- ลิโพกระทิงแดง ให้มะนาวออกดอกติดผลดีมากๆ
- แบลนด์ แช่เมล็ดพันธุ์ เปอร์เซ็นต์งอก ดีมากๆ

เคมีสังเคราะห์ หมายถึง สารอาหารพืชที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้จากสารอนินทรีย์ หรืออินทรีย์สังเคราะห์ เรียกว่า ปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยสังเคราะห์ หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ มีหลากหลายประเภท (ให้ทางใบ ให้ทางราก) ชนิด (เกร็ด น้ำ), ขึ้นอยู่กับวัตถุ
ประสงค์ของคนใช้ ซึ่งวัตถุประสงค์ของคนใช้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของพืชด้วย

3. ธาตุอาหารพืช สัตว์ คน คือตัวเดียวกัน สังเกตได้จากการเขียนสัญลักษณ์ทางเคมีของชื่อธาตุอาหารเป็นตัวอักษรตัวเดียวกัน แต่ธาตุอาหารที่พืช สัตว์ คน นำไปใช้ต่างกันที่ “รูป” เท่านั้น

4. ในเมือกและเลือดปลาสดมีธาตุไนโตรเจนมากกว่ายูเรีย (46-0-0) 1 เท่าตัว ซึ่งสามารถใช้แทนกันได้ โดยจุลินทรีย์จะทำหน้าที่เปลี่ยน “รูปไนโตรเจน” ในเมือกและเลือดปลาให้เป็น “รูปไนโตรเจน” ที่พืชสามารถนำไปใช้ได้เอง

5. ในปลาทะเลมีกรดอะมิโน, โอเมก้า, แม็กเนเซียม, และโซเดียม. ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพืชจำนวนมาก
6. ในหนอนมีกรดอะมิโน ที่เป็นประโยชน์ต่อพืชและสัตว์มากถึง 18 ชนิด
7. พืชกินธาตุอาหารที่มีสถานะเป็นของเหลวด้วยการดูดซึมเข้าทางปลายราก (หมวกราก) และทางปากใบ ในขณะที่ปุ๋ยอินทรีย์ยังคงมีสภาพเป็นชิ้นหรือเป็นก้อนอยู่นั้น พืชไม่สามารถนำไปใช้ได้จะต้องทำให้อินทรียวัตถุนั้นเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวหรือน้ำเสียก่อนพืชจึงจะนำไปใช้ได้

การเปลี่ยนสถานะอินทรีย์วัตถุให้เป็นของเหลวสามารถทำได้ด้วยกระบวนการทางธรรมชาติ โดยเริ่มจากหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วบดให้ละเอียด จากนั้นนำไปผสมกับสารรสหวานจัด (กากน้ำตาล กลูโคส น้ำผลไม้หวาน) ด้วยอัตราส่วนที่เหมาะสม ใส่จุลินทรีย์เล็กน้อย ติดปั๊มออกซิเจนเพื่อให้อากาศแก่จุลินทรีย์ หมักทิ้งไว้นานๆในสถานที่ ภาชนะ และระยะเวลาที่กำหนด จุลินทรีย์จะเป็นตัวย่อยสลายอินทรียวัตถุเหล่านั้นให้มีขนาดเล็กลงถึงระดับโมเลกุล ซึ่งเล็กจนสามารถผ่านปลายรากและปากใบเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของต้นพืชได้

8. ปุ๋ยอินทรีย์ชิ้นขนาดเท่าปลายเข็มหรือเล็กกว่า รากพืชก็ไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ลำต้นได้ ต้องเปลี่ยนสภาพปุ๋ยอินทรีย์ชิ้นเท่าปลายเข็มนั้นให้เป็นของเหลว ขนาดเล็กระดับโมเลกุลเสียก่อน พืชจึงจะดูดซึมเข้าสู่ลำต้นไปใช้ได้

9. การหมัก หมายถึง กระบวนการย่อยสลาย (เอ็นไซม์) โดยมีจุลินทรีย์เป็นตัวกระทำต่ออินทรีย์วัตถุและอนินทรีย์วัตถุเพื่อเปลี่ยนสภาพจากเดิมที่เป็นชิ้นให้เป็นของเหลว

10. การหมักสามารถทำได้ทั้ง “หมักในภาชนะ หมักในกอง และหมักในดิน” ระยะเวลาในการหมักจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความแข็งแรง/จำนวน/ประเภทของจุลินทรีย์. ชนิด/ประเภทของอินทรียวัตถุ. สภาพแวดล้อม (อุณหภูมิ/น้ำ/อากาศ). ระยะเวลา. อัตราส่วนของวัสดุส่วนผสม. อาหารสำหรับจุลินทรีย์. และ ปัจจัยอื่นๆที่จำเป็น

11. ปุ๋ยอินทรีย์แห้ง. ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ. ปุ๋ยน้ำชีวภาพ. น้ำสกัดชีวภาพ. ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ. ปุ๋ยชีวภาพ. ปุ๋ยพืชสด. ปุ๋ยซากสัตว์ และอื่นๆ ล้วนแต่เป็นตัวเดียวกันเพราะทำมาจากวัสดุส่วนผสมและด้วยกรรมวิธีในการทำแบบเดียวกัน จึงต่างกันแต่เพียงชื่อเท่านั้น

12. การฝังซากสัตว์หรือซากพืชที่โคนต้นไม้ผลบริเวณชายพุ่ม ช่วงแรกๆ จะยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆในทางที่ดีขึ้นจากไม้ต้นนั้น แต่ครั้นนานไปเมื่อซากสัตว์หรือซากพืชเน่าเปื่อย ไม้ผลต้นนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การที่ซากสัตว์หรือซากพืชเน่าเปื่อยได้ก็คือการ “หมักในดิน” โดยมีจุลินทรีย์เป็นตัวดำเนินการให้นั่นเอง

13. ซากสัตว์ที่หมักลงไปในดินใหม่ๆ หรือระยะแรกๆ หรือระหว่างที่ซากสัตว์กำลังเน่าเปื่อยนั้นมีความเป็นกรดจัดมาก เป็นอันตรายต่อระบบรากหรือทำให้รากเน่าได้ ดังนั้นจึงไม่ควรฝังซากสัตว์ในช่วงที่ต้นพืชกำลังอยู่ในระยะสำคัญ เช่น ระยะกล้า. สะสมอาหาร. เปิดตาดอก. บำรุงดอก. บำรุงผล ฯลฯ ทั้งนี้ การฝังซากสัตว์จะต้องกระทำก่อนหน้านั้นนานๆ เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์ทำการย่อยสลายหรือแปรสภาพซากสัตว์จนหมดความเป็นกรดแล้วเปลี่ยน “รูป” มาเป็นรูปของธาตุอาหารพืชที่พืชพร้อมนำไปใช้ได้ .... การหมักซากสัตว์แบบปุ๋ยน้ำชีวภาพนานข้ามปีแล้วจึงนำมาใช้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ใช้ได้แต่ต้องไม่ลืมตรวจวัดค่ากรดด่างแล้วปรับให้เป็นกลางก่อนใช้เสมอ

14. ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่มีกากน้ำตาลเป็นส่วนผสม หมักใหม่หรืออายุการหมักสั้น มีความเป็น “กรด” สูงมาก (2.5-3.0) โดยปุ๋ยน้ำชีวภาพซากสัตว์เป็นกรดจัดมากกว่าเศษพืช เมื่อฉีดพ่นทางใบจะทำให้เกิดอาการ ใบไหม้ ใบจุด ดอกร่วง ผลด่างลาย/ร่วง เมื่อไม่แน่ใจว่าปุ๋ยน้ำชีวภาพเป็นกรดจัดหรือไม่ ขอให้งดการให้ทางใบแล้วให้ทางรากแทน แม้แต่การให้ทางดินบ่อยๆ หรือประจำๆ ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จนเกิดการสะสมก็อาจทำให้ดินเป็นกรดได้เช่นกัน

15. ปุ๋ยน้ำชีวภาพกล้อมแกล้มสูตรมาตรฐาน ผ่านกรรมวิธีการหมักถูกต้อง อายุการหมักนานข้ามปี เมื่อวัดค่ากรดด่างจะได้ประมาณ 6.0-7.0 จึงถือว่าดี ถูกต้อง และใช้ได้

16. วิธีการตรวจสอบเพื่อให้ทราบว่าในปุ๋ยน้ำชีวภาพแต่ละสูตรหรือแต่ละยี่ห้อมีปริมาณธาตุพืชมากหรือน้อยกว่ากัน สามารถพิสูจน์ได้โดยการบรรจุปุ๋ยน้ำชีวภาพใส่ขวดขนาดเดียวกันหรือปริมาตรเท่าๆ กัน แล้วนำขึ้นชั่งด้วยตาชั่งที่มีมาตรวัดละเอียดมากๆ ตรวจค่าความถ่วงจำเพาะ (ถ.พ.) ขวดที่หนักกว่าแสดงว่ามีธาตุอาหารพืชมากกว่าหรือนำลงจุ่มน้ำ ขวดที่จมน้ำได้ลึกกว่าแสดงว่ามีปริมาณธาตุอาหารมากกว่า

17. อาหารสำหรับมนุษย์และสัตว์ที่ปรุงโดยการต้มเคี่ยว หรือตุ๋นจนเหลวเปื่อยยุ่ย เช่น แกงจืดจับฉ่าย น้ำต้มกระดูก ซุปไก่แบลนด์ น้ำหวานจากน้ำตาลหรือผลไม้คั้น วิตามินบำรุงร่างกายคน/สัตว์ ฯลฯ ยังมีธาตุอาหารครบถ้วนตามวัสดุที่นำมาปรุง หากนำน้ำอาหารที่เหลวเปื่อยยุ่ยแล้วนี้ให้แก่พืชบ้าง พืชก็จะได้รับธาตุอาหารตัวเดียวกันนี้เช่นกัน.... มีงานทดลองใช้ “แอสไพริน” ยาแก้ไข้ในคน ไปให้แก่ต้นพืชแล้วต้นสมบูรณ์ออกดอกดี แม้นักวิทยาศาสตร์จะรู้ว่าในแอสไพรินมีสารอะไรที่มีผลต่อพืช แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยฟันธงว่าใช่หรือไม่ใช่

18. พืชสามารถนำธาตุอาหารเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของต้นได้ทั้งทางปลายราก และปากใบ เมื่อให้ธาตุอาหารทางใบด้วยการฉีดพ่น ธาตุอาหารส่วนที่มีโมเลกุลขนาดเล็กสามารถผ่านปากใบได้จะผ่านเข้าไปทันที ส่วนธาตุอาหารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ไม่สามารถผ่านปากใบเข้าไปได้ยังติดค้างอยู่บนใบ เมื่อถูกน้ำชะล้างก็จะตกลงดินแล้วถูกจุลินทรีย์ในดินทำการย่อยสลายต่อให้โมเลกุลมีขนาดเล็กลงอีกจนสามารถผ่านปากรากได้ พืชก็จะได้รับธาตุอาหารนั้นต่อไป

19. การหมักปุ๋ยน้ำชีวภาพโดยใช้ถังหมักที่แข็งแรง มีฝาปิดเรียบร้อย มีระบบให้ออกซิเจนแล้วฝังลงดินจนมิดถัง มีระบบป้องกันน้ำเข้าไปในถังได้แน่นอนนั้น อุณหภูมิใต้ดินที่เย็นกว่าบนดินนอกจากจะช่วยให้กระบวนการหมักดีขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพใช้การได้เร็วขึ้นอีกด้วย

20. เสริมประสิทธิภาพจุลินทรีย์ในถังหมักให้แข็งแรงยิ่งขึ้นด้วยการใส่ปุ๋ยสูตร 18-46-0 (100 กรัม) หรือ 21-53-0 (100 กรัม)สูตรใดสูตรหนึ่ง หรือน้ำมะพร้าว อ่อน 1-2 ล. ต่อวัสดุส่วนผสมในถัง 100 ล.

21. การใช้ถังหมักแบบมีใบพัดปั่นหมุนภายในตลอด 24 ชม. นอกจากจะเป็นการช่วยบดย่อยวัสดุส่วนผสมให้ละเอียดยิ่งขึ้นแล้วยังส่งผลให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพนั้นใช้การได้เร็วขึ้น

22. ไม่ควรใช้พืชผักจากตลาดเพราะเป็นพืชผักที่เก่าแล้ว และอาจปนเปื้อนเชื้อโรคต่างๆ จากตลาดมาด้วย แหล่งเชื้อโรคมากที่สุด ได้แก่ กองขยะตลาดสด ขยะแยกเชื้อจาก ร.พ.

23. ไม่ควรใช้ซากสัตว์ที่ตายนานแล้วหรือเน่าแล้วแต่ให้ใช้ซากสัตว์สดและใหม่ โดยเลือกใช้สัตว์ขณะที่ยังมีชีวิตหรือตายใหม่ๆ จะได้ธาตุอาหารพืชที่ดีกว่า

24. ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรมาตรฐานที่ดีจะต้องไม่มีกลิ่นของวัสดุส่วนผสมตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียวชัดเจน ซึ่งเป็นการแสดงให้รู้ว่าใช้วัสดุส่วนผสมไม่หลากหลาย ยกเว้นสูตรเฉพาะซึ่งจะต้องมีกลิ่นเฉพาะตัว และปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ดีต้องมีกลิ่นหอม-หวาน-ฉุน

25. ระยะเวลาในการหมัก หมักนาน 3 เดือนจะได้ธาตุหลัก หมักนาน 6 เดือนจะได้ธาตุรอง หมักนาน 9 เดือนจะได้ธาตุเสริมและฮอร์โมน....เมื่อหมักนานข้ามปีจะได้สารอาหาร ฮอร์โมน และจุลินทรีย์ต่างๆ หลายชนิด เช่น

- ธาตุอาหาร ได้แก่ ไนโตรเจน. ฟอสฟอรัส. โปรแตสเซียม. แคลเซียม. แม็กเนเซียม. กำมะถัน. เหล็ก. ทองแดง. สังกะสี. แมงกานิส. โซเดียม. อะมิโนโปรตีน. ... สารอาหารเหล่านี้เป็นสารอินทรีย์บริสุทธิ์

- ฮอร์โมน ได้แก่ ไซโตคินนิน. เอสโตรเจน. ออร์แกนิค แอซิด. ฟลาโวนอยด์. ควินนอยด์. อโรเมติก แอซิด. ฮิวมัส. โพลิตินอล. ไอบีเอ. เอ็นบีเอ. ....ฮอร์โมน เหล่านี้เป็นฮอร์โมนอินทรีย์บริสุทธิ์และสารท็อกซิก. ที่เป็นสารพิษต่อโรคและแมลงศัตรูพืช

- จุลินทรีย์ ได้แก่ คีโตเมียม. ไรโซเบียม. ไมโครไรซ่า. แอ็คติโนมัยซิส. บาซิล ลัสส์. ไรซ็อคโธเนีย. แบคทีเรีย. และฟังก์จัย.

ยิปซัมธรรมชาติปรับปรุงบำรุงดินและพืช เพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน...
โดย ดร.สำเนา เพชรฉวี

ในปัจจุบันมีข้อมูลข่าวสารมากมายจากสื่อต่างๆ ได้กล่าวถึงความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดินในประเทศ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคมของประชากรในประเทศ การเพิ่มขึ้นของประชากร ทำให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่ามาเป็นพื้นที่การเกษตรเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง เกิดปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง หน้าดินถูกชะล้างพังทลาย

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติได้ให้คำนิยามความเสื่อมโทรมของดิน คือ ความเสื่อมโทรมในคุณภาพของดินและการให้ผลิตผลของดินที่ลดลง เป็นสูตรโครงสร้างที่เกิดจากปัจจัยต่างๆร่วมกัน ได้แก่ ความเลวร้ายของสภาพฟ้า อากาศ ลักษณะธรรมชาติของดิน ภูมิประเทศ ชนิดพันธุ์พืชที่เพาะปลูก ลักษณะการใช้พื้นที่ และการจัดการดิน

จากข้อมูลที่เกษตรกรได้ประสบปัญหาทางด้านการจัดการดินที่ทำการเกษตรแล้วยังไม่ได้รับผลสำเร็จเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งของปัญหาได้แก่โครงสร้างของดินเลวลง ผิวดินจับตัวกันแน่นทึบ เมื่อฝนตกหรือมีการให้น้ำ น้ำซึมลงใต้ผิวดำดินได้น้อย เกิดน้ำไหลบ่าที่ผิวดิน ไหลลงไปสู่ที่ต่ำ ดินระบายน้ำยาก เมื่อเกิดฝนทิ้งช่วง แหล่งน้ำในดินไม่เพียงพอ พืชเหี่ยวเฉาเร็ว ดินเป็นกรดมากขึ้นธาตุอาหารพืชในดินถูกตรึงอยู่ในรูปที่พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้น้อย ขาดความสมดุลของธาตุอาหารในดิน ทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ให้ผลผลิตต่ำ ดินใช้ปลูกพืชมานาน ขาดการจัดการดินที่ถูกต้อง เกิดการสูญเสียหน้าดิน ถูกชะล้างพังทลาย ดินขาดธาตุอาหารพืช ทำให้ดินมีศักยภาพในการให้ผลผลิตต่ำทั้งปริมาณและคุณภาพ

ดินเสื่อมโทรมที่เกิดโดยธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและการกระทำของมนุษย์ได้แก่ ดินที่ทำการเกษตรมานาน ดินเค็ม ดินเปรี้ยว ดินลูกรัง ดินเหมืองแร่เก่า ดินนากุ้งร้าง ฯลฯ

เนื่องจากพื้นที่ดินที่ใช้ในการเกษตรทุกวันนี้มีจำนวนจำกัดไม่อาจขยายพื้นที่ได้อีกแล้ว แต่ขณะเดียวกันจำนวนประชากรของประเทศเพิ่มขึ้นทุกปี จึงมีความจำเป็นต้องทำกากรฟื้นฟูทรัพยากรดินที่เสื่อมโทรมซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมทั้งประเทศหลายล้านไร่ให้กลับมาใช้ประโยชน์ในทางการเกษตร

มีข้อมูลผลงานวิจัยทั้งในต่างประเทศและภายในประเทศเกี่ยวกับวิธีการฟื้นฟูดินที่เสื่อมโทรม เช่น การใช้อินทรียวัตถุ ปุ๋ยอินทรีย์ ปูนชนิดต่างๆ ยิปซัม สารสังเคราะห์โพลิเมอร์ ตลอดจนวัสดุที่เป็นผลพลอยได้จากโรงงานอุตสาหกรรม และเขตชุมชน นำมาเป็นวัสดุปรับปรุงดิน

ในบรรดาวัสดุปรับปรุงดินเหล่านี้ยิปซัมมีสมบัติที่ดีเด่นหลายประการ ในการแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมทั้งทางกายภาพ ทางเคมี และชีวภาพ จนอาจกล่าวได้ว่า หากมีการนำยิปซัมมาใช้ประโยชน์ในทางการเกษตรอย่างเหมาะสม จะมีส่วนในการเสริมสร้างความยั่งยืนให้แก่ดินและพืชในระยะยาว

ยิปซัมคืออะไร ?
ยิปซัม คือ แร่เกลือจืด เป็นสารประกอบแคลเซียมซัลเฟต มีสูตรทางเคมี คือ CaSO4. 2H2O เป็นผลึกสีขาวหรือไม่มีสี เนื้ออ่อน มีปฏิกิริยาเป็นกลาง ละลายในน้ำได้ ขึ้นอยู่กับความละเอียดของเนื้อยิปซัม ยิปซัมอาจแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1. ยิปซัมที่เกิดตามธรรมชาติจากการตกตะกอนของทะเลเก่าที่เป็นแอ่งใหญ่ ในใจกลางของประเทศในประเทศ ในประเทศไทยพบแหล่งใหญ่เกิดอยู่ในบริเวณพื้นที่จังหวัดพิจิตร นครสวรรค์และในพื้นที่ภาคใต้เป็นแร่ยิปซัมที่มีความบริสุทธิ์ 96-98% ประกอบด้วยธาตุแคลเซียม 23% Ca กำมะถัน (ในรูปของซัลเฟต) 17% S เป็นชนิดที่เหมาะสมต่อการนำมาใช้ในการเกษตรได้ดี

2. ยิปซัมที่เกิดจากผลพลอยได้ของอุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ยเคมี ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ยฟอสเฟต ในการผลิตกรดฟอสฟอริคจากแร่หินฟอสเฟต

ส่วนที่เป็นผลพลอยได้มีชื่อเรียกว่า ฟอสโฟยิปซัม ซึ่งอาจมีสารฟลูออไรด์และธาตุโลหะหนักหลายชนิดเจือปนอยู่ได้แก่สารหนู ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม มีความเป็นกรดอยู่มาก และมีสารกัมมันตภาพรังสีปนเปื้อนเช่น เรเดียม ที่มีค่าเกินกว่าเกณฑ์กำหนดค่ามาตรฐานความปลอดภัย เกิดมลพิษต่อดิน พืชและสิ่งแวดล้อมจึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ทางด้านการเกษตร ยิปซัมที่เกิดจากการใช้ถ่านหินลิกไนท์เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าจะมีก๊าซซัลเฟอร์ไดอ๊อกไซด์ ปนเปื้อนจากปล่องควันโรงงานการกำจัดควันพิษด้วยการทำปฏิกิริยากับหินปูนที่ผสมกับน้ำจะได้ผลพลอยได้คือ ยิปซัมซึ่งยังมีธาตุโลหะหนักปนเปื้อน

ผลจากการใช้ทรัพยากรที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ทำให้มีพื้นที่ดินเสื่อมโทรมที่มีศักยภาพในการให้ผลผลิตพืชต่ำทั้งปริมาณและคุณภาพมากมาย ปัญหาทางกายภาพได้แก่ ผิวดินจับกันแน่นน้ำซึมได้ยาก มีน้ำที่เป็นประโยชน์ได้น้อยลง พืชจึงเหี่ยวเฉาง่าย ในกรณีที่มีฝนตกมาก เกิดปัญหาน้ำท่วม นอกจากนี้ยังมีปัญหาดินเป็นกรดมากขึ้น ดินที่ใช้ในการเกษตรมานาน ขาดการปรับปรุงบำรุงดินที่เหมาะสม จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข

การใช้ยิปซัมเป็นวัสดุปรับปรุงดิน จะช่วยแก้ปัญหาผิวดินจับตัวกันแน่น ทำให้น้ำและอากาศผ่านลงไปในดินชั้นล่างได้ดีขึ้น พืชดูดใช้น้ำและอาหารได้อย่างมีประสิทธิ
ภาพ การแก้ปัญหาทางเคมีและชีวภาพ ยิปซัมช่วยลดสภาพดินเป็นกรดในดินชั้นล่างลดการเกิดโรคพืช ช่วยฟื้นฟูดินเค็มให้กลับมาใช้ปลูกพืชได้เป็นปกติ ยิปซัมนอกจากช่วยปรับสภาพดินแล้วยังเป็นแหล่งให้ธาตุแคลเซียม และกำมะถันที่จำเป็น แก่พืชเศรษฐกิจ ในสภาวะการณ์ปัจจุบันที่มีการใช้ปุ๋ยเคมีในการเพิ่มผลผลิตพืช ระบบการเกษตรแบบประณีต ทำให้ดินขาดความสมดุลของธาตุอาหารโดยเฉพาะแคลเซียม และกำมะถันที่มีอยู่ในดินสูญเสียไปจากการถูกชะล้างจำนวนมากทุกปี

การใส่ยิปซัมในระบบการจัดการดินที่เหมาะสมจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างระบบ ดิน-พืช ให้เกิดความ

http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=fisheries&topic=375

สมการปุ๋ยอินทรีย์ (แห้ง) :
วัสดุถูก+จุลินทรีย์ถูก+อุณหภูมิถูก+ความชื้นถูก+วิธีทำถูก+ระยะการใช้ถูก+วิธีใช้ผิด=ไม่ได้ผล
วัสดุถูก+จุลินทรีย์ถูก+อุณหภูมิถูก+ความชื้นถูก+วิธีทำถูก+ระยะการใช้ผิด+วิธีใช้ผิด=ไม่ได้ผล
วัสดุถูก+จุลินทรีย์ถูก+อุณหภูมิถูก+ความชื้นถูก+วิธีทำผิด+ระยะการใช้ผิด+วิธีใช้ผิด=ไม่ได้ผล
วัสดุถูก+จุลินทรีย์ถูก+อุณหภูมิถูก+ความชื้นผิด+วิธีทำผิด+ระยะการใช้ผิด+วิธีใช้ผิด=ไม่ได้ผล
วัสดุถูก+จุลินทรีย์ถูก+อุณหภูมิผิด+ความชื้นผิด+วิธีทำผิด+ระยะการใช้ผิด+วิธีใช้ผิด=ไม่ได้ผล
วัสดุถูก+จุลินทรีย์ผิด+อุณหภูมิผิด+ความชื้นผิด+วิธีทำผิด+ระยะการใช้ผิด+วิธีใช้ผิด=ไม่ได้ผล

วัสดุผิด+จุลินทรีย์ผิด+อุณหภูมิผิด+ความชื้นผิด+วิธีทำผิด+ระยะการใช้ผิด+วิธีใช้ผิด = ไม่ได้ผล ยกกำลัง 7

วัสดุถูก+จุลินทรีย์ถูก+อุณหภูมิถูก+ความชื้นถูก+วิธีทำถูก+ระยะการใช้ถูก+วิธีใช้ถูก = ได้ผล ยกกำลัง 7

วัสดุถูก หมายถึง อินทรีย์วัตถุ ที่เป็นหรือมาจาก เศษซากตัวพืช/ตัวสัตว์ มูลสัตว์ อาหารสัตว์ ที่โครง สร้างทางเคมีเป็นสารอาหารสำหรับพืช

จุลินทรีย์ถูก หมายถึง สิ่งมีชีวิตขนาดเซลล์เดียว กิน (ย่อยสลาย) วัสดุแล้วเปลี่ยนรูปเป็นฮิวมัส ที่เป็นสารอาหารสำหรับพืช

อุณหภูมิถูก หมายถึง ความร้อนแต่ละระดับ ที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของจุลินทรีย์แต่ละชนิด

ความชื้นถูก หมายถึง ปริมาณน้ำแต่ละระดับ (ชื้น ชุ่ม โชก แฉะ แช่) ที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของจุลินทรีย์แต่ละชนิด

วิธีทำ หมายถึง ปฏิบัติการใดๆ เพื่อ ส่งเสริม/เอื้ออำนวย/ฯลฯ แต่ละแบบที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต เช่น อากาศ สารอาหารสำหรับจุลินทรีย์แต่ละชนิด

ระยะเวลาทำถูก หมายถึง ความ เร็ว/ช้า ของการปฏิบัติที่บรรลุวัตถุ ประสงค์ โดยมีจุลินทรีย์เป็นตัวตั้ง นั่นคือ มาตรการที่ช่วยให้จุลินทรีย์ทำงานได้เร็วขึ้น และประสิทธิภาพสูงสุด

ระยะการใช้ หมายถึง ความ ถี่/ห่าง ในการใช้
วิธีใช้ถูก หมายถึง ปฏิบัติการใดๆที่ทำให้พืชได้รับสารอาหารจากปุ๋ยอินทรีย์นั้นๆ
ได้ผล หมายถึง สิ่งตอบแทนจากการนำใช้ ภายไต้เงื่อนไขที่กำหนด



อินทรีย์วัตถุในดินและฮิวมัส :
อินทรีย์วัตถุในดินแบ่งออกได้เป็นอินทรีย์วัตถุที่ยังมีชีวิตและที่ไม่มี ชีวิต กว่า 90% ของอินทรีย์วัตถุในดินเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ซากพืช, ซากสัตว์, ซากจุลินทรีย์ และอินทรีย์วัตถุที่ย่อยสลายแล้ว เรียกว่า “ฮิวมัส” มีบทบาทหน้าที่ ....
* ช่วยป้องกันการชะล้างหน้าดิน และดินอัดตัวแน่นเกินไป
* ช่วยอุ้มน้ำในดินสู้ภัยแล้ง
* ช่วยเก็บแร่ธาตุ ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์
* ช่วยลดสารพิษในดิน
* เป็นสารอาหารช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช
* สารอินทรีย์ทำให้สีของใบ ดอก และผลไม้สวยขึ้น


อินทรีย์นำ เคมีเสริม V.S. เคมีนำ อินทรีย์เสริม :
ตามความเหมาะสม ... “? ...

สายตรงจาก : (085) 086-47xx
..?.. : ผู้พันครับ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อน ผมอยู่อรัญประเทศ สระแก้ว เป็นข้าราชการเกษียณ เพิ่งเกษียณเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แต่สนใจเรื่องการเกษตรมานานแล้ว วันนี้ลงมาทำเองเต็มตัว เริ่มปีแรกก็ประสบความสำเร็จเลย เพราะทำตามแนวทางผู้พันนี่แหละครับ ผมมีนาข้าวกับแปลงแคนตาลูป วันนี้ที่ผมโทรมาเพื่อจะขออนุญาตลิขสิทธิ์ใช้คำว่า อินทรีย์นำ เคมีวิทยาศาสตร์เสริม ผมจะทำป้ายติดไว้หน้าบ้านน่ะครับ
ลุงคิม : (ฟังแล้วคิด....จากคนไม่เคยรู้กันเป็นส่วนตัวมาก่อน รายนี้น่าจะเป็นรายแรกๆ ที่แนะนำตัวเองก่อนค่อนข้างยาว) .... O.K. ไม่ขัดข้อง แล้วก็ยินดีให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีก .... อืมมมขอถามก่อนว่า คุณทำตามแนวผู้พัน ทำตามแนวผม คุณได้ข้อมูลมาจากไหน วิทยุ. ทีวี. หนังสือ. โครงการสัญจร. หรือไปเรียนรู้ที่ไร่กล้อมแกล้ม หรือช่องทางอื่น....?

..?.. : ผมจับแนวมาจากวิทยุ กับหนังสือเกษตรใหม่ที่ผู้พันเขียนน่ะครับ ผมมีครบทุกเล่ม ผมอ่านแล้วก็ทำตามในหนังสือ เรียกว่าเปิดตำราทำกันเลยครับ วันนี้ผมกำลังเล็งๆคอมพิวเตอร์ จะเล่นอินเตอร์เน็ตบ้าง เห็นผู้พันบอกว่า อะไรๆก็ไม่ได้เรียนมาตรงโดย ผู้พันเป็นทหารเรียนแต่วิชาฆ่าคน วางปืนแล้วมาจับจอบทำเกษตรได้ เล่นคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตได้ ผมคิดว่า ผมก็น่าจะทำได้บ้างนะครับ
ลุงคิม : ถูกต้อง ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ ต่างกันที่คนทำ เขาทำหรือเราทำ คนเอาชนะคนไม่ได้ คนเก่งกว่าคนไม่ได้ ไม่ใช่เปิดมุ้งออกมาก็บอกว่า ทำไม่ได้-ทำไม่เป็น-เป็นไปไม่ได้ บางคนว่า ยุ่งยาก-เสียเวลา ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลองทำเลย แบบนี้เขาเรียกว่า แพ้กันตั้งแต่ในมุ้ง .... คุณว่าไหม ?

..?.. : จริงครับผู้พัน ผมยืนยัน ผมทำเองแล้วสอนชาวบ้าน เริ่มที่บ้านข้างเคียง แปลงนาติดกัน เมื่อมีโอกาสคุยกัน ผมจะอ่านหนังสือที่ผู้พันเขียนให้เขาฟัง อ่านหลายต่อหลายครั้ง อ่านแล้วพาไปดูของจริงเปรียบเทียบให้เขาเห็น แล้วจึงชวนให้เขาทำ แรกๆผมทำในแปลงนาผมเสร็จแล้ว ผมไปช่วยเขาด้วย ช่วยไถ ช่วยย่ำเทือก ช่วยฉีดปุ๋ยฉีดยา ด้วยมือผมเองเลย นารอบแรกได้ผลครับ เขาขายข้าวแล้วได้กำไร ทำรอบสองต่ออีก คราวนี้ได้กำไรมากขึ้นอีก จนไถ่โฉนดกลับบ้านได้
ลุงคิม : (หัวเราะในลำคอ) งั้นเหรอ....

..?.. : จริงครับผู้พัน วันนี้แปลงแรกที่อยู่ติดกับผม แกเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว แถมต่อยอดได้ด้วย แกออกไปสอนแปลงข้างๆบ้าง แปลงข้างๆก็เริ่มเอาตามแล้วครับ
ลุงคิม : งั้นนะ

..?.. : ใช่ครับผู้พัน ตอนนี้ผมมีกลุ่มเกือบ 20 คน ทำนา ปลูกผัก ทำแคนตาลูป เราคุยกัน ปรึกษากัน ทุกครั้งผมจะอ้างผู้พันนี่แหละครับ
ลุงคิม : สมาชิก ฟังรายการวิทยุไหม ?

..?.. : ฟังครับ ตอนเช้าจะเอาวิทยุไปในแปลงด้วย ตอนค่ำก็มาคุยกันที่บ้านผม ทำอย่างนี้กันทุกวัน ทุกคนยอมรับคำพูดผู้พันอย่างไม่มีข้อแม้เลยครับ
ลุงคิม : เอางั้นนะ แล้ววันนี้แต่ละคน สภาพหนี้สิน สถานะครอบครัว เป็นไงบ้างล่ะ ?

..?.. : หนี้ไม่มีแล้วครับ ทุกบ้านได้โฉนดกลับบ้านหมดแล้ว แถมมีเงินฝากธนาคารกันแล้วครับ
ลุงคิม : อืมมม .... อย่างที่บอกนั่นแหละนะ ทำแนวนี้แล้วประสบความสำเร็จ ผมไม่สงสัยเพราะมันคือความจริงของธรรมชาติอยู่แล้ว ที่สงสัยแล้วก็สงสัยอย่างมากๆ ก็คือ คนที่ยังล้มเหลวอยู่ หนี้สินยังเต็มบ้าน เขาคิดยังไงต่างหาก ทำไมเขาถึงไม่ยอมปรับเปลี่ยนวิธีการทำบ้าง เท่านั้นแหละ

..?.. : คงไม่นานเกินรอหรอกครับผู้พัน เพราะราคาในตลาดมันบังคับ ข้าวก็โรงสี ผักผลไม่ก็คนกลางในตลาดควบคุมอีก
ลุงคิม : เอาวะ จะคอย

..?.. : ผู้พันครับ วันนี้ผมโทรมา ผมจะขอลิขสิทธิ์ใช้คำว่า อินทรีย์นำ เคมีวิทยาศาสตร์เสริม ผมจะเขียนป้ายไว้หน้าบ้าน ที่ทำการรวมกลุ่มน่ะครับ
ลุงคิม : ไม่มีปัญหา ไม่มีลิขสิทธิ์อยู่แล้ว ว่าแต่ คุณมีความเข้าใจกับหลักการทำเกษตรแบบนี้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นแหละ เพราะถ้าใครเอาไปทำแล้วผิดหลักการธรรมชาติ มันไม่ได้ผล เขาจะว่าเอาได้นะ

..?.. : คงไม่มีปัญหาหรอกครับ
ลุงคิม : คืองี้ ผมอยากจะบอกคุณว่า ....
ข้อที่ 1 : คำว่า อินทรีย์ชีวภาพนำ-เคมีวิทยาศาสตร์เสริม น่ะ เป็นคำดั้งเดิม ตั้งแต่เริ่มจับงานนี้ใหม่ๆ กว่า 10 ปีมาแล้ว วันนี้มันพัฒนาเป็นคำว่า อินทรีย์นำ-เคมีเสริม-ตามความเหมาะสม แล้วก็มีเครื่องหมาย ... “?” ...

ต่อท้ายอีกด้วย ความหมายก็คือ บางพืชบางครั้งต้อง “อินทรีย์นำ-เคมีเสริม” กับบางพืชบางครั้งต้อง “เคมีนำ-อินทรีย์เสริม” แม้ แต่พืชเดียวกันแต่ต่างปัจจัยพื้นฐานกัน ระหว่างตัวนำกับตัวเสริม ก็อาจจะต่างกันด้วย .... พืชเดียวกัน เช่น มะเขือกินผล ทุเรียนก็กินผล เหมือนกัน มะเขือใช้อินทรีย์นำ-เคมีเสริมได้ แต่ทุเรียนต้องใช้ เคมีนำ-อินทรีย์เสริม นี่ไง ตามความเหมาะสมของมะเขือ ตามความเหมาะสมของทุเรียน ....

ข้อที่สอง : แม้แต่มะเขือพันธุ์เดียวกันแท้ๆ ก็ไม่เหมือนกัน มะเขือหน้าหนาวเชียงรายกับมะเขือหน้าหนาวนราธิวาส ต่อทุเรียนก็มีความต่าง ทุเรียนอายุต้น 5 ปี กับทุเรียนอายุต้น 50 ปี ทั้งๆที่เป็นทุเรียนเหมือน กันแท้ๆ อยู่ในสวนเดียวกันด้วย ยังต้องบำรุงต่างกันเลย .... ถึงจุดนี้พอมองภาพออกไหม ?

..?.. : ออกครับ ผู้พันว่าต่อครับ....
ลุงคิม : เครื่องหมาย .. “?”.. ที่ต่อท้ายคำว่า ตามความเหมาะสมน่ะ แท้จริงหมายถึง “ปัจจัยพื้นฐานเพื่อการเพาะปลูก” นั่นก็คือ ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธ์-โรค ที่มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเจริญเติบโตของพืชที่ปลูก เราจะต้องจัดการหรือปรับแก้ปัจจัยพวกนี้ให้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของพืชนั้นๆ

..?.. : ครับผู้พัน....
ลุงคิม : พวกเราหลายคนออกไปส่งเสริมเกษตรกรให้ทำเกษตรแบบอินทรีย์ มีทั้งอินทรีย์เพียวๆ ไม่มีเคมีเลย กับอินทรีย์-เคมีผสมกัน แต่ถ้าทำไม่ตรงตามความต้องการที่แท้จริงของพืช ผลผลิตที่ออกมาเลยตกเกรด ตลาดไม่เอา หรือไม่ก็ไม่ได้ราคา กลายเป็นความล้มเหลวไป .... เพราะฉะนั้น ระหว่างอินทรีย์กับเคมี ต้องถูกต้องเหมาะสม บนพื้นฐาน 6 ปัจจัยพื้นฐานที่ว่า อย่างแท้จริง .... ตัวอย่างนาข้าว อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสม ของ นาปี-นาปรัง-ข้าวลูกผสม-ข้าวพื้นเมือง- หน้าหนาว-หน้าฝน-หน้าแล้ง-น้ำมาก-น้ำน้อย กับอีกหลายๆปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับต้นข้าว ที่ต้องเหมาะสมตามธรรมชาติของต้นข้าว จึงจะได้ผล

..?.. : ถ้างั้น ผมต้องแยกพืชแต่ละชนิด กับแต่ละปัจจัยพื้นฐาน ใช่ไหมครับ ?
ลุงคิม : ถูกต้อง เป๊ะเลย ไม่งั้นจะกลายเป็น อินทรีย์ตกขอบ-เคมีบ้าเลือด งานนี้คนส่งเสริมจะเสียคนเอานะ .... หลักการคิดก็คือ ต้องดูปัจจัยทุกตัวที่เกี่ยวข้องกับพืชโดยตรงที่ปลูกก่อน แล้วถึงมาดูพืชทีหลัง .... เคยมีนะ ทุเรียนอายุต้น 50 ปี ลูกเต็มต้น ให้ปุ๋ยทางใบตามคำแนะนำทุกประการ ทางดินให้แต่น้ำหมักระเบิดเถิดเทิง ไม่ใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มเลย ผลผลิตรุ่นนั้นดี ดีมากๆด้วย แต่พอเก็บผลผลิตหมด สภาพต้นโทรมมาก ทำท่าจะตายเอาแน่ะ

..?.. : เป็นเพราะอะไรครับ ?
ลุงคิม : เพราะสารอาหาร คือ ปุ๋ยไม่พอน่ะซี ก็เขาไม่ได้ใส่ปุ๋ยทางดินเพิ่มเลย ให้แต่น้ำหมักระเบิดเถิดเทิงอย่างเดียวเพียวๆ ถามว่า ทำไมไม่ใส่ปุ๋ยทางดินเพิ่ม เขาตอบหน้าตาเฉย ก็ลุงคิมบอกไม่ต้องใส่ปุ๋ยแม้แต่แหมะเดียวไงล่ะ เราก็ว่า โถ โถ โถ นั่นมันมะเขือไม่ใช่ทุเรียน เอามาเปรียบเทียบกันได้ยังไง มะเขือน่ะ อินทรีย์นำ-เคมีเสริม ได้ เพราะมะเขือใช้สารอาหารปุ๋ยเคมีเท่าที่มีในน้ำหมักระเบิดเถิดเทิงได้ แต่ทุเรียนต้อง เคมีนำ-อินทรีย์เสริม เพราะฉะนั้นต้องเพิ่มสารอาหารปุ๋ยเคมีทางดินลงไปด้วย เพิ่มมากเพิ่มน้อย ขั้นอยู่กับสภาพต้น ทุเรียนอายุต้น 50 ปี สูงขนาดเสาไฟฟ้า ลูกเต็มต้น ก็ต้องให้สารอาหารมากขึ้นใช้ไหม ?

..?.. : ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับผู้พัน
ลุงคิม : ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก .... อ่าน LINE ธรรมชาติให้ออก แล้วทำแบบให้พืชเป็นศูนย์กลาง เรียกว่า ปลูกพืชตามใจพืช ไม่ใช่ตามใจคน อย่าใช้แค่ความรู้สึก คิดว่าต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้เสมอ แต่ต้องใช้หลักวิชาการอย่างมีเหตุมีผล อย่าเอาชนะธรรมชาติ อย่าฝืนธรรมชาติ แต่ขอให้ เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก ให้ธรรมชาติมีความเหมาะสมมากยิ่งๆขึ้นเท่านั้น

..?.. : งานนี้ผมคงต้องเรียนรู้อีกเยอะนะครับ
ลุงคิม : แน่นอน เพราะการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งเรียนยิ่งไม่รู้ เพราะสิ่งไม่รู้จะออกมาให้เรียนเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเอาแค่ รู้อะไรรู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล ตามที่สุนทรภู่บอกก็ได้ .... เรียนเรื่องพืช แยกอินทรีย์กับเคมีให้ออกจากกันก่อน แล้วค่อยเอามารวมกันทีหลัง อย่างที่บอก อินทรีย์นำ-
เคมีเสริม....เคมีนำ-อินทรีย์เสริม ไงล่ะ

..?.. : ครับผู้พัน
ลุงคิม : อย่าเร่ง อย่ารีบ เกษตรไม่มีคันเร่ง ไม่มีโวลลุ่ม อย่าเล็งผลเลิศ มันเหมือนแสงสว่างปากถ้ำ ค่อยเป็นค่อยไป เดี๋ยวดีเอง .... ปัญหามีให้แก้ ไม่ใช่มีให้กลุ้ม สองคนหลายๆคนเอาปัญหามากองรวมกัน แล้วร่วมกันขบคิดแก้ปัญหา อย่ากะรวยคนเดียว อย่าเก่งคนเดียว แต่ถ้ากะรวยด้วยกันจะรวยทุกคน กะเก่งด้วยกันจะเก่งทุกคน

..?.. : ครับผู้พัน
ลุงคิม : เอาเถอะ ใจเย็นๆ วันนี้ไม่ใช่แค่นิยาม "อินทรีย์นำ เคมีเสริม หรือ เคมีนำ อินทรีย์เสริม" เท่านี้ยังมีเรื่องของเหตุและผลว่าด้วยสมการ .... "สมการปุ๋ยเคมี-สมการปุ๋ยอินทรีย์" ก็มีส่วนอีกด้วย

..?.. : ครับผู้พัน สมการ ผมเริ่มเห็นทางแล้ว
ลุงคิม : ลองดู เกาะกลุ่มดีๆ มีปัญหาก็โทรมาเล่าสู่กันฟัง ลุงคิมจะได้เก่งด้วย....O.K. มั้ย

..?.. : O.K. ครับ ....ขอบคุณครับ
ลุงคิม : THANK YOU

------------------------------------------------------------------------------------------



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 14/10/2023 11:00 am, แก้ไขทั้งหมด 46 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว ส่งอีเมล์

kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11835

ตอบตอบ: 11/10/2023 1:03 pm ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote) แก้ไข/ลบคำตอบนี้ ลบคำตอบนี้ แสดง IP
.
.
ปุ๋ยอินทรีย์ ไบโอ ซัมมิต (BIO SUMMIT)
วัสดุส่วนผสม :
- เศษซากพืชแห้งทุกชนิดจากแปลงเกษตร (ปลูก) จากธรรมชาติ (เกิดเอง) ....บดหยาบผสมคลุกให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

- พืชเกิดเอง สารอาหารธรรมชาติ ครบ/มาก พืชปลูก เช่น นาข้าว ได้ข้าวเปลือก 1 เกวียน ในฟางมีปุ๋ย 18 กก. (อ้างอิง : จุฬาลงกรณ์ฯ) .... เศษซากพืชตระกูลถั่วมีจุลินทรีย์คีโตเมียม. ไรโซเบียม. ไมโครไรซ่า.

- ใบพืชแห้งที่มีไนโตรเจนสูง (ใบก้ามปู ใบพืชตระกูลถั่ว) .... แหนแดง มีไนโตรเจนมาก (อ้างอิง : ม.สุรนารี) .... ใบพืชแห้งที่มีฟอสฟอรัส โปแตสเซียม สูง (ใบมะขาม)

- มูลสัตว์ (สี่เท้า/ปีก) ทุกชนิดจากฟาร์ม (เลี้ยงโรงเรือน) สดใหม่ จากธรรมชาติ (เลี้ยงปล่อย) บดละเอียด ผสมคลุกให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

- เศษซากสัตว์ (เนื้อ/หนัง/ขน/กระดูก/เลือด/เครื่องใน/ขี้เพี้ย/ปัสสาวะ) สดใหม่ ทุกชนิดจากโรงฆ่าสัตว์, ครัว เรือน ร้านอาหาร, อาหารสัตว์ทำมาจาก กุ้งหอยปูปลาทะเล บดละเอียด/แห้ง

- เศษอาหาร (คน/สัตว์, ปรุง/ยังไม่ได้ปรุง, กินแล้ว/ยังไม่ได้กิน) สดใหม่ จากบ้านเรือน ภัตตาคาร โรงงาน
- จุลินทรีย์ (จาวปลวก หน่อกล้วย นมเปรี้ยว พด.)
- น้ำหมักชีวภาพ (มีสารอาหารพืช จุลินทรีย์ สารอาหารสำปรับจุลินทรีย์ประจำถิ่น)
- แกลบดิบใหม่ (มีรำ) .... รำละเอียด คือ ตัวเร่งจุลินทรีย์ในปุ๋ยอินทรีย์แห้งที่ดีที่สุด

วิธีทำ :
ส่วนผสม .... “เศษซากพืช : มูลสัตว์ : เศษซากสัตว์ : เศษอาหาร” อัตรา 20 : 5 : 1 : 1 : (โดยประมาณตามความเหมาะสม) โรยทับด้วยจุลินทรีย์เพื่อการเกษตรจากท้องตลาด ยิ่งมากยี่ห้อยิ่งดี เพื่อเอาความหลากหลาย ผสมคลุก เคล้าให้เข้ากันดี

- ระหว่างคลุกผสม พรมด้วยน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (พร้อมใช้แล้ว) ให้ได้ความชื้น 50% แล้วทำกอง กดแน่นพอประมาณ ปิดคลุมด้วยพลาสติกเพื่ออบให้เกิดความร้อน-จุลินทรีย์พื้นฐานเริ่มเกิดเมื่ออุณหภูมิ 40-45 องศา, ไตรโคเดอร์ม่า เริ่มเกิด 60 องศา (ต้องการอุณหภูมิสูงสุดในบรรดาจุลินทรีย์ด้วยกัน), อุณห
ภูมิ 70 องศา จุลินทรีย์ทุกชนิดตาย

- ระหว่างอบ ร้อนจนเกิดควัน ให้พลิกกลับกองเพื่อระบายความร้อน แล้วทำกองกดแน่นอนประมาณ ปิดกองด้วยพลาสติก อบให้เกิดความร้อนต่อ.... การเกิดควันในกอง เกิดจากกระบวนการจุลินทรีย์ ถือเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า การหมักดี ถูกต้อง

** ร้อนแล้วกลับกอง ร้อนแล้วกลับกอง ทำซ้ำ 3-4 รอบ หรือจนกว่าจะไม่ร้อน มือล้วงในกองรู้สึกเย็น นั่นคือปุ๋ยอินทรีย์ “ไซลิด ซัมมิท” พร้อมใช้

-------------------------------------------------------------------------------------


ปุ๋ยอินทรีย์ ไบโอ โซลิด :
ปุ๋ยอินทรีย์ BIOSOLID ทำในออสเตรเลีย ใช้ในออสเตรเลีย ชนิด ผง/แห้ง/สีดำสนิท/ไม่มีกลิ่น/มีสารอาหารพืช .... ทำมาจาก

1. มูลสัตว์ทุกชนิดจากฟาร์ม (วัวควายไก่), จากธรรมชาติ (ค้างคาว นกทะเล)
2. เศษซากสัตว์ทุกชนิดจากโรงฆ่าสัตว์, ครัวเรือน, โรงงานอุสาหกรรมอาหาร, กองขยะ
3. เศษซากพืชทุกชนิดจาก แปลง, ครัวเรือน, โรงงานอุสาหกรรมอาหาร, กองขยะ
4. เศษอาหาร คน/สัตว์ จาก บ้านเรือน, ภัตตาคาร, โรงงานอุสาหกรรมอาหาร, กองขยะ
5. ของเสียจากบ่อบำบัดน้ำเสีย, ท่อระบายน้ำเสียจาก ครัวเรือน/โรงงาน/ฟาร์ม,

วิธีทำ :
- บดละเอียดทุกอย่าง (เหลว/แห้ง-ชิ้นเล็กชิ้นใหญ่) ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว
- ให้ความร้อน 1,400 องศา ซ. เพื่อกำจัดจุลินทรีย์ทุกชนิด และลบล้างกลิ่นเดิม

วิธีใช้ :
- พืชไร่ นาข้าว : หว่านลงพื้น แล้วไถโรตารี่ คลุกเคล้าเศษซากพืชกับไบโอโซลิดให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
- พืชสวนครัว ไม้ดอก ไม้กระถาง : หว่านลงพื้น ไถพรวน คลุมแปลงด้วยหญ้าแห้ง
- ไม้ผล : หว่านโคนต้นบริเวณทรงพุ่ม

หมายเหตุ :
-ไบโอ โซลิด พร้อมใช้ จากโรงงาน ไม่มีจุลินทรีย์ ไม่มีปุ๋ยเคมี
- เมื่อใช้งาน ได้รับ น้ำ/ความชื้น จะส่งเสริมจุลินทรีย์ประจำถิ่นให้เข้ามาอยู่ด้วย แล้วสารอาหารสำหรับจุลินทรีย์ประจำถิ่นไปในตัว

(อ้างอิง : สารคดีดิสคัพเวอรี่)

---------------------------------------------------------------------------------


ยิบซั่มธรรมชาติ (CaSo4) .... (089) 144-1112 :
ปุ๋ยอินทรีย์ ซุปเปอร์ :
วัตถุประสงค์ :
- เพื่อทำให้เศษซากพืชจากเศษซากธรรมดา ให้มีสารอาหารสำหรับพืช และจุลินทรีย์ในดิน ทั้งพืชทั่วไปและพืชเฉพาะ

- คำว่า “ซุปเปอร์” หมายถึง คุณภาพ/ประสิทธิภาพ ที่เหนือกว่าเศษซากพืชเดิมธรรมดาๆ

วัสดุเริ่มต้น : เศษซากพืชทุกชนิดที่มี เช่น ฟางในนาข้าว เศษซากต้นพืชไร่ในไร่ ใบไม้คลุมโคนต้นไม้ผล แกลบ ขุยมะพร้าวสับ ทะลายปาล์ม ปุ๋ยคอก ฯลฯ ที่มีอยู่แล้วหรือจัดหามา อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่หลายอย่างดีกว่าน้อยอย่าง ซึ่งทุกอย่างเป็นเศษซากพืช หรืออินทรีย์วัตถุ (OGANIC MATTER หรือ OM) ธรรมดาๆ ไม่มีสารอาหารพืช สภาพแห้ง บดป่น

สารอาหารพืชชนิดแห้ง : ยิบซั่ม ปุ๋ยคอก รำ เปลือกถั่วลิสง กากถั่วเหลือง จุลินทรีย์แห้ง เศษอาหารคน เศษอาหารสัตว์ กระดูกป่น ปลาป่น ขี้เค้กโรงงานน้ำตาล

สารอาหารพืชชนิดน้ำ : น้ำหมักชีวภาพ จุลินทรีย์น้ำ นม ฮอร์โมนธรรมชาติ น้ำมะพร้าว น้ำปุ๋ยคอกหมัก กากน้ำตาล

วิธีทำ :
- วัสดุเริ่มต้นเศษซากพืช อย่างใดอย่างหนึ่ง หลายอย่างดีกว่าน้อยอย่าง
- หว่านทับด้วยเศษอาหารพืช “ชนิดแห้ง” อัตราส่วน 10 : 1 คลุกเคล้าให้เข้ากันดี (รำละเอียดใหม่ช่วยเร่งกระบวนการจุลินทรีย์ได้ดีที่สุด)

- รดด้วยสารอาหารพืช “ชนิดน้ำ” อย่างใดอย่างหนึ่ง หลายอย่างดีกว่าน้อยอย่าง คลุกเคล้าให้เข้ากันดีอีกครั้ง ให้ได้ความชื้น 50%

- ใช้ "น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง" นอกจากจะได้สารอาหารพืชที่มาจาก กุ้งหอยปูปลาทะเล. ไขกระดูก. เลือด. นม. น้ำมะพร้าว. แล้ว ยังมีจุลินทรีย์ และสารอาหารสำหรับจุลินทรีย์ประจำถิ่น ด้วยกรรมวิธีในการหมักอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ

- ตรวจสอบความชื้นในกอง 50 % โดยการกำด้วยมือแล้วบีบแรงๆ .... ถ้ามีน้ำไหลออกมาตามง่ามนิ้วมือ แสดงว่า ความชื้นมาก แก้ไขโดยเพิ่มอินทรีย์วัตถุ .... ถ้าไม่มีน้ำออกมาตามง่ามนิ้วมือ ให้แบมือ แล้วก้อนปุ๋ยที่กำแตกกระจาย แสดงว่า ความชื้นน้อย แก้ไขโดยเพิ่มน้ำ .... ถ้าไม่มีน้ำออก มาตามง่ามนิ้วมือ แบมือ ปุ๋ยยังจับเป็นก้อนปกติ แสดงว่า ความชื้นพอดี

- ทำกอง อัดแน่น คลุมด้วยพลาสติกเพื่อความร้อน

ทำกองปุ๋ยอินทรีย์ :
- ทำกอง อัดแน่น พลาสติกปิดกอง เก็บชายให้มิดชิด ทิ้งไว้ 15-20 วัน เปิดพลาสติกเช็คอุณหภูมิ
* ถ้าร้อนให้ ปิดพลาสติก พลิกกลับกอง ระบายอุณหภูมิ แล้วหมักต่อ .... ถ้าไม่ร้อน ไม่ต้องพลิกกลับกอง ปล่อยไว้ หมักต่อไปอีก จนกว่าจะร้อน

* ถ้าร้อนให้ กลับกองหมักต่อและกลับกองหมักต่อ ทำซ้ำ 2-3-4 รอบ จนกว่าจะเย็น....เย็นแล้วพร้อมใช้งาน

- อุณหภูมิที่ดี 40-60 องศา .... จุลินทรีย์กลุ่มมีประโยชน์เกิดแล้วขยายพันธุ์ จุลินทรีย์กลุ่มไตรโคเดอร์ม่าเกิดที่อุณหภูมิ 60 องศา

- ถ้าอุณหภูมิในกองหมักสูงเกิน 70 องศา (ควันขึ้น) จุลินทรีย์ทุกกลุ่มตายหมด
- ถ้าอุณหภูมิในกองต่ำกว่า 30 องศา ช่วยให้จุลินทรีย์กลุ่มแบคทีเรีย (เลว/เชื้อโรค) เจริญพัฒนาดี จุลินทรีย์กลุ่มนี้นี่แหละที่เป็นต้นสาเหตุของการเหม็นเน่า

- รวมระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้น ถึงกองเย็นพร้อมใช้ น่าจะประมาณ 3-6 เดือน กลิ่นหอมชัดเจน หรืออาจจะไม่มีกลิ่นเลยก็ได้ นั่นคือได้ “ปุ๋ยอินทรีย์” พร้อมใช้งาน

ทำในแปลง :
- แปลงนาข้าว แปลงพืชไร่ทุกประเภท หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต อาจใช้ผานโรตารี่ตีป่นก่อน เพื่อให้การ เกลี่ย/กระจาย เศษซากง่ายขึ้น จากนั้นปล่อยทิ้งตากแดดให้แห้งสนิท

- แห้งสนิทแล้วไถดะ ขี้ไถใหญ่ๆ ทิ้งไว้ 15-20 วัน ให้ขี้ไถแห้งสนิทและได้กำจัดวัชพืชไปในตัว
-ใส่ “ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดแห้ง” หว่านทั่วแปลง แล้วไถพรวนรอบที่ 1
- ใส่ “ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ” ที่มีสารอาหารและจุลินทรีย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง หลายอย่างดีกว่าน้อยกว่า พร้อมกับไถพรวนรอบที่ 2

- บ่มดินทิ้งไว้ 15-20 วัน เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์ปรับสภาพโครงสร้างดิน และสร้างสารอาหารไว้ล่วงหน้าสำหรับที่จะปลูก

หมายเหตุ :
- เหมือนการทำเทือกนา
- ทฤษฎีการหมัก เพื่อเข้าสู่กระบวนการจุลินทรีย์ มี 3 รูปแบบ คือ หมักในถัง/ภาชนะ หมักในกอง
และหมักในดิน

------------------------------------------------------------------------------------


ปุ๋ยอินทรีย์ พด. :
ดร.พิทยากรฯ กล่าวต่อไปว่า สำหรับขั้นตอนการผลิตจะเหมือนกับการทำปุ๋ยหมักแต่จะพิถีพิถันมากขึ้นกรมพัฒนาที่ดินได้กำหนดไว้ สำหรับการผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง 100 กก. จะมี...

กากถั่วเหลือง 40 กก.
รำละเอียด 10 กก.
มูลสัตว์ 10 กก.
หินฟอสเฟต 24 กก.
กระดูกป่น 8 กก.
มูลค้างคาว 8 กก.

นำส่วนผสมหมักไว้ประมาณ 9-12 วัน จากนั้นใช้สารเร่งซุปเปอร์ พด.1 พด.3 พด.9 อย่างละ 1 ซอง สารเร่งซุปเปอร์ พด.2 ที่ขยายเชื้อในกากน้ำตาล จำนวน 26 ล. คลุกเคล้าให้เข้ากัน หมักต่ออีก 3 วัน จะได้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง มีธาตุอาหาร “ไนโตรเจน : ฟอสฟอรัส : โปรตัสเซียม” อยู่ในระดับ “1 : 2.5 : 1”
ถ้าเกษตรกรมีพื้นที่ 1 ไร่ จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงประมาณ 200-400 กก. ซึ่งใช้ในปริมาณที่น้อยกว่าปุ๋ยอินทรีย์ทั่วไป

ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงมีคุณสมบัติเด่น คือ
- เป็นแหล่งธาตุอาหารหลักที่มีความเพียงพอต่อความต้องการของพืชในการเจริญเติบโต และให้ผลผลิต
- เป็นแหล่งธาตุอาหารรอง และจุลธาตุแก่พืช
- มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อดิน และพืช
- การปลดปล่อยธาตุอาหารให้แก่พืชแบบช้าๆ ทำให้ลดการสูญเสียธาตุอาหาร
- เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเกษตรกรนำไปใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี อีกทั้งยังสามารถผลิตใช้เองได้ง่ายด้วย
เกษตรกรที่สนใจการผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง สามารถติดต่อขอรายละเอียดได้ที่สำนักเทคโนโลยีชีวภาพทางดิน กรมพัฒนาที่ดิน 0-2579-2875

---------------------------------------------------------------------------


ปุ๋ยอินทรีย์แบบเติมอากาศ :
ปุ๋ยหมัก : เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากการหมักวัสดุอินทรีย์ ซึ่งมีคาร์บอนเป็นองค์ ประกอบหลักในกิจกรรมของจุลินทรีย์ คุณภาพของปุ๋ยหมักเติมอากาศขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักที่สำคัญ 2 อย่าง คือ วัสดุอินทรีย์ที่เป็นส่วนผสม และระบบเติมอากาศ

วัสดุอินทรีย์ที่เป็นส่วนผสม ส่วนประกอบหลัก คือ วัสดุที่มีไนโตรเจนสูง สำหรับให้ไนโตรเจนกับจุลินทรีย์ในกองปุ๋ยหมัก ได้แก่ มูลไก่แกลบหรือมูลไก่เนื้อ มูลสัตว์เคี้ยวเอื้องและวัสดุที่มีคาร์บอนสูง เช่น เศษพืช ใบไม้ ขี้เลื่อย ขุยมะพร้าว ทะลายมะพร้าว ใบมะพร้าว ทะลายปาล์มบด เพื่อเป็นแหล่งพลังงาน ของจุลินทรีย์และช่วยลดความแน่นทึบในกองปุ๋ยหมักเพิ่มการระบายอากาศภายในกองปุ๋ย

ระบบเติมอากาศ : ประกอบด้วย ซองหมัก 2 ซอง แต่ละซองกว้าง 2.5 ม. ยาว 8 ม. สูง 1.8 ม. มีความจุ 30 ลบ.ม. หลังคากระเบื้องใยหินลูกฟูก เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ม. ลึก 2 ม. ในส่วนของระบบเติมอากาศประกอบด้วยพัดลมอัดอากาศ (Blower) มีตะแกรงเหล็ก เพื่อรองรับวัสดุและช่วยกระจายลม พร้อมติดตั้งระบบ เปิด-ปิด ด้วยนาฬิกาตั้งเวลาอัตโนมัติ วันละ 6 ครั้ง โดยเปิดครั้งละ 1 ชั่วโมง และปิดครั้งละ 3 ชั่วโมง

วิธีการผลิต : ชั่งส่วนผสมตามสัดส่วน 3 : 3 : 1 คือ มูลไก่แกลบอย่างเดียว หรือผสมมูลไก่ 150 กก. มูลสัตว์เคี้ยวเอื้อง 150 กก. และฟางข้าว ทะลายปาล์มบด หรือเศษพืช 50 กก.จากนั้นเติมน้ำประมาณ 60% โดยน้ำหนัก หรือเติมน้ำให้เปียกชุ่มจนสามารถปั้นเป็นก้อนได้ และเมื่อใช้นิ้วกดก็จะแตกได้ง่าย แล้วจึงนำไปใส่ในซองหมักจนเต็มเสมอขอบซองหมัก โดยไม่ต้องย่ำให้แน่น เพื่อให้วัสดุอินทรีย์ช่องว่างให้อากาศกระจายได้อย่างทั่วถึง จากนั้น เปิด-ปิด ระบบเติมอากาศด้วยนาฬิกาอัตโนมัติ และเติมน้ำทุกๆ 7 วัน โดยการติดสปริงเกอร์หรือพ่นน้ำด้านบนกองปุ๋ยให้ชุ่มเพื่อควบคุมความชื้น เมื่อครบ 30 วัน นำปุ๋ยออกจากซองหมักระบบเติมอากาศ มากระจายเป็นกองเล็กๆ กว้าง 1.5 ม. สูง 50 ซม. โดยมีความยาวตามขนาดของพื้นที่ เพื่อรอให้ปุ๋ยสุกหรือย่อยสลายสมบูรณ์ ประมาณ 30-45 วัน ก่อนตรวจสอบการย่อยสลายที่สมบูรณ์แล้วจึงนำไปใช้ในการปลูกพืชต่อไป

http://www.doa.go.th/pibai/pibai/n16/v_3-apr/korkui.html

----------------------------------------------------------------------------------


ปุ๋ยคอก ซุปเปอร์

หลักการและเหตุผล :
- ปุ๋ยคอก หมายถึง สิ่งที่สิ่งมีชีวิตขับถ่ายออกมาจากร่างกาย ทั้งที่ขับถ่ายออกมา
ตามปกติ และออก มาด้วยวิธีการอื่น

- สารในปุ๋ยคอก คือ สารอาหารพืช เหมือน/ต่าง/มาก/น้อย/ชนิด ขึ้นอยู่กับอาหาร
ที่สัตว์นั้นกิน และระบบย่อยอาหารของสัตว์นั้น เช่น วัวกินหญ้าไล่ทุ่งกับวัวเนื้อวัว
นม, สัตว์ 4 เท้า (ลำไส้ยาว) กับสัตว์ปีก (ลำไส้สั้น), ค้างคาวกินผลไม้กับค้างคาวกินแมลง, นกบกกินแมลงกับนกทะเลกินปลาทะเล,

- สารอาหารในมูลสัตว์ใหม่ ไนโตรเจนจะเปลี่ยนรูปทางเคมีเป็น “ไนโตร์ท-ไน
เตรท” นอกจากพืชรับไปใช้ไม่ได้แล้ว ยังเป็นอันตรายต่อต้นพืชนั้นอีกด้วยแนวทาง

แก้ไข คือ
1. ปล่อยไว้ให้เก่า
2. หว่านบางๆบนหญ้าแห้งรองพื้นหนาๆที่อากาศระบายได้

- คำว่า “ซุปเปอร์” หมายถึง ชนิด/ปริมาณ สารอาหารพืช ทั้งเป็นเคมีชีวะ เคมี
สังเคราะห์ และอื่นๆ ที่พืชใช้ประโยชน์ได้ เพิ่มในสาอาหารที่มีในปุ๋ยคอกเดิม

วิธีทำ :
- จากปุ๋ยคอกมูลสัตว์เดิมที่มี บวก/เสริม/เติม/เพิ่ม มูลสัตว์อื่น ที่พิจารณาแล้วว่ามีสารอาหารตัวอื่นที่ปุ๋ยคอกเดิมไม่มี

- จากปุ๋ยคอกมูลสัตว์เดิม+มูลสัตว์อื่นแล้ว เสริม/เติม/เพิ่ม/บวก สารอาหารประเภท
“เคมีชีวะ” ทั้งที่เป็นของเหลว หรือของแห้ง

- จากปุ๋ยคอกมูลสัตว์เดิม+มูลสัตว์+สารประเภท “เคมีชีวะ” แล้ว เสริม/เติม/เพิ่ม/
บวก สารอาหาร ประเภท “เคมีสังเคราะห์”

- สำเร็จทุกอย่างแล้ว ทำกอง เก็บต่อนาน 6 เดือน- 1 ปี เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์
ปรับสภาพโครง สร้าง จึงนำไปใช้งาน


------------------------------------------------------------------------------------


ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ :
ประวัติของปุ๋ยน้ำชีวภาพ :
เรื่องราวของปุ๋ยน้ำชีวภาพหรือน้ำสกัดชีวภาพนี้ เกิดขึ้นเมื่อประมาณกลางปี พ.ศ. 2540 ในขณะที่ประเทศไทยประสบภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนคนไทยต้องเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า จนต้องไปพึ่งพาเจ้าพ่อ ไอเอ็มเอ็ฟ แต่ประเทศไทยก็ไม่ได้โชคร้ายเสียทีเดียว ท่ามกลางความโชคร้ายก็ได้เกิดความโชคดีขึ้นมา โชคดีที่ว่านั้นคือ คนไทยได้รู้จักวิธีการทำ “ปุ๋ยน้ำชีวภาพ” ใช้เอง

ความเป็นมาของปุ๋ยน้ำชีวภาพหรือน้ำสกัดชีวภาพเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือน กรกฏาคม 2540 โดยอาจารย์ภรณ์ ภูมิพันนา ได้เชิญ มร.ฮาน คิว โช ซึ่งต่อไปนี้ผมขอเรียกชื่อท่านง่ายๆว่า มร.โช นายกสมาคมเกษตรธรรมชาติแห่งประเทศเกาหลี มาบรรยายเกี่ยวกับเทคนิควิธีการทำเกษตรธรรมชาติให้ปลอดภัยจากสารพิษโดยใช้เชื้อจุลินทรีย์ ตอนที่เชิญท่านมาตอนนั้น เจ้าภาพที่เชิญจัดหาสถานที่จัดอบรมไม่ได้ก็
เลย ต้องไปขอใช้ห้องประชุมกรมวิชาการเกษตรจาก ท่านรองชนวน รัตนวราหะ รอง
อธิบดีกรมวิชาการเกษตรในสมัยนั้น เป็นสถานที่จัดอบรม โดยท่านรองฯ ได้ช่วยเป็น
ธุระในการติดต่อผู้คนให้เข้ามารับฟัง มีเกษตรกรผู้สนใจแนวทางในการทำการ เกษตร
ธรรมชาติ ข้าราชการ องค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ และผู้ที่สนใจจำนวนหนึ่งเข้ารับการอบรม หลังจากอบรมในวันนั้นแล้ว มร.โช ก็ได้ตระเวนไปบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการผลิตพืชแบบเกษตรธรรมชาติโดยใช้จุลินทรีย์ให้แก่ชาวชุมชนราชธานีอโศก ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ที่ศูนย์ฝึกอบรมเทคโนโลยีไร้สารพิษและสิ่งแวดล้อม หมู่บ้านราชธานีอโศก ตำบลบุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 2-4 สิงหาคม พ.ศ.2540 เป็นต้น

มร.โช เป็น นายกสมาคมเกษตรธรรมชาติแห่งประเทศเกาหลี เป็นผู้ที่ศึกษาค้นคว้า
การทำการเกษตรธรรมชาติมาเป็นเวลายาวนานกว่า 40 ปี มีเทคนิควิธีการต่างๆที่
ใช้ได้ผลอย่างชัดเจน เป็นที่แพร่หลายและได้รับการยอมรับจากภาครัฐบาลของ
ประเทศเกาหลี สิ่งที่ มร.โช นำมาเปิดเผยในครั้งนั้น ไม่ใช่ปุ๋ยน้ำชีวภาพหรือน้ำสกัด
ชีวภาพเพียงอย่างเดียว หากแต่นำเทคนิควิธีการหลายรูปแบบรวมทั้งสิ้น 7 รูปแบบ
ในการผลิตพืชโดยวิธีการทางธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีเข้ามาเผยแพร่ด้วย นั
เป็นการทำการเกษตรแบบพึ่งพาตนเองอย่างแท้จริง เทคนิคที่นำมาถ่ายทอดในครั้ง
นั้นได้แก่

1. จุลินทรีย์ในพื้นที่ (lndigenous Micro-organism : IMO)
2. น้ำหวานหมักจากพืชสดสีเขียว (Fermented Plant Juice : FPJ)
3. น้ำหวานหมักจากผลไม้ (Fermented Fruit Juice : FFJ)
4. น้ำหวานหมักจากเศษปลาสด (Fish Amino Acid : FAA)
5. ซีรั่มของจุลินทรีย์ในกรดน้ำนม (Lactic Acid Bacteria Serum:LAS)
6. น้ำส้มสายชูหมักจากข้าวกล้อง (Brown Rice Vinegar : BRV)

จากคำบรรยายในหัวข้อเรื่องความรู้เรื่องจุลินทรีย์ในพื้นที่และการนำไปใช้
ประโยชน์ในระบบเกษตรธรรมชาติ มร.โช อธิบายว่า ในเรื่องเกษตรธรรมชาตินี้ไม่
สามารถที่จะยกมากล่าวเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ เนื่องมาจากการทำเกษตร
ธรรมชาติเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันของสิ่งต่างๆในระบบนิเวศน์ ซึ่งมนุษย์
จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการให้แต่ละสิ่งนั้นสัมพันธ์กันและดำเนินไปในทางที่ก่อให้เกิด
ผลผลิตสูงสุด โดยไม่ไปตัดหรือทำลายส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบ มร.โช กล่าว ถึง
สิ่งสำคัญ 3 ประการในการที่จะช่วยเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
ได้แก่
การสร้างดินโดยจุลินทรีย์
ธาตุอาหารของพืชในดิน และ
ความแข็งแรงของเมล็ดพันธุ์

ซึ่งในการทำเกษตรธรรมชาติ จุลินทรีย์ จะเข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ โดยมนุษย์จะ
มีหน้าที่ทำให้จุลินทรีย์มีความแข็งแรงและมีมากเพียงพอที่จะดำเนินกิจกรรมเหล่านั้นได้

- ประวัติศาสตร์น้ำหมักชีวภาพ กำเนิดขึ้นมาในโลกตั้งแต่ยุคฟาห์โร อียิปต์ จากหลัก
ฐานภาพสลักหินในปิรามิด ต่อมาถึงยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้สร้าง กำแพงเมืองจีน ล่าสุดคือ
อเมริกา ทำน้ำหมักเมื่อ 60-70 ปีที่แล้วนี้เอง แต่ประเทศไทย ประเทศเกษตรกรรม
แท้ๆเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังงัวเงียๆ ทำผิดใช้ถูก-ทำถูกใช้ผิด มั่วกันไปหมด เหตุเพราะ
“ปุ๋ยเคมี” มันครอบงำเอาไว้ เรียกว่าง่ายๆก็คือ อยู่ในกระสอบปุ๋ยเคมีนั่นเอง

- ปุ๋ยน้ำชีวภาพ “ทำ” แบบภูมิปัญญาพื้นบ้าน-มาตรฐานโรงงาน-มีหลัก
วิชาการรองรับ....“ใช้” ภายไต้กรอบ สมการปุ๋ย อินทรีย์-เคมี ก็น่าจะ O.K. แล้วมั้ง

--------------------------------------------------------------------------------

น้ำหมักชีวภาพ ศาสตร์ใหม่ เพิ่งเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี 2540 นี้เอง ลุงคิมเป็นคนแรกคนหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนของประเทศไทย ที่ สนใจ/ค้นคว้า/คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ แล้วขยายผลต่อ โดยเริ่มต้นด้วยข้อมูลจากครูคนแรก

ดร.อรรถ บุญนิธี สอนวิธีทำน้ำหมักชีวภาพ .............. จากพืชสด
อ.สำรวล ดอกไม้หอม สอนวิธีทำน้ำหมักชีวภาพ .......... จากหอยเชอรี่
ดร.สุริยา ศาสนรักกิจ สอนวิธีทำน้ำหมักชีวภาพ .......... จากปลาทะเล


น้ำหมักชีวภาพ สูตรกล้อมแกล้ม :
วัสดุส่วนผสม :
1. พืชผักสด (5 กก.) : ผักสวนครัว ได้แก่ ผักกาด. ผักคะน้า. ผักกวางตุ้ง. ยอดผักบุ้ง. ยอดตำลึง. ยอดกระทกรก. ยอดฟักทอง. ใบฟักทองแก่จัด. ผักปรัง. หน่อไม้ฝรั่ง. ข้าวโพดหวาน. ข้าวน้ำนม. ต้นหอม. ผักชี. กุยช่าย ฯลฯ

**ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย อย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งต้องการ คือ ความหลากหลาย จำนวน 2.5 กก.

**วัชพืช ได้แก่ ผักขม. ผักปอด. สาหร่าย. แหนแดง ฯลฯ
**ใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งต้องการ คือ ความหลากหลาย

หมายเหตุ :
- ไม่ควรใช้พืชที่ใช้สำหรับทำสารสกัดสมุนไพรป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรู พืช เพราะสารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพรจะเป็นตัวยับยั้งการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์

- พืชที่เกิดหรือขึ้นเองตามธรรมชาติในฤดูกาลและอยู่มานานดีกว่าพืชที่ตั้งใจปลูก
- สภาพสด ใหม่ สมบูรณ์ โตเต็มที่ อวบน้ำ ไม่มีโรคและแมลง ไม่มีสารเคมีปนเปื้อน
- เก็บตอนเช้าตรู่ (ตี 5) มีน้ำค้างเกาะ ดีกว่าเก็บตอนสายแดดออกจนใบ/ต้นแห้งแล้ว
- เก็บขึ้นมาแล้วบดละเอียดทันทีไม่ควรทิ้งไว้นาน
- เก็บแบบถอนทั้งต้น (ยอดถึงราก) ไม่ต้องล้างเพียงแต่สลัดดินติดรากออกบ้างเท่านั้น
- ใช้มากชนิดดีกว่าน้อยชนิด

2. ผลสดดิบ+เมล็ด (5 กก.) : ผลไม้กินได้มีเมล็ดมากๆ ทั้งอ่อนและแก่ ได้แก่ แตงกวา. แตงโม. แตงไทย. แคนตาลูป. มะระ. มะเขือ
เทศดิบ. ฟักทอง. ฟักเขียว. ถั่วฝัก ยาว. ถั่วลันเตา. ถั่วพู. ตำลึง ฯลฯ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งต้องการ คือ ความ หลาก หลาย พืชหัวระยะแก่ใกล้เก็บเกี่ยว ได้แก่ ไชเท้า. แครอท. เผือก. มันเทศ. มันฝรั่ง. ถั่วเหลือง. ถัวลิสง. หอมหัวใหญ่ ฯลฯ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งต้อง การ คือ ความหลากหลาย

หมายเหตุ :
- ไม่ควรใช้ผลหรือหัวของพืชที่ใช้ทำสารสกัดสมุนไพรป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช เพราะสารออกฤทธิ์ในผลหรือหัวของพืชสมุนไพรจะเป็นตัวยับยั้งการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์
- สภาพสด ใหม่ สมบูรณ์ โตเต็มที่ อวบน้ำ ไม่มีโรคและแมลง ไม่มีสารเคมีปนเปื้อน
- เก็บตอนเที่ยงหรือบ่าย เก็บมาแล้วไม่ต้องล้างน้ำให้บดละเอียดทันที
- ใช้มากชนิดดีกว่าน้อยชนิด

3. ผลสุก + เมล็ด (5 กก.) : ผลไม้รสหวานสนิท ได้แก่ ทุเรียน. มะละกอ. กล้วย. องุ่น. ลิ้นจี่. เงาะ. ลำไย. ขนุน. ฝรั่ง. น้อยหน่า. ตำลึง ฯลฯ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งต้องการ คือ ความหลาก หลาย

** ผลไม้รสเปรี้ยว ได้แก่ มะเขือเทศสุก. ส้ม. สับปะรด. มะปรางเปรี้ยว. มะขามเปรี้ยว ฯลฯ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ ละเท่าๆ กัน สิ่งที่ต้องการ คือ ความหลากหลาย

หมายเหตุ :
- ไม่ควรใช้ผลไม้ที่ใช้ทำสารสมุนไพรป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช เพราะสารออกฤทธิ์ในผลสมุนไพรจะเป็นตัวยับยั้งการเจริญพัฒนาของจุลินทรีย์

- ใช้ผลไม้แก่จัดเริ่มสุกงอม มีกลิ่นหอมฉุน ใช้ทั้งเปลือก เนื้อ และเมล็ด
- สภาพสมบูรณ์ โตเต็มที่ ไม่มีโรคและแมลง ไม่มีสารเคมีปนเปื้อน
- ผลไม้ป่าหรือพันธุ์พื้นเมือง เกิดและให้ผลผลิตเองตามธรรมชาติดีกว่าผลไม้จากต้นที่ปลูก
- ได้มาแล้วบดละเอียดทันที ไม่ต้องล้าง ใช้หลายอย่างดีกว่าน้อยอย่าง
- ชาวสวนองุ่นในยุโรปนิยมเก็บผลองุ่นช่วงเดือนหงายหรือขึ้น 15 ค่ำ เพราะทำให้ได้น้ำองุ่นสำหรับทำเหล้าองุ่นที่มีคุณภาพดีกว่าองุ่นที่เก็บในช่วงอื่น

4. ซากสัตว์ (5 กก.) : สัตว์ทั่วไป ได้แก่ ปลา. เครื่องใน. เลือด. เมือก. รก. น้ำเชื้อ. ไข่ ฯลฯ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ๆละเท่าๆ กัน สิ่งต้องการ คือ ความหลากหลาย

** สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ได้แก่ เปลือกกุ้ง. กระดองปู. ปูนิ่ม. กิ้งกือ. ไส้ เดือน. ไรแดง. หอย พร้อมเปลือก. หนอน. แมลง. ปลิงทะเล/น้ำจืด. แมงกะพรุน. เปลือกกั้ง. เคย. อาทิเมีย. ลิ้นทะเล ฯลฯ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ ละเท่าๆกัน สิ่งที่ต้องการ คือ ความหลากหลาย

หมายเหตุ :
- สภาพสด ใหม่ สมบูรณ์ โตเต็มที่ ไม่มีโรค
- สัตว์ในแหล่งธรรมชาติดีกว่าสัตว์ในฟาร์ม
- ใช้หลายอย่างดีกว่าน้อยอย่าง
- ใช้สัตว์มีชีวิตดีกว่าสัตว์ที่ตายแล้ว
- ไม่ต้องล้าง บดละเอียดแล้วนำมาหมักทันที

5. วัสดุส่วนผสมเสริมจากอาหารคน : ได้แก่ นมกล่อง. ผงชูรส. นมสัตว์. น้ำมันพืช. น้ำมันตับปลา. น้ำผึ้ง. น้ำสลัด. กระทิงแดง/ลิโพ. วิตามิน. กลูโคส, อาหารเสริม. อาหารในครัว, ฯลฯ

** จากแหล่งอื่นๆ ได้แก่ น้ำมะพร้าวอ่อน. น้ำตาลสดจากมะพร้าว/ตาล/อ้อย. เมล็ดพืชเริ่มงอก. อาหารสัตว์. ถั่วเน่า. สาหร่ายทะเล/น้ำจืด. สาหร่ายน้ำเงินแกมเขียว. ขี้เพี้ยในไส้อ่อน ฯลฯ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ๆละเท่าๆ กัน โดยพิจารณาธาตุอาหารพืชหรือจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในวัสดุส่วนผสมแต่ละชนิดเป็นหลัก และสิ่งที่ต้องการ คือ ความหลากหลายของธาตุอาหารพืช

6. จุลินทรีย์จากอาหารคน : ได้แก่ ยาคูลท์. โยเกิร์ต. นมเปรี้ยว. แป้งข้าวหมาก. ยีสต์ทำขนมปัง ฯลฯ

** จากพืช ได้แก่ เปลือกติดตาสับปะรด. เหง้าปรง. วัสดุเพาะเห็ดถุง. ฟางเห็ดฟาง. จุลินทรีย์หน่อกล้วย. จุลินทรีย์จาวปลวก, จุลินทรีย์ อีแอบ.

** จุลินทรีย์ประจำถิ่น ฯลฯ จากห้องปฏิบัติการ ได้แก่ พด.1-7 จุลินทรีย์ทั่วไป (ทำเอง/ท้องตลาด-แห้ง/น้ำ) เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ๆละเท่าๆ กัน สิ่งที่ต้องการ คือ ความหลากหลายของจุลินทรีย์

หมายเหตุ :
- สภาพสด ใหม่ ไม่มีเชื้อโรค
- จุลินทรีย์จากห้องปฏิบัติการดีกว่าจุลินทรีย์ธรรมชาติ หรือควรใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน
- อย่างไหนมาก่อนใส่หมักลงไปก่อน อย่างไหนได้มาทีหลังใส่หมักตามทีหลัง
- แม้จะเป็นจุลินทรีย์ต่างชนิดกัน แต่เป็นจุลินทรีย์เพื่อการเกษตรเหมือนกันสามารถใช้ร่วมกันได้
- เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งแต่ถ้าใช้หลายอย่างได้จะดีกว่าใช้น้อยอย่าง

วิธีทำ :
1. บด “วัสดุส่วนผสมหลัก” ตามข้อ 1-4 ที่เป็นของแข็งทั้งหมด ทีละอย่างหรือพร้อมกันทุกอย่างก็ได้ บดหลายๆ รอบให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ น้ำที่ออกมาอย่าทิ้ง ใช้ทั้งน้ำและกาก ได้มาแล้วบรรจุลงถังที่ไม่ใช่โลหะ

2. นำ “วัสดุส่วนผสมเสริม” ที่เป็นของแข็งบดละเอียด อัตรา 1-5% ของปริมาณวัสดุส่วนผสมหลัก ใส่ตามลงไป

3. ใส่ “กากน้ำตาล” พอท่วม .... เพื่อประกันความผิดพลาดที่อาจจะใส่กากน้ำตาลมากเกินไปหรือน้อยเกินไป แนะนำให้ตวง “วัสดุส่วนผสม” กับ “กากน้ำตาล” ให้ได้ปริมาณอัตราส่วน 10 : 1 เสียก่อนจึงใส่ลงถัง

4. ใส่ “วัสดุส่วนผสมเสริม” ที่เป็นน้ำไม่จำกัดปริมาณเพื่อให้ได้ส่วนผสมเหลวมากๆ
5. ใส่ “จุลินทรีย์” มากหรือน้อยไม่จำกัด
6. คนเคล้าให้เข้ากันดี ติด “ปั๊มออกซิเจน” เพื่อเติมอากาศให้แก่จุลินทรีย์ตลอดเวลา
7. ปิดฝาภาชนะหมักพอหลวม เก็บในร่ม อุณหภูมิห้อง
8. ระวังอย่าให้แมลงตอมเพราะจะทำให้เกิดหนอนและอย่าให้มีวัสดุแปลกปลอมลงไป
9. มีของหนักกดวัสดุส่วนผสมให้จมตลอดเวลา
10. หมั่นคนบ่อยๆ เพื่อป้องกันวัสดุส่วนผสมนอนก้น

หมายเหตุ :
- ควบคุมอัตราส่วนของวัสดุส่วนผสมทุกอย่างให้ได้เท่าๆ กัน เพื่อให้ได้ธาตุอาหารเท่าๆ กัน
- วัสดุส่วนผสมที่ได้มาไม่พร้อมกัน โดยได้อย่างไหนมาก่อนให้หมักลงไปก่อนและอย่างไหนได้มาทีหลังให้หมักลงตามหลังนั้น ระยะห่างไม่ควรนานเกิน 1-2 เดือน เพื่อให้กระบวนการย่อยสลายดำเนินไปพร้อมๆ กันซึ่งจะส่งผลให้ได้ธาตุอาหารเท่ากัน

- อัตราส่วนกากน้ำตาลที่ใช้ ถ้าใส่กากน้ำตาลมากเกินอัตรา จะทำให้วัสดุส่วนผสมจับตัวแข็งเป็นก้อน กระบวนการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์จะชะงัก หรือไม่ย่อยสลายเลย ส่วนผสมต่างๆจะไม่เปื่อยยุ่ย หรือเรียกว่า “แช่อิ่ม” นิ่งอยู่อย่างนั้นตราบนานเท่านาน .... แต่ถ้าใส่กากน้ำตาลน้อยจะทำให้วัสดุส่วนผสมบูดเน่า และไม่
เปื่อยยุ่ย

- อัตราส่วนกากน้ำตาลที่น้อยเกินไปนอกจากจะทำให้จุลินทรีย์มีประโยชน์ไม่เจริญพัฒนาแล้วยังทำให้จุลินทรีย์มีโทษเกิดขึ้นอีกด้วย และอัตราส่วนของกากน้ำตาลที่มากเกินก็ทำให้จุลินทรีย์มีประโยชน์ไม่เจริญพัฒนาและจุลินทรีย์มีโทษเกิดขึ้นได้เช่นกัน

- ในกากน้ำตาลใหม่มีสารเป็นพิษต่อพืช 16 ชนิด เมื่อให้ทางใบต่อเนื่องติดต่อกันเป็นระยะเวลา นานๆ จะทำให้ใบลาย ใบมีขนาดเล็กลง และต้นโทรมได้ นอกจากนี้ กากน้ำตาลใหม่ยังเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อรา (เข้าทำลายใบ ดอก ผล ต้น) หลายชนิดอีกด้วย วิธีการดับพิษในกากน้ำตาลทำได้โดยหมักปุ๋ยน้ำชีวภาพนานข้ามปี เพื่อให้จุลินทรีย์ย่อยสลายสารพิษนั้นหรือต้มกากน้ำตาลให้เดือดก่อนใช้ในการหมัก .... หากใช้ทั้ง 2 วิธีนี้แล้วยังเกิดปัญหาแก่ต้นพืชอีกก็ต้องยกเลิกการให้ทางใบแล้วให้ทางรากอย่างเดียว

- ถ้าไม่มีกากน้ำตาลสามารถใช้น้ำตาลอื่นๆ เช่น น้ำตาลทรายแดง. น้ำตาลทรายขาว. น้ำตาลปี๊บ. น้ำอ้อย อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างๆ ละเท่ากันแทนได้ แต่ต้องใช้ในอัตรามากกว่ากาก น้ำตาล 7 เท่าจึงจะได้ความหวานเข้มข้นเท่ากากน้ำตาล .... การนำน้ำตาลอื่นๆ มาเคี่ยวจนเป็นน้ำ เชื่อมเพื่อเพิ่มความหวานจนหวานจัดแล้วใช้แทนกากน้ำตาลได้เช่นกัน

- ในการหมักปุ๋ยน้ำชีวภาพไม่ควรใช้กลูโคส (ผงหรือน้ำ) เนื่องจากมีความหวานน้อยกว่ากากน้ำตาล จะทำให้เกิดการบูดเน่าแล้วแก้ไขไม่ได้

- ใส่วัสดุส่วนผสม ½ หรือ ¾ ของความจุภาชนะหมัก เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับอากาศหมุนเวียนดี และสะดวกต่อการคน

- หมักในภาชนะขนาดเล็ก ปากกว้าง จะช่วยให้กระบวนการหมักดีกว่าหมักในภาชนะขนาดใหญ่ปากแคบ
- วัสดุส่วนผสมที่ผ่านการบดละเอียดเหลวหรือเหลวมากๆ กระบวนการหมักจะดี มีประสิทธิ ภาพและใช้การได้เร็วกว่าวัสดุส่วนผสมชิ้นหยาบๆ และส่วนผสมที่ข้นมากๆ

- ปุ๋ยน้ำชีวภาพกล้อมแกล้มไม่มีการใส่ “น้ำเปล่า” เด็ดขาด เพราะในน้ำเปล่าไม่มีธาตุอาหารพืช หากต้อง การให้วัสดุส่วนผสมเหลวมากๆ ให้ใส่วัสดุส่วนผสมเสริมที่เป็นน้ำ เช่น น้ำมะพร้าว นมสด หรือจากพืชอวบน้ำ เช่น แตงโม แตงกวา ไชเท้า ฟัก ให้มากขึ้นหรือจนกว่าจะเหลวตามต้องการ

- ไม่ใส่ปุ๋ยเคมีหรือฮอร์โมนวิทยาศาสตร์ใดๆ ในระหว่างการหมักทั้งสิ้น เพราะจะทำให้ได้ธาตุอาหารพืชจากปุ๋ยเคมีนั้นเพียงสูตรเดียว หรือได้ฮอร์โมนพืชเพียงชนิดเดียว แต่ให้ใส่ก่อนใช้งานจริง ซึ่งจะทำให้สามารถเลือกสูตรปุ๋ยเคมีและฮอร์โมนพืชได้ตรงตามความต้องการของพืช

- วัสดุส่วนผสมที่อายุการหมักสั้น (น้อยกว่า 6 เดือน) มีความเป็นกรดจัดมาก (2.0-3.0) หมักนาน 6 เดือน -1 ปี มีความเป็นกรด (4.0-5.0) และหมักนานข้ามปีมีความเป็นกรดอ่อนๆ (5.0-6.0) โดยประมาณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุส่วนผสม โดยส่วนผสมที่เป็นซากสัตว์จะเป็นกรดมากกว่าวัสดุส่วนผสมที่เป็นพืช

- ธาตุอาหารพืชจากปุ๋ยน้ำชีวภาพ....
อายุหมักนาน 3 เดือน ............. ได้ธาตุอาหารหลัก
อายุการหมักนาน 6 เดือน ....... ได้ธาตุอาหารรอง
อายุการหมักนาน 9 เดือน ....... ได้ธาตุอาหารเสริม
อายุหมักนาน 12 เดือน ........... ได้ฮอร์โมน และอื่นๆ

วัสดุส่วนผสมที่หมักกับกากน้ำตาลหรือน้ำตาลอื่นๆ ด้วยระยะเวลาการหมักเพียง 1 สัปดาห์-1 เดือน นั้นจุลินทรีย์ยังไม่สามารถแปรสภาพ (ย่อยสลาย/ENZIME) วัสดุส่วนผสมให้ธาตุอาหารพืชออกมาได้ เมื่อนำไปใช้จึงได้เพียงประโยชน์จากกากน้ำตาลหรือตัวเสริมเปล่าๆ เท่านั้นเอง

วิธีเก็บรักษา ปรับปรุง และแก้ไข :
1. เก็บในร่ม อุณหภูมิห้อง ติดปั๊มออกซิเจนเติมอากาศให้จุลินทรีย์ตลอดเวลา ปิดฝาพอหลวม คนบ่อยๆ เพื่อป้องกันการนอนก้นและป้องกันการจับก้อน ระวังอย่าให้ส่วนผสมลอย

2. อายุหมัก 7 วันแรก ให้ตรวจสอบด้วยการดมกลิ่น ถ้ามีกลิ่นบูดเปรี้ยว แสดงว่าอ่อนกากน้ำตาลและจุลินทรีย์ แก้ไขด้วยการเติมกากน้ำตาล อัตรา ¼ ของที่ใส่ครั้งแรกพร้อมกับเพิ่มจุลินทรีย์และน้ำมะพร้าวลงไปอีก คนเคล้าให้เข้ากันดีแล้วดำเนินการหมักต่อไปตามปกติ หลังจากนั้น 7 วัน ให้ตรวจสอบอีกครั้ง ถ้ายังมีกลิ่น
บูดเปรี้ยวอยู่อีกก็ให้แก้ไขด้วยกากน้ำตาล ¼ ของที่ใส่เติมเพิ่มครั้งก่อนกับใส่จุลินทรีย์และน้ำมะพร้าวอ่อนลงไปอีก ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไปพร้อมกับตรวจสอบทุก 7 วัน ถ้ายังมีกลิ่นบูดเปรี้ยวอยู่ก็ให้แก้ไขด้วยวิธีการเดียวกันจนกว่าจะหายกลิ่นบูดเปรี้ยว และเมื่อหายจากบูดเปรี้ยวแล้วก็จะไม่บูดเปรี้ยวอีก

3. ใช้ถังหมักแบบ “บด-ปั่น” ที่มีมอเตอร์ทดรอบ (เกียร์มอเตอร์) ซึ่งจะทำหน้าที่ทั้งบดและปั่นในเวลาเดียวกันตลอด 24 ชม. หรือตลอดอายุการหมัก อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่บดจะย่อยวัสดุส่วนผสมให้ละเอียดเล็กลงไปอีก ส่วนอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ปั่น จะช่วยเติมอากาศแก่จุลินทรีย์ตลอดเวลา เช่นกัน ส่งผลให้กระบวนการหมักดี
และเร็วขึ้น

4. ใช้ถังหมักแบบควบคุมอุณหภูมิภายในที่ใจกลางถังและขอบนอกของถังให้คงที่ ณ 40 องศา ซี. สม่ำเสมอตลอดเวลา ในระหว่างการหมักจะช่วยให้จุลินทรีย์เจริญพัฒนาและขยายพันธุ์ได้ดีมาก

5. ระหว่างการหมักถ้ามีฟองอากาศเกิดขึ้นแสดงว่าดีมีจุลินทรีย์มากและแข็งแรง และถ้ามีฝ้าสีขาวอมเทาเกิดขึ้นที่ผิวหน้าก็แสดงว่าดีเช่นกัน ฝ้าที่เกิดขึ้นคือจุลินทรีย์ที่ตายแล้วให้คนฝ้านั้นลงไปก็จะกลายเป็นอาหารอย่างดีแก่จุลินทรีย์ที่ยังไม่ตายต่อไป

6. ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่หมักไว้นานแล้วเกิดอาการ “นิ่ง-ไม่มีฟอง” แต่กลิ่น “หอม-หวาน-ฉุน” ดี ให้ใส่น้ำมะพร้าวอ่อน นมสด หรือวัสดุส่วนผสมเสริม คนเคล้าให้เข้ากันดี ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่เคยนิ่งจะเดือดมีฟองเกิดขึ้นมาทันที ช่วยทำให้ได้ประสิทธิภาพในกระบวนการหมักสูงขึ้นไปอีก

7. ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ทำไว้นานแล้วด้วยวัสดุส่วนผสมน้อยอย่าง หรือไม่หลากหลายนั้น แก้ไขได้โดยการใส่วัสดุส่วนผสมที่ยังขาดหรือไม่ได้ใส่ตามภายหลัง แล้วหมักต่อไปด้วยวิธีการหมักปกติได้

8. ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ทำไว้นานแล้ว วัสดุส่วนผสมจับตัวเป็นก้อนแข็ง หรือบูดเน่า หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ แก้ไขได้ด้วยการใส่ กากน้ำตาล จุลินทรีย์ น้ำมะพร้าวอ่อน ตัวเสริม อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างตามความเหมาะสม จากนั้นหมักต่อไปตามปกติแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น

9. หนอนในปุ๋ยน้ำชีวภาพเกิดจากไข่ของแมลงที่ลอบเข้ามาวางไว้ ไม่มีผลเสียต่อปุ๋ยน้ำชีวภาพ หนอนเหล่านี้จะไม่ลอกคราบและไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นแมลงได้ ให้บดละเอียดหนอนลงหมักร่วมไปเลย จะได้ฮอร์โมนไซโตคินนิน และอะมิโนโปรตีน

10. ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ดีจะมีกลิ่น “หอม-หวาน-ฉุน” ชัดเจนอยู่ได้นานนับปีหรือหลายๆ ปี หรือยิ่งหมักนานยิ่งดี

11. ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่หมักจนใช้การได้ดีแล้ว กรองกากออกเหลือแต่น้ำเพื่อนำไปใช้งาน ในน้ำที่กรองออกมานั้นยังมีจุลินทรีย์ เมื่อปิดฝาขวดเก็บไว้นานๆ ขวดจะบวมจนระเบิดได้ ให้ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในขวดด้วยการใส่ “โซเดียม เมตตะไบร์ ซัลไฟด์ หรือ โปแตสเซียม เมตตะไบร์ ซัลไฟด์” (อย่างใดอย
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©