kimzagass หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009 ตอบ: 11836
|
ตอบ: 17/12/2025 8:30 pm ชื่อกระทู้: * หัวใจเกษตรไท ห้อง 2 ยา |
|
|
หัวใจเกษตรไท ห้อง 2 ยา
[size=18]
** ต้นทุนค่าสาร ป้องกัน/กำจัด ศัตรูพืช 30%
** ทั่วโลกมีพืช 2,400 ชนิด เป็นสารสมุนไพรกำจัดโรคพืชได้
** สารออกฤทธิ์ในสมุนไพร คือ กลิ่น - รส - ฤทธิ์
** อเมริกา ซื้อลิขสิทธิ์ราติโนน ในหนอนตายหยาก
** เยอรมัน ซื้อลิขสิทธิ์อะแซดิแร็คติน ในสะเดา
** ฝรั่งเศส ซื้อลิขสิทธิ์แค็ปไซซิน ในพริก
** ศัตรูพืช ในพืชอ่อนแอ แพร่ระบาดรุนแรงกว่าในพืชสมบูรณ์แข็งแรง
** ไม่มีพืชใดในโลก ที่ไม่มีศัตรูพืชประจำเผ่าพันธุ์
** ไม่มีสารเคมีในโลก ไม่มีสารสมุนไพรใดในโลก ทำให้ส่วนของพืชที่ถูกทำลายไปแล้ว ฟื้นคืนดีอย่างเดิมได้ เสียแล้วเสียเลย มาตรการที่ดีที่สุด คือ กันก่อนแก้
** สารเคมี .... คนใช้รับ 10 เท่า - คนกินรับ 1 เท่า
ปุจฉา วิสัชนา :
สัจจะธรรม ธรรมชาติ : ศัตรูพืช (แมลง-หนอน-โรค) คือ สิ่งมีชีวิต มีวัฏจักรชีวิต เกิด-กิน-แก่-เจ็บ-ตาย-ขยายพันธุ์ ย่อมต้องการสภาพแวดล้อมเพื่อการดำรงชีวิตเผ่าพันธุ์ หากวัฎจักรช่วงใดช่วงหนึ่งถูกตัด วงจรชีวิตย่อมสิ้นไปด้วย
งานวิจัยไทย : ครูแพทย์แผนโบราณสอนศิษย์ ทดสอบให้เดินไป 20 วา แล้วหาอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ ยา มาให้ ศิษย์ที่หามาได้ครูให้สอบตก ศิษย์ที่หาไม่ได้แล้วให้เหตุผลว่าทุกอย่างเป็น ยา ได้ทั้งนั้น ศิษย์คนนั้น สอบได้
งานวิจัยฝรั่ง : ในโลกนี้มีพืช 2,400 ชนิด มีสารออกฤทธิ์ใช้ ป้องกัน/กำจัด ศัตรูพืชได้ .... คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ แล้ว สรุปได้เป็น 3 คือ กลิ่น-รส-ฤทธิ์ ในพืชที่เรียกว่า สารสมุนไพร หรือสารออกฤทธิ์ หรือตัวยา มีผลต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ศัตรูพืชนั่นเอง
สารพัดสูตร :
สูตรเฉพาะ : หมายถึง สมุนไพรตัวหนึ่ง ที่มีสารออกฤทธิ์ตรงกับศัตรูพืชชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ ตอนเอามาก็แยกกันมา ตอนทำก็ทำแยกถังหรือภาชนะ ตอนใช้ก็ใช้ทีละอย่างตามต้องการ เช่น สะเดา หนอนตายหยาก หางไหล กลอย น้อยหน่า ซาก มันแกว มะลินรก ขอบชะนาง ฯลฯ ต่างก็มีสารออกฤทธิ์ต่อ หนอน โดยเฉพาะ เลือกใช้สมุนไพรเหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวในการ ป้องกัน/กำจัด หนอน
สูตรรวมมิตร : หมายถึง สมุนไพรหลายตัว แต่มีสารออกฤทธิ์ตรงกับศัตรูพืชชนิดเดียวกัน ตอนเอามาแยกกัน ตอนทำก็ทำแยกถังหรือภาชนะ แต่ตอนใช้ เอาหลายๆอย่าง อย่างละตามต้องการมารวมกันแล้วใช้ เช่น
- สะเดา หนอนตายหยาก หางไหล กลอย น้อยหน่า ซาก ขอบชะนาง มะลินรก ฯลฯ ต่างก็มีสารออกฤทธิ์ ป้องกัน/กำจัด หนอน โดยเฉพาะ
- สาบเสือ ดาวเรือง บอระเพ็ด พริก ยาสูบ ฟ้าทะลายโจร ฯลฯ ต่างก็มีสารออกฤทธิ์ ป้องกัน/กำจัด แมลง โดยเฉพาะ
- ว่านน้ำ. กานพลู. ตะไคร้. กระเทียม. ข่า. ขิง. ขมิ้น. กระชาย ต่างก็มีสารออกฤทธิ์ ป้องกัน/กำจัด โรค โดยเฉพาะ
สูตรสหประชาชาติ : หมายถึง สมุนไพรหลายตัว แต่ละตัวต่างก็มีสารออกฤทธิ์ตรงกับศัตรูพืชชนิดนั้น แล้วเอามารวมกัน ทำพร้อมกันในถังหรือภาชนะเดียวกัน เช่น สมุนไพร ป้องกัน/กำจัด หนอน+สมุน
ไพร ป้องกัน/กำจัด แมลง+สมุนไพร ป้องกัน/กำจัด โรค แล้วใช้รวมกันหรือพร้อมกัน
สูตรหนามยอกหนามบ่ง : หมายถึง สมุนไพร ป้องกัน/กำจัด ในพืชสมุนไพร เช่น
- สะเดา โดนหนอนทำลาย ใช้น้อยหน่า ป้องกัน/กำจัด
- น้อยหน้าโดนหนอนทำลาย ใช้สะเดา ป้องกัน/กำจัด
- สาบเสือโดนเชื้อรา ใช้พริก
สูตรผีบอก : มิได้หมายถึงสมุนไพรโดยตรง แต่หมายถึงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อการดำรงชีวิตหรือวงจรชีวิตของศัตรูพืช กระทั่งทำให้ศัตรูพืชนั้นตายได้
นวตกรรมการเกษตร :
สปริงเกอร์ :
สปริงเกอร์ หม้อปุ๋ยหน้าโซน/ถังปุ๋ยที่ปั๊ม/หม้อปุ๋ยที่ปั๊ม : คือ ตัวช่วยที่ดีที่สุด สปริงเกอร์ก็คือเครื่องมือฉีดพ่นธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง แต่ที่ไม่ธรรมดาเพราะทำงานได้ทุกเวลา เช่น
* เช้ามืด ..... ฉีด น้ำเปล่าหรือสารสมุนไพร ล้างน้ำค้าง กำจัดราน้ำค้าง ราแป้ง ราสนิม
* สาย ......... 10 โมงเช้า ให้ปุ๋ย/ฮอร์โมน +ยาสมุนไพร
* เที่ยง ....... ฉีด น้ำเปล่าหรือสารสมุนไพร กำจัดเพลี้ยไฟ (แดดจัด), ไรแดง (ครึ้มฝน)
* บ่าย ........ ฉีด น้ำเปล่าหรือสารสมุนไพร วันที่ฝนตกต่อแดด ให้ปุ๋ยกดใบอ่อนสู้ฝน/กำจัดแอนแทร็คโนส
* ค่ำ .......... ฉีด น้ำเปล่าหรือสารสมุนไพร ล้างช่อกำจัดราดำ
* มืด .......... ฉีด สารสมุนไพร กำจัด/ไล่ แม่ผีเสื้อเข้ามาวางไข่ กำจัดเพลี้ยจักจั่น กำจัดหนอน
กับดักแมลง :
* แผ่นกับดักสีเหลือง ทาทับด้วยกาวเหนียว ล่อแมลงกลางวัน
* แผ่นกับดักสีเหลือง (ไม่สีก็ได้) ทาทับด้วยกาวเหนียว ติดหลอดไฟ ล่อแมลงกลางคืน
* หลอดไฟเหนือน้ำ (สระ กะละมัง) ล่อแมลงกลางคืนมาเล่นแสงไฟแล้วตกลงน้ำ
* ขวดน้ำเปล่า ใส่ด้วยก้านสำลีชุบกลิ่นล่อแมลงวันทอง ดักจับแมลงวันทอง
* กาวเหนียว ทาโคนต้น ป้องกันมดแดงขึ้นต้นไม้ แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น
* ปล่อยนกแสก ให้อยู่ในแปลง ช่วยจับหนู
สมการสารสมุนไพร (ย่อ) :
ยาถูก + ใช้ผิด = ไม่ได้ผล
ยาผิด + ใช้ถูก = ไม่ได้ผล
ยาผิด + ใช้ผิด = ไม่ได้ผล ยกกำลังสอง
ยาถูก + ใช้ถูก = ได้ผล ยกกำลังสอง
สมการสารสมุนไพร (พิสดาร) :
ตัวสมุนไพรถูก + ตัวศัตรูพืชถูก + วิธีทำถูก + ชนิดพืชถูก + ระยะใช้ถูก + วิธีใช้ผิด = ไม่ได้ผล
ตัวสมุนไพรถูก + ตัวศัตรูพืชถูก + วิธีทำถูก + ชนิดพืชผิด +ระยะใช้ผิด + วิธีใช้ผิด = ไม่ได้ผล
ตัวสมุนไพรถูก + ตัวศัตรูพืชถูก + วิธีทำผิด + ชนิดพืชผิด + ระยะใช้ผิด + วิธีใช้ผิด = ไม่ได้ผล
ตัวสมุนไพรถูก + ตัวศัตรูพืชผิด + วิธีทำผิด + ชนิดพืชผิด + ระยะใช้ผิด + วิธีใช้ผิด = ไม่ได้ผล
ตัวสมุนไพรผิด + ตัวศัตรูพืชผิด + วิธีทำผิด + ชนิดพืชผิด + ระยะใช้ผิด + วิธีใช้ผิด = ไม่ได้ผล ยกกำลัง 6
ตัวสมุนไพรถูก + ตัวศัตรูพืชถูก + วิธีทำถูก + ชนิดพืชถูก + ระยะใช้ถูก + วิธีใช้ถูก=ได้ผล ยกกำลัง 6
เปรียบยาคน :
ตัวสมุนไพรผิด + ตัวโรคผิด + วิธีทำผิด + ระยะใช้ผิด + วิธีใช้ผิด =ไม่ได้ผล
ตัวสมุนไพรถูก + ตัวโรคถูก + วิธีทำถูก + ระยะใช้ถูก + วิธีทำถูก = ได้ผล
ถอดสมการ :
ตัวสมุนไพร ................. ชื่อ (ภาษาพื้นบ้าน ภาษาวิชาการ), ราก หัว ต้น เปลือก ใบ ดอก
วิธีทำ ........................ ต้ม = เผ็ดร้อนเย็น, หมัก = เบื่อเมา, กลั่น = กลิ่น
ตัวศัตรูพืช :
หนอน ........................ ออกหากินกลางวัน/กลางคืน, อยู่ภายใน/ภายนอกพืช
แมลง ......................... ปากกัด/ปากดูด/วางไข่/พาหะ
โรคมีเชื้อ ........ ........... รา/แบคทีเรีย/ไวรัส
โรคไม่มีเชื้อ ...... .......... ขาดสารอาหาร, ปัจจัยพื้นฐานเพื่อการเพาะปลูก ไม่เหมาะสม
วงจรชีวิต ...... ............ เกิด กิน แก่ เจ็บ ตาย ขยายพันธุ์, เกิดในดินโตในดิน/โตบนต้นพืช
พาหะ ......................... เคลื่อนที่เอง ผู้อื่นนำพา
ฤดูกาล ...................... ร้อน หนาว ฝน ชื้น แห้ง สภาพแวดล้อม
ช่วงเวลาระบาด ............. ช่วงเจริญเติบโตของพืช
ชนิดพืชเป้าหมาย ........... (แหล่งอาหารของศัตรูพืช)
วิธีใช้ ........................ ฉีดพ่น เวลา ถี่/ห่าง ป้องกัน/กำจัด
ผล ........................... ตายทันที, ตายช้าๆหยุดกินอาหาร, ขยายพันธุ์ต่อไม่ได้ (ไม่ลอกคราบ ไข่ฝ่อ), ไล่ (ไม่เข้าหาพืช)
หลักการและเหตุผล :
- การใช้สมุนไพร "ป้องกัน/กำจัด" ศัตรูพืชมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ.... (อียิปต์ : ภาพหินแกะสลักในปีรามิด....สารคดีเนชั่นแนล จีโอกร๊าฟฟิกส์))
- แมลงกลางวันมองเห็นพืชเป้าหมายขณะเคลื่อนที่ด้วยการ "มองเห็น" ถ้ามีสารเคลือบใบหรือส่วนต่างของพืชให้เป็นมันวาว จะทำให้ภาพการมองเห็นของนัยน์ตาของแมลงผิดเพี้ยนไป จนทำให้แมลงเข้าใจผิดว่านั้นไม่ใช่พืชเป้าหมายที่ต้องการจึงเลี่ยงไปหาที่อื่นแทน (นัยน์ตาของแมลงมีเลนส์ 200,000 เลนส์ ลูกนัยน์ตาของแมลงจึงกลอกกลิ้งไปมาไม่ได้ หรืออยู่นิ่งตลอดเวลา แต่สามารถมองเห็นได้จากเลนส์ใดเล็นส์หนึ่งนั่นเอง .... (สารคดีดิสคัฟเวอรี่)
- แมลงกลางคืนเคลื่อนที่เข้าหาพืชเป้าหมายด้วยประสาท ดมกลิ่น ถ้ามีกลิ่นอื่นซึ่งไม่ใช่กลิ่นของพืชเป้าหมาย แมลงก็จะไม่เข้าหาพืชเป้าหมายนั้น แต่จะค้นหาพืชเป้าหมายจากแหล่งอื่นต่อ ไป .... (ประสาทการรับรู้กลิ่นของแมลงสูงกว่าคน 600,000 เท่า, ประสาทสัมผัสของสุนัข สูงกว่าคน 200,000 เท่า / สารคดี ดิสคัฟเวอรี่)
- แมลงหายใจทางผิวหนัง ถ้าผิวหนังถูก แป้งหรือฝุ่น เคลือบคลุม จะหายใจไม่ออกแล้วตายได้
- หนอนกออ้อย เกิดและแพร่ระบาดได้ดีเมื่อมีการใช้ปุ๋ยเคมีมากๆ .... (นักวิชาการนิคารากัว)
- พืชที่อวบอ้วน เนื้ออ่อนนุ่ม กว่าปกติเพราะได้รับไนโตรเจนสูง โดยเฉพาะพืชอายสั้น ฤดูกาลเดียว หนอน/แมลง ชอบมาก แต่หากได้รับแม็กเนเซียม สังกะสี เนื้อจะแข็งแน่น หนอน/แมลงจึงไม่ชอบ ....(สมาคมสังกะสี เพื่อการเกษตรโลก)
- ต้นข้าวที่ได้รับไนโตรเจน (ยูเรีย) มากเกิน หนอน/แมลง จะเข้าทำลายมาก ในขณะที่ข้าวได้รับซิลิก้า (ในฟาง/หินภูเขาไฟ) ต้นจะแข็งแกร่ง หนอน/แมลง ไม่เข้าทำลาย (สถาบันวิจัยข้าวโลก/IRRI)
- หนอนและแมลง รู้และชอบที่จะเข้าทำลายพืชที่อ่อนแอมากกว่าพืชที่สมบูรณ์แข็งแรง และเชื้อโรคสามารถแพร่ระบาดในพืชที่ไม่สมบูรณ์หรืออ่อนแอได้ดีและเร็วกว่าในพืชที่สมบูรณ์แข็งแรง... (สารคดีดิสคัพเวอรี่)
- ประเทศไทยนำเข้าสารเคมียาฆ่าแมลง ปีละ 75,000 ล้าน (นักท่องเที่ยวสิงค์โปร์ : ข่าว นสพ. สิงค์โปร์ อ้างข้อมูลจากกระทรวงพานิชไทย) จึงทำให้สงสัยว่า ประเทศไทยทำเกษตรอินทรีย์ได้อย่างไร
- เมื่อ 10 ปีที่ เยอรมันมุ่งค้นคว้าวิจัยเรื่องสารออกฤทธิ์ในสมุนไพรป้องกัน/กำจัดศัตรูพืชอย่างมาก โดยนำ เข้าสะเดาจากอินเดีย ปีละ 50,000 ตัน นำเข้าหางไหลจากอินโดนีเชีย ปีละ 30,000 ตัน นำเข้าหนอนตายหยากจากไทย ปีละ 30,000 ตัน .... ผลงานวิจัยได้ตีพิมพ์เป็นเอกสารตำราภาษต่างๆ ทั่วโลก 17 ภาษา ยกเว้นภาษาไทย
น่าสงสัย สงสัย และสงสัย (ว่ะ+โว้ยยยย) : ?
อเมริกา : ซื้อลิขสิทธิ์ ราติโนน ในหนอนตายหยาก ........... เอาไปทำอะไร ?
เยอรมัน : ซื้อลิขสิทธิ์ อะแซดิแร็คติน ในสะเดา .............. เอาไปทำอะไร ?
ฝรั่งเศส : ซื้อซื้อลิขสิทธิ์ แค็ปไซซิน ในพริก .................. เอาไปทำอะไร ?
ทำไม ไทยไม่ทำ ทำใช้ ทำขาย ส่งออกทั่วโลก
- งานวิจัยระดับโลก (Grainge and Ahmed 1988) : ในโลกมีพืชมากกว่า 2,400 ชนิด ที่มีพิษต่อแมลง ทฤษฎีนี้ คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ แล้วรู้ว่าตัวยาหรือสารออกฤทธิ์ที่แท้จริง คือ ...
กลิ่น : แมลงเข้าหาพืชเพื่อวางไข่ หรือกัดกิน ด้วยการตามกลิ่นของพืชที่ต้องการ ถ้าพืชนั้นถูกเปลี่ยนกลิ่น หรือเอากลิ่นอื่นไปฉีดพ่นเคลือบไว้ แมลงก็จะเข้าใจผิด หลงคิดว่าไม่ใช่พืชที่ต้องการ หรือ เป็นพืชชนิดอื่น .... ** ผลรับคือ ป้องกัน ไม่ให้แมลงเข้าหาพืชนั้นอีก ตราบใดที่ยังมีกลิ่นนั้นอยู่
รส : แมลงหรือทายาท (หนอน) ของแมลง กินพืชเป็นอาหารเพราะต้องการรสชาดของพืชนั้นๆ ถ้าพืชนั้นถูกเปลี่ยนรส เพราะมีพืชอื่นไปฉีดพ่นเคลือบไว้ แมลงก็จะเข้าใจผิด หลงคิดว่าไม่ใช่พืชที่ต้องการกิน หรือเป็นพืชชนิดอื่น .... ** ผลรับคือ ป้องกัน เพราะ หนอน/แมลง ไม่กัดกินพืชนั้นอีก ตราบใดที่ยังมีรสชาดนั่นอยู่
ฤทธิ์ : คือตัวยาเฉพาะในสมุนไพรที่ แมลง/หนอน กินแล้วตาย หรือหยุดการกินแล้วรอเวลาตาย ไม่ช้าก็เร็ว หรือทำให้ ไข่ฝ่อ ฟักเป็นตัวหนอนไม่ได้ .... ** ผลรับคือ กำจัด หรือทำให้ แมลง/หนอน/ไข่ ตาย
- สารออกฤทธิ์ในสมุนไพร ค้นคว้าวิจัยโดยนักวิชาการระดับดอกเตอร์ เช่นเดียว กับสารเคมี จึงไม่มีเหตุใดที่จะบอกว่า "เป็นไปไม่ได้ หรือ ไม่น่าเชื่อถือ"
- ร่างกายมนุษย์มีภูมิต้านทานในร่างกายสูง กินสารเคมียาฆ่าแมลงเข้าไปยังตายได้ ใน ขณะที่ แมลง หนอน ตัวเล็ก เชื้อโรคเป็นสัตว์เซลล์เดียวแท้ๆ จะมีภูมิต้านทานในร่างกายอะไรมากนัก เมื่อสัมผัสกับสารออกฤทธิ์ระดับ พีพีเอ็ม. (1 ส่วนใน 1,000,000 ส่วน, ppm-part per million) ก็ตายแล้ว
- วงรอบชีวิตของแมลง ประกอบด้วย แมลง-ไข่-ดักแด้-หนอน หากช่วงใดช่วง หนึ่งถูกตัดลง วงจรชีวิตของหนอนและแมลงก็จะหมดไปเอง เพราะฉะนั้น ถึงจะทำลายช่วงไหนของมันก็ได้เหมือนกัน ไม่ใช่มุ่งเอาแต่หนอนหรือแมลงเท่านั้น
- ใช้สารสมุนไพรมาก ทำให้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการเจริญพัฒนาของแมลงศัตรูพืช แต่เหมาะ สมต่อแมลงธรรมชาติ ทำให้มีแมลงธรรมชาติช่วยผสมเกสรอีกด้วย นอกจากนี้สารสมุนไพรยังเป็นการส่ง เสริมหรือดึงดูดแมลงธรรมชาติอื่นๆ ให้เข้ามาอยู่ในแปลงเกษตรเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
- ผลเสียจากสารเคมี เงินเสีย, ดินเสีย, น้ำเสีย, อากาศเสีย, เวลาเสีย, แรงงานเสีย, สภาพ แวดล้อมเสีย, สุขภาพคนฉีดเสีย, ตลาดในประเทศต่างประเทศเสีย
- เลือกพืชสมุนไพรอะไรก็ได้ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว เผ็ด/ร้อน/เย็น. ขม. ฝาด. เบื่อเมา. หรือ กลิ่น. รส. ฤทธิ์. แรงจัดๆ
- น้ำพริกเครื่องแกงเผ็ด/แกงป่า ปกติมี พริก. มะกรูด. ตะไคร้. พัฒนาให้เป็นสารสมุนไพรที่มีสารออกฤทธิ์แรงขึ้น โดยเติม ข่า. ขิง. ขมิ้น. ไพล. ฯลฯ .... ปรุงขึ้นมาโดยเฉพาะทั้ง เผ็ดจัด/ร้อนจัด/เย็นจัด เพื่อใช้เป็นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช มิใช่เพื่อให้คนกิน
- พืชปลูกบางชนิดเมื่อสัมผัสกับแอลกอฮอร์แล้วเกิดอาการใบกร้าน ให้เลิกใช้แอลกอฮอร์แต่ให้ใช้เหล้าขาวแทน
- ปุ๋ยทางใบที่มีกากน้ำตาล. หรือกลูโคส. เป็นส่วนผสม เนื่องจากความหวานของสารดังกล่าวอาจเป็นตัวเรียกเชื้อราเข้ามาได้ แก้ไขโดย ฉีดพ่นปุ๋ยทางใบช่วงกลางวัน แล้วฉีดพ่นสารสมุนไพรกำจัดเชื้อราในช่วงเย็นหรือค่ำของวันเดียวกัน หรือเลิกใช้สารรสหวานร่วมกับสารสมุนไพร
- สูตรการทำสารสมุนไพร ป้องกัน/กำจัด ศัตรูพืชจาก องค์การเภสัชกรรม, ร.พ.อภัยภูเบศร์, ซินแสแพทย์แผนโบราณ และที่นี่ สีสันชีวิตไทย ไม่แนะนำให้ใส่ กากน้ำตาล-น้ำตาลทรายแดง-จุลินทรีย์ ใดๆทั้งสิ้น
- ไม่มีพืชใดในโลกนี้ที่ไม่มีศัตรูพืชประจำตัว ดังนั้น มาตรการเพื่อต่อสู้กับศัตรูพืชที่ดีที่สุด คือ "ป้องกันก่อนกำจัด หรือ กันก่อนแก้" เท่านั้น
- สภาพแวดล้อม คือ ความหลากหลาย วิธีต่อสู้กับศัตรูพืชที่ดีที่สุด คือ วิธีป้องกัน/กำจัดแบบผสมผสาน (I.P.M.) เท่านั้น
- การ "สกัด" สารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพรให้ออกมาได้ปริมาณมากที่สุด เข้มข้นที่สุดนั้น
กรรมวิธี หรือ วิธีการ สกัดถือว่ามีความสำคัญไม่ใช่น้อย หากสกัดผิดวิธีนอกจากจะได้สารออกฤทธิ์น้อยหรือไม่ได้เลยแล้ว เมื่อนำไปใช้อาจจะเป็นพิษต่อพืช คน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ก็ได้ และวิธีการสกัดในแต่ละวิธีก็ต้องมีเทคนิคเฉพาะ แหล่งข้อมูลเรื่องเทคนิคเฉพาะสามารถสอบถามได้ที่ องค์การเภสัชกรรม หรือหน่วยงานแพทย์แผนไทยชื่อของพืชสมุนไพรต่างๆที่ได้กล่าวไปแล้ว หรือที่จะกล่าวต่อไป เป็นชื่อที่ใช้ในหลักฐานทางวิชาการ ไม่ใช่ชื่อพื้นเมืองหรือท้องถิ่น การที่จะรู้ว่าพืชสมุนไพรตัวใดมีชื่อทางวิชาการว่าอย่างไรนั้น ให้พิจารณาเปรียบจากรูปถ่ายของจริง หรือสอบถามจากผู้รู้จริงเท่านั้น
(เมื่อครั้ง สนง.เกษตรสุพรรณบุรี จัดสัมมนาเรื่อง สารสกัดสะเดา ได้ทำตัวอย่างให้ชม คือ ถัง 200 ล. + เมล็ดสะเดา 20 กก. + น้ำเปล่า เต็มถัง หมักนาน 24 ชม. ขึ้นไป ได้ หัวเชื้อ เข้มข้นพร้อมใช้งาน ใช้ หัวเชื้อ 20-30 ซีซี./น้ำ 20 ล. .... ประเด็นของเรื่องคือ นี่คือการ แช่ ธรรมดาๆ ใส่น้ำแล้วใช้ไม้พายคนเท่านั้น แบบนี้ชาวบ้านทำได้ แต่การ สกัด ที่แท้จริง ต้องใช้สารหรือตัวทำละลายเอา อะแซดิแร็คติน ชนิด 100% ในเมล็ดเดาโดยเฉพาะ)
สารออกฤทธิ์จากพืชสมุนไพรกำจัดหนอนไม่อาจทำให้หนอนตายอย่างเฉียบพลันได้เหมือนสารเคมีประเภทยาน็อค แต่ทำให้หนอนเกิดอาการทุรนทุรายจนต้องออกมาจากที่หลบซ่อน ไม่ลอกคราบและไม่กินอาหาร (ทำลายพืช)ไม่ช้าไม่นานหนอนตัวนั้นก็จะตายไปเอง .... มาตรการขับไล่แม่ผีเสื้อไม่ให้เข้ามาวางไข่ หรือการทำให้ไข่ของแม่ผีเสื้อฝ่อจนไม่อาจฟักออกมาเป็นตัวหนอนได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นการกำจัดหนอนได้อีกวิธีหนึ่ง
สารสมุนไพรที่ใช้ในอัตราเข้มข้นเกินจะทำให้ใบพืชไหม้หรือกร้านได้ ทั้งนี้สารออกฤทธิ์ที่ได้จากพืชสมุนไพรแต่ละชนิด จากแต่ละแหล่ง แต่ละฤดูกาล แต่ละอายุ แต่ละส่วนที่ใช้ แต่ละวิธีในการสกัด และแต่ละครั้ง จะมีความเข้มข้นและปริมาณไม่เท่ากัน ดังนั้นก่อนใช้งานจริงจำเป็นต้องทดสอบอัตราใช้สูตรของตนเองก่อนว่า ใช้อัตราเท่าใดจึงจะทำให้ใบพืชไหม้หรือหยาบกร้าน จาก นั้นจึงยึดถืออัตราใช้นั้นประจำต่อไป
สารออกฤทธิ์จากพืชสมุนไพรรส ฝาด/เผ็ด/ร้อน/ขม และกลิ่นจัด มีประสิทธิภาพทำให้แมลง ปากกัด/ปากดูด เช่น เพลี้ย ไร ไม่เข้ากัดกินพืช และจากกลิ่นจัดของสมุนไพรนี้ยังทำให้แมลงประเภทผีเสื้อไม่เข้าวางไข่อีกด้วย
สารออกฤทธิ์จากพืชสมุนไพรประเภทรสฝาดจัด ในความฝาดมีสาร เทนนิน ที่สามารถทำให้ รา แบค ทีเรีย ไวรัส ตายได้
- สารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพรไม่ต้านทานต่อแสงแดด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้หรือฉีดพ่นช่วงไม่มีแสง แดด หรืออากาศไม่ร้อนที่ทำให้สารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพรสลายตัวเร็ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฉีดพ่นบ่อยๆกรณีน้ำสารสมุนไพรที่ไหลอาบลำต้นผ่านลงถึงพื้นดินโคนต้นกระจายทั่วบริเวณทรงพุ่มนั้น นอกจากช่วยกำจัดหนอนที่พื้นดินโคนต้นโดยตรงแล้ว ยังทำให้ไข่ของแมลงแม่ผีเสื้อฝ่อ และสภาพแวดล้อมบริเวณโคนต้นเปลี่ยน แปลงไปจากสภาพปกติ จนเป็นเหตุให้แม่ผีเสื้อไม่เข้าวางไข่ได้ ส่วนตัวแมลงแม่ผีเสื้อที่หลบอาศัยอยู่ก็จะหนีไปอีกด้วย
- น้ำสารสมุนไพรที่ได้จากการหมักครั้งแรก เรียกว่า "น้ำแรก หรือ น้ำหนึ่ง" ให้ใช้ในอัตราใช้ปกติ เมื่อใช้น้ำแรกหมดแล้วเหลือกาก สามารถหมักต่อด้วยวิธีการเดิมเป็น "น้ำสอง" ได้ กรณีน้ำสองเมื่อจะใช้ แนะนำให้เพิ่มอัตราการใช้หรือใช้เข้มข้นขึ้น .... อย่างไรก็ตาม น้ำสอง มีสารออกฤทธิ์น้อยกว่า น้ำหนึ่ง ทางเลือกที่ดีก็คือ ใช้น้ำหนึ่งหมดแล้วให้ทิ้งไปหรือนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น ไม่ควรหมักเป็นน้ำสองแล้วใช้อีก เพราะจะไม่ได้ผล
ไม่ควรใช้สารสกัดสมุนไพรตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียวเดี่ยวๆ ประจำๆ ติดต่อกันหลายๆ รอบ เพราะจะทำให้ แมลง/หนอน ปรับตัวเป็นดื้อยาได้ ควรเปลี่ยนหรือสลับใช้สารสกัดสมุนไพรชนิดอื่นๆ บ่อยๆ หรือใช้ "สูตรเฉพาะ" แต่ละตัวสลับกันไปเรื่อยๆ หรือสลับกับสูตรอื่นๆ (สูตรรวมมิตร สูตรข้างทาง สูตรเหมาจ่าย สูตรสหประชาชาติ สูตรผีบอก) ก็ได้
สารสกัดสมุนไพรที่ได้ หรือผ่านกรรมวิธีสกัดมาแล้ว มีกลิ่นและรสจัดรุนแรงมากๆ ย่อมหมายถึงประสิทธิภาพ หรือสรรพคุณของสารสมุนไพรนั้น
- สารสมุนไพรทุกสูตร สามารถใช้ร่วมกับ ปุ๋ย ฮอร์โมน ปุ๋ยน้ำชีวภาพ และสารเคมีทุกชนิด
- ไม่ควรใช้สารสมุนไพรร่วมกับ จุลินทรีย์ทุกชนิด เชื้อโรคของศัตรูพืช เช่น บีที. บีซี. บีเอส. เอ็นพีวี. ฯลฯ เพราะสารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพรจะยับยั้งหรือทำลายจุลินทรีย์เหล่านี้
- พืชสมุนไพรประเภทหัว มีแป้งเป็นองค์ประกอบ เมื่อนำมาหมักมักเกิดอาการบูดเน่า กลิ่นเหม็นรุน แรง วิธีการแก้ไข คือ เพิ่มอัตราส่วนแอลกอฮอร์ให้มากขึ้น 2-3 เท่าจากอัตราปกติ และอาจจะเพิ่มได้อีกในระหว่างการหมักเมื่อเห็นว่าลักษณะไม่ค่อยน่าพึงพอใจ
- สารสมุนไพร "สูตรเฉพาะ" ใช้สลับกันบ่อยๆ ได้ผลสูงกว่า "สูตรรวมมิตร" หรือเพื่อความแน่นอนควรใช้ทั้งสองสูตรสลับกัน
- พืชสมุนไพรที่ให้สารออกฤทธิ์รุนแรงเทียบเท่ายาน็อคสารเคมี คือ หัวกลอย. เมล็ดมันแกว. เมล็ดน้อยหน่า. เปลือกต้นซาก. มะลินรก. ซึ่งให้สารออกฤทธิ์ทั้งในรูปของ "กลิ่นไล่" และสารออกฤทธิ์ประเภท "กินตาย ไม่ลอกคราบ"
- สารออกฤทธิ์ในบอระเพ็ดเป็น "สารดูดซึม" เมื่อฉีดพ่นให้แก่พืชแล้วสารออกฤทธิ์จะซึมเข้าไปอยู่ในเนื้อพืช ทำให้เกิดรสขมอยู่นาน 7-10 วัน จึงไม่ควรให้แก่พืชประเภทกินสด เช่น ผักสวนครัว ผลไม้ใกล้เก็บเกี่ยว .... สารออกฤทธิ์ใน "ลางจืด" สามารถถอนฤทธิ์รสขมในบอระเพ็ดได้
- ใช้สารสมุนไพรอย่างทันเวลา เช่น ฉีดพ่นช่วงเช้ามืดของคืนที่น้ำค้างลงแรงๆ ฉีดพ่นก่อนที่น้ำค้างจะแห้ง หรือฉีดพ่นเพื่อล้างน้ำค้างออกจากต้นจะช่วยป้องกันและกำจัดเชื้อโรค ที่มากับน้ำค้าง เช่น ราน้ำค้าง ราแป้ง ราสนิม ได้ดี หรือฉีดพ่นหลังฝนหยุดช่วงกลางวันเพื่อล้างน้ำฝนออกจากส่วนต่างๆ ของต้นก่อนที่น้ำฝนนั้นจะแห้งคาต้นจะช่วยป้องกันและกำจัดเชื้อโรคที่มากับน้ำฝน เช่น ราโรคขอบใบไหม้ ราโรคปลายใบไหม้ ราโรคใบจุด ราโรคใบติด โรคแอนแทร็คโนส ได้ดี
หมายเหตุ :
- ราน้ำค้าง ราแป้ง ราสนิม เกิดจากพื้นดินแล้วล่องลอยปลิวไปตามอากาศ เมื่อพบหยดน้ำค้างก็จะแฝงตัวเข้าไปอาศัยอยู่ในหยดน้ำค้างนั้น เมื่อน้ำค้างแห้ง ราเหล่านี้ก็จะซึมแทรกเข้าไปสู่ภายในของพืชแล้วแพร่ขยาย พันธุ์ต่อไป ....
- ราโรคขอบใบไหม้ ราโรคปลายใบไหม้ ราโรคใบจุด ราโรคใบติด ก็มีพฤติกรรมเหมือนราน้ำค้าง ราแป้ง ราสนิม แต่เข้าไปแฝงตัวอาศัยในหยดน้ำฝน เมื่อนำฝนแห้งก็จะซึมแทรกเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของพืช
- กรณีราที่มากับน้ำฝน หากฝนตกช่วงกลางคืน ก็ควรฉีดพ่นตอนเช้าตรู่ เป็นการฉีดล้างก่อนที่หยดน้ำฝนจะแห้ง
- หลักนิยมของเกษตรกรในการกำจัดเชื้อโรคราดังกล่าว มักใช้สารเคมีประเภท "ดูดซึม" บางครั้งก็ได้ผล บางครั้งก็สูญเปล่า แม้ว่าจะได้ผลสามารถเข่นฆ่าเชื้อราเหล่านั้นให้ด่าวดิ้นสิ้นใจไปได้ แต่ส่วนของพืชที่ถูกซึมแทรกเข้าไปก็ถูกทำลายไปแล้ว ไม่อาจทำให้ดีคืนเหมือนเดิมได้ นั่นเท่ากับเสียทั้งเงินและเสียทั้งพืช
- ไม่มี "สารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพร" ใดๆ และไม่มี "สารออกฤทธิ์ในสารเคมี ใด อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวเดี่ยว สามารถป้องกันและกำจัดโรค แมลง ศัตรูพืชอย่างได้ผล วิธีการที่ได้ผลที่สุด คือ ไอพีเอ็ม
- เมื่อพบลักษณะหรืออาการผิดปกติในพืช อย่ารีบด่วนตัดสินใจว่านั่นเป็นสาเหตุเกิดจาก "โรค" โดย เฉพาะ ในบางครั้งลักษณะอาการนั้นอาจจะเกิดจากการ "ขาดสารอาหาร หรือ "ปัจจัย พื้นฐานเพื่อการเพาะปลูก" ไม่ถูกต้องก็ได้ .... แนวทางแก้ปัญหา คือ ให้ทั้ง "ยา" และ "อาหาร" ไปพร้อมกันในเวลาเดียวกันเลย
- สารออกฤทธิ์ในสารสมุนไพรสามารถเป็นพิษแก่คนฉีดพ่นได้ ดังนั้น การใช้ทุกครั้งจึงต้องระมัดระวังเหมือนการใช้สารเคมี
- ปัจจุบัน ยังไม่มีงานวิจัยใดยืนยันว่า ในน้ำหมักชีวภาพ และน้ำส้มควันไม้ มีสารใดที่เป็นต่อแมลง จึงใช้ ป้องกัน/กำจัด แมลงได้ จากการ คิด/วิเคราะห์/เปรียบเทียบ แล้ว พอสรุปได้ว่า เพราะ กลิ่น ในน้ำหมักชีวภาพ หรือในน้ำส้มควันไม้ เป็นเหตุให้แมลงไม่เข้าหาพืชเป้าหมายเอง ซึ่งก็ถือว่า ได้ผลระดับหนึ่ง นั่นเอง
ประเภทสมุนไพร:
ประเภท เบื่อเมา : สะเดา น้อยหน่า กลอย มันแกว เปลือกซาก หางไหล หนอนตายหยาก บอระเพ็ด ฟ้าทะลายโจร เขียวไข่กา สบู่ดำ สบู่ต้น ส้มเช้า ขอบชะนาง มะลินรก ฯลฯ หมักรวมกันเป็น สูตรเฉพาะกำจัดหนอน
ประเภท เผ็ด/ร้อน/เย็น : พริก ขิง ข่า ขมิ้น กระชาย หอม กระเทียม พริกไทย ดีปลี ตะไคร้ ยาสูบ ยาฉุน ว่านน้ำ ฯลฯ ต้มรวมกันเป็น สูตรเฉพาะกำจัดเชื้อรา
ประเภท กลิ่นจัด : ตะไคร้ ยูคาลิปตัส ดาวเรือง ผกากรอง สาบเสือ กระเพา แมงลัก มะกรูด ชะพลู กานพลู ฯลฯ กลั่นรวมกันเป็น สูตรเฉพาะไล่แมลง
กับดักแมลงวันทอง อันละ 1 สลึง
แมลงศัตรูพืชประเภทมากลางวันทุกชนิดที่มีมา
IPM (ป้องกัน/กำจัด แบบผสมผสาน) :
กับดักสีเหลือง กาวเหนียว : ........ เพลี้ยไฟ แมลงกลางวัน
กับดักกาวเหนียวแสงไฟ : ........... แมลงกลางคืน
แสงไฟไล่ : ........................... แสงไฟสีส้ม สีเหลือง
กับดักกาวเหนียว กลิ่นล่อ : .......... แมลงวันทอง
สัตว์ศัตรู : ............................ มดแดงกำจัดหนอน, นกฮูกกำจัดหนู, เป็ดกำจัดหอยเชอรี่
พืชศัตรู : .............................. ดาวเรือง ตระไคร้
แสงแดด : ............................. โรค หนอน แมลง อยู่ไม่ได้
เชื้อปฏิปักษ์ : .......................... ไตรโคเดอร์ม่า. บาซิลลัสส, บูวาเลีย, เอ็นพีวี.,
ศาสตร์และศิลป์ สารเคมี V.S. สารสมุนไพร :
1. สารสมุนไพรกับสารเคมีสามารถใช้ ร่วม-รวม-ผสม กันได้
2. ใช้สารสมุนไพรบ่อยๆ วันต่อวัน วันเว้นวัน ช่วงที่แปลงข้างเคียงกำลังระบาด
3. ใช้สารสมุนไพรบ่อยๆ ทุก 3 วันก่อน เพื่อ ป้องกัน/กำจัด จากนั้นจึงค่อยๆ ห่าง
4. ระยะเวลาการใช้สารเคมีทุก 7 วัน เป็นการปฏิบัติตามที่ระบุในฉลาก
5. ศัตรูพืชดื้อต่อสารเคมี แต่จะไม่ดื้อต่อสารสมุนไพร
6. ลดสารเคมีลงครั้งละครึ่งหนึ่งของการให้ครั้งที่แล้ว ได้ผลเพราะศัตรูพืชเริ่มอ่อนแอลง จนกระทั่ง แม้สัมผัสกับสารเคมีเพียงเล็กน้อยก็ตายได้
7. ทำให้ได้สารออกฤทธิ์ หรือตัวยา แรงๆ
8. ใช้ล่วงหน้า กันก่อนแก้
9. ใช้สมุนไพรหลายอย่าง ดีกว่าน้อยอย่าง
10. บำรุงต้นพืชให้สมบูรณ์แข็งแรง เพื่อเป็นภูมิต้านทาน
11. ใช้ระบบ ไอพีเอ็ม ร่วมด้วยเสมอ
12. ใช้สารเคมี คนใช้ได้แค่ 1 คือ สะใจที่หนอนแมลงตายต่อหน้าต่อตา แต่ผลเสียตามมาอีก 10 ทั้งปัจจุบัน และอนาคต
13. ใช้สารสมุนไพร คนใช้ได้ 10 แต่ผลเสียตามมาแค่ 1 ทั้งปัจจุบัน และอนาคต
15 สร้างลูกหลานให้มีหัวการค้า ทำสารสมุนไพรขาย มนุษย์เงินเดือน ทำสารสมุนไพรขาย ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งบุญ
รอบรู้เรื่องแมลง :
- แมลงปากกัด หมายถึง แมลงที่ทำลายส่วนต่างๆของพืชโดยการกัดแล้วกินส่วนนั้นของพืชโดยตรง
- แมลงปากดูด หมายถึง แมลงที่ทำลายส่วนต่างๆของพืชโดยการใช้กาดกัดก่อนแล้วจึงดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืชนั้น
- แมลงกลางวัน หมายถึง แมลงที่ออกหากินช่วงตอนกลางวัน เข้าหาพืชเป้าหมายโดยใช้สายตาในการเดินทาง นอกจากเข้าทำลายพืชโดยตรงแล้ว ยังอาศัยวางไข่อีกด้วย
- แมลงกลางคืน หมายถึง แมลงที่ออกหากินตอนกลางคืน ช่วงหัวค่ำ 19.00-21.00 น. และช่วงก่อนสว่าง 05.00-06.00 น. เดินทางเข้าหาพืชเป้าหมายโดยการใช้ประสาทสัมผัสกลิ่น ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าทำลายพืชโดยตรงแต่จะอาศัยวางไข่เท่านั้น มีเพียงส่วนน้อยที่เข้าทำลายพืชโดยการกัดกินโดยตรง
- แมลงขยายพันธุ์โดยการออกไข่ จากนั้นไข่จะฟักออกเป็นตัวหนอน และหนอนคือตัวทำลายพืชโดย ตรง จากนั้นหนอนจะเจริญเติบโตกลายเป็นแมลงต่อไป
- แมลงไม่ชอบวางไข่บนส่วนของพืชที่ชื้น เปียกแฉะ เพราะรู้ว่าความเปียกชื้นหรือแฉะนั้น นอกจากจะทำให้ไข่ฝ่อฟักไม่ออกแล้วยังเกาะส่วนของพืชไม่ติดอีกด้วย
- แมลงไม่ชอบวางไข่ในบริเวณที่แสงแดดส่องถึงเพราะรู้ว่า ถ้าวางไข่ไว้ในที่โล่งแจ้งแสงแดดส่องถึงจะทำให้ไข่ฝ่อไม่อาจฟักออกเป็นตัวหนอนได้ จึงเลือกวางไข่บริเวณใต้ใบพืช ซอกเปลือก เศษซากพืชคลุมโคนต้น หรือไต้พื้นดินโคนต้น
- แมลงกลางวันเดินทางด้วยการมองเห็น แก้วตาของแมลงมีเลนส์ 200,000 ช่อง ลูกนัยน์ตาของแมลงจึงไม่กลิ้งไปมาได้เหมือนนัยน์ตาคนหรือสัตว์อื่นๆ ถ้าส่วนของพืชเป้าหมายของแมลงกลางวันเปียกน้ำหรือมีสารคล้ายน้ำมันสะท้อนแสงได้เคลือบทับอยู่จะทำให้ภาพการมองเห็นของแมลงผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง แมลงก็จะไม่เข้าหาพืชเป้าหมายนั้น
- แมลงกลางวันชอบเข้าหาวัสดุที่มีสีเหลือง และสีฟ้า ส่วนแมลงกลางคืนชอบเข้าหาแสงสีม่วงและแสงสีขาว แต่ไม่ชอบเข้าหาแสงสีเหลืองหรือแสงสีส้ม
- แมลงบินตลอดเวลา ประสาทความรู้สึกเร็วมาก ทันทีที่รู้ว่าจะมีอันตรายเป็นต้องบินหนีทันที จากลักษณะทางธรรมชาตินี้ทำให้ไม่สามารถกำจัดแมลงด้วยวิธีการ ฉีดพ่น ใดๆได้ทั้งสิ้น ในความเป็นจริงนั้นแมลงใดๆที่ปีกเปียกจะไม่สามารถขึ้นบินได้ นั่นหมายความว่า แม้แต่น้ำเปล่าก็สามารถกำจัดแมลงได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องฉีดพ่นให้ปีกเปียกเท่านั้น
- แมลงมีช่วงหรือฤดูกาลแพร่ระบาด นั่นคือ สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับสภาพอากาศ (อุณหภูมิ/ความชื้น) มีผลอย่างมากต่อวงจรชีวิตแมลง (เกิด - กิน - แก่ - เจ็บ - ตาย - ขยายพันธุ์) การรู้ล่วงหน้าถึงฤดูกาลแพร่ระบาดแล้วใช้มาตรการ ป้องกัน หรือ ขับไล่ จึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อเอาชนะแมลง
- แมลงบางอย่างมีปีกแต่ไม่สามารถใช้บินเป็นระยะทางไกลๆได้ แมลงประเภทนี้จะพึ่งพาสายลมช่วยพัดไป หรือมีสัตว์อย่างอื่นเป็นพาหะเพื่อการเดินทาง
- แมลงหายใจทางรูขุมขน หรือ ต่อมบนผิวหนัง แมลงตัวเล็กๆ หรือเล็กมากๆ เมื่อถูกสารประเภทน้ำมันเคลือบบนลำตัว จะทำให้หายใจไม่ออกแล้วตายได้ ส่วนแมลงขนาดใหญ่ เมื่อสัมผัสกับกลิ่นที่เป็นสารออกฤทธิ์ต่อแมลงก็ทำให้แมลงตายได้เหมือนกัน
- เทคนิคเอาชนะแมลงที่ดีที่สุด คือ ไล่ ด้วยกลยุทธ กันก่อนแก้ เท่านั้น
กับดักแมลงวันทอง
รอบรู้เรื่องหนอน :
- หนอนเกิดจากไข่ของแม่ผีเสื้อกลางคืน (มาหัวค่ำหรือก่อนสว่าง) ถ้าขับไล่แม่ผีเสื้อไม่ให้เข้าวางไข่ได้ หรือทำให้ไข่ของแม่ผีเสื้อฝ่อจนฟักไม่ออก ก็ถือเป็นการกำจัดหนอนได้อีกทางหนึ่ง
- หนอนไม่ชอบแสงแดดหรือแสงสว่าง จึงออกหากินตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันจะหลบซ่อนอยู่ตามซอกหลืบ หรือใต้ใบพืช หรือเข้าไปอยู่ภายในส่วนของพืช โดยการเจาะเข้าไป
- อายุหนอนเริ่มตั้งแต่ออกจากไข่ถึงเข้าดักแด้ 10-15 วัน แบ่งออกเป็น 5 วัย จากวัยหนึ่งไปสู่วัยหนึ่งต้องลอกคราบ 1 ครั้งเสมอ ถ้าไม่ได้ลอกคราบหรือลอกคราบไม่ออก หนอนตัวนั้นจะตายในคราบ
- หนอนที่ขนาดลำตัวโตเท่าก้านไม้ขีด ลำตัวด้านข้างมีลายตามยาวจากหัวถึงหาง และที่ลำตัวด้านบนมีขนขึ้น เป็นหนอนที่มีความทนทานต่อสารเคมีอย่างมาก เรียกว่า ดื้อยา ซึ่งจะไม่มีสารเคมีใดที่ใช้ตามอัตราปกติทำร้ายมันจนตายได้
- หนอนทุกชนิดแม้จะดื้อยา (สารเคมี) แต่ไม่สามารถดื้อต่อเชื้อโรค (ยาเชื้อ) เช่น บีที. บีเอส. เอ็นพีวี. ไส้เดือนฝอย. ได้เลย
สาร ท็อกซิกซ์ ที่เกิดจากจุลินทรีย์กลุ่มบาซิลลัส. ประเภทไม่ต้องการอากาศ ก้นถังหมักน้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง หมักนานข้ามปีถึงหลายๆปี เป็นพิษต่อหนอน สามารถทำให้หนอนหยุดกินอาหาร (ทำลายพืช) และลอกคราบไม่ออก ไม่เข้าดักแด้ ทำให้หนอนตายได้
- สารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพรหลายชนิด มีพิษต่อหนอนโดยทำให้หนอนไม่กินอาหาร ไม่ลอกคราบ ไม่เข้าดักแด้ จึงทำให้หนอนตายได้
- ต้นไม้ผลที่ทรงพุ่มโปร่ง แสงแดดส่องผ่านจากยอดลงถึงพื้นดินโคนต้นได้ แสงแดดร้อนทำให้หนอนอยู่ไม่ได้ แล้วตายไปเอง
- หนอนเลือกกินพืชแต่ละชนิดถือเป็นสัญชาติญาณของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ การเคลือบพืชที่หนอนชอบกินด้วยรสของพืชอื่นที่หนอนไม่กิน จะทำให้หนอนไม่ได้กินอาหาร หนอนก็ตายได้เช่นกัน
- หนอนเป็นสัตว์เหมือนกับกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆในโลกย่อมต้องการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อการดำรงชีวิต มาตรการทำให้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมเปลี่ยนแปลง จนเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หนอนก็อยู่ไม่ได้หรือตายไปในที่สุด
- หนอนที่เจาะส่วนของพืชแล้วเข้าไปแฝงตัวอยู่ในซึ่งเป็นแหล่งอาหาร เช่น หนอนเจาะยอด หนอนเจาะดอก หนอนเจาะผล หนอนเจาะต้น ฯลฯ แม้สรีระของหนอนจะไม่แข็งแรงนัก แต่ก็ยากที่จะทำอันตรายต่อตัวหนอนนั้นได้โดยง่าย เปรียบเสมือนมีแหล่งกำบังอย่างแข็งแรง มาตรการกำจัดจึงไม่อาจนำมาใช้ได้ จำเป็นต้องใช้มาตรการอื่นแทน เช่น ป้องกันแม่ผีเสื้อเข้าวางไข่ กำจัดไข่แม่ผีเสือให้ไม่ให้ฟักออกเป็นตัวหนอนได้หรือห่อผล เท่านั้น
รอบรู้เรื่องโรค :
- เชื้อโรคพืชในดินเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติเมื่อสภาพแวดล้อม (ดิน-น้ำ) มีความเป็นกรดจัด หรือด่างจัด และเชื้อโรคในดินจะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้เลยหรือตายไปเองเมื่อสภาพแวดล้อม (ดิน-น้ำ) เป็นกลาง
- การใส่สารเคมีกำจัดเชื้อโรคลงไปในดิน เมื่อใส่ลงไปเชื้อโรคในดินก็ตายได้ในทันที ครั้นสารเคมีนั้นหมดฤทธิ์ เชื้อโรคชุดใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาแทน "เกิดใหม่ใส่อีก-เกิดอีกก็ใส่ใหม่" เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เรียกว่า ใส่ทีก็ตายไปที ตายแล้วก็เกิดใหม่ขึ้นมาแทน สาเหตุที่เชื้อชุดใหม่เกิดขึ้นมาแทนได้ทุกครั้งก็เพราะ "ดินยังเป็นกรด หรือด่างจัด" อยู่นั่นเอง ในเมื่อสารเคมีที่ใส่ลงไปในดินส่วนใหญ่หรือเกือบทุกตัวมีสถานะเป็นกรด มีเพียงบางตัวหรือส่วนน้อยเท่าที่นั้นที่เป็นด่าง เมื่อใส่สารที่เป็นกรดลงไป จากดินที่เป็นกรดอยู่ก่อนแล้วจึงเท่ากับเพิ่มความเป็นกรดให้กับดินหนักขึ้นไปอีก หรือดินที่เคยเป็นด่างอยู่แล้ว เมื่อใส่สารที่เป็นด่างเพิ่มลงไป จึงกลายเป็นเพิ่มความเป็นด่างของดินให้หนักยิ่งขึ้น .... ปุ๋ยเคมีทางราก ทุกตัวทุกสูตรมีสถานะเป็นกรด การใส่ปุ๋ยเคมีลงไปมากๆ บ่อยๆ ย่อมเกิดการ สะสม อยู่ในเนื้อดินเนื่องจากพืชนำไปใช้ไม่หมด เมื่อดินเป็นกรดจึงเกิดเชื้อโรคในดินเป็นธรรมดา
- เชื้อโรคในดินเข้าสู่ลำต้นแล้ว ส่งผลให้เกิดอาการยางไหล เถาแตก ใบเหี่ยว ยอดกุด ต้นโทรม แคระแกร็น ดอกผลไม่สมบูรณ์
- เชื้อโรคที่เข้าทำลายส่วนต่างๆของพืชที่อยู่เหนือดินนั้น เป็นเชื้อโรคที่เกิดจากดินทั้งสิ้น จากเชื้อในดินเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะเจริญพัฒนาแตกตัวเป็นสปอร์ล่องลอยไปตามอากาศ เมื่อเกาะยึดส่วนของพืชได้ก็จะซึมแทรกเข้าสู่เนื้อพืชนั้น .... เชื้อบางตัวอาศัยอยู่กับหยดน้ำฝน (เรียกว่า ราน้ำฝน หรือแอนแทร็คโนส) หรือหยดน้ำค้าง (เรียกว่า ราน้ำค้าง) ซึ่งทั้งน้ำค้างและน้ำฝนต่างก็มีสถานะเป็นกรดอ่อนๆ เมื่อหยดน้ำฝนหรือหยาดน้ำค้างแห้ง เชื้อโรคเหล่านั้นก็จะซึมแทรกเข้าสู่ภายในสรีระของพืชต่อไป
- เชื้อโรคพืชมี 3 กลุ่มใหญ่ๆ ประกอบด้วย "รา - แบคทีเรีย - ไวรัส" เป็นหลัก
- ลักษณะหรืออาการพืชที่ถูก "เชื้อรา" ทำลาย บริเวณกลางแผลจะแห้ง ไม่มีกลิ่น ขอบแผลฉ่ำเล็ก น้อยแผลจะลุกลามขยายจากเดิมจนมีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมกับเกิดแผลใหม่ทั้งบริเวณใกล้ เคียงและห่างออกไป .... เชื้อตัวนี้มักเกิดเองจากดินที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสม
- ลักษณะหรืออาการพืชที่ถูก "เชื้อแบคทีเรีย" เข้าทำลาย บริเวณกลางแผลจะเปียกฉ่ำเละ และมีกลิ่นเหม็น แผลจะลุกลามขยายจากแผลเดิมจนมีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมกับเกิดแผลใหม่ทั้งบริเวณใกล้เคียงและห่างออกไป .... เชื้อตัวนี้มักเกิดเองจากดินที่สภาพแวดล้อมเหมาะสม
- ลักษณะหรืออาการพืชที่ถูก "เชื้อไวรัส" เข้าทำลาย บริเวณถูกทำลายจะลายด่าง ขาวซีดเป็นทางยาวตามความยาวของส่วนของพืช หรือไม่มีรูปทรงที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับลักษณะของพืชส่วนที่เชื้อเข้าทำลาย .... เชื้อตัวนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุ์กรรม กับบางส่วนมีแมลงเป็นพาหะ
- เชื้อโรคพืชมักเข้าทำลายแล้วขยายเผ่าพันธุ์ตามส่วนของพืชที่เป็นร่มเงา มีความชื้นสูง และ เชื้อมักไม่ชอบแสงแดดหรือบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง .... เชื้อตัวนี้มักไม่เกิดจากดิน
- เชื้อโรคพืชหลายตัวที่ยังไม่มีสารเคมีชนิดใดกำจัดได้ เช่น โรคตายพรายกล้วย. โรคใบแก้วส้ม.โรคยางไหล. โรคใบด่างมะละกอ. โรคใบขาวอ้อย. โรคกระเจี๊ยบใบด่าง.โรคเถาแตก. ฯลฯ เชื้อโรคเหล่านี้มิได้เกิดเฉพาะในพืชที่กล่าวถึงเท่านั้น ยังสามารถเกิดกับพืชอื่นๆ ได้อีกด้วย
-โรคมีเชื้อ หมายถึง ตัวเชื้อ (เป็นสิ่งมีชีวิต สัตว์เซลล์เดียว) ดำรงชีวิตอยู่ในพืช (ทำลายพืช) มองเห็นได้ด้วยกล่องจุลทรรศน์
- โรคไม่มีเชื้อ หมายถึง พืชมีลักษณะอาการเหมือนเป็นโรคที่เกิดจาก รา-แบคทีเรีย-ไวรัสแต่ในความเป็นจริงนั้นเกิดจากการ "ขาดสารอาหาร" ซึ่งการแก้ไขย่อมแตกต่างจากโรคที่มีเชื้ออย่างแน่นอน
- ทั้งโรคมีเชื้อและไม่มีเชื้อจะไม่สามารถทำลายพืชได้ หรือทำลายได้แต่เพียงเล็กน้อยไม่ถึงระดับ "สูญ เสียทางเศรษฐกิจ" หากพืชมีสมบูรณ์แข็งแรงแล้วเกิดเป็นภูมิต้านทานสู้กับเชื้อโรคเหล่านั้นได้
โรคมีเชื้อ .... คือ เชื้อที่มีตัวตน มองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือสายตาเปล่า
โรคไม่มีเชื้อ ..... คือ โรคขาดสารอาหาร สภาพแวดล้อม (ปัจจัยพื้นฐานเพื่อการเพาะปลูก) ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต
ปฏิทิน ลด-ละ-เลิก สารเคมี :
กาปฏิทิน วันที่ 1 ถึงวันสุดท้ายของเดือน แล้วปฏิบัติตามวันที่ในปฏิทิน ดังนี้
- วันที่ 1 ฉีดพ่น น้ำ 100 ล. + สารสมุนไพร 1 ล. + สารเคมี 100 ซีซี.
- วันที่ 2 - 3 - 4 ..... งด
- วันที่ 5 ฉีดพ่น น้ำ 100 ล. + สารสมุนไพร เดี่ยวๆ 1 ล.
- วันที่ 6 - 7 - 8 .... งด
- วันที่ 9 ฉีดพ่น น้ำ 100 ล. + สารสมุนไพร เดี่ยวๆ 1 ล.
- วันที่ 10 - 11 - 12 .... งด
- วันที่ 13 ฉีดพ่น น้ำ 100 ล. + สารสมุนไพร 1 ล. + สารเคมี 25 ซีซี.
- วันที่ 14 - 15 - 16 .... งด
- วันที่ 17 ฉีดพ่น น้ำ 100 ล. + สารสมุนไพร เดี่ยวๆ 1 ล.
- วันที่ 18 - 19 - 20 .... งด
- วันที่ 21 ฉีดพ่น น้ำ 100 ล. + สารสมุนไพร เดี่ยวๆ 1 ล.
- วันที่ 22 - 23 - 24 .... งด
- วันที่ 25 ฉีดพ่น น้ำ 100 ล. + สารสมุนไพร 1 ล. + สารเคมี 15 ซีซี.
- วันที่ 26 - 27 - 28 .... งด
- วันที่ 29 ฉีดพ่น น้ำ 100 ล. + สารสมุนไพร เดี่ยวๆ 1 ล.
- วันที่ 30 - 31 .... งด
สรุป :
- ฉีด 1 ครั้ง เว้น 3 วัน ขึ้นวันที่ 4 ให้ฉีด
- ฉีดสมุนไพร 2 ครั้ง สลับด้วย สมุนไพร+เคมี 1 ครั้ง
- ธรรมชาติไม่มีตัวเลข เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติจริงอาจจะ +/- หรือ เพิ่ม/ลด ได้ตามความเหมาะสม
- ฉีดสมุนไพรแบบ เช้ารอบค่ำรอบ/ค่ำรอบเช้ารอบ ไม่เป็นอันตรายต่อพืช แล้วศัตรูพืชจะทนอยู่ได้ยังไง
หรือ .
ครั้งที่ 1 .......... ใช้สารสมุนไพร + สารเคมี
ครั้งที่ 2 .......... ใช้สารสมุนไพรเดี่ยวๆ
ครั้งที่ 3 .......... ใช้สารสมุนไพรเดี่ยวๆ
ครั้งที่ 4 .......... ใช้สารสมุนไพร + สารเคมี
ครั้งที่ 5 .......... ใช้สารสมุนไพรเดี่ยวๆ
ครั้งที่ 6 .......... ใช้สารสมุนไพรเดี่ยวๆ
แต่ละครั้งห่างกัน 3 วัน หรือใช้สารเคมีทุก 7 วัน นั่นคือเพียง 2 รอบ (14 วัน) ศัตรูพืชก็ตาย ถึงไม่ตายด้วยสารเคมีก็หมดอายุขัย
. |
|