-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตรทางวิทยุ 2 MAY *สารสมุนไพร (52), สับปะรดมืออาชีพ
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตรทางวิทยุ 2 MAY *สารสมุนไพร (52), สับปะรดมืออาชีพ
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตรทางวิทยุ 2 MAY *สารสมุนไพร (52), สับปะรดมืออาชีพ

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11553

ตอบตอบ: 03/05/2016 2:42 pm    ชื่อกระทู้: ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตรทางวิทยุ 2 MAY *สารสมุนไพร (52), สับปะรดมื ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตรทางรายการวิทยุ 2 MAY

AM 594 เวลา 06.30-07.00 (ทุกวัน) และ 08.10-09.00 (จันทร์-ศุกร์)

********************************************************************

สวัสดีครับ ท่านผู้ฟังที่เคารพ
กองทัพบกเพื่อประชาชน เสนอรายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตร และอาชีพเสริม
ผลิตรายการโดยกองกิจการพลเรือน หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก

@@ สนับสนุนรายการโดย ...

* บ.นิมุติ เอ็นจิเนียริ่ง เครื่องย่อยเศษพืช (02) 322-9175-6

http://kasate.site88.net/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=1
* ยิบซั่มธรรมชาติ เฟอร์มิกซ์, ธันเดอร์พลัส, ธาตุรอง/ธาตุเสริม มัลติแชมป์ (089) 144-1112

http://www.mysuccessagro.com
* บ.มายซัคเซส อะโกร---ปุ๋ยอินทรีย์ ตราคนกับควาย, กาวเหนียวดักแมลง มายฟิกส์, กลิ่นล่อแมลงวันทอง ฟลายแอต,
สารเสริมฤทธิ์สารสมุนไพร ไบโอเจ๊ต, ถังฉีดพ่นรุ่นใหม่ ใช้แบตเตอรี่ (081) 910-5034

กระผม พันโทวีระ ใจหนักแน่น (คิม ซา กัสส์) เป็นผู้ดำเนินรายการครับ
เช่นเคยครับ รายการเรา 1188 ฝากข้อความ-ฝากคำถาม ที่ (081) 913-4986

----------------------------------------------------------------------------------------------

ตัวแทนจำหน่าย ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง, ไบโออิ, ไทเป, ยูเรก้า. (อินทรีย์ – เคมี)

1) ชมรม (ใหญ่) สีสันชีวิตไทย (089) 814-3204 ใกล้ไฟแดง สี่แยกบางแพ ราชบุรี
2) “คุณชาตรี” (081) 841-9874 ทรัพย์ทวีการเกษตร ชัฎป่าหวาย สวนผึ้ง ราชบุรี (ส่งทาง ปณ.)

3) ร.ต.ต.นันท์สุรัตน์ (089) 821-8273 ต.จรเข้เผือก ด่านมะขามเตี้ย กาญจนบุรี (ส่งทาง ปณ.)
4) “คุณล่า” (081) 944-8494 ทุกวันจันทร์ ตลาดนัดวัดอมรญาติ ดำเนินสดวก ราชบุรี

5) “คุณประเสริฐ” (080) 110-4645 บ.เขาดิน หนองแขม เดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี
6) “คุณพรพรรณ” (089) 814-7944 พลชัยเกษตรชีวภาพ ตลาดนัดธนบุรี ถ.เลียบคลองทวีวัฒนา
7) “คุณน้ำส้ม” (085) 055-7706 ชมรมฯ สาขาศาลายา หน้า ม.มหิดล พุทธมณฑลสาย 4 (ส่งทาง ปณ.)


----------------------------------------------------------------------------------------

@@ สารอาหาร (ปุ๋ย) เพื่อการสื่อสาร :

** ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง : ส่วนผสมหลัก .... อินทรีย์/เคมี (กุ้งหอยปูปลาทะเล, เลือด,
ไขกระดูก, นม, ขี้ค้างคาว, น้ำมะพร้าว, ธาตุหลักตามพืช, แม็กเนเซียม. สังกะสี. รอง/เสริม

** ไบโออิ : ส่วนผสมหลัก .... เคมี (แม็กเนเซียม. สังกะสี. รอง/เสริม)
** ยูเรก้า : ส่วนผสมหลัก .... เคมี (21-7-14, ไคโตซาน, อะมิโนโปรตีน)
** ไทเป : ส่วนผสมหลัก ..... อินทรีย์/เคมี (นม, ไข่, น้ำมะพร้าว, 13-0-46. 0-52-34)

มิได้มีเจตนาโฆษณาผลิตภัณฑ์ แต่ใช้ชื่อผลิตภัณฑ์เพื่อง่ายต่อการสื่อสารข้อมูล เท่านั้น
.... ต้นพืชไม่รู้จักยี่ห้อ ไม่รู้จักเจ้าของสูตร .....
...... ไม่รู้เจ้าของคนปลูก ไม่ฟังโฆษณา .......
...... ต้นพืชรู้จักแต่ส่วนผสมหรือเนื้อใน .......

------------------------------------------------------------------------


สารสมุนไพร (52)

การทำ .... สมุนไพรกำจัดแมลงศัตรูพืช ! !

สะเดา :

ใช้ “สะเดา” กำจัด ตั๊กแตน หนอนชอนใบ เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยกระโดดหลังขาว เพลี้ยกระโดสีน้ำตาล แมลงหวี่ขาว ด้วงหมัดผัก หนอนใยกะหล่ำปลี หนอนใยผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนบุ้งปอแก้ว แมลงในโรงเก็บ ไส้เดือนฝอย

สารสกัดสะเดาที่มีอยู่ในเมล็ดและใบ มีฤทธิ์ในการฆ่าแมลง ขับไล่แมลง ต่อต้านการดูดกิน ยับยั้งการเจริญเติบโตของแมลง ป้องกันและกำจัดแมลงได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ตั๊กแตน หนอนชอนใบ เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยกระโดดหลังขาว เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล แมลงหวี่ขาว ด้วงหมัดผัก หนอนใยกะหล่ำปลี หนอนใยผัก หนอนกอเจาะสมอฝ้าย หนอนบุ้งปอแก้ว แมลงในโรงเก็บ ไส้เดือนฝอย ด้วงหมัด เพลี้ยจักจั่นสีเขียว หนอนกอ หนอนกอสีครีม ด้วงเต่าฝักทอง หนอนชอนใบส้ม ผีเสื้อมวนหวาน หนอนม้วนใบข้าว แมลงหวี่ขาวฝ้าย ผีเสื้อหนอนแก้วส้ม หนอนเจาะสมอฝ้ายอเมริกัน หนอนกระทู้ควายพระอินทร์ หนอนกระทู้กัดต้น หนอนเจาะลำต้นลายจุดในข้าวโพด และข้าวฟ่าง

การใช้สารสะกัดจากใบหรือกิ่งสะเดา :
วิธีทำ :

- ตัดกิ่งหรือใบสะเดา ให้เป็นท่อนๆ ขนาด 5 ซม. ในอัตราส่วนตามต้องการ
- ตัดต้นตะไคร้หอม ให้เป็นท่อนๆ ขนาด 5 ซม. ในอัตราส่วนตามต้องการ โดยเทียบใช้ในอัตราเดียวกันกับสะเดา

ผสมสะเดาเข้ากับตะไคร้หอม ในสัดส่วที่เท่ากัน จากนั้นนำไปต้มกับน้ำ โดยใส่น้ำใหท่วมส่วน ผสม แล้วเคี่ยวนาน ครึ่ง - 1 ชั่วโมง ก็จะได้สารละลายสีเขียวคล้ำ นำไปใช้กำจัดแมลงได้ผลดี ใช้ฉีดพ่นบนพืช เช้า-เย็น วิธีนี้จะสามารถไล่แมลง ยับยั้งการเติบโตของแมลง ซึ่งใช้ไดกับหอนชอนใบส้ม หนอนใยผัก เพลี้ยอ่อน

วิธีใช้ :

นำสารละลายที่ได้ 1 ส่วน ผสมเข้ากับน้ำ 1 ส่วน แล้วเติมสารจับใบเช่น สบู่เหลว น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอกเล็กน้อย

การนำไปใช้ทางการเกษตร :
วิธีที่ 1 :
โรยเมล็ดสะเดาบดตามแปลงผักเพื่อปรับสภาพดิน
วิธีที่ 2 : นำเมล็ดสะเดา 1 กก. บดให้ละเอียด ห่อผ้าแช่น้ำ 1 ปี๊บ แช่ทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนใช้ผสมน้ำสบู่ 1 ช้อนโต๊ะ นำไปฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน ในตอนเย็น

วิธีที่ 3 :
นำ เมล็ดและใบสะเดา เหง้าข่าแก่ ตะไคร้หอม อย่างละ 2 กก. สับให้ละเอียด แล้วตำหรือบดรวมกัน แช่น้ำ 1 ปี๊บ แช่ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วกรองเอาหัวเชื้อที่ได้ ผสมน้ำเปล่า 1 ปี๊บ ต่อน้ำยา 0.5 ล. ฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน ในตอนเย็น

วิธีที่ 4 :
นำเมล็ดสะเดาแห้ง ที่ประกอบด้วยเปลือกหุ้มเมล็ด และเนื้อเมล็ด มาบดให้ละเอียด แล้วนำผงเมล็ดสะเดามาหมักกับน้ำ ในอัตราส่วน 1 กก. ต่อน้ำ 20 ล. โดยใช้ผงสะเดาใส่ไว้ในถุงผ้าขาวบาง แล้วนำไปแช่น้ำ ทิ้งไว้ 1 วัน ใช้มือบีบถุงตรงส่วนของผงสะเดา เพื่อให้สารอะซาดิแรคติน ที่อยู่ในผลสะเดาสลายตัวออกมาให้มากที่สุด เมื่อจะใช้ก็ยกถุงผ้าออก บีบถุงให้น้ำในผงสะเดาออกมาให้หมด ก่อนใช้นำน้ำที่ได้ผสมน้ำสบู่หรือแชมพู แล้วนำไปฉีดพ่น
----------------------------------------------------------------------

จาก : (083) 864-81xx
ข้อความ : สู้ภัยแล้งด้วยสับปะรดกินสดดีไหม .... ชาวนาชัยนาท ขอบคุณครับ
ตอบ :
- สับปะรดอายุสั้น พืชฤดูกาลเดียว อายุตั้งแต่ปลูกถึงเก็บเกี่ยว 1 ปี .... พื้นที่นาชัยนาท ถึงฤดูทำนา น้ำท่วมระดับปลูกข้าวได้แต่ปลูกสับปะรดไม่ได้นะ ครั้นจะทำคันดินกันน้ำเข้าแปลงสับปะรด ไหวเหรอ ? แต่ถ้าไม่มีปัญหาน้ำระดับทำนาก็จงปลูกเถอะ

- ปกติ ปลูกพืชสู้ภัยแล้ง อย่างปีนี้ปีหน้า เขาเลือกพืชอายุปลูก 1เดือน เดือนครึ่ง 2เดือน 3เดือน ไม่เกิน 4เดือน ไม่ใช่เหรอ

- สับปะรดกินสด ตลาดเล็กกว่าสับปะรดโรงงาน เพราะฉะนั้น ต้องยึดหลัก “การตลาดนำการผลิต” อย่างเคร่งครัดที่สุด ได้แก่

* ปริมาณ : สับปะรด 1ต้น 1หัว ปลูกเท่าไหร่ต้นได้เท่านั้นหัว จัดแปลงปลูกเป็นโซน ปลูกก่อนออกก่อนแก่ก่อนเก็บก่อน ปลูกหลังออกหลังแก่หลังเก็บหลัง จะปลูกกี่โซน โซนละกี่ต้นก็ว่าไป

* สายพันธุ์ : ออกตลาดครั้งละ 2-3 สายพันธุ์ เพื่อเป็นตัวเลือกให้แก่คนซื้อ
* เกรด : คุณภาพ รสจัดจ้าน ปลอดสารเคมียาฆ่าแมลง 1,000%

- ติดสปริงเกอร์ กะเหรี่ยงลอยฟ้า ติดถาวร ใช้งานได้ 10-20-30 ปี เลิกสับปะรดแล้วเปลี่ยนเป็นปลูกพืชอื่นที่ต้นเตี้ยๆ เหมือนสับปะรด มีหม้อปุ๋ยน้าโซนหรือถังปุ๋ยที่ปั๊ม ประ หยัดเวลา ประหยัดแรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลเนื้องาน ให้ปุ๋ยทางใบทางราก ให้สารสมุนไพรวันละ 3 รอบ เช้าเที่ยงค่ำทำได้ .... สบายกว่ากันเยอะเลย อยู่เฉยๆ ดีกว่า

เล่นสับปะรดอย่างมืออาชีพ :

- สับปะรด เป็นพืชอวบน้ำ ไม่ให้น้ำเขา เขาจะเอาอะไรไปสร้างความอวบ
- รสจัดจ้าน เนื้อนุ่มกรอบ ไม่มีเสี้ยน ด้วยธาตุรอง ธาตุเสริม โดยเฉพาะ แม็กเนเซียม. สังกะสี. แคลเซียม. โบรอน.
- หัวใหญ่ ...... ปลายใหญ่โคนใหญ่เสมอกันด้วย 5-10-40
- หัวใหญ่ ...... โคนใหญ่ปลายเล็ก เพราะ 16-16-16 สูตรสิ้นคิด

- สับปะรด 200 ไร่ สวนผึ้ง ราชบุรี ริมแมน้ำลำภาชี สปริงเกอร์โอเวอร์เฮด เปิดครั้งละ 5 หัวพร้อมกัน (แรงงาน 5 คน) ใช้เวลา 9 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมงเสร็จ อาทิตย์ละครั้ง คำนวณ ต้นทุนสับปะรดหัวละ 2.80 บาท ส่งโรงงานได้หัวละ 5.40 บาท .... คิดดู 200 ไร่ สับปะรดกี่แสนหัว ? ถึงล้านหัวมั้ย ?

.... สับปะรดส่งโรงงาน ต้องตรวจไนเตรทก่อน (ไนเตรท คือ ไนโตรเจน .... ไนโตรเจน คือ ปุ๋ยตัวหน้า) ถ้าไนเตรทเกิน โรงงานจะตัดราคา เพราะไนเตรทเป็นตัวการทำให้กระ ป๋องดำ กินไม่ได้ โรงงานต้องปรับสูตรน้ำเชื่อมให้พอเหมาะกับปริมาณไนเตรท นี่แหละคือ สาเหตุที่โรงงานตัดราคา สังเกตง่ายๆ สับปะรดที่ไนเตรทเกินเพราะใช้ปุ๋ยที่มีตัวหน้าสูง เช่น 16-16-16 สูตรสิ้นคิดนี่แหละ นอกจากไนเตรทเกินแล้ว ทรงหัวสับปะรด ท้ายใหญ่ปลายแหลม เข้าเครื่องปอกไม่ได้อีกด้วย

.... สับปะรด 200 ไร่ ที่สวนผึ้ง ส่งโรงงานไม่เจอปัญหาไนเตรทเกิน เพราะ ....
* ทางใบ : ให้ 5-10-40, แม็กเนเซียม, สังกะสี, แคลเซียม โบรอน,
* ทางราก : ใส่ ยิบซั่ม (แคลเซียม กำมะถัน แม็กเนเซียม สังกะสี), ปุ๋ยอินทรีย์ ตราคนกับควาย, น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง ใส่ตอนเตรียมดิน รุ่นละครั้ง, กระดูกป่น, ขี้วัวขี้ไก่ 2-3 รุ่น/ครั้ง, ปุ๋ยเคมี 8-24-24 + 0-0-60

**** สังเกต :

- สารอาหารจากปุ๋ยเคมีตัวหน้าต่ำๆ ใช้ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อ ไนโตรท ต่ำๆ
- เยอรมัน สั่งนำเข้าสับปะรดกระป๋อง กระป๋องเปล่าแล้วไปพะยี่ห้องเยอรมัน 4 ยี่ห้อ แสดงว่า สะเป็คทุกอย่าง โอ.เค.

- ประเทศไทยส่งออกสับปะรดกระป๋องมากอันดับ 1 ของโลก ถ้าต่างประเทศสั่งระงับนำเข้าสับปะรดกระป๋องจากไทย เพราะไนเตรทเกิน เพราะสารเคมียาฆ่าแมลงเกิน จะทำยังไง ?
.... เหมือนปลากระป๋องทูน่า ที่ไทยส่งออกมากที่สุดในโลก ถ้า อียู สั่งระงับน้ำเข้า เพราะจับปลาทะเลไม่ถูกต้อง แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับทูน่าส่งออก เพราะฉะนั้น วันนี้ยุคนี้ คนไทยจะเอาแต่ได้ถ่ายเดียว เอาความง่ายความสะดวกของตัวเองเป็นหลัก ไม่ได้ .... คิดจะค้าขายระดับโลก ก็ต้องทำตามกติกาโลก

- สหรัฐ อเมริกา ได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่เทคโนโลยี ทุกเรื่องทุกสาขา เหนือที่สุดในโลก แต่สหรัฐอเมริกาก็ไม่สามารถทำให้สับปะรดที่ฮาวายกินสดได้ เพราะเนื้อหยาบ แข็ง ต้องทำสับปะรดกระป๋องเท่านั้น สหรัฐอเมริกาเอาพันธุ์สับปะรดไทยไปปลูกที่ฮาวาย ก็กลายเป็นเนื้อหยาบแข็ง กินสดไม่ได้เหมือนกัน นั่นเป็นเพราะ “โซนภูมิศาสตร์โลก” ที่ต่างกัน สุดท้าย จริงๆ คือ “มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้” นั่นเอง .... แม้แต่ ส้มเปลือกล่อน (เขียวหวาน โชกุน) ทุรียน เงาะ มงคุด อีกหลายๆไม้ผล ที่สหรัฐ อเมริกาอยากปลูก เอาต้นพันธุ์ไปแล้วก็ทำไม่ได้ เพราะโซนภูมิศาสตร์โลกนี่แหละ
------------------------------------------------------------------------

สายพันธุ์ :

1. พันธุ์ปัตตาเวีย หรือเรียกว่า สับปะรดศรีราชา
2. พันธุ์อินทรชิต เป็นสับปะรดพันธุ์พื้นเมือง
3. พันธุ์ขาว
4. พันธุ์ภูเก็ต หรือ พันธุ์สวี
5. พันธุ์นางแล หรือ พันธุ์น้ำผึ้ง
6. พันธุ์ตราดสีทอง
7. พันธุ์ภูแล
-------------------------------------------------------------------------

พันธุ์สับปะรดที่ปลูกเป็นการค้าในประเทศไทย :

พันธุ์ปัตตาเวีย (Smooth Cayenne) หรือ พันธุ์ศรีราชา : [/color] มีผลใหญ่ที่สุดใน บรรดาสับปะรดด้วยกัน เนื้อมีรสหวานฉ่ำ ใบมีสีเขียวเข้ม กลางใบเป็นร่องมีสีแดงอมน้ำตาล ปลายใบมีหนามเล็กน้อย เป็นพันธุ์เดียวที่ปลูกเพื่อส่งโรงงานสับปะรดกระป๋อง ปลูกมากในจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี เพชรบุรี ระยอง และลำปาง

พันธุ์อินทรชิต หรืออินทรชิตแดง (Singapore Spanish) :
เป็นพันธุ์ เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย ปลูกมานานนับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต้นมีขนาดใหญ่กว่าพันธุ์ปัตตาเวีย เล็กน้อย แต่มีหนามแหลมคมรูปโค้งงอ สีน้ำตาลอมแดงที่ขอบใบ ใบมีสีเขียวอ่อน ผลย่อยนูนเด่นชัด ตาลึกเมื่อแก่จัด เนื้อเป็นสีทอง รสไม่หวานจัด ภายในผลมีเส้นใยมากและผลค่อนข้างเล็ก จึง ไม่นิยมปลูกเพื่อบรรจุกระป๋อง ปลูกมากที่อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา

พันธุ์ขาว (Selangor Green) :
เป็นพันธุ์ที่ปลูกมากในอำเภอ บางคล้า มีทรงพุ่มเตี้ย มีใบสีเขียวอมเหลือง ใบสั้นและแคบกว่าอินทรชิต ขอบใบมีหนามแหลม ผลมีหลายจุก แต่เนื้อมีรสชาติและคุณภาพคล้ายคลึง กับพันธุ์อินทรชิตมาก จึงมีผู้สันนิษฐานว่าคงจะกลายพันธุ์มาจากพันธุ์อินทรชิต

พันธุ์ภูเก็ต หรือ พันธุ์สวี (Malacca Queen) :
เป็นพันธุ์ที่มีใบแคบ และยาว ใบสีเขียวอ่อน และมีแถบสีแดงตอนกลางใบ ขอบใบเต็มไปด้วย หนามสีแดง ผลมีขนาดเล็ก ผลย่อยนูน ตาลึก เนื้อมีสีเหลือง รสหวานกรอบ และมีกลิ่นหอม นิยมปลูกกันมากในภาคใต้บริเวณจังหวัดภูเก็ตและชุมพร

พันธุ์นางแล หรือพันธุ์น้ำผึ้ง :
มีผู้กล่าวว่าพันธุ์น้ำผึ้งนี้นำมา จากประเทศศรีลังกาบางท่านก็กล่าวว่านำมาจากมณฑลยูนนานของจีนแต่จาก ลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของต้น ใบ ดอก และผล จะคล้ายคลึงกันพันธุ์ปัตตาเวียมาก จึงอาจเป็นพันธุ์ย่อย หรือกลายพันธุ์มาจาก พันธุ์ปัตตาเวีย มีปลูกมากที่ ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย เนื่องจากมีรสหวานจัดเป็นที่นิยมของตลาด จึงปลูกเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว

พันธุ์ตราดสีทอง :
สับปะรดตราดสีทอง สับปะรดพันธุ์นี้จะไม่เหมือนพันธุ์อื่นตรงที่มีรสชาติหวาน กรอบทั้งผล โดยเฉพาะผิวเป็นตา ๆ สีเหลือง เย็นฉ่ำน่ารับประทาน

พันธุ์ภูแล :
ผล ขนาดเล็ก เนื้อสีทอง กลิ่นหอม แกนสับปะรดกรอบ รับประทานได้ รสชาติหวานปานกลาง สับปะรดภูแลเชียงราย หรือในชื่อเรียก สับปะรดภูแล เป็นสัปปะรดสายพันธุ์ในกลุ่มควีน ลูกเล็กและสามารถปลูกได้ตลอดปี

เอนก ประทีป ณ ถลาง อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย อาศัยอยู่ที่ตำบลนางแล เป็นผู้นำพันธ์มาจากจังหวัดภูเก็ตมาปลูก ในตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย และได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ โดยไม่ได้มีการใช้ยาฆ่าแมลง และใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เป็นคนละพันธ์กับสับปะรดนางแล และสาเหตุที่เชื่อเปลี่ยนชื่อ จากพันธ์ภูเก็ต เป็นพันธ์ภูแล เนื่องจากแม่ค้าคนกลางเห็นว่า ลักษณะลูกมีลักษณะเล็กและคนต่างจังหวัดที่มาเที่ยว ชอบกิน โดยเป็นการผสมชื่อระหว่าง ตำบลนางแล กับ สับปะรดพันธ์ภูเก็ต มิใช่มาจาก พันธ์ภูเก็ต ผสมกับพันธ์นางแล

ส่วนสับปะรดไรม่วงนั้นเป็นพันธุ์ปัตตาเวียครับ สามารถศึกษาจากหน้าประวัติความเป็นมาของสับปะรดไร่ม่วง

ข้อมูลจาก : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
http://www.tistr.or.th
http://flash-mini.com
http://www.xn--l3cjf8d8bveb.com
เขียนโดย Pineapple Raimoung

http://raimoungpineapple.blogspot.com/2011/11/blog-post_10.html
-----------------------------------------------------------------------

ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อสับปะรด :
1. ระยะต้นเล็ก
ทางใบ :

- ให้ไบโออิ + 25-5-5+ สารสกัดสมุนไพร 100 ซีซี. ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น ทุก 15-20 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 3-5 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 27-7-7 หรือ 30-10-10(1-2 กก.)/ไร่/เดือน
- ช่วงแล้งจัดให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 10-15 วัน
หมายเหตุ :
- หลังจากปักดำหน่อพันธุ์ใหม่ๆยังไม่ต้องให้ปุ๋ย ให้เฉพาะน้ำเปล่าก็พอ ปล่อยให้หน่อพันธุ์รับสารอาหารจากที่ใส่ไว้ช่วงเตรียมดินก็พอ เริ่มให้ปุ๋ยทั้งทางใบและทางรากจริงๆหลังจากหน่อพันธุ์แตกใบอ่อน 2-3 ใบแล้ว

- การให้ปุ๋ยทางรากอาจใช้วิธีหว่านบางๆ (บางที่สุด) บนพื้นระหว่างแถวปลูก หรือละลายน้ำแล้วฉีดราดด้วยสายยางไปตามระหว่างแถวปลูกก็ได้

- การบำรุงระยะต้นเล็กสำคัญมาก ถ้าบำรุงดีได้น้ำ สารอาหารและฮอร์โมนสม่ำ เสมอ จะทำให้ต้นสูงใหญ่ซึ่งจะส่งผลไปถึงการออกดอกแล้วพัฒนาเป็นผลดีขึ้นตรงกันข้ามถ้าต้นขาดน้ำ สารอาหารและฮอร์โมน นอกจากต้นจะแคระแกร็นแล้วยังทำให้การเปิดตาดอกไปถึงผลผลิตไม่ดีอีกด้วย

2. ระยะสะสมตาดอก :
ทางใบ :

- ให้ไบโออิ+ 0-42-56 (200 กรัม) + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้นจะช่วยให้ต้นสมบูรณ์เต็มที่
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 3-5 วันช่วงหลังค่ำ
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 หรือ 9-26-26 สูตรใดสูตรหนึ่ง(2-4กก.)/ไร่/เดือน
- ช่วงแล้งจัดให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 10-15 วัน
หมายเหตุ :
- ถ้าต้นสมบูรณ์ดีเริ่มให้เมื่ออายุต้น 4-5 เดือนเพื่อเปิดตาดอกในเดือนที่ 6 ถ้าต้นไม่สมบูรณ์จริงเริ่มให้เมื่ออายุ 6-7 เดือนเพื่อเปิดตาดอกในเดือนที่ 8

- แนวทางบำรุงให้ต้นได้สะสมอาหารเพื่อการออกดอกไว้มากที่สุด ควรเตรียมแผนใช้เวลาบำรุง 2 เดือน
- การให้ปุ๋ยทางรากอาจใช้วิธีหว่านบางๆ (บางที่สุด) บนพื้นระหว่างแถวปลูก หรือละลายน้ำแล้วฉีดราดด้วยสายยางไปตามระหว่างแถวปลูกก็ได้

3. ระยะเปิดตาดอก
วิธีที่ 1
.... หยอดด้วยแก๊ส แคลเซียม คาร์ไบด์ บดเป็นผงละเอียด อัตราหยิบติดได้ด้วยปลายนิ้วหัวแม่มือกับปลายนิ้วชี้ ลงบนยอดหรือจุก 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน หรือใช้แก๊สแคลเซียม คาร์ไบด์ อัตรา 200 กรัมผสมน้ำเย็น 75-100 ล. หยดหรือโรยลงบนยอดหรือจุก ต้นละ 1-2 หยด และควรหยอดซ้ำอีกครั้งหลังจากหยดครั้งแรก 5-7 วัน การหยอดแก๊สแคลเซียม คาร์ไบด์.จะได้ประสิทธิภาพสูงเมื่ออากาศเย็นอุณหภูมิ 20 องสาเซลเซียส และวิธีละลายน้ำแล้วหยดได้ประสิทธิภาพสูงกว่าการทำเป็นผงแล้วหยอดหรือโรย

วิธีการที่เกษตรกรไทยหยอดแก๊สแคลเซียม คาร์ไบด์. เพื่อเปิดตาดอกสับปะรด มักทำกันตอน ตี. 3-4 เพื่ออาศัยน้ำค้างเป็นตัวสร้างความชื้น ถ้าหยอดช่วงกลางวันก็ต้องฉีดพ่นน้ำเพื่อให้ยอดหรือจุดเปียกชื้นเสียก่อน ซึ่งทั้งสองวิธีก็ใช้ได้ผลดี

วิธีที่ 2
.... ฉีดพ่นด้วย เอทีฟอน ชนิด 39.5% (1.5 ซีซี.) + น้ำ 200 ล.สำหรับพื้นที่ 1 ไร่ ฉีดพ่นผ่านใบลงถึงพื้นหน้าหน้าดินเปียกชื้น 1 รอบ ถ้าต้นสมบูรณ์ไม่เต็มที่หรือมีทีท่าว่าจะไม่ออกดอกแน่ให้ฉีดพ่นซ้ำอีกรอบห่างจากรอบแรก 14-20 วัน แต่ไม่ควรให้ซ้ำรอบสองด้วยระยะเวลาห่างจากรอบแรกน้อยกว่า 7-10 วัน

ในต่างประเทศนิยมใช้ อีเทฟอน 1.5 ซีซี. + ยูเรีย 6 กก. + น้ำ 100 ล. ฉีดพ่นช่วงอากาศเย็นอุณหภูมิ 20 องสาเซลเซียส ได้ประสิทธิภาพสูงกว่าการไม่ใช้ยูเรีย และฉีดพ่นช่วงอากาศร้อน
หมายเหตุ :
- จากงานวิจัยระบุว่าเปิดตาดอกสับปะรดด้วย แคลเซียม คาร์ไบด์. ได้ผลดีกว่าการใช้เอทีฟอน.
- ปัจจุบันเกษตรไทยนิยมใช้ เอทีฟอน. เนื่องจากปัญหาแรงงาน

4. บำรุงดอก
ทางใบ :

- ให้ไบโออิ+ 10-45-10 (200 กรัม) หรือ 0-42-56 (200 กรัม) + เอ็นเอเอ.+ สารสกัดสมุนไพร ฉีดพ่นผ่านใบลงถึงพื้นพอหน้าดินชื้น 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 10-15 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรพอเปียกใบ ช่วงหลังค่ำ ทุก 3-5 วัน
ทางราก :
- ให้ 8-24-24 (2-4 กก.)/ไร่
- ช่วงแล้งจัดให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 10-15 วัน
หมายเหตุ :
- การให้ปุ๋ยทางรากต่อระยะนี้อาจไม่จำเป็นถ้าต้นสมบูรณ์แทงช่อดอกดีก็ไม่ต้องให้
- การให้ปุ๋ยทางรากอาจใช้วิธีหว่านบางๆ (บางที่สุด) บนพื้นระหว่างแถวปลูก หรือละลายน้ำแล้วฉีดราดด้วยสายยางไปตามระหว่างแถวปลูกก็ได้

- ช่วงดอกเริ่มแทงออกมาใหม่ๆให้แคลเซียม โบรอน. 1 รอบ จะช่วยให้ดอกสมบูรณ์ผสมติดดี

5. ระยะผลเล็ก
ทางใบ :

- ให้ไบโออิ+ 5-10-40 (200 กรัม) + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นผ่านใบลงถึงพื้นพอหน้าดินเปียกชื้น ทุก 10-15 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 5-10-40 (2-4 กก.)/ไร่ โดยการฉีดพ่นลงพื้นที่โคนต้นเป็นการให้น้ำไปในตัว
- ช่วงแล้งจัดให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 10-15 วัน
หมายเหตุ :
- ระยะดอกแดง (ผลเล็ก) ให้โมลิบดินั่ม อัตรา 25 มก./น้ำ 100 ล. โดยการฉีดพ่นพอเปียกใบ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วันจะช่วยป้องกันอาการไส้เน่าและโรคเน่าในผลซึ่งอาการโรคนี้เกิดจากสารอาหารมาสมดุลอย่างรุนแรง

- เมื่อผลขนาดเท่าไข่ไก่ให้แกะจุก (ผ่าหัว) จะช่วยให้ผลเจริญเติบโตเร็วขึ้น หลังจากแกะจุกแล้วบำรุงด้วยปุ๋ยทางใบ 1 รอบก็พอ

- การให้ปุ๋ยทางรากอาจใช้วิธีหว่านบางๆ (บางที่สุด) บนพื้นระหว่างแถวปลูก หรือละลายน้ำแล้วฉีดราดด้วยสายยางไปตามระหว่างแถวปลูกก็ได้

6. ระยะผลกลาง
ทางใบ :

- ให้ไบโออิ 5-10-40 (2 รอบ) สลับด้วยแคลเซีบม โบรอน 1 รอบ ห่างกันรอบละ 10-15 วัน ฉีดพ่นผ่านใบลงถึงพื้นพอหน้าดินชื้น
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพบ่อยๆ
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 5-10-40 (2-4 กก.) /ไร่ /เดือน โดยละลายน้ำรดโคนต้น
- ช่วงแล้งจัดให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 10-15 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มลงมือบำรุงเมื่อนับตาแนวตั้งจากด้านขั้วผลถึงปลายผลได้ 5 ตา
- การบำรุงระยะผลขนาดกลางต้องให้น้ำสม่ำเสมอแต่ต้องไม่ขังค้าง ถ้าได้รับน้ำน้อยนอกจากจะทำให้ผลไม่โต หากมีฝนตกหนักลงมาก็อาจจะทำให้ผลแตกผลร่วงได้

- การให้ปุ๋ยทางรากอาจใช้วิธีหว่านบางๆ (บางที่สุด) บนพื้นระหว่างแถวปลูก หรือละลายน้ำแล้วฉีดราดด้วยสายยางไปตามระหว่างแถวปลูกก็ได้

7. บำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว :
ทางใบ :

- ให้ไบโออิ 0-0-50 หรือ 0-21-74 สูตรใดสูตรหนึ่ง 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วันก่อนเก็บเกี่ยว ฉีดพ่นทางใบให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรช่วงหลังค่ำ ทุก 3-5 วัน
ทางราก :
- ให้ 0-0-60 (2-4 กก.)/ไร่
- งดน้ำเด็ดขาด
หมายเหตุ :
- ให้ปุ๋ยทางใบและทางราก 1 ครั้งก็พอ
- การให้ปุ๋ยทางรากอาจใช้วิธีหว่านบางๆ (บางที่สุด) บนพื้นระหว่างแถวปลูก หรือละลายน้ำแล้วฉีดราดด้วยสายยางไปตามระหว่างแถวปลูกก็ได้

- ให้สาหร่ายทะเล + แคลเซียม โบรอน.+ เอ็นเอเอ.2-3 ครั้ง โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลกลาง ถึง ก่อนเก็บเกี่ยว จะช่วยให้ผลมีคุณภาพดี ต้นสมบูรณ์สดชื่นอยู่เสมอ

-----------------------------------------------------------------------



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©