-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-ปุ๋ยทางใบ
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - ปุ๋ยทางใบ
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

ปุ๋ยทางใบ

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11553

ตอบตอบ: 27/02/2010 6:55 pm    ชื่อกระทู้: ปุ๋ยทางใบ ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)


หมู่นี้เห็นเน็ตเงียบๆ ไม่มีคำถาม เลยถือโอกาส "ท่องโลกเน็ต" พบเจออะไรที่
เหมือน/คล้าย/ต่าง กับของเรา เลยก็อปมาให้อ่านกันเล่นๆน่ะ......ลุงคิมครับผม
**********************************************



ปุ๋ยทางใบ คือ สารที่ทำให้เป็นสารละลายแล้วฉีดพ่นทางใบ
เพื่อให้ธาตุอาหารแก่พืช

ชนิดของปุ๋ยทางใบ : ปุ๋ยทางใบสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ

1. ชนิดเป็นของแข็ง หรือเรียกว่าปุ๋ยเกล็ด ปุ๋ยพวกนี้ขึ้นทะเบียนเป็นปุ๋ยเคมีบอกสูตรปุ๋ยและ
ปริมาณธาตุอาหารรับรองไว้ในฉลาก สารเคมีซึ่งประกอบกันเป็นปุ๋ยจะต้องละลายน้ำง่าย เมื่อกสิกร
ต้องการใช้ก็ตวงหรือชั่งปุ๋ยแล้วละลายน้ำตามคำแนะนำก็จะใด้ปุ๋ยซึ่งสามารถใช้ได้ทันที

2. ชนิดเป็นของเหลว เป็นปุ๋ยที่ละลายมาในลักษณะที่เข้มข้นเมื่อต้องการใช้ก็ตวงน้ำปุ๋ยมาเจือจาง
ด้วยน้ำตามคำแนะนำ ปุ๋ยแบบเหลวบางพวกขึ้นทะเบียนเป็นปุ๋ยเคมี คือ มีสูตรปุ๋ยและปริมาณธาตุที่
รับรองบนฉลาก

ปุ๋ยเคมีทั้งชนิดเกล็ดและชนิดเหลว นอกจากจะมีธาตุหลัก คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทส
เซียม แล้วอาจมีธาตุรองและจุลธาตุผสมอยู่ด้วย หากต้องการทราบว่าปุ๋ยนั้นๆมีธาตุใดอยู่
บ้าง และมีอยู่มากน้อยเพียงใด อาจตรวจสอบได้ที่ฉลากของปุ๋ยนั้น

หลักการพิจารณาใช้ปุ๋ยทางใบ

หลักการพิจารณาใช้ปุ๋ยทางใบ ควรพิจารณาด้านความเหมาะสมเรื่อง ดินพืช และด้านเศรษฐกิจ ดังนี้

1. ด้านดิน :
เนื่องจากดินเป็นแหล่งธาตุอาหารของพืชตามธรรมชาติ การบำรุงดินให้มี
ธาตุอาหารบริบูรณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ดินที่มีเนื้อดินหยาบ เช่น ดินหยาบหรือดินร่วนทราย
ดินที่มีการพังทลายและชะกร่อน ดินที่มีอินทรีย์วัตถุต่ำ ดินเหล่านี้มักจะให้ธาตุอาหารแก่พืชไม่
เพียงพอ สิ่งที่ควรกระทำคือ บำรุงดินด้วนปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมี และป้องกันการพังทลายชะกร่อนของ
ดิน เพื่อให้ดินมีธาตุต่างๆ เพียงพอ จึงจะถือว่าเป็นการจัดการดินอย่างถูกต้อง

เมื่อบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยเคมีตามความจำเป็นแล้ว หากปรากฎว่าพืชยังได้รับบางธาตุไม่
เพียงพอก็ฉีดพ่นปุ๋ยที่ให้ธาตุนั้นเสริมเข้าไป พืชก็จะเจริญเติบโตเป็นปกติ โดยขอให้ถือว่าการบำรุง
ดินเป็นงานหลัก และการให้ปุ๋ยทางใบเป็นงานเสริม และทำเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

2. ด้านพืช:
การให้ปุ๋ยทางใบนิยมกันในหมู่ชาวสวนผักและไม้ผล สำหรับข้าวและพืชไร่
นั้นใช้กันน้อย

ชาวสวนผัก
...... บางรายนิยมให้ปุ๋ยทางใบในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งจะช่วยให้ผักไม่แกร็น และ
เจริญเติบโตดีขึ้น เมื่อพิจารณาจากราคาผักค่อนข้างดีในฤดูแล้ง พบว่า การให้ปุ๋ยทางใบกับผักกิน
ใบนั้นให้ผลตอบแทนคุ้มค่า

ไม้ผล
...... การให้ปุ๋ยทางใบมักปฏิบัติเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตในบางขั้นตอนของ
พืช เช่น ฉีดพ่นปุ๋ยที่มีสัดส่วนของฟอสฟอรัสค่อนข้างสูงก่อนออกดอก เพื่อให้การออกดอกและ
ติดผลดีขึ้น ใช้ปุ๋ยที่มีสัดส่วนของโพแทสเซียมค่อนข้างสูง เมื่อติดผลแล้วเพื่อให้ผลโตและรสชาด
ดีขึ้น ชนิดของปุ๋ยทางใบที่ให้กับไม้ผลมักจะสอดคล้องกับปุ๋ยที่ให้ทางดิน อย่างไรก็ตามควรถือว่า
การให้ปุ๋ยทางใบเป็นการเสริมปุ๋ยทางดิน

3. ด้านเศรษฐกิจ
: ขณะนี้ด้านผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของการใช้ปุ๋ยทางใบ ยังไม่
ได้มีการค้นคว้าอย่างจริงจัง จึงยังไม่อาจกล่าวได้ว่าการให้ปุ๋ยทางใบกับพืชแต่ละชนิดเป็นสิ่งจำเป็น
หรือไม่ แต่ในแง่ของผู้ผลิตที่มีราคาค่อนข้างแพง เช่น ผักและผลไม้ซึ่งมีการลงทุนสูงอยู่แล้ว การ
ให้ปุ๋ยทางใบกับพืชเหล่านั้นอย่างเหมาะสม จะเพิ่มต้นทุนอีกเล็กน้อยผู้ผลิตรายใหญ่จึงยังให้ปุ๋ยทาง
ใบกันอยู่


วัตถุประสงค์ของการใช้ปุ๋ยทางใบ


การใช้ปุ๋ยทางใบมีวัตถุประสงค์หลักในการใช้อยู่ 4 ประการ คือ


เพื่อแก้ไขอาการขาดธาตุอาหาร :

ในดินด่างพืชมักขาดธาตุเหล็ก (Fe) ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) แมงกานีส (Mn) และโบรอน
(Bo)การให้ปุ๋ยฟอสเฟตอัตราสูงก็คงเป็นเหตุให้พืชขาดสังกะสีได้เช่นกัน การใส่ปุ๋ยจุลธาตุเหล่า
นั้นทางดินในรูปเกลืออินทรีย์ ก็มักจะตกตะกอน และไม่เป็นประโยชน์ต่อพืชเต็มที่แต่ถ้าใช้ปุ๋ยจุล
ธาตุคีเลตในดินก็ย่อมเสสียค่าใช้จ่ายสูง วิธีการแก้ไข คือ ใช้สารละลายของเกลือจุลธาตุดังกล่าว
ฉีดพ่นทางใบ ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ผลเร็วและชัดเจนกว่าการให้ทางดิน แต่อย่างไรก็ตามดินยังเป็น
ทรัพยากรหลักในการผลิตพืชและถือว่าดินเป็นแหล่งธาตุอาหารที่สำคัญสำหรับพืช การบำรุงดิน
ตามหลักการที่กล่าวข้างต้นจึงเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้การใช้ปุ่ยทางใบจึง
อาจยอมรับเข้ามาเสริมความสมบูรณ์ของการผลิต โดยเฉพาะช่วยแก้ไขการขาดธาตุอาหารหลัก
ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม ดังนี้

พืช .......................ขาด................อาการ................ใช้ปุ๋ย..........ความเข้มข้น %

ผักกาดขาวปลี........ไนโตรเจน.........ใบล่างเหลือง............ยูเรีย....................0.5

ข้าวโพด............โพแทสเซียม.....ปลายฝักไม่มีเมล็ด.....โพแทสเซียมซัลเฟต.......1.0

มะเขือเทศ..........แคลเซียม..............ก้นเน่า............แคลเซียมไนเตรท..........0.5

ส้ม...................โบรอน..............ไส้ผลกลวง.............กรดบอริก.................0.1

บล็อกเคอรี่..........โบรอน..............ลำต้นกลวง.............กรดบอริก.................0.1

ส้ม...................สังกะสี................ใบแก้ว...............สังกะสีซัลเฟท.............0.3
.
ถั่วลิสง................เหล็ก................ยอดขาว..............เฟอรัสซัลเฟท.............0.3


2. เพื่อเพิ่มคุณภาพและผลผลิต :

ปุ๋ยทางใบที่มีสัดส่วนของไนโตรเจนดังนั้นเป็นที่นิยมใช้กันมาก คือ ราวร้อยละ 50 ของปุ๋ยทางใบ
ทั้งหมด เมื่อนำมาใช้ร่วมในการผลิตผักและช่วยให้ผักดูอวบและเขียวสด เนื่องจากไนโตรเจน ส่ง
เสริมการเติบโตของต้นและใบยังช่วยเพิ่มปริมาณของคลอโรฟิลล์ในใบ

ปุ๋ยทางใบชนิดเกล็ดที่มีสัดส่วนของฟอสฟอรัสสูงได้รับความนิยมรองลงมา คือ ใช้ประมาณร้อยละ
28 ปุ๋ยประเภทนี้ช่วยเพิ่มคุณภาพของไม้ดอกไม้ประดับ หากใช้เสริมในไม้ผลก่อนการออกดอกจะ
ช่วยให้ดอกสมบูรณ์

ปุ๋ยทางใบที่มีสัดส่วนของโพแทสเซียมสูง ใช้กันเพียงร้อยละ 11 ของปุ๋ยทางใบทั้งหมดเพื่อเสริม
ธาตุนี้ในช่วงการพัฒนาของผลในไม้ผลหลายชนิดและช่วยให้รสชาติของผลไม้ดีขึ้น

3. เพื่อช่วยให้พืชฟื้นตัวจากปัญหาความขาดแคลนในบั้นปลาย :

สำหรับพืชล้มลุกโดยทั่วไป เมื่อย่างเข้าสู่ผลิดอกออกผล อินทรีย์สารต่าง ๆ ที่เคยสะสมไว้ในใบจะ
เริ่มเคลื่อนย้ายไปสร้างผล เป็นเหตุให้รากพืชได้รับอาหารน้อย ในช่วงนี้การเจริญเติบโตของระบบ
รากจึงหยุดลง แต่รากก็ยังต้องทำหน้าที่ต่อไปด้วย ประสิทธิภาพที่ต่ำ ปริมาณของธาตุอาหารที่ดูด
ได้จากดินก็น้อยลงไปด้วย สำหรับในพืชตระกูลถั่วนั้นช่วงนี้ปมรากอาจขาดอาหารจึงเริ่มเน่าและ
หลุดจากราก ขณะที่รากดูดธาตุไนโตรเจนได้น้อยลง และไม่มีกิจกรรมการตรึงไนโตรเจนอีก พืช
จึงไม่มีไนโตรเจนเพียงพอแก่การบำรุงลำต้น ใบ ดอก และผล ในช่วงนี้ไนโตรเจนจากใบจะเคลื่อน
ย้ายไปสร้งผลเป็นเหตุให้ใบเหลืองและในที่สุดก็แห้งตาย พืชตระกูลถั่วมักประสบปัญหานี้ได้
มากกว่าพืชตระกูลหญ้าเพราะใช้ไนโตรเจนมากกว่า ดังนั้นการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนทางใบแก่พืชเหล่านี้
ในช่วงที่ออกดอก จะช่วยชะลอการร่วงของใบและมีแนวโน้มจะเพิ่มผลผลิตได้ด้วย

4. เพื่อวัตถุประสงค์อื่น :

เช่นบังคับให้มะม่วงออกดอกและติดผลนอกฤดูโดยการใช้สารพาโคลบิวทราโซล รดที่พื้นดินใต้
พุ่มต่อจากนั้นประมาณ 75 – 90 วัน ก็กระตุ้นให้แตกตาดอกโดยฉีดพ่นด้วยสารละลายโพแทส
เซียมไนเตรท 2.5 % หรือไทโอยูเรีย 0.5 % ซึ่งจะช่วยให้มะม่วงแทงช่อดอก 2 สัปดาห์

[size=18]
ข้อควรระวังในการใช้ปุ๋ยทางใบ :
ละลายหรือผสมปุ๋ยกับน้ำในอัตราส่วนที่แนะนำ อย่าผสม
ให้เข้มข้นเกินไป จะทำให้ใบพืชไหม้ ปุ๋ยทางใบจะช่วยแก้
ปัญหาการขาดธาตุอาหารได้ดี ถ้าฉีดพ่นปุ๋ยที่ให้ธาตุนั้นเร็ว
ที่สุด ถ้ามีอาการรุนแรงมากแล้วการใช้ปุ๋ยทางใบจะไม่เกิดผล



ที่มา : กรมวิชาการเกษตร

****************************************************

ประสบการณ์ตรง :

...... ปุ๋ยทางใบ สามารถให้แก่พืชได้ทั้ง ทางรากและทางใบ เทคนิคการให้ปุ๋ยทางใบแบบโชกๆ
ให้ใบเปียกจนล้นลงถึงพื้นดิน จึงเท่ากับเป็นการให้ปุ๋ยทางรากไปในตัว

...... ปุ๋ยทางใบมี "น้ำ" เป็นฟิลเลอร์ จึงไม่เป็นส่งผลเสียต่อดินเหมือนฟิลเลอร์ที่เป็นของแข็ง
ในปุ๋ยทางราก

..... ปุ๋ยทางใบที่เป็นคีเลต. เมื่อตกลงดินระบบรากสามารถดูดซับนำเข้าสู่ต้นได้ทันที ในขณะที่
ปุ๋ยทางรากจะต้องผ่านกระบวนการเอ็นไซม์.โดยจุลินทรีย์ก่อน ต้นพืชจึงจะสามารถดูดซึมนำไปใช้
ได้ การปับสภาพปุ๋ยทางบใบให้เป็น "ทางด่วน" (ผ่านปากใบเข้าสู้ต้นได้เร็ว) สามารถทำได้โดย
การเติม "น้ำตาลกลูโคส" ลงไปก่อนฉีดพ่น

.... ปุ๋ยทางใบแสดงผลต่อพืชได้เร็วกว่าปุ๋ยทางราก ในพืชอายุสั้น (ผักสวครัว) จะมีอายุเก็บเกี่ยว
สั้นกว่าการให้ปุ๋ยทางรากอย่างเดียว

..... เทคนิคการให้ปุ๋ยทางใบ ควรให้ขณะที่ใบยังเปียกและปากใบเปิดเต็มที่แล้ว นั่นคือ ก่อนฉีด
พ่นปุ๋ยทางใบ ควรฉีดพ่นน้ำเปล่าเพื่อให้ปากใบเปิดก่อน ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที จึงฉีดพ่นปุ๋ย
ตามไป นอกจากนี้เทคนิคการฉีดแบบ 2 ครั้ง โดยแบ่งปริมาณปุ๋ยทางใบที่จะให้ ณ รอบนั้เป็น 2
ส่วนๆ ละเท่ากัน โดยปฎิบัติดังนี้

ครั้งแรก..... ฉีดพ่นน้ำเปล่า ทิ้งไว้ 10-15 นาที
ครั้งที่ 2..... หลังจากทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้ว ฉีดพ่นปุ๋ยทางใบรอบแรก
ครั้งที่ 3..... หลังจากฉีดพ่นปุ๋ยทางใบรอบแรกทิ้งไว้ 10-15 นาที จึงฉีดพ่นรอบที่ 2

ซึ่งการให้ปุ๋ยทางใบแบบ2 รอบนี้ เมื่อรวมปริมาณปุ๋ยแล้วจะได้เท่ากับการให้เพียงครั้งเดียว แต่ได้
ผลกว่าเพราะขณะให้ปุ๋ยนั้น สภาพใบเปียกชื้น และจากการที่ใบค่อยๆดูดซึมปุ๋ยเข้าสู่ต้นอย่างช้าๆ
ทำให้ต้นได้รับปุ๋ยมากขึ้น ในขณะที่การให้แบบครั้งเดียว ปุ๋ยส่วนหนึ่งหรือส่วนใหญ่จะตกลงพื้น
เนื่องจากปากใบดูดซับไม่ทัน

..... ปุ๋ยทางใบมีความจำเป็นอย่างมากต่อต้นที่มีปัญหาระบบราก หรือดินเสื่อม กล่าวคือ เมื่อต้น
ไม่สามารถรับสารอาหารทางรากก็ควรให้ทางใบแทน

..... ราคาปุ๋ยทางใบเทียบกับปุ๋ยทางรากแบบ หน่วย: หน่วย ปุ๋ยทางใบจะมีราคตาสูงกว่า แต่เมื่อ
เทียบปริมาณการใช้กับประโยชน์ที่พืชได้รับแล้ว จะพบว่าปุ๋ยทางใบราคาถูกกว่ามาก

..... ปุ๋ยทางใบจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและต้นมีการตอบสนองดีก็ต่อเมื่อต้นมีสภาพความ
สมบูรณ์รองรับ สภาพอากาศและอุณหภูมิเหมาะสม


ลุงคิมครับผม

ป.ล.
ท่านใดมีข้อมูลประสบการณ์ตรงเรื่องสับปะรด เชิญชวนให้เขียนมา เขียนลงในกระทู้ปกติก่อน
แล้วลุงคิมจะก็อปมาลงต่อท้ายที่กระทู้นี้ให้ภายหลัง



. [/size]
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©