-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-* นานาสาระเรื่องเกษตร.
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - * นานาสาระเรื่องเกษตร.
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

* นานาสาระเรื่องเกษตร.
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 23, 24, 25 ... 72, 73, 74  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 18/09/2011 9:26 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

หน้าที่ 24

ลำดับเรื่อง....



604. กินเนสส์บันทึก “ข้าวไทย” ได้ส่งออกมากที่สุดในโลก
605. ต้นไม้ ในบ้านช่วยกรอง ฟอร์มาลดีไฮด์

606. สารเคมีกับสมุนไพร
607. ปลูกอ้อย 1 ไร่ ได้ผลผลิต 100 ตัน นวัตกรรมใหม่ล่าสุดกลุ่มวังขนาย
608. ค่าปุ๋ยต้นทุนส่วนใหญ่ของการเกษตร
609. เลี้ยงปูนิ่มส่งออกทางรอด “อ๊อด ปูดำ”
610. ฟาร์มหอยนางรม

611. การเลี้ยงปูดำในตะกร้า
612. นกนางแอ่นไฮโซ อยู่คอนโดที่ปากพนัง
613. การเลี้ยงปลาไหลนา
614. จีนประสบความสำเร็จ ในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวบำรุงโลหิต
615. "Golden Rice 2" ข้าว จีเอ็มโอ พันธุ์ใหม่ เพิ่มเบต้าแคโรทีน 23 เท่า

616. ข้าวไผ่
617. ข้าวหอมสายพันธุ์ใหม่ ที่กว่างซี
618. เทคนิคการปลูกข้าวโพด ให้ได้ผลผลิตสูงเท่าตัว
619. เมล็ดข้าวที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจาก ยีน GW 2
620. การปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอม ในโครงการ 863 ของประเทศจีน

621. พันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูง กอใหญ่ และต้านทานการล้ม
622. การผลิตพันธุ์ข้าวลูกผสม ทำได้อย่างไร ?
623. เครื่องดำนาขนาดเล็ก
624. นาโนซิลเวอร์ ในนาข้าว
625. แตงหวาน (แคนตาลูป)

626. ข้าวพันธุ์ใหม่ของจีน ทำสถิติโลกใหม่ ผลผลิตสูงกว่า 2,224 กก./ไร่
627. ปลื้มยอดขายโอท็อปชายแดนใต้ เล็งยกมาตรฐานส่งออกอาเซียน
628. การปลูก และดูแลรักษาข้าว

--------------------------------------------------------------------------------






604. กินเนสส์บันทึก “ข้าวไทย” ได้ส่งออกมากที่สุดในโลก


กรีนพีซ เผย กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ให้การยกย่องพร้อมบันทึกไทย ไว้ในฐานะผู้ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก พร้อมจัดกิจกรรม “ข้าวไทย ที่ 1 ในโลก” ชวนคนไทยร่วมอนุรักษ์ข้าวไทยให้ปลอดภัย ไร้จีเอ็มโอ กลางห้างเซ็นทรัลเวิลด์

เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2552 ที่ผ่านมา กรีนพีซ ได้แถลงข่าวถึงการที่ประเทศไทยได้รับประกาศนียบัตรยกย่องให้เป็นประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก จากกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด พร้อมจัดกิจกรรมและนิทรรศการ “ข้าวไทย ที่ 1 ในโลก” ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวิลด์ เพื่อเรียกร้องให้ประชาชนไทยร่วมปกป้องข้าวไทยจากจีเอ็มโอ โดยมีสื่อมวลชนให้ความสนใจร่วมงานมากมาย รวมทั้งทีมข่าว “วิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์”

น.ส.ณัฐวิภา อิ้วสกุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านเกษตรกรรมยั่งยืน กรีนพีซ เปิดเผยว่า เป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกสถิติโลกเกี่ยวกับการส่งออกข้าว ซึ่งประเทศไทยได้รับการบันทึกจากกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ว่า เป็นประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก มานานหลายสิบปี นับตั้งแต่มีการปฏิวัติเขียว โดยข้อมูลจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติปี 2550 ระบุว่า ประเทศไทยส่งออกข้าวมากที่สุดในโลกเป็นจำนวนกว่า 8 ล้านตัน ซึ่งคิดเป็น 27% ของตลาดข้าวส่งออกทั่วโลก

ทั้งนี้ กรีนพีซ ได้นำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด เมื่อช่วงปี 2551 กระทั่งเกือบสิ้นปี จึงมีการประกาศออกมาว่าประเทศไทยได้รับการบันทึกว่าเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก

“การบันทึกข้าวไทยไว้ในสถิติโลกครั้งนี้เป็นสิ่งยืนยันว่า ข้าวไทยเป็นหนึ่งในข้าวที่ดีที่สุดในโลก” ผู้ประสานงานของกรีนพีซ กล่าว

“แต่กรีนพีซก็ยังกังวัลการเข้ามาของข้าวดัดแปลงพันธุกรรม หรือข้าวจีเอ็มโอ ในประเทศ ซึ่งขณะนี้ก็มีการวิจัยข้าวจีเอ็มโอเกิดขึ้นแล้วในไทย โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วง ก็คือเรื่องความปลอดภัยของข้าวจีเอ็มโอต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม การครอบครองข้าวไทยและการถูกครอบงำโดยระบบทุนของบริษัทต่างชาติที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี ซึ่งอาจทำให้เกษตรกรต้องเสียเงินซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวในราคาแพงขึ้นเพื่อเป็นค่าสิทธิบัตร และยังจะมีสารเคมีต่างๆ จากบริษัทเดียวกันอีกมากมาย ซึ่งอาจทำให้วิถีเกษตรกรรมดั้งเดิมของไทยเปลี่ยนแปลงไป” น.ส.ณัฐวิภา แจง

นอกจากนี้ ผู้ประสานงานของกรีนพีซ ยังยกตัวอย่างให้เห็นว่า ข้าวจีเอ็มโอเคยสร้างความเสียหายให้กับสหรัฐฯ มาแล้วในปี 2549 เมื่อมีการปนเปื้อนของข้าวจีเอ็มโอพันธุ์ลิเบอร์ตี ลิงค์ แอลแอล 601 ของบริษัท ไบเออร์ จากสหรัฐฯ ไปสู่ตลาดข้าวกว่า 30 แห่งทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้ส่งออกข้าวของสหรัฐฯ กว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายกว่า 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากนานาประเทศปฏิเสธการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ

เพื่อให้ประชาชนไทยให้ความสนใจร่วมกันปกป้องข้าวไทยให้ปลอดภัยจากจีเอ็มโอ กรีนพีซจึงได้จัดกิจกรรม “ข้าวไทย ที่ 1 ในโลก” โดยมีนิทรรศการจัดแสดงจุดกำเนิดและประวัติข้าวไทย ความเชื่อ พิธีกรรม และความผูกพันของคนไทยกับข้าวไทยที่มีมาแต่โบราณ ประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการของข้าว รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับข้าวดัดแปลงพันธุกรรมที่เกิดขึ้นแล้ว และผลกระทบที่อาจตามมาในอนาคต

นอกจากนี้ ในวันเดียวกันยังมี นางสำเนียง ฮวดลิ้ม และ นายก้องหล้า มีสวัสดิ์ 2 เกษตรกรจาก อ.โพธาราม จ.ราชบุรี มาร่วมแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับวิถีการทำนาแบบดั้งเดิมของคนไทย และเล่าประสบการณ์ทำนาของแต่ละคน ซึ่งเคยหลงไปใช้สารเคมีในนาข้าวอยู่นานหลายปี แต่ปัจจุบันกลับมาใช้แนวทางของเกษตรอินทรีย์ ทำเท่าที่มีกำลัง ซึ่งก็ได้ผลผลิตดี ดินน้ำไม่เสีย ข้าวที่ผลิตได้ส่วนใหญ่เก็บไว้กินในครัวเรือน และแบ่งขายบางส่วน

ส่วนกิจกรรมไฮไลต์ในวันที่ 23 ม.ค.2552 จะมีการแสดงคอนเสิร์ตของวงสินเจริญบราเธอร์ส เวลา 15.00-15.30 น.และวันที่ 25 ม.ค.เวลา 13.00-14.30 น.มีการเสวนาเรื่อง “ดียังไงถ้าข้าวไทยปลอดจีเอ็มโอ” โดย อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ที่จะมาสาธิตการทำอาหารเมนูจากข้าวกล้องงอกปลอดจีเอ็มโอ

นิทรรศการและกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นที่บริเวณชั้น 6 โซน Beacon ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวิลด์ โดยนิทรรศการจะมีตั้งแต่วันที่ 22-25 ม.ค.2552 ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมและชมนิทรรศการได้ตามวันเวลาดังกล่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ



http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000007793


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 16/10/2011 7:07 am, แก้ไขทั้งหมด 6 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2011 6:21 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

605. ต้นไม้ ในบ้านช่วยกรอง ฟอร์มาลดีไฮด์






นักวิจัยชาว เกาหลีค้นพบว่า การปลูกต้นไม้ไว้ในห้อง เปรียบเหมือนฟิลเตอร์ช่วยกรองแก๊สฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเป็นการก่อมะเร็ง


เพราะหากมีแก๊สชนิดนี้วนเวียนอยู่ในบ้านก็จะทำให้ผู้อาศัยเจ็บป่วย เช่น ปวดศีรษะ เป็นภูมิแพ้ เป็นต้น


ทั้งนี้ การปลูกต้นไม้ที่มีรากและใบ ก็จะช่วยขจัดแก๊สฟอร์มาลดีไฮด์ในบ้านได้ถึง 80% ภายใน 4 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นห้องที่มีการควบคุมแก๊สโดยไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้ ก็จะช่วยลดแก๊สฟอร์มาลดีไฮด์ได้ประมาณ 7% ภายใน 5 ชั่วโมง โดยเฉพาะใบไม้จะช่วยดูดแก๊สร้ายตัวนี้ ในตอนกลางวันได้มากกว่าตอนกลางคืน ในขณะที่รากไม้จะสามารถช่วยดูดแก๊สฟอร์มาลดีไฮด์ได้ทั้งกลางวัน กลางคืน


นักวิจัยกล่าวว่า หากเป็นต้นไม้ที่มีใบมาก ๆ ก็จะยิ่งดูดแก๊สร้านตัวนี้ได้มากในตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนควรเป็นต้นไม้ที่มีกระถางใหญ่ เพื่อให้รากดูดสารร้ายได้มากขึ้น



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.lisaguru.com/homepage

http://www.zazana.com/babnee/id7459.aspx


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 19/09/2011 9:26 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2011 8:33 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

606. สารเคมีกับสมุนไพร


คมชัดลึก : เมื่อหลายวันก่อน เห็นโฆษณาในทีวีเกี่ยวกับสมุนไพรในผลิตภัณฑ์บางอย่าง โดยเนื้อหาของโฆษณานั้นบอกว่าใช้สมุนไพรเป็นองค์ประกอบ โดยไม่ใช้สารเคมี ก็เลยเป็นที่มาของบทความนี้เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับสารเคมี ต่างๆ ที่หลายคนเกรงกลัวกันและมีความเข้าใจผิดอยู่ค่อนข้างมาก

ประเด็นแรกที่ต้องทำความเข้าใจก็คือว่า การใช้สมุนไพรอะไรก็ตามหมายความว่าเราต้องการใช้ ประโยชน์จากสารออกฤทธิ์ที่มีอยู่ในสมุนไพรนั้น ถ้าจะถามต่อไปว่าสารออกฤทธิ์คืออะไร คำตอบก็คือเป็นสารเคมีที่มีอยู่ในสมุนไพรชนิดนั้นๆ และจะแสดงผลตามคุณสมบัติทางเคมีของสารดังกล่าว พอพูดอย่างนี้ทุกคนก็คงเห็นแล้วว่าสมุนไพรเองก็มีสารเคมีอยู่ในตัวเอง แต่เป็นสารเคมีที่เรามักชอบเรียกกันว่าเป็นสารธรรมชาติ เช่นในกระเทียมก็มีสารที่เรียกว่าอัลลิซินอยู่มาก ส่วนพริกก็มีแคปไซซิน ถ้าเป็นฟ้าทะลายโจรก็มีแอนโดรกราฟโฟไลด์ในปริมาณมาก เป็นต้น

สารที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นสารเคมีที่พืชสร้างขึ้นตามธรรมชาติ และอาจมีสรรพคุณในการรักษาหรือป้องกันโรคได้หลายอย่าง เมื่อสารเหล่านี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีในปริมาณน้อย เพราะหากมีมากไปก็จะกลายเป็นอันตรายต่อตัวพืชเอง ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์ทางด้านเคมีจึงหาวิธีสังเคราะห์สารเหล่านี้ขึ้นมาใช้ หรือมีการศึกษาคุณสมบัติของสารเทียบกับโครงสร้างทางเคมี แล้วหาทางสังเคราะห์สารเหล่านี้หรือสารที่ใกล้เคียงขึ้นมาใช้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสารจากธรรมชาติหรือสารที่สังเคราะห์ขึ้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสารเคมีด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าคนทั่วไปมักจะตั้งป้อมรังเกียจสารเคมีอื่นที่เราเรียกว่า สารสังเคราะห์ เพราะเชื่อว่าเป็นอันตราย สู้สารจากธรรมชาติไม่ได้

ความเข้าใจผิดข้อนี้ค่อนข้างน่าห่วง เพราะหลายคนคิดว่าสารจากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นสารจากสมุนไพรหรือสารจากพืชอื่นๆ ก็ตาม เป็นสารที่ปลอดภัย ลองมาดูว่าเป็นความจริงหรือไม่ หลายคนคงเคยเห็นหรือทราบว่าพืชบางชนิดนำมาใช้ประโยชน์โดยการใช้เป็นยาฆ่า แมลง ไม่ว่าจะเป็นโล่ติ๊น (ใช้เบื่อปลา) ไพรีธรัม (ซึ่งนำมาสกัดยาฆ่าแมลงที่เรียกว่าไพรีธริน) หนอนตายหยาก หรือแม้กระทั่งยาสูบ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้เป็นพืชที่รู้จักกันดี แต่คงไม่มีใครกล้าเอามากิน เพราะรู้อยู่ว่ามีพิษ และคงเคยได้ยินว่าสมุนไพรบางชนิดหากใช้เดี่ยวๆ เป็นเวลาต่อเนื่องกันยาวนาน ก็อาจก่อปัญหาให้ตับได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสารธรรมชาติจากพืชหรือสมุนไพร หรือสารเคมีสังเคราะห์ก็ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานมาจากธาตุต่างๆ เหมือนกัน เพียงแต่ต่างกันที่กระบวนการได้มาเท่านั้น เพราะฉะนั้นความเข้าใจที่ว่าสารจากธรรมชาติมีความปลอดภัยกว่าสารสังเคราะห์ นั้น คงต้องทำความเข้าใจกันใหม่ ความปลอดภัยไม่ได้ขึ้นกับว่าเป็นสารธรรมชาติหรือสารสังเคราะห์ แต่ว่าขึ้นอยู่กับชนิดของสารแต่ละอย่างมากกว่า

สารเคมีที่อยู่ใกล้ตัวเรา อย่างเช่นเกลือที่นำมาใส่แกง ก็จัดว่าเป็นสารธรรมชาติ หากใส่ในปริมาณพอดีก็ช่วยให้รสชาติอาหารดีขึ้น แต่หากกินมากๆ ก็รู้กันอยู่ว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายมากเช่นกัน หรืออย่างน้ำตาลทรายที่ได้มาจากอ้อย ตอนที่เป็นน้ำอ้อยก็เป็นสารจากธรรมชาติแต่พอมาผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ก็ไม่ต่างจากกระบวนการสังเคราะห์สารต่างๆ ที่เรารู้จักกัน แต่เราก็ยังกินกันได้โดยไม่ปฏิเสธ ดังนั้นหากเข้าใจเรื่องนี้และเดินสายกลางก็น่าจะดีกว่าการตั้งป้อมรังเกียจ สารสังเคราะห์ทั้งหลาย เพราะว่าในชีวิตจริงคงไม่มีใครหลีกหนีสารเคมีได้พ้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดก็ตามครับ!



http://soclaimon.wordpress.com


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 08/01/2023 8:24 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2011 8:37 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

607. ปลูกอ้อย 1 ไร่ได้ผลผลิต 100 ตัน นวัตกรรมใหม่ล่าสุดกลุ่มวังขนาย




ธิป โรจนกิจ กับแปลงอ้อยในโครงการปลูกอ้อย 100 ตัน/ไร่ที่ จ.กาญจนบุรี






ต้นอ้อยมีขนาดสูงเนื่องจากความสมบูรณ์




ต้นอ้อยมีขนาดสูงเนื่องจากความสมบูรณ์
คมชัดลึก : ที่ผ่านมาการทำไร่อ้อยของเกษตรกรจะได้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 10-12 ตันต่อ 1 ฤดูกาล ล่าสุดกลุ่มวังขนายผู้ผลิตน้ำตาล “วังขนาย” ได้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ในการปลูกอ้อยที่ได้ผลผลิตสูงถึง 10 เท่า ชนิดที่ไม่มีประเทศไหนทำได้มาก่อน ที่สำคัญคุณสมบัติพิเศษสามารถปลูกได้ในพื้นที่ทุกจังหวัด จากความสำเร็จดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม จึงร่วมกับกลุ่มดำเนิน “โครงการปลูกอ้อย 100 ตันต่อไร่” และเร่งผลักดันให้เกษตรกรได้เพาะปลูก เนื่องจากทำรายได้ที่คุ้มค่า

ธิป โรจนกิจ ผอ.อาวุโสกลุ่มวังขนาย บอกว่า การที่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยได้ผลผลิตน้อยประมาณอยู่ที่ไร่ละ 10-12 ตันนั้น เพราะใช้ประสบการณ์การปลูกอ้อยแบบดั้งเดิม ส่งผลให้มีต้นทุนในการปลูกสูง ดังนั้น กลุ่มจึงค้นคว้าและศึกษาการปลูกอ้อยด้วยวิธีใหม่ มีเป้าหมายให้ได้ผลผลิตไร่ละ 100 ตัน โดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินงานภายใต้ “โครงการปลูกอ้อย 100 ตันต่อไร่” ขึ้นมา เนื่องจากเห็นว่า เหมาะสำหรับเกษตรกรที่มีพื้นที่ในการเพาะปลูกอ้อยไม่มากนัก และสามารถดูแลได้ทั่วถึง

“นวัตกรรมใหม่ของเราแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เป็นนวัตกรรมที่วังขนายคิดค้นขึ้นจากจิตสำนึกที่เคารพความเป็นธรรมชาติอย่าง รอบคอบและรอบด้าน ทุกกระบวนการทางความคิด ทุกปัจจัยที่เกี่ยวข้อง กรรมวิธีเพาะปลูก และดูแลทุกขั้นตอน ถูกคิดค้นและควบคุมให้อยู่ในวงจรบริสุทธิ์ของธรรมชาติ นับเป็นนวัตกรรมใหม่ในการปลูกอ้อยธรรมชาติ ส่งผลให้ทุกวันนี้วังขนายสามารถปลูกอ้อยอินทรีย์สูตร 100 ตันต่อไร่ ได้ผลสมบูรณ์แบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” ธิป กล่าว

สำหรับหัวใจหลักของการปลูกอ้อยอินทรีย์สูตร 100 ตันต่อไร่ ขึ้นอยู่กับดิน พันธุ์อ้อย น้ำ และปุ๋ย แปลงอ้อยควรอยู่ห่างไกลจากแหล่งก่อให้เกิดมลพิษ เพื่อหลีกเลี่ยงจากสารเคมี กล่าวคือ ดินต้องดี มีคุณสมบัติครบ 4 ประการ คือ น้ำ อากาศ อินทรียวัตถุ และแร่ธาตุ ส่วนพันธุ์อ้อยก็มีความสำคัญ ต้องมีคุณภาพดี ได้มาตรฐาน มีความเหมาะสมกับสภาพดิน สภาพภูมิอากาศ และความต้านทานต่อศัตรูอ้อย

ห้ามใช้พันธุ์อ้อยที่ได้จากการตัดต่อสายพันธุกรรมเด็ดขาด และสุดท้ายคือน้ำและปุ๋ย ต้องมีแหล่งน้ำที่เป็นธรรมชาติ สะอาด ปลอดสารพิษเจือปน ควรปล่อยปลาอาศัยชุกชุม เพื่อรักษาวงจรชีวภาพในแหล่งน้ำให้คงอยู่ตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตามก่อนเริ่มกระบวนการเพาะปลูก ปัจจัยแรกสุดที่ต้องให้ความสำคัญและคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน คือพื้นที่เพาะปลูก จะต้องมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ดี ห่างจากมลพิษทั้งหลายด้วย

ด้าน สุรพล ถ้ำกระแสร์ ผอ.ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายภาคที่ 1 จ.กาญจนบุรี บอกว่า ปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกอ้อยที่ให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ส่งผลทำให้มีรายได้น้อย และมีฐานะยากจน ทางสำนักงานจึงมีนโยบายที่จะหาทางเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น และมีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำ จึงขอความร่วมมือกับทางกลุ่มวังขนายในการคิดค้นหาวิธีการ จนมาประสบความสำเร็จในโครงการปลูกอ้อย 100 ตันต่อไร่ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของการเพิ่มผลผลิตอ้อยในประเทศไทย ที่จะแก้ปัญหาในเรื่องการเพิ่มผลผลิตได้เป็นอย่างดี พร้อมขยายความรู้แก่เกษตรกรปลูกอ้อยตามโครงการดังกล่าว

นับเป็นอีกทางเลือกสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในอนาคต แต่ทั้งนี้ต้องศึกษาความรอบคอบด้วย



http://soclaimon.wordpress.com


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 08/01/2023 8:25 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2011 8:38 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

608. ค่าปุ๋ยต้นทุนส่วนใหญ่ของการเกษตร


คมชัดลึก : ก่อนอื่นก็คงต้องแสดงความดีใจที่กฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และคงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเร็วๆ นี้ เพราะว่าจะได้มีตัวแทนของเกษตรกรที่มีสิทธิ์มีเสียงถูกต้องตามกฎหมายเข้าไป ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว

พูดถึงปัญหาหลักของการเกษตรก็คือเรื่องราคาผลิตผลตกต่ำ ซึ่งเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าใครเข้ามาเป็นรัฐบาลก็จะต้องเสียเวลาส่วนใหญ่มาแก้ปัญหานี้ทั้งนั้น ความจริงเรื่องของราคาตกต่ำ หากต้นทุนการผลิตของเราต่ำ ก็ไม่ค่อยจะเป็นปัญหามากนัก เพราะส่วนที่ขายได้ก็จะเป็นกำไรเสียส่วนใหญ่ เพียงแต่ว่าจะได้มากพอเลี้ยงตัวเองได้หรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่หากต้นทุนการผลิตสูง แล้วขายได้ราคาต่ำ นั่นก็แสดงว่าเสี่ยงต่อการขาดทุนมาก

คราวนี้ประเด็นเรื่องกำไรขาดทุนนั้น เกษตรกรหลายคนยังไม่ค่อยเข้าใจ เพราะหลายครั้งคิดว่าเมื่อขายได้เท่าไรแล้ว หักค่าปุ๋ยค่ายาออก ก็กลายเป็นกำไร แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดถึงค่าแรงที่แต่ละคนได้ลงไป ไม่ได้คิดค่าที่ดิน และค่าอะไรอื่นๆ อีกจิปาถะ หากนำสิ่งเหล่านี้มาคิดเป็นต้นทุนด้วย ก็อาจเป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ทำการเกษตรแล้วขาดทุน

การที่จะรู้ว่าต้นทุนเป็นเท่าใดนั้น ก็คงต้องมีการจดบันทึก ดังนั้น การทำบัญชีครัวเรือน จึงเป็นเครื่องมือที่ดีชิ้นหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจได้ดีว่าการทำกิจการของเรานั้น ได้กำไรหรือขาดทุนมากน้อยแค่ไหน และต้นทุนส่วนใหญ่อยู่ที่ใด จะได้จัดการได้ถูก

ตัวอย่าง เรื่องของการทำบัญชีครัวเรือนก็มีอยู่ในหลายพื้นที่ และมีหลายแห่งเห็นความสำคัญเรื่องนี้ เช่น กลุ่มเกษตรกรที่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ซึ่งมีการปลูกข้าวโพดกันมากในหลายตำบล ก็ได้มีการเก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการผลิตข้าวโพด ไม่ว่าจะเป็นค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าไถพื้นที่ การกำจัดวัชพืช ค่าปุ๋ยค่ายาต่างๆ รวมทั้งผลผลิตที่ได้และราคา

พอนำตัวเลขต้นทุนเหล่านี้มารวมกันดูแล้ว ปรากฏว่าต้นทุนการผลิตข้าวโพดของอำเภอนี้อยู่ระหว่าง 3,500-5,100 บาท และที่สำคัญคือเมื่อเทียบกับผลผลิตที่ได้ซึ่งตกอยู่ระหว่าง 600-1,260 กิโลกรัมต่อไร่ ดูแล้วเหมือนว่าจะขาดทุน เพราะค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่คิดเป็นต้นทุนนี้ ยังไม่ได้รวมค่าแรงของตัวเกษตรกรเองด้วยซ้ำไป

ในบรรดาต้นทุนเหล่านี้ พบว่าค่าปุ๋ยเคมีที่ใช้ในการปลูกข้าวโพดอยู่ระหว่าง 800-2,000 บาท และในบางตำบลเมื่อคิดดูแล้วกลายเป็นว่าค่าปุ๋ยคือต้นทุนเกือบครึ่งหนึ่งของ ต้นทุนทั้งหมด เช่น ที่ห้วยเฮี้ย ได้ข้าวโพดไร่ละ 600 กิโลกรัม แต่ต้นทุนทั้งหมดประมาณ 4,800 บาทต่อไร่ ในขณะที่ค่าปุ๋ยเคมีคือ 2,000 บาทต่อไร่ คงไม่ต้องถามว่าจะคุ้มหรือไม่!!!

ดังนั้นช่องทางในการทำให้เกษตรกรอยู่ได้และมีกำไร ก็น่าจะเป็นเรื่องของการลดต้นทุนลงให้ได้ และเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น หรือต้องปรับราคาข้าวโพดให้สูงขึ้น

หากวิเคราะห์แต่ละประเด็น เช่น การปรับราคาข้าวโพดให้สูงขึ้นนั้นคงทำไม่ได้ เพราะราคาผลิตผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกำหนดราคาของเรา แต่ตลาดเป็นผู้กำหนด ส่วนเรื่องการเพิ่มผลผลิตก็คงทำได้ แต่มักต้องพ่วงเรื่องของต้นทุนที่ต้องสูงขึ้นด้วย ซึ่งในที่สุดก็อาจจะไม่คุ้มที่ต้องเพิ่มต้นทุนเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงขึ้น จึงเหลือช่องทางเดียวที่น่าจะเป็นไปได้สูงที่สุด คือการหาทางลดต้นทุนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยผลผลิตไม่เสียหาย

ในกรณีนี้การลดต้นทุนในส่วนของปุ๋ยเคมีจึงเป็นช่องทางที่น่าจะทำได้ แต่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปุ๋ย

คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังต่อว่าจะจัดการลดต้นทุนในเรื่องนี้ได้อย่างไร

พีระเดช ทองอำไพ



http://soclaimon.wordpress.com


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 08/01/2023 8:25 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2011 8:42 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

609. เลี้ยงปูนิ่มส่งออกทางรอด “อ๊อด ปูดำ”


ชายร่างเล็กหัวใจใหญ่เจ้าของฟาร์มเลี้ยงปูนิ่ม “สมปอง อ่ำเอี่ยม” หรือที่ชาวบ้านใน ต.หาดทรายรีและผู้ประกอบธุรกิจเลี้ยงปูรู้จักในนาม “อ๊อด ปูดำ” ที่ปัจจุบันกลายเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงปูนิ่มเพื่อการส่งออกรายใหญ่ของจังหวัด ด้วยวัยใกล้ 60 ของอ๊อด

อดีตลูกชาวนาใน อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ที่หันไปเอาดีในการเลี้ยงปูนิ่มจนประสบความสำเร็จในวันนี้ได้ก็เมื่อครั้ง ที่เข้ารับราชการเป็นทหารเกณฑ์ สังกัดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์พัน.1 ภปร. ด้วยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ต้องการให้ทหารเกณฑ์ทุกคนมี โอกาสเข้ารับการศึกษาวิชาชีพสาขาใดสาขาหนึ่งก่อนปลดประจำการ

พลฯ สมปอง จึงตัดสินใจเลือกเรียนวิชาชีพประมง จนสำเร็จการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หลังปลดประจำการ จึงตัดสินใจนำทักษะความรู้ในวิชาชีพประมงที่ได้ร่ำเรียนมาเข้าสู้ธุรกิจ เลี้ยงกุ้งกุลาดำที่ จ.สมุทรสาคร เลี้ยงกุ้งกุลาดำอยู่ประมาณ 3-4 ปี ก็ประสบภาวะขาดทุน เนื่องจากปัญหาโรคระบาด ก่อนอพยพครอบครัวมาอยู่ที่บ้านอีเล็ต ต.หาดทรายรี อ.เมือง จ.ชุมพร จนถึงปัจจุบัน

การย้ายครอบครัวมาตั้งรกรากที่นี่ในครั้งนั้น อ๊อดตระหนักดีว่าการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ แม้จะมีผลกำไรดี แต่ก็เป็นธุรกิจที่เสี่ยงสูง เพราะต้องพึ่งตัวยาและสารเคมีเป็นหลักในการเลี้ยง นอกจากจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ยังเป็นการต่อสู้ที่ฝืนธรรมชาติ จึงไม่อยากเสี่ยง

ก่อนที่ตัดสินใจมาเป็นพ่อค้ารับซื้อปูดำจากชาวประมงรายย่อยมา เลี้ยงเป็นปูนิ่มเพื่อขายต่อ ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 3,000 บาท กับทักษะวิชาชีพประมงที่ได้รับเมื่อครั้งยังรับราชการเป็นทหารมหาดเล็กรักษา พระองค์ วันนี้อ๊อดกลายเป็นผู้ประกอบธุรกิจเลี้ยงปูนิ่มรายใหญ่ บนเนื้อที่กว่า 12 ไร่ เลี้ยงปูสารพัดชนิด แต่ที่ทำรายได้หลักเห็นจะหนีไม่พ้น “ปูนิ่ม” โดยผลผลิตกว่า 80% จะส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ อาทิ สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศในยุโรป

แม้วันนี้อ๊อดจะลืมตาอ้าปากได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่เขาไม่ลืมและพูดให้แก่ผู้มาเยือนฟังอยู่เสมอว่า ชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเดินตามแนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง

สุรัตน์ อัตตะ



http://news.enterfarm.com/page/37?s=%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 19/09/2011 9:28 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2011 8:46 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

610. ฟาร์มหอยนางรม





ในการดำเนินกิจการการเกษตรประเภทต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการนำวิวัฒนาการทางเทคโนโลยี รูปแบบเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์และความแปลกใหม่มาสู่กิจการเพื่อความทันสมัยและก้าวล้ำไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าอดีตแต่คงความเป็นเอกลักษณ์ของเกษตรกรไว้อย่างมีคุณค่า

แหล่งเลี้ยงหอยนางรมและหอยแครงที่ตั้งอยู่บริเวณอ่าวบ้านดอน อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี จะห่างจากชายฝั่งประมาณ 3 กิโลเมตร มีเกษตรกรหลายรายดำเนินกิจการหนึ่งในนั้นก็มีนายสมชาย สินมา โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ นายพิสันต์ ประทานชวโน รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายสุทธา สายวาณิชย์ ผอ.สำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน นายสมพร อรุณรัตน์ พัฒนาการจังหวัดสุราษฎร์ธานี และคณะ ได้เข้าไปเยี่ยมชมกิจการของฟาร์ม

โดยฟาร์มแห่งนี้ เป็นหนึ่งในอีกหลาย ๆ ฟาร์มที่ดำเนินการเลี้ยงหอยนางรม หอยแครง และหอยแมลงภู่ ในบริเวณอ่าวบ้านดอน ที่มีเนื้อที่กว่าแสนไร่ ครอบคลุม 5 อำเภอของ จ.สุราษฎร์ธานี มีเกษตรกรที่เลี้ยงหอยนางรม หอยแครง หอยแมลงภู่ มากกว่า 300 ราย โดยแต่ละรายนั้นจะมีการปลูกสร้างขนำ (กระท่อม) กลางทะเลไว้คอยดูแล เฝ้ารักษาหอยนางรม หอยแครง และหอยแมลงภู่ไม่ให้พวกมิจฉาชีพเข้ามา ขโมยในยามวิกาล

นายสมชาย เล่าถึงการเลี้ยงหอยนางรมไว้อย่าง น่าสนใจว่า หอยนางรมดำรงชีวิตอยู่ได้โดยการดูดน้ำรอบ ๆ ตัวเข้าไปทางด้านหนึ่งและปล่อยทิ้งออกอีกด้านหนึ่ง อาหารและก๊าซออกซิเจนจะเข้าไปพร้อมกับน้ำ อาหารของหอยนางรม ได้แก่ แพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ ตอนสัตว์ที่ล่องลอยอยู่ในน้ำ การเลี้ยงหอยนางรมนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้สภาพน้ำ อากาศนั้นคงที่และบริสุทธิ์เพื่อที่จะให้หอยนางรมมีความสมบูรณ์มากที่สุดและเป็นที่ต้องการของตลาด

โดยทั่วไปแล้วการเลี้ยงก็ใช้วิธีการเลี้ยงในกระบะไม้ การเลี้ยงโดยใช้แท่งซีเมนต์ การเลี้ยงโดยใช้หลักไม้ การเลี้ยงโดยใช้หลอดหรือท่อซีเมนต์ และการเลี้ยงแบบพวงอุบะแขวน ซึ่งในแต่ละฟาร์มนั้นมีวิธีการที่เลี้ยงแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และความเชี่ยวชาญของเกษตรกรผู้เลี้ยง โดยฟาร์มของตนนั้นจะมีการเลี้ยงในหลายรูปแบบและมีการอนุรักษ์ธรรมชาติและระบบนิเวศในชุมชนควบคู่กันไปด้วยเพื่อผลผลิตจากฟาร์มและสังคมที่เราอาศัยอยู่

นายสมชาย เล่าต่อว่า ในปี 45 ได้เกิดแนวความคิดที่จะพัฒนาปรับรูปแบบการทำฟาร์มหอยมาเป็นสถานที่เรียนรู้ พักผ่อนหย่อนใจ ภายใต้คำขวัญ “ชิมหอยนางรม ชมขนำกลางทะเล พักฟาร์มสเตย์ มนต์เสน่ห์อ่าวบ้านดอน” โดยวัตถุประสงค์ในการพัฒนาฟาร์มเลี้ยงหอยธรรมดามาเป็นฟาร์มสเตย์นั้น เพื่อเป็นที่พักผ่อนแห่งใหม่ พร้อมกับเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของการทำอาชีพต่าง ๆ ของชาวประมง อีกทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้อาชีพประมงกับสิ่งแวดล้อมป่าชายเลนให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษา และองค์กรต่าง ๆ ที่สนใจ

สำหรับรูปแบบการจัดกิจกรรมนั้น ได้มีการนำเยาวชนในท้องถิ่นมาเป็นมัคคุ เทศก์น้อยเพื่อเป็นผู้นำนักท่องเที่ยวชมการสาธิตการเลี้ยงหอยนางรม หอยแมลงภู่ และหอยแครง ขั้นตอนการเลี้ยงจนถึงการเก็บเกี่ยว, การแกะหอยเพื่อการบริโภค รวมถึงการนำนักท่องเที่ยวทำกิจกรรมการวาง อวนเพื่อดักปลา, ปู, กุ้ง, การช้อนปลากระบอก การคราดหอยแครง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการปลูกป่าชายเลนด้วย.

อรุณี วิทิพย์รอด-นพปฏล รัตนพันธ์




http://news.enterfarm.com


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 08/01/2023 8:26 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2011 8:48 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

611. การเลี้ยงปูดำในตะกร้า





“ปูดำ” เป็นสัตว์น้ำที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่าสัตว์น้ำประ เภทอื่น ปัจจุบันปูดำกำลังได้รับความนิยมในการบริโภคสูง การจับปูดำจากธรรมชาติอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคทำ ให้ราคาในท้องตลาดค่อนข้างสูงโดยเฉพาะปูไข่ ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ ประมาณ 250-350 บาท ฉะนั้น การที่ภาครัฐได้ส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงปูดำเพื่อทดแทนการจับจาก ธรรมชาติจะเพียงพอต่อความต้องการของตลาดได้ และจะช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกรได้เป็นอย่างดี

โดยล่าสุดทางกรมประมง โดยสำนักงานประมงจังหวัดปัตตานี ได้เล็งเห็น ศักยภาพของราษฎรในพื้นที่ชุมชนบาลา ดูวอ หมู่ที่ 2 ตำบลบางปู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ในการเพาะขยายพันธุ์ปูดำ จึงได้เข้าไปส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงปูดำในตะกร้าแก่เกษตรกรซึ่งดำเนินการมา ตั้งแต่ ปี 2550 จนถึงปัจจุบันมีการรวมกลุ่มโดยมีสมาชิกจำนวน 24 ราย สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยให้แก่ชุมชนได้ประมาณ 7,000-10,000 บาทต่อเดือน

สำหรับการเลี้ยงปูดำ ทางสำนักงานประมงจังหวัดปัตตานีแนะนำว่าควรเลือกทำเลที่เป็นบริเวณชายฝั่ง หรือบริเวณปากแม่น้ำ ไม่มีคลื่นลมแรง กระแสน้ำไม่เชี่ยว ปลอดภัยจากภาวะมลพิษ ส่วนการทำตะกร้าและการทำแพนั้น ตะกร้าที่ใช้จะเป็นตะกร้าพลาสติกมีขนาดประมาณ 40x60x15 เซนติเมตร สำหรับแพใช้ท่อพีวีซีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 1-2 นิ้ว ปิดปลายทั้ง 2 ข้าง แล้วต่อให้เป็นแพยาวประมาณ 10-20 เมตร

ใช้ไม้วางพาดขวางยึดท่อให้มีระยะห่างพอดีรองรับกับตะกร้าที่ใช้บรรจุปู ขนาดของตะกร้าที่ใช้บรรจุปูกว้างประมาณ 22 เซน ติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร สูงประมาณ 16 เซนติเมตร โดยการเลี้ยงจะใส่ปู 1 ตัวต่อ 1 ตะกร้า ขนาดลูกปูตั้งแต่ 6.0-7.5 เซนติเมตร สำหรับตะกร้าที่ใช้จะเป็นแบบ 2 ใบมาประกบกัน เพื่อป้องกันแสงแดดและความร้อน ที่สำคัญคือป้อง กันไม่ให้ปูหนีออกจาก ตะกร้า ทั้งนี้ตะกร้า ด้าน บนควรเจาะรูไว้สำหรับให้อาหารปูด้วย โดยให้ปลาเป็ดที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาด 1-2 นิ้ว วันละ 1 ครั้ง

การเลี้ยงปูดำของชุมชนบาลาดูวอ เพื่อการจำหน่ายมี 3 แบบ คือ ปูนิ่ม ปูไข่ และปูเนื้อขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ปูไข่จะเก็บไว้ เพื่อขยายพันธุ์ ซึ่งจะ มีร้านอาหารในพื้นที่มารับซื้อทุกวัน โดยราคาปูนิ่ม และปูไข่จะจำหน่ายประมาณกิโลกรัมละ 250 บาท ถ้าเป็นปูขนาด รุ่นจัมโบ้จะจำหน่ายได้ราคามากหน่อย คือ กิโลกรัมละ 270-280 บาท แต่ทางชุมชนจะเก็บปูนิ่มขายเป็นส่วนใหญ่ เพราะใช้ระยะเวลาเลี้ยงเร็ว ประมาณ 2 อาทิตย์ เมื่อปูลอกคราบก็สามารถเก็บจำหน่ายได้แล้ว ซึ่งถ้าปล่อยให้เป็นปูเนื้อ หรือปูไข่ จะใช้ระยะเวลานานกว่า 1 เดือน ขณะนี้ผลผลิตปูดำของชุมชนบาลาดูวอยังจำหน่าย ได้ปริมาณน้อย เนื่องจากเพิ่งเริ่มดำเนินการได้ไม่นาน ทำให้มีปูจำหน่ายไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งขณะนี้ทางชุมชนกำลังเพิ่มปริมาณการเลี้ยงให้มากขึ้น

เกษตรกรท่านใดสนใจวิธีการเลี้ยงปูดำในตะกร้า สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประมงจังหวัดปัตตานี กรมประมง โทรศัพท์ 0-7334-9591,0-7334-9892 ในวันและเวลาราชการ.



http://news.enterfarm.com


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 08/01/2023 8:26 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2011 8:59 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

612. นกนางแอ่นไฮโซ อยู่คอนโดที่ปาก พนัง






ที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช คนที่นี่ส่วนหนึ่งนิยมสร้าง บ้านให้นกนางแอ่นอยู่กันเป็นจำนวนมาก แถมยังไม่ใช่บ้านนกธรรมดาๆเสียด้วย หากแต่ เป็นคอนโดหลังโตที่ถ้าเทียบกับนกนางแอ่นแถวชุมพร ตรัง กระบี่ ที่ต้องอาศัยถ้ำ ตามเกาะอยู่ก็จะทำให้นกนางแอ่นปากพนังกลายเป็นนกนางแอ่นไฮโซไป ทันที



รังนกนางแอ่นในคอนโด


ส่วนเหตุที่นกนางแอ่นถูกคนปากพนังเชื้อเชิญให้ไปอยู่ในคอนโดนั้น คุณลุงที่ บริษัทผลิตรังนกยี่ห้อขวัญมุย ในตึกคอนโดนก(บริษัทอยู่ชั้นล่าง)สีเหลือง เด่นกลางเมืองที่ว่ากันว่าเป็นบ้านหลังแรกที่สร้างให้นกนางแอ่นอยู่เล่าให้ผมฟัง ว่า

“นกนางแอ่นได้อพยพจากต่างถิ่นเข้ามาอาศัยอยู่ในปากพนังเมื่อ ประมาณ 80 ปีที่แล้ว เนื่องจากที่พนังพนังมีป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ จากนั้นพวก มันก็อาศัยอาคารบ้านเรือนของชาวบ้านทำรัง และเมื่อมันขยายจำนวนมากขึ้น รังนก นางแอ่นก็เพิ่มปริมาณขึ้นเป็นเงาตามตัว ทำให้ชาวบ้านหลายๆคนต้องย้ายบ้านหนี พร้อมๆกับยกบ้านเดิมให้นกทำรัง แลกกับการเก็บรังนกนางแอ่นขาย ที่ถือว่าทำรายได้ เป็นกอบเป็นกำดีที เดียว”

คุณลุง อธิบายต่อว่า ต่อมาทางการได้เข้ามาส่งเสริมให้ทำ เป็นอาชีพ พร้อมๆกับการปลูกบ้านปลูกคอนโดให้นกมาอยู่อาศัยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง จากการสำรวจเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีนกนางแอ่นในปากพนังประมาณ 3 ล้าน 5 แสนตัว มี บ้านและคอนโดนก 100 กว่าหลัง นับว่ามากที่สุดในเมือง ไทย

สำหรับขั้นตอนการทำรังของนกนางแอ่นนั้น เริ่มจากนกนางแอ่นจะ ทำการป้ายน้ำลายลงบนผนัง เพดาน หรือแผนไม้ที่เตรียมไว้ให้ โดยจะป้ายน้ำลายไปที ละนิดๆจนมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ น้ำลายนกเมื่อถูกอากาศจะแข็งเป็นเส้นแข็งแรงมีสี ขาวขุ่น สามารถวางไข่และให้ลูกนกอยู่อาศัยได้สบายๆ



รังนกนางแอ่นที่ยังไม่ผ่านการทำ ความสะอาด



ปีหนึ่งๆนกนางแอ่นจะทำรัง 3 ครั้ง รังแรกจะออกสีขาวขุ่นหรือขาวมัว รังต่อไปจะ มีออกเหลือง ส่วนรังสุดท้ายจะมีสีแดงเรื่อๆ จนเกิดเป็นความเชื่อว่านกนางแอ่น กระอักเลือดมาทำรัง แต่ปัจจุบันนี้มีความเชื่อเพิ่มเติมมาว่า รังสีแดงหรือรัง ที่ 3 นั้นเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง หรือบ้างก็ว่าเป็นจุลินทรีย์บางชนิด ที่จริง- เท็จอย่างไรคงต้องพิสูจน์กันต่อ ไป

ส่วนเรื่องที่ว่ากินรังนกเป็นการทำบาปและร้ายนกนางแอ่นนั้น ถ้าถามคนที่ต่อต้านการกินรังนกนางแอ่นคำตอบที่ได้ก็คือ “บาปแห งมๆ”แต่ถ้าหากถามคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจรังนกนางแอ่นก็จะมีคำตอบไป อีกแบบหนึ่งว่า “ไม่บาป”และถือเป็นเรื่องตามวิถีปกติของนก นางแอ่น เพราะเมื่อนกนางแอ่นต้องการผสมพันธุ์และวางไข่ ก็จะมีฮอร์โมนเพศมา กระตุ้นให้ต่อมน้ำลายสร้างน้ำลายได้เป็นจำนวน มาก

นกนางแอ่นคู่หนึ่งจะใช้เวลาสร้างรังประมาณ 1 เดือน และวาง ไข่ประมาณ 5-7 วัน แต่ถ้ารังถูกทำลายก่อนกำหนดนกก็จะสร้างรังใหม่โดยเลื่อนการ วางไข่ออกไป ซึ่งหากรังนกถูกทำลายโดยธรรมชาติก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ารังนก ถูกทำลายด้วยน้ำมือคน ผมว่ามันก็น่าจะบาปนะ สำหรับการเก็บรังนกที่ปากพนังนี่ เขาจะเก็บกันแบบอนุรักษ์คือปล่อยให้นกวางไข่ออกลูกโตจนบินได้จึงเก็บรังของ มัน



หนึ่งในวิธีการทำความ สะอาด



เชื่อกันว่าคุณประโยชน์ของรังนกนางแอ่นนั้นมีมากหลาย นอกจากจะเป็นยาบำรุงร่าง กายชั้นเลิศแล้ว ยังเชื่อว่ามีสรรพคุณเป็นยา ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึงสดใส ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ อาทิ โรคหืด หลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ ไข้ หวัด ในขณะที่บางคนก็เชื่ออย่างฝังลึกว่ารังนกนางแอ่นเป็นยาโด๊ปชั้นยอดที่กิน แล้วจะช่วยให้ปึ๋งปั๋งขึ้นมาได้เป็นอย่างดีที เดียว

นอกจากนี้ยังเชื่อว่าชาวจีนสมัยราชวงศ์ถังเมื่อ ประมาณ 1,500 ปีที่แล้วเป็นผู้ริเริ่มการบริโภครังนกนางแอ่น โดยนำมาต้มกับ น้ำตาลและผสมในอาหารอย่างอื่นกิน เดิมทีรังนกนางแอ่นเป็นของกินเฉพาะในหมู่คน ชั้นสูง คนมีกะตังค์ ส่วนปัจจุบันดูเหมือนจะลดระดับลงมาหน่อย เพราะหากินหาซื้อ ง่ายขึ้น แถมยังมีรังนกนางแอ่นพร้อมปรุงที่แค่เปิดขวดมา ปรุงเพิ่มนิดหน่อยก็ สามารถกินได้ ทันที

อนึ่งจากการสอบถามพวกที่ทำธุรกิจคอนโดนกผมได้รับคำตอบว่า ทุกวันนี้รังนกนางแอ่นในปากพนังถ้าเป็นรังดิบๆที่เก็บจากแหล่งจะซื้อ-ขายกัน กิโลกรัมละ 5-7 หมื่นบาท แต่ถ้าเอามาล้างทำความสะอาดและผ่านกรรมวิธีต่างๆก็จะ ขายกันถึงกิโลกรัมละ 1 แสนบาทเลยทีเดียว สมัยก่อนรังนกนางแอ่นได้รับการยกย่อง ให้เป็น “คาร์เวียร์แห่งตะวันออก”แต่มาในยุคนี้ พ.ศ.นี้ รังนกนางแอ่นถูกยกให้ เป็น“ทองคำขาว”เนื่องจากราคาของมันสูงเทียบได้กับน้องๆของทองคำเลยที เดียว

ด้วยเหตุนี้หากใครไปเที่ยวปากพนังก็อย่าได้แปลกใจไปว่า ทำไมคนที่นี่เขาถึงลงทุนลงแรงสร้างบ้าน สร้างคอนโดให้นกอาศัยอยู่ คอนโดนกต่าง จากคอนโดคนตรงที่ไม่ต้องทำหน้าต่าง ไม่ต้องติดแอร์ ไม่ต้องมีเฟอร์นิเจอร์ ไม่ ต้องมีห้องน้ำส้วม แต่จะทำรูทำช่องไว้ให้นกบินเข้าไปอาศัยอยู่ โดยจะมีแผ่นไม้ ไว้ให้นกทำ รัง

ส่วนใหญ่ห้องๆหนึ่งจะมีขนาดเฉลี่ยประมาณ 4x4 เมตร นกจะทำรัง ดิบๆได้เฉลี่ยประมาณ 3 กิโลกรัม ก็จะทำให้การเก็บแต่ละครั้งมีรายได้ประมาณ 2 แสนบาทต่อห้อง (แต่เขาจะใช้วิธีเวียนกันเก็บตามความเหมาะสม ไม่ได้เก็บแต่ละห้อง ทุกเดือน เหมือนเก็บค่าเช่าคอนโดคนปกติ) ใครยิ่งมีคอนโดนกมาห้องก็ยิ่งมีรายได้ มากขึ้นเป็นเงาตาม ตัว

แต่ถ้าห้องไหนมีนกไปทำรังน้อยเขาก็จะมีวิธีการดึงนกหรือ เรียกนกด้วยการเปิดเสียงนกนางแอ่นปลอมล่อให้นกนางแอ่นจริงบินเข้าไปสร้างรัง เนื่องจากนกนางแอ่นคู่หนึ่งๆ เมื่อมันเริ่มทำรังตรงไหนแล้วมันก็จะมาทำรังตรงที่ เดิมของมันต่อจนกว่าลูกจะโตบินได้และถูกเก็บรังไปนั่นแหละ จึงจะไปหาที่ทำรัง ใหม่

นอกจากห้องรังนกแต่ละห้องจะทำรายได้จำนวนมากแล้ว เดี๋ยวนี้ ธุรกิจทำรังนกได้มีการพัฒนาไปเป็นธุรกิจอสังหาคอนโดรังนก โดยการสร้างคอนโดนก แบ่งขายเป็นหลังหรือแบ่งให้เช่าเป็นห้องๆสำหรับผู้ที่สนใจในธุรกิจด้านนี้อีก ต่างหาก (ช่วงที่ผมไปปากพนังเห็นคนงานกำลังก่อสร้างคอนโดใหม่ให้นกอยู่กันอีก หลายหลังที เดียว)

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์




http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1111091


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 19/09/2011 9:28 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 19/09/2011 9:17 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

613. การเลี้ยงปลาไหลนา



งานเลี้ยงปลาไหลนาในยางในรถจักรยานยนต์เก่า ที่ วิทยาลัยเกษตรกรรมฯ ระนอง

“ปลาไหลนา” จัดเป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งที่ชอบอาศัยอยู่ในคู คลอง หนอง บึงต่างๆ ในธรรมชาติของปลาไหลเป็นสัตว์ที่ชอบอาศัยตามพื้นดิน โคลนที่มีซากสัตว์เน่าเปื่อยสะสมอยู่หรือบริเวณที่ปกคลุมด้วยวัชพืช เช่น หญ้าน้ำ หรือบัวชนิดต่างๆ ปลาไหลสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย และได้มีการจำแนกปลาไหลนาออกเป็น 2 ชนิด คือ สีดำ กับสีเหลือง ซึ่งทั้ง 2 ชนิด จะมีรูปร่างลักษณะลำตัวกลมยาวคล้ายกับงู สามารถอาศัยอยู่ในสภาพพื้นที่แห้งแล้งไม่มีน้ำได้นาน ในฤดูร้อนธรรมชาติของปลาไหลจะขุดรูอาศัยลึก ประมาณ 1-1.5 เมตร และจะออกหาอาหารเพื่อการเจริญเติบโตและแพร่ขยายพันธุ์ในช่วงฤดูฝนถัดไป

ปัจจุบัน ปลาไหลนา ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดเกือบทั้งหมดจับมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ปัจจุบันประชากรของปลาไหลนาในธรรมชาติเหลือน้อยเต็มที ขณะที่ความต้องการในการบริโภคปลาไหลจะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายคนยังไม่ทราบว่าในบรรดาปลาน้ำจืดที่จัดอยู่ในกลุ่มที่มีไขมันต่ำที่สุด มีปลาไหลรวมอยู่ด้วย คือมีปริมาณไขมันน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 กรัม ต่อ 100 กรัม

ปลาไหล จัดเป็นสัตว์ที่ตื่นตกใจง่ายและกินสัตว์ที่มีชีวิตขนาดเล็กพอดีกับปากเป็น อาหารและซากสัตว์ ปัจจุบันจึงได้มีความพยายามที่จะหาวิธีเลี้ยงปลาไหลนาด้วยวิธีการเลียนแบบ ธรรมชาติขึ้นมา อีกทั้งในการเลี้ยงสามารถฝึกปลาไหลให้กินอาหารสำเร็จรูปได้ทั้งประเภทจมและ ลอยน้ำ ปลาไหลมีลำตัวยาวและจะทอดยาวไปตามแนวรูหรือภาชนะที่อาศัย หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าปลาไหลทนทานในน้ำที่มีออกซิเจนต่ำได้ดีและไม่ชอบสภาพ น้ำลึก เนื่องจากจะขึ้นมาฮุบอากาศ

อาจารย์ประพัฒน์ ปานนิล จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีระนอง โทร. (087) 275-2148 ได้ประยุกต์นำยางในรถจักรยานยนต์เก่ามาทดลองเลี้ยงปลาไหลนาได้ผลดีและมีต้น ทุนในการผลิตต่ำ และเป็นการนำวัสดุเหลือใช้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีงานวิจัยเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาไหลนาหลายเรื่องที่บอกว่า ปลาไหลนาจัดเป็นปลาพื้นเมืองของไทย มีการแพร่กระจายตามแหล่งน้ำทั่วไป จัดเป็นปลาที่มีการเปลี่ยนเพศได้ ปลาเล็กเป็นปลาเพศเมีย แต่เมื่อมีน้ำหนัก 400 กรัม ขึ้นไป จะเป็นเพศผู้ ปลาไหลจึงนำมาเลี้ยงในพื้นที่แคบๆ ได้ สามารถนำมาเพาะขยายพันธุ์ในบ่อที่มีพื้นที่เพียง 1.6 ตารางเมตร ได้ นอกจากนั้น ยังมีการศึกษาวิธีการเลี้ยงปลาไหลนาในท่อซีเมนต์กลมจนประสบความสำเร็จเป็น ที่น่าพอใจ

อาจารย์ประพัฒน์ ได้อธิบายถึงขั้นตอนในการเลี้ยงปลาไหลนาในยางในรถจักรยานยนต์เก่า เริ่มจากการคัดเลือกยางในรถจักรยานยนต์เก่าที่มีรอยขาดน้อยเพื่อให้ปลาไหล ออกได้ ตัดเอาส่วนที่เป็นโลหะออกเพื่อป้องกันสนิมที่จะเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในน้ำ จากนั้นให้นำยางในไปแช่น้ำนานอย่างน้อย 15 วัน เพื่อกำจัดกลิ่นและล้างทำความสะอาด นำยางมาสวมต่อกับข้อต่อ PVC 4 ทาง ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว 2 ด้านจะเป็นรูปวงกลม มีท่อ PVC 4 ทาง เชื่อมต่อ

ในการเตรียมข้อต่อท่อ PVC ก่อนที่จะนำมาต่อเชื่อมจะต้องนำข้อต่อรูด้านล่างแช่ในน้ำเดือดนานประมาณ 3 นาที เพื่อให้อ่อนแล้วหนีบด้วยไม้กระดานให้ปลายตีบแบน เพื่อป้องกันปลาไหลหนีและเป็นแอ่งอาหาร รูข้อต่อท่อ PVC ทางด้านบนจะเจาะรู ขนาด 2-3 หุน จำนวน 2 รู เพื่อเป็นที่ระบายอากาศ นำท่อ PVC ขนาด 1.5 นิ้ว ตัดเป็นท่อนยาว 10 เซนติเมตร นำไปแช่ในน้ำเดือด 3 นาที เช่นกัน เพื่อให้อ่อนนุ่มแล้วหนีบด้วยไม้กระดานให้ปลายตีบแบน แล้วนำไปใส่ในรูด้านบนเพื่อป้องกันปลาไหลหนี ถึงเวลาให้อาหารเปิดออก เมื่อให้เสร็จปิดกลับเหมือนเดิม หลังจากประกอบอุปกรณ์ดังกล่าวเสร็จนำไปแขวนหรือวางเป็นแนวนอนในน้ำ ให้ระดับน้ำสูงไม่เกินครึ่งหนึ่งของข้อต่อท่อ PVC

อาจารย์ประพัฒน์ จะปล่อยปลาไหลนาเลี้ยงในวงล้อยางในรถจักรยานยนต์เก่า วงละ 1 ตัว โดยใช้ปลาเป็ดบดหรือสับเป็นชิ้นเล็กๆ เป็นอาหาร ให้อาหารวันละมื้อเดียวตอนเย็น เมื่อเลี้ยงปลาไหลได้ครบ 90 วัน พบว่าจากการเลี้ยงปลาไหลที่มีน้ำหนักตัวเฉลี่ย 100 กรัม (1 ขีด) จำนวน 5 ตัว ผลปรากฏว่าน้ำหนักของตัวปลาไหลเพิ่มขึ้นเป็น 200 กรัม ต่อตัว จากการสังเกตพบอีกว่าปลาไหลนาที่เลี้ยงในยางในรถจักรยานยนต์เก่า กินอาหารได้ดีกว่าและอัตราการเจริญเติบโตดีกว่า (จากการสังเกตพฤติกรรมการกินอาหารและการอยู่อาศัยของปลาไหลนาที่เลี้ยงในยาง ในรถจักรยานยนต์เก่าพบว่า สามารถฝึกปลาไหลให้กินอาหารกุ้งและอาหารปลาดุกได้ แต่ชอบน้อยกว่าปลาเป็ดสดและปลาไหลที่เลี้ยงตั้งแต่ 20 วัน ขึ้นไป จะมีความเชื่องมากขึ้น โดยสังเกตจากการให้อาหารปลาจะกินทันที

ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในการเลี้ยงปลาไหลนาในยางในรถจักรยานยนต์เก่า ได้แก่ ผู้เลี้ยงควรจะล้างทำความสะอาดยางให้สะอาดมากที่สุด เพราะอาจติดคราบน้ำมันหรือสิ่งสกปรกอื่นๆ ที่อาจจะอันตรายต่อปลาได้ ปลาไหลที่นำมาเลี้ยงจะต้องฆ่าเชื้อด้วยการแช่ยาเหลือง อัตรา 2 มิลลิกรัม ต่อน้ำ 5 ลิตร นาน 30 นาที ก่อนที่จะปล่อยลงเลี้ยง ถ้าพบว่าปลาติดโรคมาอาจจะแพร่เชื้อไปยังปลาตัวอื่นได้ ถ้าไม่มีปลาเป็นให้ใช้อาหารกุ้งหรืออาหารปลาดุกแทนได้ ถ้าผู้เลี้ยงสามารถทำอาหารและให้เหมาะกับปากพอดีโดยที่ปลาไม่ต้องแทะ

สำหรับ วิธีการเพาะขยายพันธุ์ปลาไหลนานั้นทางชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรได้เดิน ทางไปเก็บรวบรวมข้อมูลจาก คุณทองสุข พลอาชา อยู่บ้านเลขที่ 159/5 หมู่ที่ 1 ตำบลพรานกระต่าย อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร โทร. (087) 847-7829 นับเป็นเกษตรกรที่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงปลาไหลนามานาน เฝ้าสังเกตและทดลองเลี้ยงด้วยความอดทน จนประสบความสำเร็จในการเพาะขยายพันธุ์ปลาไหลนา นำมาอนุบาลจนรอดและขายได้ คุณทองสุขได้อธิบายถึงขั้นตอนในการเพาะขยายพันธุ์ปลาไหลไว้อย่างน่าสนใจดัง นี้


หาพ่อ-แม่พันธุ์ปลาไหลจากแหล่งธรรมชาติ
คุณทอง สุข ไม่แนะนำให้ซื้อปลาไหลจากตลาดสดมาเลี้ยงเป็นพ่อ-แม่พันธุ์ เนื่องจากปลาไหลที่จับมาขายที่ตลาดส่วนใหญ่จะมีการจับด้วยวิธีการชอร์ตไฟฟ้า ซึ่งอาจจะทำให้ปลาเป็นหมัน ควรจะซื้อจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่ชาวบ้านจับได้โดยใช้ลันดักปลาไหล เป็นต้น คุณทองสุขจะซื้อปลาไหลนาในช่วงฤดูฝนมาเก็บไว้เพื่อเลี้ยงเป็นพ่อ-แม่พันธุ์ ขนาดของปลาไหลนาที่จะนำมาเป็นแม่พันธุ์ได้ดีที่สุดควรจะมีขนาดความยาว ประมาณ 40-45 เซนติเมตร ถ้าแม่พันธุ์มีความสมบูรณ์สูงสุดจะให้ไข่ได้เฉลี่ย 500-1,000 ฟอง สำหรับพ่อพันธุ์ควรเลือกปลาไหลนาที่มีขนาดใหญ่และมีความยาวของลำตัวมากกว่า 60 เซนติเมตร (วิธีสังเกตปลาไหลเพศผู้ให้ดูส่วนท้องจะไม่อูม ตัวเรียวยาวมีสีเหลืองคล้ำ บริเวณช่องเพศจะมีสีขาวซีด)

ในการเตรียม บ่อเพาะขยายพันธุ์ปลาไหล คุณทองสุขจะใช้วงบ่อซีเมนต์กลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 120 เซนติเมตร สูง 40 เซนติเมตร จำนวน 2 วงบ่อ โดยวางวงบ่อซ้อนกัน บริเวณพื้นบ่อจะต่อท่อระบายน้ำสำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำ หลังจากนั้น บริเวณพื้นบ่อจะเทปูนปิด เนื่องจากปูนจะมีความเค็มจะส่งผลต่อผิวหนังของปลาไหลจะทำให้เกิดแผลได้ ก่อนปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์จะต้องล้างบ่อเพื่อลดความเค็มของปูนให้หมดเสียก่อน วิธีการเปิดน้ำให้เต็มบ่อและสับต้นกล้วยเป็นชิ้นๆ ใส่ลงไปหมักแช่ทิ้งไว้นานประมาณ 7 วัน ถ่ายเทน้ำออกให้หมดและแช่ต้นกล้วยหมักซ้ำอีกครึ่งหนึ่งเป็นเวลา 7 วัน เช่นกัน ต้นกล้วยจะดูดซับความเค็มของปูนจนหมด


เทคนิคการเพาะขยายพันธุ์ปลาไหลนา จะเลียนแบบธรรมชาติมากที่สุด
วัสดุ ที่จะใส่ลงไปในวงบ่อเพาะขยายพันธุ์ปลาไหลนานั้น พื้นล่างควรปูด้วยฟางข้าวให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร (ฟางข้าวจะต้องแช่น้ำทิ้งไว้ ประมาณ 5-7 วัน) ฟางข้าวจะเป็นอาหารให้ปลาไหลได้กินเมื่อฟางเริ่มผุเปื่อย ในขณะเดียวกันฟางข้าวที่ใส่ลงไปจะทำให้เกิดไรแดงและหนอนแดง ซึ่งเป็นอาหารของปลาไหล ชั้นต่อมาให้ใส่ดินเหนียวที่มีเนื้อละเอียด (วิธีการทดสอบดินเหนียวที่มีเนื้อดินละเอียด ให้นำดินมาละลายน้ำจะต้องคล้ายๆ น้ำแป้ง) เนื่องจากถ้าเป็นดินที่ไม่มีความละเอียดพอ มีเม็ดหินหรือทรายปนอยู่จะทำให้ปลาไหลเป็นแผลได้ เทคนิคในการใส่ดินลงในวงบ่อซีเมนต์จะต้องใส่ให้มีความลาดเอียงจากต่ำสุดไล่ ระดับไปจนถึงสูงสุด ส่วนของดินที่ต่ำที่สุดมีความสูงประมาณ 10 เซนติเมตร ส่วนสูงที่สุดประมาณ 30 เซนติเมตร ซึ่งเป็นส่วนดินที่โผล่พ้นน้ำเพื่อให้ปลาไหลขึ้นมาหายใจและกินอาหารในเวลา กลางคืน ใส่น้ำลงไปให้ระดับน้ำสูงกว่าส่วนของดินที่ต่ำที่สุด ประมาณ 10 เซนติเมตร ใส่ผักตบชวาและแหนลงไปในวงบ่อซีเมนต์ เพื่อเป็นที่หลบอาศัยของลูกปลาไหลที่จะเกิดมา ขั้นตอนสุดท้ายนำอิฐบล็อคปักลงไปในดินเหนียว อิฐบล็อคจะใช้เป็นหลักสำหรับเสียบอาหารให้ปลาไหลกิน เช่น โครงกระดูกไก่ เศษเนื้อ ฯลฯ อิฐบล็อคจะทำให้อาหารไม่ลอยโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ จะเน่าเปื่อยอยู่ใต้น้ำและไม่ส่งกลิ่นเหม็น เมื่อเตรียมบ่อเพาะขยายพันธุ์ปลาไหลนาเสร็จทุกขั้นตอนแล้ว ควรจะทิ้งบ่อเพื่อปรับสภาพอย่างน้อย 1 เดือน จึงจะปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์ลงในบ่อเพาะได้


การปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์ปลาไหลนา
คุณ ทองสุข จะมีการเตรียมบ่อเพาะขยายพันธุ์ปลาไหลนาในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม และจะปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ฤดูผสมพันธุ์ปลาไหลนาจะเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม-สิงหาคม จากประสบการณ์ของคุณทองสุขจะปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์ปลาไหลนา จำนวน 4 คู่ ต่อ 1 วงบ่อซีเมนต์ เป็นอัตราที่เหมาะสมที่สุด มีการจัดการดูแลง่าย ในกรณีที่ใช้พ่อ-แม่พันธุ์ที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กอาหารที่ใช้ เลี้ยงพ่อ-แม่พันธุ์ คุณทองสุขจะเลี้ยงด้วยอาหารปลาดุกเล็ก เบอร์ 11 คลุกกับน้ำมันตับปลา จะช่วยเร่งความสมบูรณ์ให้กับแม่พันธุ์และออกไข่ได้ดีขึ้น ถ้าเป็นพ่อ-แม่พันธุ์ที่จับมาจากธรรมชาติจะให้เป็นอาหารสด เช่น ไขมันวัว ไขมันควาย ฯลฯ เนื่องจากมีราคาถูก นำมากดลงในอิฐบล็อคให้จมน้ำ ปลาไหลจะไปกินเอง ปลาไหลจะเริ่มผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงเช้ามืด ไข่ปลาไหลจะมีลักษณะกลมและมีสีเหลือง หลังจากเห็นไข่แล้วอีกราว 5-10 วัน จะสังเกตเห็นลูกปลาไหลนาที่มีความยาว ประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร

หนังสือ “เลี้ยงปลาไหลนาในยางในรถจักรยานยนต์เก่า” พิมพ์ 4 สี มีแจกฟรี พร้อมกับหนังสือ “การปลูกมะเดื่อฝรั่งเชิงพาณิชย์” รวม 120 หน้า เกษตรกรและผู้สนใจเขียนจดหมายสอดแสตมป์ 50 บาท ส่งมาขอได้ที่ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เลขที่ 2/200 ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร 66000 โทร. (056) 613-021, (056) 650-145 และ (081) 886-7398

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ



http://news.enterfarm.com/page/5?s=%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%81
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 6:59 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน !

614. จีนประสบความสำเร็จ ในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวบำรุงโลหิต



ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในจีน รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรเซี่ยงไฮ้ ได้ประกาศข่าวดีเกี่ยวกับความสำเร็จในการพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ที่ให้พลังงานและน้ำตาลในปริมาณที่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ดร.โพ่ จง เจ๋อจากสถานีวิจัยและปรับปรุงพันธุ์พืชไร่ของสถาบันดังกล่าวได้แนะนำว่า ทางสถานีได้มีโครงการความร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างประเทศกับสำนักงานพัฒนาการเกษตรสาธารณรัฐเกาหลี โดยประสบความสำเร็จในการพัฒนาข้าวเมล็ดกลมที่มีคุณสมบัติลดไขมันและน้ำตาลในเลือดเป็นครั้งแรก ถ้าข้าวสายพันธุ์นี้ได้รับการส่งเสริมให้มีการปลูกแล้ว จะทำให้ได้ข้าวที่สามารถช่วยลดอัตราการเกิดโรคที่เกิดกับโลหิตอันได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด และโรคเบาหวาน ทั้งยังสามารถช่วยแก้ปัญหาในการรับประทานข้าวให้กับผู้ป่วยอีกด้วย

ในปัจจุบันนี้ ประเทศจีนมีแนวโน้มของอัตราการเกิดโรคที่เกิดจากการกินอาหารไม่สมดุลและมีสารอาหารมากจนเกินความต้องการ หรือ “โรคคนรวย” เพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน เป็นต้น เป็นโรคหลักๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้คน จากข้อมูลสถิติ ในขณะนี้ประเทศจีนมีจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานมากกว่า 20 ล้านคน และเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานมากเป็นอันดับสองของโลก และมีการคาดการณ์ว่า จำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานนี้จะมีจำนวนมากถึง 60 ล้านคนในปี 2568 นอกจากนี้ประเทศจีนยังมีจำนวนผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงถึง 160 ล้านคน ทุกปีจะมีคน 2.5 ล้าน ถึง 3 ล้านคนที่เสียชีวิตด้วยโรคของเส้นเลือด โรคชนิดนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนเมืองและคนชนบทเสียชีวิต โดยในประเทศจีน มีจำนวนผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีมากกว่า 100 ล้านคน และเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 ล้านคนในแต่ละปี

ข้าวเป็นอาหารหลักของชาวจีน เป็นแหล่งที่มาของคาร์โบไฮเดรตและพลังงานหลัก อาศัยการปรับปรุงส่วนประกอบของสารอาหารที่มีอยู่ในข้าว ลดการดูดซึมพลังงานของร่างกาย ก็จะช่วยให้สามารถลดอัตราการเกิด “โรคคนรวย”นี้ ได้

จากการทดลองกับหนูทดลองที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิด 2 พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดของหนูทดลองที่กินข้าวพันธุ์ใหม่นี้ น้อยกว่าหนูทดลองที่กินข้าวธรรมดาร้อยละ 19.2 Triglyceride ลดลงร้อยละ 52.9 คอเลสเตอรอลลดลงร้อยละ 89.9 HDL-C ลดลงร้อยละ 38.1 LDL-C ลดลงร้อยละ 43.2 จะเห็นได้ว่า เมื่อบริโภคข้าวชนิดนี้ จะช่วยให้สามารถป้องกันและควบคุมการเกิดโรคชนิดเดียวกันนี้ในมนุษย์ และมีคุณสมบัติช่วยบำรุงโลหิตอีกด้วย

คณะผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่า โครงการดังกล่าวได้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายในแต่ละข้อของสัญญาที่กำหนดไว้ และเสนอแนะให้ทางคณะกรรมการวิทยาศาสตร์นครเซี่ยงไฮ้ได้สนับสนุนให้เงินทุนต่อไป โดยเฉพาะในเรื่องของการสาธิตการเพาะปลูกข้าวพันธุ์ที่มีความต้านทานสูงในหลายๆ จุด เทคโนโลยีการเพาะปลูกอย่างครบวงจร ตลอดจนการส่งเสริมการเพาะปลูกหลังจากที่ได้ผ่านการยื่นตรวจสอบสายพันธุ์แล้ว

ดร.โพ่ จง เจ๋อเป็นนักปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่มีชื่อเสียงของจีน มีผลงานในหลายๆ ด้าน เช่น ข้าวพันธุ์ “แสงจันทร์” เป็นข้าวที่มีความอร่อย มีคุณค่าทางอาหารสูง และให้ผลผลิตสูง จึงเป็นที่นิยมมาก โดยในระหว่างที่ ดร.โพ่และทีมงานได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศที่เกี่ยวข้องอยู่นั้น พวกเขาได้มุ่งเน้นไปยังการปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่สามารถช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ในเวลาเดียวกัน พวกเขายังได้ใช้หลักการนี้ในการปรับปรุงพันธุ์พืชไร่ชนิดอื่น ๆ อีกด้วย โดยขณะนี้ ทางทีมงานของโครงการนี้ยังได้ทุ่มเทให้กับการวิจัยเทคนิคในการเพาะปลูกข้าวลดไขมันและน้ำตาลในเลือดในเชิงอุตสาหกรรมอีกด้วย นอกจากนี้แล้ว การพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าว ยังต้องอาศัยความร่วมมือกับภาคธุรกิจการเกษตรของเอกชนที่มีศักยภาพ มีการผลิตที่ครบวงจร จึงจะทำให้โครงการนี้เกิดประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด



http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1268797366&grpid=03&catid=00
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 7:02 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

615. "Golden Rice 2" ข้าว จีเอ็มโอ พันธุ์ใหม่ เพิ่มเบต้าแคโรทีน 23 เท่า



ถึงแม้พืชตัดแต่งพันธุกรรม หรือพืชจีเอ็มโอ ยังเผชิญกับกระแสคัดค้าน เนื่องจากยังไม่มีข้อสรุปที่สามารถยืนยันได้ถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพ แต่ดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษยังคงเดิน

หน้าทดลอง และนำมาซึ่งข้าวพันธุ์ "golden rice 2" ที่อ้างว่า ได้เพิ่มสารเบต้าแคโรทีน 23 เท่าอยู่ในเมล็ดพันธุ์ข้าว เพื่อช่วยแก้ปัญหาตาบอดในเด็กที่มีจำนวนผู้ป่วยปีละเกือบ 5 แสนราย

คณะนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก บริษัท ซินเจนตา ได้นำเสนอผลการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ หรือ "golden rice" ที่ตีพิมพ์ในวารสารเนเชอร์ ไบโอเทคโนโลยี ฉบับเดือนเมษายน โดยระบุว่า ทีมวิจัยได้ตัดต่อพันธุกรรมข้าวเพื่อเพิ่มสารเบต้าแคโรทีน หรือโปร-วิตามินเอให้มากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งจากการทดลองครั้งล่าสุด ทีมวิจัยสามารถเพิ่มสารดังกล่าวได้มากถึง 23 เท่า เมื่อเทียบกับผลการทดลองครั้งแรก ซึ่งสารเบต้าแคโรทีนนี้จะช่วยแก้ปัญหาภาวะขาดวิตามินเอ และปัญหาโรคตาบอดในเด็กที่มักจะเกิดในประเทศกำลังพัฒนาได้

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รายงานว่า ภาวะขาดวิตามินเอเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กๆ ต้องกลายเป็นคนตาบอดถึงปีละ 250,000-500,000 คน และมากกว่าครึ่งหนึ่งที่สูญเสียการมองเห็นอาจเสียชีวิตภายใน 1 ปี ซึ่งภาวะขาดวิตามินเอเป็นอันตรายต่อระบบต้านทาน คิดเป็น 40% ของเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบในประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายแรงเนื่องจากการติดเชื้อในเด็กด้วย ซึ่งภาวะขาดวิตามินเอในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาถือว่าอยู่ในขั้นรุนแรง

การทดลองเพิ่มสารเบต้าแคโรทีนในข้าวเริ่มมาตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อนในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าการทดลองตัดต่อพันธุกรรมข้าวจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ แต่ผลการทดลองครั้งแรกนั้นยังไม่สามารถผลิตสารเบต้าแคโรทีนได้มากพอสำหรับการกินข้าวในแต่ละวัน โดยในครั้งนั้นสามารถผลิตโปรวิตามินเอได้เพียง 1.6 ไมโคร กรัมต่อข้าว 1 กรัม ต่างกับครั้งนี้ที่สามารถสร้างโปรวิตามินเอได้มากถึง 37 ไมโครกรัมต่อข้าว 1 กรัม

ข้าวตัดต่อยีนเฟส 2 ได้รับการพัฒนาจากห้องแล็บไบโอเทคโนโลยีของบริษัทซินเจนต้าในอังกฤษ ซึ่งผลิตข้าวพันธุ์ใหม่พร้อมที่ส่งไปยังศูนย์วิจัยทั่วเอเชีย หากรัฐบาลประเทศต่างๆ ตัดสินใจที่จะเดินหน้าโครงการนี้ บริษัทจะจัดส่งพันธุ์ข้าวไปทดลองปลูกในแปลง

ทั้งนี้ ในเอเชียมีจำนวนผู้บริโภคข้าวเฉลี่ย 2-3 ครั้งต่อวัน ซึ่งประเทศที่มีประชากรมากติดอันดับโลก 3 ประเทศ ได้แก่ จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรรวมกันราว 2.5 พันล้านคน ได้ประกาศเป็น "สังคมแห่งข้าว" หรือ rice based

societies นอกจากนี้ ข้าวยังได้กลายเป็นอาหารสำคัญของชาวแอฟริกาส่วนใหญ่ด้วย จึงนับได้ว่าข้าวเป็นอาหารสำคัญของมนุษย์กว่าครึ่งโลก แต่แม้ข้าวจะให้พลังงานแคลอรีแก่ร่างกาย แต่ข้าวขาวก็ไม่ได้มีสารเบต้าแคโรทีน หรือข้าวที่ไม่ผ่านการสีก็มีสารดังกล่าวในปริมาณไม่มากนัก

สถาบันวิจัยข้าวในฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินเดีย บังกลาเทศ จีน และอินโดนีเซีย ก็มีแผนที่จะพัฒนาข้าว golden rice ให้เหมาะสมกับประเทศของตน แต่ก็ยังอยู่ในขั้นตอนที่แตกต่างกัน ซึ่งข้าวพันธุ์โกลเด้นนี้สามารถเข้ากันได้กับระบบการทำนาแบบดั้งเดิม เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคทาง การเกษตรเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังไม่เชื่อว่า golden rice จะเป็นคำตอบสุดท้ายในการแก้ปัญหาภาวะขาดวิตามินเอ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรและกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การสร้างสมดุลในการบริโภคอาหารน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

นายคริสตอฟ เดน โฆษกฝ่ายพันธุวิศวกรรมของกรีนพีซ กล่าวว่า เวลา 5 ปีที่ศึกษาเรื่องนี้

นักวิจัยก็ยังไม่ทราบว่าโปรวิตามินเอที่สร้างขึ้นจะสลายไปในระหว่างหุงข้าวหรือไม่ นอกจากนี้ ก็ยังไม่ได้มีการประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพของประชาชนที่บริโภค รวมถึงความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม

ต่อประเด็นนี้ จอร์จ เมเยอร์ ผู้จัดการโครงการ golden rice ในเฟรเบอร์ก คาดการณ์ว่า คณะวิจัยจะสามารถตอบข้อกังขาเกี่ยวกับคุณค่าของเบต้าแคโรทีนในข้าวสายพันธ์ใหม่ได้ภายในปลายปี 2548 นี้ หลังจากได้ทดลองให้ประชาชนลองบริโภคข้าว golden rice สายพันธุ์เดิมแล้ว




ที่มา...www.http://www.matichon.co.th/prachachat/
http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_food/a_fd_4_00t.asp?info_id=168
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 7:09 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

616. ข้าวไผ่

ข้าวไผ่ เป็นอย่างไร ต้องแวะไปดูที่ประเทศจีนครับ เพราะยังไม่เคยปรากฏมีที่ไหนมาก่อนเลย

ข้าวไผ่เป็นข้าวผสมข้ามสายพันธุ์ ที่เกิดจากการผสมข้ามระหว่าง ข้าว และ ไผ่ ครับ ไม่ใช่ข้าวลูกผสม ไฮบริด ระหว่างข้าวด้วยกันเอง เป็นการคิดนอกกรอบที่ออกจะน่าทึ่งของนักวิชาการเกษตรจีนนายหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันได้รับการขนานนามเป็น บิดาแห่งข้าวไผ่ เรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้วครับ

ข้าวไผ่ นี้ได้รับการเปิดตัวในงานสังสรรคแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเกษตรครั้งที่ 5 ที่จัดขึ้น ณ. เมือง จี่หนาน (济南) มณฑล ซานตง (山东) ทางตอนเหนือของประเทศจีน เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2007 จากการนำเสนอของโรงเรียนเกษตรกรรม ไหมเจาหนงแอย๊ะเซวียะเซี่ยว (梅州农业学校) และนักวิชาการเกษตรนามว่า จง จางไหม่ (钟章美) ผู้ทำการผสมพันธุ์ข้าวไผ่ 2 สายพันธุ์ คือ จู๊ต้าว 966 และ จู๊ต้าว 989 (竹稻 966 竹稻 989)




คุณ จง จางไหม่ เป็นเจ้าหน้าที่นักวิชาการเกษตรที่เกษียณจากหน้าที่การงานแล้ว ในวัย 70 นี้ยังคงทำงานวิจัยนี้ในศูนย์วิจัยข้าวไผ่ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน อ่ายหลิง (霭岭村) อำเภอ เจียวหลิง (蕉岭县) อย่างต่อเนื่อง มิได้เกษียณการงานตามอายุที่กำหนดไว้ไม่

เนื่องจากคุณ จง จางไหม่ สังเกตุเห็นถึงลักษณะธรรมชาติของต้นไผ่นั้นมีความคงทนต่อสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศที่กว้างขวาง ทนอากาศหนาวเย็น ทนอากาศร้อน แห้งแล้งได้ดี ทนน้ำท่วมขัง ทนทานทั้งโรคและแมลงได้เป็นอย่างดี มีระบบรากที่หนาแน่น ปลูกที่ไหนก็งอกงามที่นั่น จึงมีความคิดในการที่จะนำเอาคุณสมบัติของต้นไผ่มารวมไว้ในต้นข้าว ซึ่งงสามารถนำไปปลูกในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ เช่นตามไหล่เขาเป็นต้น จากความมุนานะพยามยามกว่าสิบปี จึงประสบกับความสำเร็จในการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่าง ไผ่ กับ ข้าว ได้สำเร็จ



ข้าวไผ่ 989 ที่เป็นข้าวสาร (ซ้าย) และข้าวสวย (หุงแล้วด้านขวา)




ในปี 1971 จง จางไหม่ เริ่มทำการวิจัยทดลองโดยการปลูกข้าวสายพันธุ์หนึ่งเป็นแม่พันธุ์ และปลูกไผ่ไว้กอหนึ่ง ตระเตรียมให้ต้นไผ่ออกดอกตรงกับระยะเวลาที่ต้นข้าวแทงช่อดอก โดยวิธีทรมานต้นไผ่ให้อดน้ำขาดอาหารจนต้นไผ่เจียนตาย (ต้นไผ่จะไม่ออกดอก ถ้าไม่ประสบพบความแห้งแล้งจนถึงขั้นวิกฤต เพื่อเตรียมการสืบพันธุ์ด้วยเมล็ดต่อไป) แล้วให้ปุ๋ยให้น้ำจนกระทั่งต้นไผ่ออกดอกในระยะเวลาเดียวกันกับที่ต้นข้าวแทงช่อดอก จึงทำการผสมเกษรจนได้เมล็ดข้าวไผ่ที่สมบูรณ์จำนวน 3 เมล็ด จากการนำเมล็ดข้าวไผ่ที่ได้ทั้ง 3 นี้ไปทำการเพาะ ได้ต้นกล้า 3 ต้น แต่เฉาตายไป 2 ต้น คงเหลือที่เติบโตได้ดีเพียง 1 ต้น เป็นถือเป็นข้าวไผ่รุ่นที่ 1 ที่เกิดจากการผสมระหว่างข้าวเคอเฉิน (科程) เป็นต้นแม่ และไผ่เขียวชิงจู๊ (青竹) ชนิดหนึ่งเป็นต้นพ่อ ต้นข้าวไผ่ที่เหลือเพียงต้นเดียวนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับต้นไผ่ แตกใบตามข้อ จนกระทั่งอายุได้ 549 วันจึงแทงช่อดอกให้เห็น แต่ทว่าไม่ติดเมล็ด จึงทำการตัดทิ้งไป บำรุงเลี้ยงดูจนเวลาผ่านพ้นไป 736 วัน ข้าวไผ่กอนี้จึงแทงช่อดอกอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ให้เมล็ดข้าวไผ่ที่สมบูรณ์ถึง 136 เมล็ด ปีถัดมา จง จางไหม่ จึงนำเมล็ดข้าวไผ่ทั้งหมดไปปลูกลงแปลงนา แต่งอกเพียง 80 ต้นเท่านั้น ในปี 1976 เดือนธันวาคม จง จางไหม่ ได้นำเมล็ดข้าวรุ่นที่ 2 นี้กลับไปยังศูนย์วิจัยจังหวัด เจียวหลิง (蕉岭县农科所) ดำเนินการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี 1993 ทำการผสมพันธุ์ข้าวไผ่ได้ถึงรุ่นที่ 13 จากระยะเวลาเก็บเกี่ยว 700 กว่าวัน หดสั้นลงเหลือ100 วันเศษๆ ซึ่งมีอายุเก็บเกี่ยวไล่เรี่ยกับพันธุ์ข้าวทั่วๆไป

ต้นปี 2000 จง จางไหม่ ได้ผสมปรับปรุงพันธุ์ข้าวไผ่ที่มีกรรมพันธุ์คงมั่นอยู่ตัวแตกต่างกันหลายลักษณะ

ในปี 2003 จง จางไหม่ ได้นำเมล็ดข้าวไผ่ทั้งหมดไปมอบให้โรงเรียนเกษตรกรรมอันเป็นสถานศึกษาที่ตนเองได้สำเร็จการเรียนมา เพื่อให้ทางโรงเรียนได้ทำการวิจัยทดสอบในเชิงลึกต่อไป และ

ในปี 2004 ด้วยความร่วมมือของโรงเรียนเกษตรกรรม ไหมเจาหนงแอย๊ะเสวียะเซี่ยว (梅州农业学校) กับ สำนักงานวิชาการเมือง ไหมเจาสื้อ (梅州市科技局) ทำการทดสอบปลูก ข้าวไผ่ ในพื้นที่ทดลอง 320 โหม่ว (133 ไร่) รวมทั้งไร่นาของเกษตรกร 12,000 โหม่ว (5,000 ไร่) ผลผลิตที่ได้อยู่ระหว่าง 500 ~ 600 กิโลกรัม / โหม่ว (1,200 ~ 1,440 กก. / ไร่) บางแห่งได้ถึง 800 กิโลกรัม / โหม่ว (1,920 กก. / ไร่)

คุณสมบัติพิเศษของข้าวไผ่นี้มิได้ให้ผลผลิตที่สูงเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมอีกด้วย ข้าวที่หุงสุกมีกลิ่นหอมของไผ่อ่อนๆ มีประกายมันวาว เนื้อนุ่ม อร่อยลิ้น ขณะนี้ทางรัฐบาลท้องถิ่นได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกกันขนานใหญ่ เนื่องจากเป็นข้าวพิเศษที่แตกต่างจากข้าวโดยทั่วไป ขณะนี้ทางมณฑลอื่นๆต่างได้ขอพันธุ์ข้าวไผ่ไปปลูกยังท้องที่ของตนเอง เพื่อปรับปรุงพัฒนาพันธุ์ให้เหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ

คงต้องไปหาซื้อมาหุงต้มลองลิ้มชิมรสบ้างแล้วละว่า อร่อยกว่าข้าวหอมดอกมะลิของไทยเราหรือเปล่า



http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538730910&Ntype=2
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 7:18 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

617. ข้าวหอมสายพันธุ์ใหม่ ที่กว่างซี


ศูนย์วิจัยข้าวเอกชน ฮว๋างสื้อ (黄氏水稻研究所) เมืองเสี้ยงเจา (象州) เขตปกครองตนเองมณฑล กว่างซี (广西自治区 / กวางสี) ได้ทำการวิจัยผสมพันธุ์ข้าวหอมสายพันธุ์ใหม่ ข้าวหอมลูกผสมสามสายพันธุ์นี้เป็นข้าวหอมแดง มีชื่อเรียกว่า ปินหลางหง (槟榔红 / หมากแดง) เป็นข้าวพันธุ์ลูกผสมที่นำเอาข้าวป่าที่ดอกเพศผู้ไม่พัฒนา แหย่ป้าย (野败型不育) มาทำการปรับปรุงพันธุ์ ดังนั้นเมล็ดข้าวพันธุ์ลูกผสมนี้จึงเป็นข้าวที่มียีนดอกเพศผู้ไม่พัฒนาตามไปด้วย นับเป็นพันธุ์ข้าวสีแดงที่มีกลิ่นหอมแรกสุดในประเทศจีน

ข้าวหอมแดงลูกผสมที่ว่านี้ ออกรวงแทงดอกดีมาก คุณภาพเมล็ดข้าวดี มีความต้านทานต่อสภาพแวดล้อมที่ดีอีกด้วย จากการนำเสนอในที่ประชุมข้าวโลกที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศจีน เป็นเป้าที่สนใจของนักวิชาการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเป็นอย่างสูง ได้รับการยกย่องชมเชยในด้านคุณภาพและกลิ่นของข้าวสายพันธุ์นี้โดยทั่วกัน

จากการวิเคราะห์คุณภาพข้าว และคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรของกระทรวงเกษตรของประเทศ รวมทั้งหน่วยงานวิเคราะห์ฯ ของเขตปกครองตนเองกว่างซีเอง รายงานว่าข้าวหอมแดงดังกล่าวมีคุณค่าทางโภชนาหารสูง มีสารเสริมสุขภาพและตัวยาที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าข้าวทั่วๆไป อาทิ ไวตามิน E เฟลวาโนน เบตาแคโรทีน และ กรดลีโนลีนิค โดยเฉพาะกรดลิโนลีนิคนั้นมีสูงกว่าข้าวธรรมดาถึงเท่าตัวเลยทีเดียว ส่วนไฟเบอร์นั้นมีมากกว่า 50 %ขึ้นไป







ข้าวหอมแดงลูกผสมพันธุ์นี้สีออกจำหน่ายเป็น 3 ชนิดด้วยกัน คือ
1. หงปินหลาง A (หมากแดง A) เป็นข้าวกล้อง (สีหยาบ) ถือเป็นข้าวสมุนไพรใช้บริโภคบำรุงสุขภาพ

2. หงปินหลาง B (หมากแดง B) เป็นกึ่งข้าวกล้อง เหมาะใช้หุงเป็นข้าวต้มบำรุงกำลังผู้ป่วยหลังพักฟื้นจากการรักษา คนสูงอายุ หญิงมีครรภ์ เด็กเล็ก มีประโยชน์ในการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง

3. หงปินหลาง C (หมากแดง C) เป็นข้าวขัดขาวสำหรับบริโภคทั่วไป



http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538649837&Ntype=2
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 7:26 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

618. เทคนิคการปลูกข้าวโพด ให้ได้ผลผลิตสูงเท่าตัว








เทคนิคการปลูกข้าวโพดวิธีใหม่นี้เป็นการปลูกที่มีความถี่หนาแน่นเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า วิธีการนั้นก็คือ ให้วางแถวแนวปลูกหันไปตามทิศตะวันออก-ตะวันตก ให้ระยะระหว่างแถวและระหว่างต้นห่างจากกัน 50 เซนติเมตรเท่าๆกัน และหยอดเมล็ดหลุมละ 3 ถึง 4 เมล็ด ให้เมล็ดกระจายออกจากกันเล็กน้อย อย่าหยอดวางกันเป็นกระจุก เมื่อต้นงอกมีความสูงประมาณ 30 เซนติเมตรแล้ว ให้ถอนเหลืออย่างน้อยหลุมละ 3 ต้น แต่ถ้าต้นสมบูรณ์ใกล้เคียงกันทั้งหมด 4 ต้นก็ให้เก็บไว้ทั้งหมดก็ได้


หลังจากนั้นก็ให้จัดการดูแลเหมือนดังที่เคยปฏิบัติ แต่ต้องจัดให้น้ำอย่างเพียงพอ เพราะจำนวนต้นต่อไร่เพิ่มสูงขึ้นเป็นสามเท่าตัวเลยทีเดียว การปลูกด้วยเทคนิคใหม่นี้ทำให้ต้นข้าวโพดติดฟักที่สองสมบูรณ์เพิ่มขึ้นเกือบทุกต้น ช่วงความสูงของลำต้นลดลง แต่ความยาวของใบบนนั้นจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีการแก่งแย่งแสงแดดกันเอง จึงทำให้ใบยืดยาวขึ้น ลักษณะที่เป็นไปเช่นนี้เป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้กับต้นข้าวโพด เนื่องจากลำต้นสั้นเตี้ยลง และการปลูกหลุมละหลายต้นทำให้ระบบรากนั้นเกี่ยวสอดรัดพันกันหนาแน่น ทำให้ยึดเกาะติดกับผืนดินได้แข็งแรงขึ้นอีกมาก การล้มหักของต้นก็ลดน้อยลง


ส่วนการวางแนวปลูกให้หันไปตามทิศตะวันออก-ตะวันตกนั้นก็ทำให้ต้นข้าวโพดได้รับแสงแดดสม่ำเสมอเท่าๆกัน และการปลูกที่มีระยะห่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้นก็เป็นการทำให้การผสมเกสรเป็นไปอย่างทั่วถึง ฝักข้าวโพดจึงติดเมล็ดแน่นสมบูรณ์เต็มฝัก นับเป็นการพัฒนาวิธีการปลูกที่อาศัยการสังเกตอย่างละเอียดและเข้าถึงหลักการรอย่างลึกซึ้ง จึงทำให้ประสบผลสำเร็จที่น่าพึงพอใจเป็นที่สุด



http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=403279&Ntype=2
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 7:30 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

619. เมล็ดข้าวที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจาก ยีน GW 2





เมล็ดข้าวทางด้านซ้ายมือเป็นสายพันธุ์พื้นเมืองปกติ ส่วนเมล็ดข้าวทางขวามือนั้นมียีน GW 2 อยู่ ขีดสีเหลืองตรงกลางนั้นคือขนาดของความยาว 3 มิลลิเมตร


จากความร่วมมือของนักวิชาการจากสำนักวิทยาศาสตร์กลาง จงเคอย่วน (中科院) ฝ่ายสรีระพืชและนิเวศวิทยา เมืองซั่งห่าย (เซี่ยงไฮ้) ได้ทำการโคลนนิ่งยีน GW 2 ที่ควบคุมลักษณะขนาดของเมล็ด และนำไปสอดใส่ลงพันธุ์ข้าวพื้นเมือง ปรากฏว่าสามารถเพิ่มขนาดของเมล็ดข้าวได้อย่างเด่นชัด ดังรูปที่นำมาเปรียบเทียบให้ดูเบื้องล่างนี้ ซึ่งจะมีขนาดเพิ่มขึ้นถึง 1 ใน 3 ส่วนเลยทีเดียว



http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=463845&Ntype=2
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 7:33 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

620. การปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอม ในโครงการ 863 ของประเทศจีน






จากการใช้วิธีการมาร์คกิ้งด้วยดาวเทียมขนาดเล็กร่วมกับวิธี RVA มาร์คกิ้ง มาช่วยในการคัดเลือกปรับปรุงพันธุ์ข้าวจนได้ข้าวหอมที่ตั้งชื่อว่า”จงเจี้ยนหมายเลข 2.” ซึ่งสถาบันวิจัยข้าว กระทรวงเกษตรแห่งประเทศจีนแถลงว่า เป็นพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพเหนือกว่าข้าวหอมไทย บรรลุถึงข้อกำหนด 11 รายการของคุณสมบัติข้าวชั้นหนึ่งเลยทีเดียว มีรูปลักษณ์และคุณสมบัติเทียบได้กับข้าวหอม(ไทย)คุณภาพดีในตลาดโลก และมีกลิ่นหอมของข้าวเทียบได้กับข้าวแบรนด์เนม KDLM 105 (ขาวดอกมะลิ 105) ผลผลิตข้าวสูงกว่าพันธุ์ จงเซียง หมายเลข 1.ห้าเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ซึ่งขณะนี้องค์การค้าข้าว จินเจี้ยนหมี่แอย๊ะ ในมณฑลเหอหนาน และจินเจียกู่หมี่แอย๊ะ ในมณฑลเจียงซี ได้ขยายพันธุ์ส่งเสริมให้ปลูกเป็นข้าวหอมคุณภาพดีอันดับหนึ่งของประเทศ



http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=391379&Ntype=2
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 7:37 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

621. พันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูง กอใหญ่ และต้านทานการล้ม





ด้วยความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์สามกลุ่มจากมหาวิทยาลัยนาโกย่า กับนักวิชาการข้าวจากสถาบันวิจัยข้าวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ทำการศึกษาวิจัยยีนที่ให้ผลผลิตของข้าว และได้ค้นพบยีนที่เกี่ยวข้องกับการให้ผลผลิตของข้าว โดยพบว่ายีนที่ควบคุมการปลดปล่อยฮอร์โมนในการขยายตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ต้นข้าวในช่วงของการเจริญเติบโตนั้น ถ้าสามารถทำให้ลดการปลดปล่อยฮอร์โมนของยีนดังกล่าวนี้ได้ ก็จะทำให้ต้นข้าวมีการเจริญเติบโตและแตกกอมากขึ้น อันจะเป็นการนำไปสู่การติดรวงเพิ่มจำนวนเมล็ดข้าวมากขึ้น ซึ่งก็หมายถึงผลผลิตที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง แต่จากผลที่ว่านี้ จะเกิดผลเสียติดตามมานั่นก็คือ ต้นข้าวที่มีลักษณะเป็น “หัวโต ตีนเล็ก” ทำให้ต้นข้าวไม่แข็งแรงล้มพับหักงอง่าย




พันธุ์ข้าวที่ใช้ยีน Moc 1 เข้าช่วยในการแตก


เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาผลความขัดแย้งของการเพิ่มผลผลิต แต่ต้นไม่แข็งแรง หักล้มง่าย จึงได้นำผลงานวิจัยยีนต้นเตี้ย SD1 และยีนทรงต้น MOC1 (single tiller 1) เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในการปรับปรุงพันธุ์จนได้พันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูง ต้นเตี้ย กอใหญ่ขึ้น

ก่อนหน้านี้ทางกลุ่มนักวิจัยพันธุ์ข้าวของมหาวิทยาลัยนาโกย่าก็ได้ค้นพบยีน Gn1a ที่มีผลต่อการติดดอกออกรวงของข้าวมาแล้ว และพบว่าว่าถ้ายีนดังกล่าวลดการทำงานลงก็จะทำให้การเจริญเติบโตของยีนผลผลิตเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งได้มีการผสมปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ถึง 23 % และตั้งชื่อสายพันธุ์ข้าวนี้ว่า Yue Guang Paddy rice

หลังจากประสบความสำเร็จในการผสม-ปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่ร่วมมือทำการวิจัยนี้แล้ว ได้ทำการปลูกเปรียบเทียบผลผลิตข้าวที่ได้ระหว่างสายพันธุ์ที่ปรับปรุงขึ้นใหม่กับสายพันธุ์ Yue Guang แล้ว ปรากฏว่าสายพันธุ์ใหม่นี้ให้ผลผลิตสูงกว่า 20 % เมื่อเทียบผลผลิตต้นต่อต้นโดยที่มีคุณภาพเหมือนเดิมทุกประการ




http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=456648&Ntype=2
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 7:42 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

622. การผลิตพันธุ์ข้าวลูกผสม ทำได้อย่างไร ?



แปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวลูกผสมเผยจ๋าซวงชี (培杂双七 หรือ培杂เผยจ๋า 77)


แถวที่เห็นรวงข้าวห้อยระย้านั่นก็คือสายพันธุ์ที่มีแต่ดอกตัวเมีย (ดอกตัวผู้ไม่พัฒนา จึงไม่มีเกสรตัวผู้) ที่ได้รับการผสมเกสรข้ามต้นจากต้นพันธุ์ที่ปลูกเป็นแถวสลับกันไป


คงเป็นเรื่องยุ่งยากน่าปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นแน่แท้ในการผสมพันธุ์ข้าวเพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ข้าวลูกผสมเป็นจำนวนมากๆในเชิงพาณิชย์ เพราะการป้องกันการผสมพันธุ์ระหว่างเกสรตัวผู้และตัวเมียภายในต้นเดียวกัน หรือจากเกสรตัวผู้ต้นอื่นๆที่ไม่พึงประสงค์จำนวนมากๆนั้นคงทำไม่ได้เป็นแน่ในทางปฏิบัติ แต่เป็นเพราะความมานะบากบั่นอย่างแรงกล้าของนักผสมพันธุ์ข้าวที่มีนามว่า เหยี่ยน หลงผิง ที่ได้รับสมญานามเป็นบิดาของวงการข้าวลูกผสมของจีนและโลก ได้ทุ่มเทชีวิตการทำงานทั้งหมดให้กับการวิจัยค้นคว้าหาหนทางผลิตข้าวลูกผสมให้สำเร็จจงได้ เพราะท่านเล็งเห็นว่าหนทางเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้ได้มากยิ่งๆขึ้นนั้น มีแค่หนทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือพันธุ์ข้าวลูกผสมที่เหมือนกับพันธุ์ลูกผสมของพืชชนิดอื่นๆที่ประสบความสำเร็จให้เห็นเป็นที่ยอมรับกันแล้วนั่นเอง แต่หนทางการผลิตพันธุ์ข้าวลูกผสมจำนวนมากมายในทางปฏิบัตินั้นมันเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย ทว่าโชคย่อมเข้าข้างกับผู้มีอุตสาหะวิริยะ จากการค้นพบสายพันธุ์ข้าวป่ากอหนึ่งที่เกสรตัวผู้ไม่พัฒนาในมณฑลห่ายหนานเต่า (เกาะไหหลำ) นั่นก็คือจุดกำเนิดเริ่มต้นของข้าวลูกผสมหลากหลายสายพันธุ์ในปัจจุบัน



แปลงข้าวผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสม เผยจ๋า77 ที่มณฑล กว่างตง


ข้าวเป็นพืชที่ผสมตัวเองจากเกสรตัวผู้และตัวเมียภายในต้นเดียวกัน หรือผสมข้ามต้นจากเกสรตัวผู้ต้นอื่นๆก็ได้ การป้องกันการผสมเกสรจากเกสรตัวผู้ภายในต้นเดียวกันจึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งดอกตัวผู้และเกสรนั้นมีขนาดเล็กและมีปริมาณมหาศาล แต่เมื่อมีข้าวสายพันธุ์ที่เกสรตัวผู้ไม่พัฒนา จึงทำให้กำแพงปัญหาดังกล่าวถูกทะลายไป ภาพถ่ายที่นำมาให้ชมกันนี้ เป็นแปลงข้าวผลิตเมล็ดข้าวพันธุ์ลูกผสมในมณฑล ห่ายหนานเต่า และมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) จะเห็นได้ว่ามีข้าวที่ตกรวงเป็นแนวเป็นแถวอย่างมีระเบียบ นั่นก็คือสายพันธุ์ข้าวที่เกสรตัวผู้ไม่พัฒนา (มีแต่ดอกตัวเมียเท่านั้น ไม่มีดอกตัวผู้) จึ่งไม่มีโอกาสผสมตัวเอง คงได้รับการผสมเกสรข้ามต้นจากสายพันธุ์ที่มีลักษณะที่ดีตามความต้องการจากต้นข้าวที่ปลูกสลับกันเป็นแถวๆแต่เพียงแหล่งเดียว เป็นหลักประกันได้ว่าไม่เกิดความแปรปรวนในสายพันธุ์ข้าวลูกผสมที่ทำการผลิตอย่างแน่นอน




http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538644079&Ntype=2
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 7:46 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

623. เครื่องดำนาขนาดเล็ก



ปัจจุบัน วงการเกษตรของไทยเราได้พัฒนาปรับปรุงการผลิต โดยการนำเอาเครื่องจักรกลเข้ามาช่วยผ่อนแรงและร่นชั่วโมงการทำงานลงได้มาก เป็นการประหยัดทั้งแรงงานและเวลา ในภาคของการทำนานั้นก็ได้นำเอาเครื่องจักรกลมาใช้เช่นเดียวกัน ที่เห็นกันชินตาก็คือ รถไถนาที่มีสี่ล้อขนาดใหญ่ และที่เล็กลงมาหน่อยก็คือ รถไถนาเดินตามหรือที่เรียกกันว่า ควายเหล็กนั่นเอง เครื่องจักรอีกตัวหนึ่งที่เห็นในระยะหลังนี้ก็คือ รถเก็บเกี่ยวข้าว ซึ่งมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง และในเวลาอันใกล้นี้ก็ได้นำเอาเครื่องดำนามาใช้กันแล้ว ในตลาดเครื่องจักร์มีทั้งรุ่นใหญ่และขนาดกลาง แต่ที่เห็นกำลังโฆษณาโหมโรงให้ชาวนาซื้อหามาใช้กันนั้น ดูจะเป็นเครื่องดำนาขนาดกลางเสียมากกว่า เพราะเครื่องดำนาขนาดเล็กยังไม่มีผู้ใดผลิตขึ้นมาจำหน่าย เนื่องจากเครื่องจักรชนิดนี้ราคาค่อนข้างสูง ถึงแม้จะเป็นขนาดกลางก็ตามราคาก็ยังสูงอยู่ดี และยังมีข้อจำกัดอีกหลายประการที่ยังไม่เป็นที่นิยมซื้อมาใช้ เนื่องจากใช้งานได้ไม่เต็มที่ ไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายไป เพราะใช้งานแค่ปีละครั้งในการทำนาปี ถึงแม้จะมีการทำนาได้ถึง 3 ครั้งต่อปีในเขตที่มีการชลประทานก็ตาม ก็ยังไม่คุ้มค่าในการลงทุน เพราะชาวนาไทยแต่ละครอบครัวนั้นมีที่นากันไม่มาก ผู้ที่ซื้อมาใช้จึงเป็นชาวนารวยที่มีที่นาแปลงใหญ่มีพื้นที่ทำนามากพอสมควร โดยซื้อมาใช้งานเองและรับจ้างชาวนาด้วยกันจึงจะคุ้มกับเงินที่เสียไป



รูปร่างหน้าตาของเครื่องปักดำต้นกล้าข้าวที่ใช้ได้ทั้งแรงคนและพลังงานแบตเตอร์รี่




ผู้ประดิษฐ์กำลังสาธิตการใช้งานเครื่องดำนาที่ผลิตขึ้น



ข่าวดีกำลังจะมีมาให้แก่ชาวนาไทยทั่วไป นั่นก็คือ ขณะนี้ได้มี เครื่องปักดำนาขนาดเล็กที่ใช้กำลังคน โดยการใช้มือหมุน หรือใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่ผลิตขึ้นจำหน่ายแล้ว การใช้งานก็สะดวกง่ายดาย ใช้งานได้ดี ไม่ต้องเพาะกล้าในกระบะเหมือนเครื่องปักดำที่มีราคาแพง ใช้กล้าที่เพาะโดยวิธีที่ชาวนาทำกันอยู่เป็นปกติ ประการสำคัญก็คือราคาไม่แพง เหมาะกับการใช้งานของชาวนารายย่อยเป็นอย่างยิ่ง จากการทดสอบการใช้งาน มีความเร็วในการปักดำต้นกล้าข้าวได้วันละ 2-4 ไร่เลยทีเดียว คิดว่าอีกไม่นานชาวนาไทยคงได้ซื้อหามาใช้งานได้ จากการนำเข้ามาของ ห้างฯ ยะลาทักษิณาวัฒน์ ที่มุ่งสรรหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าคุ้มราคามาบริการแก่เกษตรกรไทยตลอดไป



http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5320823&Ntype=2
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 7:58 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

624. นาโนซิลเวอร์ ในนาข้าว


เมื่อดูจากหัวข้อเรื่องแล้ว หลายๆท่าน (โดยเฉพาะชาวนา) อาจจะสงสัยว่า นาโนซิลเวอร์ นี่มันคืออะไรกัน ? แล้วมันมาข้องแวะยุ่งเกี่ยวอะไรกับการทำนา-ปลูกข้าวด้วย ?

ก่อนอื่นก็คงจะต้องอธิบายให้เข้าใจกันได้รู้กันพอสังเขปว่า นาโน คืออะไร และวัสดุนาโนคืออะไร เพื่อที่จะได้อ่านบทความนี้ได้เข้าใจเป็นเรื่องเป็นราวกันไป








อันคำว่า “นาโน” นั้น เป็นคำย่อที่ตัดตอนมาจากคำว่า นาโนเมตร ซึ่งเป็นหน่วยของความยาวในระบบเมตริก เหมือนกับคำว่า เมตร หรือ กิโลเมตร นั่นเอง แต่ ขนาดของความยาว นาโนเมตร นั้นมีขนาดที่เล็กเอามากๆจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องใช้กล้องไมโครสโคปส่องกราดแล้วใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้างภาพนั่นแหละจึงจะเห็นหน้าค่าตาว่าเป็นอย่างไร

ขนาดของ 1 นาโนเมตร เท่ากับ หนึ่ง ใน พันล้าน ของเมตรนั่นเลยทีเดียว เพื่อให้มองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมจึงเปรียบเทียบขนาดของมันให้เห็นชัดเจนดังนี้ นำเอาเส้นผมมา 1 เส้น แล้วแบ่งมันออกให้ได้จำนวน 100,000 เส้น เส้นผมที่แบ่งแล้วหนึ่งเส้นนั้นก็มีขนาดใกล้เคียงเท่ากับ 1 นาโน พอๆกับขนาดของอะตอมเลยทีเดียว

ส่วน วัสดุนาโน นั้นหมายถึงวัตถุสิ่งของอะไรก็ตามแต่ ที่มีขนาดเล็กๆในระดับตั้งแต่ 0.1 ถึง 100 นาโนเมตรนั้น เราเรียกมันว่า วัสดุนาโน

ครานี้เราต้องมาทำความเข้าใจกันอีกเล็กน้อยว่า วัตถุสิ่งของที่มีขนาดเล็กมากๆที่เรียกว่า ขนาดนาโน นั้น มีความแตกต่างกันอย่างไรกับวัตถุสิ่งเดียวกันที่ไม่ได้มีขนาดนาโน นั่นแหละคือแก่นของเรื่องที่จะกล่าวถึง จะยกตัวอย่างให้เห็นสักตัวอย่างก็คือ ทองในภาวะปกตินั้นเราจะเห็นเป็นสีเหลืองทอง แต่ถ้าทำให้มันแตกแยกออกจากกันให้มีขนาดเล็กในระดับนาโนแล้ว เราจะไม่เห็นมันเป็นสีเหลืองอีกต่อไป แต่จะเห็นเป็นสีดำ ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อและขัดกับความรู้สึกเราใช่ไหม ? แต่มันเป็นไปแล้วจริงๆ





สรุปเอาสั้นๆก็คือ วัสดุสิ่งของต่างๆ เมื่อทำให้มันมีขนาดเล็กลงในระดับนาโนแล้ว มันจะมีคุณสมบัติทางกายภาพ หรือทางเคมี เปลี่ยนแปลงผิดแผกแตกต่างออกไปจากเดิม ส่วนจะผิดไปอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องทำการศึกษาวิจัยกันต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากยังเป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษากัน

ทีนี้เรามาดูเรื่องที่จั่วหัวข้อเอาไว้ว่า การนำเอาวัสดุนาโน ที่มีชื่อเรียกว่า ซิลเวอร์ออกไซด์ มาใช้กับการปลูกข้าวนั้นคืออย่างไร ?


แปลงข้าวที่ทดสอบใช้นาโนซิลเวอร์ในการเพาะปลูก



ผลผลิตข้าวที่เก็บเกี่ยวได้มากกว่าเดิม คุณภาพข้าวเหนือกว่า รสชาติดีกว่าปกติมาก




ซิลเวอร์นาโน นั้น เป็นคำย่อที่ตัดทอนมาจากคำว่า นาโนซิลเวอร์ออกไซด์ เมื่อมีขนาดเป็นนาโนแล้ว จะมีคุณสมบัติเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางแสง ที่สามารถกำจัดกลิ่นและทำลายจุลินทรีย์เล็กๆอย่างเชื้อโรคได้ จึงได้มีนักวิชาการทางเกษตรชาวเกาหลีนำมาแช่เมล็ดข้าวก่อนปลูก และฉีดพ่นต้นข้าวในช่วงที่กำลังเจริญเติบโตในแปลงนา ปรากฏว่าต้นข้าวมีอัตราการงอกและการเจริญเติบโตดีกว่าปกติมาก ข้าวมีความต้านทานต่อโรคและแมลงโดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงและยากำจัดเชื้อราแต่อย่างใด



http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=394295&Ntype=2


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 20/09/2011 9:05 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 8:03 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

625. แตงหวาน (แคนตาลูป)





เหอท่าว เป็นเมืองเกษตรกรรมที่อยู่ในมณฑล ซินเจียง (ซินเกียง) ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นแหล่งปลูกแตงหวานแคนตาลูป ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล สามารถผลิตแตงหวาน มี่กวา ที่มีรสชาติหอมหวานและมีคุณภาพดีที่สุดในประเทศจีน ได้มีการจัดส่งผลผลิตไปจำหน่ายตามหัวเมืองใหญ่ๆค่อนประเทศ รวมทั้งมีการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศอีกด้วย

ปัญหาอย่างหนึ่งที่เกษตรกรได้ประสบเรื่อยมาก็คือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของการขนส่งเป็นเวลาหลายวัน ทำให้แตงที่ส่งไปจำหน่ายยังพื้นที่ห่างไกลนั้นเน่าเสียหายเป็นจำนวนไม่น้อย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทีมงานของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่นำโดย ศาสตราจารย์ ฟาง เทียนฉี และศาสตราจารย์ ฮาซือ อากูลา ได้ทำการ ตัดต่อถ่ายโอนยีน ACC ที่ต้านการสร้างฮอร์โมน และยีน ACC ที่ต้านการออกซิเดชั่นของฮอร์โมนใส่ลงในแตงชนิดนี้เป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ. 1994 ทำให้ได้สายพันธุ์แตงหวาน มี่กวา ที่คงความสดได้ทนนานโดยไม่เน่าเสียหายได้นานถึง 2 เดือน ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทดสอบปลูกในแปลงปลูกบังคับจำกัดขอบเขตเพื่อประเมินผลกระทบด้านต่างๆต่อไปแล้ว



แตง มี่กวา ที่เก็บเกี่ยวเป็นเวลานานถึง 2 เดือน




แตง มี่กวา ที่เก็บเกี่ยวนานแค่ 7 ถึง 10 วัน



http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=440941&Ntype=2
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 9:13 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

626. ข้าวพันธุ์ใหม่ของจีน ทำสถิติโลกใหม่ ผลผลิตสูงกว่า 2,224 กก./ไร่





จีน 20 ก.ย.-ข้าวพันธุ์ผสมสายพันธุ์ใหม่ของจีน หรือข้าวซูเปอร์ไรซ์ ทำสถิติโลกใหม่ด้วยผลผลิตสูงกว่า 2,224 กก./ไร่

นักวิชาการการเกษตรของมณฑลหูหนาน ทางภาคกลางของของจีน เผยว่าข้าวสายพันธุ์ดังกล่าวซึ่งมีรหัสว่า DH2525 ให้ผลผลิตในการเก็บเกี่ยวที่ 13,900 กก./เฮกตาร์ หรือประมาณ 2,224 กก./ไร่ ในการทดลองปลูกที่เมืองหลงฮุย

ทั้งนี้ ข้าวพันธุ์ DH2525 พัฒนาโดยนายหยวน หลงปิง ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งข้าวพันธุ์ผสม ซึ่งเริ่มพัฒนาข้าวพันธุ์ผสมในช่วงทศวรรษที่ 1960 โดยทีมวิจัยของเขาได้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มผลผลิตเป็น 10,500 กก./เฮกตาร์ และ 12,000 กก./เฮกตาร์ ในปี 2542 และ 2548 ตามลำดับ โดยถูกบันทึกเป็นสถิติโลกทั้ง 2 ครั้ง.




-สำนักข่าวไทย
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/269780.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 9:17 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

627. ปลื้มยอดขายโอท็อปชายแดนใต้ เล็งยกมาตรฐานส่งออกอาเซียน



ยะลา 19 ก.ย. - นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ให้สัมภาษณ์หลังเปิดงานมหกรรมสินค้าโอท็อป เยาวชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้ (19 ก.ย.) ที่สนามเทศบาลนครยะลาว่า มหกรรมสินค้าโอท็อปที่สำนักงานพัฒนาชุมชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยเฉพาะเยาวชนจะได้มีโอกาสคิดและทำผลิตภัณฑ์ดี ๆ ขึ้นมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับปีนี้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้สามารถจำหน่ายสินค้าโอท็อปได้แล้วกว่า 2,000 ล้านบาท

ส่วนด้านการตลาดนั้นในแต่ละปีศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จะเข้ามาดูแลให้ โดยจัดงานแสดงสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศปีละประมาณ 10 ครั้ง ล่าสุดการจัดงานจำหน่ายสินค้าชายแดนที่ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต พบว่าในระยะเวลา 8 วัน จำหน่ายได้ถึง 9 ล้านบาท ทั้งนี้ ในอนาคต ศอ.บต. และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะร่วมกันส่งเสริมการผลิตสินค้าโอท็อปให้ได้มาตรฐานมากขึ้น เพื่อรองรับการนำสินค้าออกไปจำหน่ายยังกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นนับว่าเป็นพื้นที่ที่มีทุนทางสังคมในเรื่องของอัตลักษณ์ความโดดเด่นของพื้นที่ อีกทั้งเป็นพื้นที่ศักยภาพของการผลิตสินค้าฮาลาล. -สำนักข่าวไทย



http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/269532.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 20/09/2011 9:37 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

628. การปลูก และดูแลรักษาข้าว

การทำนาหว่าน
นาหว่านข้าวแห้ง
นาหว่านข้าวงอก
การทำนาหว่านน้ำตม
การเตรียมเมล็ดพันธุ์
อัตราเมล็ดพันธุ์
การหว่าน
การดูแลรักษา



การทำนาหว่าน เป็นการปลูกข้าวโดยการหว่านเมล็ดลงไปในนาที่เตรียมพื้นที่ไว้แล้วโดยตรง เป็นวิธีการที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากประหยัดแรงงานและเวลา





การทำนาหว่าน แบ่งเป็น 2 วิธี คือ
1. นาหว่านข้าวแห้ง เป็นการหว่านเมล็ดข้าวเพื่อคอยฝน และมีชื่อเรียกปลีกย่อยไปตามวิธีปฏิบัติ คือ

- การหว่านสำรวย เป็นการหว่านในสภาพดินแห้ง เนื่องจากฝนยังไม่ตก โดยหลังจากการไถแปรครั้งสุดท้ายแล้วหว่านเมล็ดข้าวลงไปโดยไม่ต้องคราดกลบ เมล็ดจะตกลงไปอยู่ในระหว่างก้อนดิน เมื่อฝนตกลงมาเมล็ดข้าวจะงอกขึ้นมาเป็นต้น

- การหว่านหลังขี้ไถ เป็นการหว่านในสภาพที่มีฝนตกลงมา และน้ำเริ่มจะขังในกระทงนา เมื่อไถแปรแล้วก็หว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวตามหลัง แล้วคราดกลบทันที




การหว่านสำรวย




การหว่านหลังขี้ไถ


2. นาหว่านข้าวงอก หว่านน้ำตมหรือหว่านเพาะเลย โดยการนำเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ถูกเพาะให้งอก มีขนาดตุ่มตา (มีรากงอกประมาณ 1-2 มิลลิเมตร) แล้วจึงหว่านลงในกระทงนา ซึ่งมีการเตรียมดินจนเป็นเทือก แยกเป็น

- การหว่านหนีน้ำ ทำในนาน้ำฝน เนื่องจากการหว่านข้าวแห้งหรือทำการตกกล้าไม่ทัน เมื่อฝนมามาก หลังจากเตรียมดินเป็นเทือกดีแล้ว ก็หว่านข้าวที่เพาะจนงอก ลงไปในกระทงนาที่มีน้ำขังอยู่มากจึงเรียกว่า นาหว่านน้ำตม

- นาชลประทาน หรือนาในเขตที่มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ การทำนาในสภาพนี้มักจะให้ผลผลิตสูง หลังจากเตรียมดินเป็นเทือกดีแล้วระบายน้ำออกหรือให้เหลือน้ำขังบนผืนนาน้อยที่สุด นำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่งอกขนาด “ตุ่มตา” หวานลงไป แล้วคอยดูแลควบคุมการให้น้ำ มักจะเรียกการทำนาแบบนี้ว่า “การทำนาน้ำตมแผนใหม่”





การทำนาหว่านน้ำตม
การทำนาหว่านน้ำตมที่จะให้ได้ผลดีนั้น จะต้องปรับพื้นที่นาให้สม่ำเสมอ มีคันนาล้อมรอบและสามารถควบคุมน้ำได้ การเตรียมดินก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการเตรียมดินในนาดำ หลังการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ควรปล่อยให้เมล็ดข้าวที่ร่วงหล่นในนามีเวลางอกเป็นต้นข้าว เพื่อลดปัญหาข้าวเรื้อ หรือข้าววัชพืชในนา แล้วจึงไถดะ แล้วปล่อยน้ำเข้าพอให้ดินชุ่มอยู่เสมอ ประมาณ 5-10 วัน เพื่อให้เมล็ดวัชพืช งอกขึ้นมาเป็นต้นอ่อนเสียก่อนจึงปล่อยน้ำเข้านา แล้วทำการไถแปรและคราด หรือใช้ลูกทุบตี จะช่วยทำลายวัชพืชได้ หากทำเช่นนี้ 1-2 ครั้ง หรือมากกว่านั้น โดยทิ้งระยะห่างกันประมาณ 4-5 วัน หลังจากไถดะไถแปร และคราดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขังน้ำไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ เพื่อให้ลูกหญ้าที่เป็นวัชพืชน้ำ เช่น ผักตบ ขาเขียด ทรงกระเทียม ผักปอดและพวกกกเล็ก เป็นต้น งอกเสียก่อน จึงคราดให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ลูกหญ้าจะหลุดลอยไปติดคันนาใต้ทางลม ก็จะสามารถช้อนออกได้หมด เป็นการทำลายวัชพืชวิธีหนึ่ง เมื่อคราดแล้วจึงระบายน้ำออกและปรับเทือกให้สม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่ใช้ลูกทุบหรืออีขลุก ย่ำฟางข้าวให้จมลงไปในดินแทนการไถ หลังจากย่ำแล้วควรเอาน้ำแช่ไว้ ให้ฟางเน่าเปื่อยจนหมดความร้อนเสียก่อน อย่างน้อย 3 อาทิตย์ แล้วจึงย่ำใหม่ เพราะแก๊สที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของฟางจะเป็นอันตรายต่อต้นข้าว จะทำให้รากข้าวดำไม่สามารถหาอาหารได้ หลังจากนั้นจึงระบายน้ำออกเพื่อปรับเทือก


การปรับพื้นที่นาหรือการปรับเทือกให้สม่ำเสมอ จะทำให้ควบคุมน้ำได้สะดวก การงอกของข้าวดีเติบโตสม่ำเสมอ เพราะเมล็ดข้าวมักจะตายถ้าตกลงไปในแอ่งหรือหลุมที่มีน้ำขัง เว้นแต่กรณีดินเป็นกรดจัดละอองดินตกตะกอนเร็วเท่านั้นที่ต้นข้าวสามารถขึ้นได้ แต่ถ้าแปลงใหญ่เกินไปจะทำให้น้ำเกิดคลื่น ทำให้ข้าวหลุดลอยง่าย และข้าวรวมกันเป็นกระจุก ไม่สม่ำเสมอ นอกจากนั้นการปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอ ยังช่วยควบคุมการงอกของเมล็ดวัชพืช ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของการทำนาหว่านน้ำตมอีกด้วย การปรับพื้นที่ทำเทือก ควรทำก่อนหว่านข้าวหนึ่งวัน เพื่อให้ตะกอนตกดีเสียก่อน แล้วแบ่งกระทงนาออกเป็นแปลงย่อยๆ ขนาดกว้าง 3-5 เมตร ยาวตามความยาวของกระทงนา ทั้งนี้แล้วแต่ความสามารถของคนหว่าน ถ้าคนหว่านมีความชำนาญอาจแบ่งให้กว้าง การแบ่งอาจใช้วิธีแหวกร่อง หรือใช้ไหกระเทียมผูกเชือกลากให้เป็นร่องก็ได้ เพื่อให้น้ำตกลงจากแปลงให้หมด และร่องนี้ยังใช้เป็นทางเดินระหว่างหว่านข้าว หว่านปุ๋ย และพ่นสารเคมีได้ตลอดแปลง โดยไม่ต้องเข้าไปในแปลงย่อยได้อีกด้วย


การเตรียมเมล็ดพันธุ์
- ตรวจความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ พิจารณาว่ามีเมล็ดข้าวพันธุ์อื่นหรือเมล็ดวัชพืชปนหรือไม่ ไม่มีโรคหรือแมลงทำลาย รูปร่างเมล็ดมีความสม่ำเสมอ ถ้าพบว่ามีเมล็ดข้าวพันธุ์อื่นหรือเมล็ดวัชพืชปน หรือมีโรค แมลงทำลายก็ไม่ควรนำมาใช้ทำพันธุ์

- การทดสอบความงอก โดยการนำเมล็ดข้าว จำนวน 100 เมล็ด มาเพาะเพื่อดูเปอร์เซ็นต์ ความงอก อาจทำ 3-4 ซ้ำเพื่อความแน่นอน เมื่อรู้ว่าเมล็ดงอกกี่เปอร์เซ็นต์จะได้กะปริมาณพันธุ์ข้าวที่ใช้ได้ถูกต้อง

- คัดเมล็ดพันธุ์ให้ได้เมล็ดที่แข็งแรง มีน้ำหนักเมล็ดดีที่เรียกว่าข้าวเต็มเมล็ด จะได้ต้นข้าวที่เจริญเติบโตแข็งแรง


อัตราเมล็ดพันธุ์
อัตราเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ในการทำนาหว่านน้ำตม ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ กล่าวคือ
ถ้ามีการเตรียมดินไว้ดี มีเทือกอ่อนนุ่ม พื้นดินปรับได้ระดับ เมล็ดที่ใช้เพียง 7-8 กิโลกรัมหรือ 1 ถังต่อไร่ ก็เพียงพอที่จะทำให้ได้ผลผลิตสูง แต่ถ้าพื้นที่ปรับได้ไม่ดี การระบายน้ำทำได้ยาก รวมถึงอาจมีการทำลายของนก หนู หลังจากหว่าน เมล็ดที่ใช้หว่านควรมากขึ้น เพื่อชดเชยการสูญเสีย ดังนั้นเมล็ดที่ใช้ควรเป็นไร่ละ 15-20 กิโลกรัม


การหว่าน
ควรหว่านให้สม่ำเสมอทั่วแปลง ข้าวจะได้รับธาตุอาหาร แสงแดด และเจริญเติบโตสม่ำเสมอกัน ทำให้ได้ผลผลิตสูง โดยเดินหว่านในร่องแคบๆ ที่ทำไว้ เมล็ดพันธุ์ที่ใช้หว่านแต่ละแปลงย่อย ควรแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตามขนาดและจำนวนแปลงย่อย เพื่อเมล็ดข้าวที่หว่านลงไปจะได้สม่ำเสมอทั่วทั้งแปลง ในนาที่เป็นดินทรายมีตะกอนน้อยหลังจากทำเทือกแล้วควรหว่านทันที กักน้ำไว้หนึ่งคืนแล้วจึงระบายออก จะทำให้ข้าวงอกและจับดินดียิ่งขึ้น


การหว่าน



การกระจายของเมล็ดข้าวหลังหว่าน



สภาพการงอกและเจริญเติบโตหลังหว่าน


การดูแลรักษา
การทำนาหว่านน้ำตม จะต้องมีการดูแลให้ต้นข้าวงอกดีโดยพิจารณาถึง

1. พันธุ์ข้าว การใช้พันธุ์ข้าวนาปีซึ่งมีลำต้นสูง ควรจะทำการหว่านข้าวให้ล่า ให้อายุข้าวจากหว่านถึงออกดอกประมาณ 70-80 วัน เนื่องจากความยาวแสงจะลดลง จะทำให้ต้นข้าวเตี้ยลง เนื่องจากถูกจำกัดเวลาในการเจริญเติบโตทางต้นและทางใบ ทำให้ต้นข้าวแข็งขึ้นและไม่ล้มง่าย สำหรับข้าวที่ไม่ไวแสงหรือข้าวนาปรังไม่มีปัญหา เพียงแต่กะระยะให้เก็บเกี่ยวในระยะฝนทิ้งช่วง หรือหมดฝน หรือหลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าวบางพันธุ์ เช่น ปทุมธานี 1 ออกดอกในฤดูหนาวเป็นต้น

2. ระดับน้ำ การจะผลผลิตข้าวให้ได้ผลผลิตสูงการควบคุมระดับน้ำเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะตั้งแต่เริ่มหว่านจนข้าวแตกกอ ระดับน้ำไม่ควรเกิน 5 เซนติเมตร เมื่อข้าวแตกกอเต็มที่ ระดับน้ำอาจเพิ่มสูงขึ้นได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องสูบน้ำบ่อยๆ แต่ไม่ควรเกิน 10 เซนติเมตร เพราะถ้าระดับน้ำสูงจะทำให้ต้นข้าวที่แตกกอเต็มที่แล้ว เพิ่มความสูงของต้น และความยาวของใบ โดยไม่ได้ประโยชน์อะไร เป็นเหตุให้ต้นข้าวล้ม เกิดการทำลายของโรคและแมลงได้ง่าย




3. การใส่ปุ๋ย ต้องใส่ปุ๋ยให้ถูกต้องตามระยะเวลาที่ข้าวต้องการ จำนวนที่พอเหมาะ จึงจะให้ผลคุ้มค่า

4. การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช วัชพืชเป็นปัญหาใหญ่ในการทำนาหว่าน้ำตม การปรับระดับพื้นที่ให้ราบเรียบสม่ำเสมอและการควบคุมระดับน้ำจะช่วยลดประชากรวัชพืชได้ส่วนหนึ่ง ถ้ายังมีวัชพืชในปริมาณสูงจำเป็นต้องใช้สารเคมี

5. การป้องกันกำจัดโรค แมลง และสัตว์ศัตรูข้าว ปฏิบัติเหมือนการทำนาดำ





http://kkn-rsc.ricethailand.go.th/rice/plant/tamna-warn.html
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 23, 24, 25 ... 72, 73, 74  ถัดไป
หน้า 24 จากทั้งหมด 74

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©