-
++kasetloongkim.com++ Forums-viewtopic-* นานาสาระเรื่องเกษตร.
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - * นานาสาระเรื่องเกษตร.
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

* นานาสาระเรื่องเกษตร.
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 47, 48, 49 ... 72, 73, 74  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 6:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ลำดับเรื่อง.....


1,312. มะไฟจีนเชื่อมแห้ง ของฝากเมืองน่าน
1,313. ปาล์มน้ำมันพันธุ์ใหม่ ทนแล้ง
1,314. ดอกไพรีทรัม
1,315. อนุบาล ลูกปลาช่อน รายได้ดี

1,316. อาชีพเลี้ยงปลานิล รายได้เสริม
1,317. ปลูกมะเขือเทศ ฤดูแล้ง
1,318. การเลี้ยงหอยหวาน
1,319. ปลูกหอมแดง ปลอดสารพิษ
1,320. การเพาะเห็ดตีนแรด

1,321. ไผ่กิมซุง
1,322. การปลูกฟักทอง เป็นอาชีพ
1,323. การปลูกพริกพิโรธ
1,324. ปลูกพริกไทย สร้างรายได้
1,325. ปลูกแก้วมังกร รายได้งาม

1,326. มะพร้าวกะทิลูกผสม สายพันธ์ใหม่
1,327. การปลูกมะละกอแขกดำ
1,328. ปุ๋ยหมักจากกากอ้อย
1,329. การปลูกพริกกะเหรี่ยง
1,330. น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็น

1,331. วิธีการปลูกพู่ระหงส์
1,332. ข้าวฮางสมุนไพร
1,333. กุ้งมดแดง สัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่
1,334. ไอศกรีม มะม่วงน้ำดอกไม้
1,335. ผลไม้กวน ขายได้ตลอด

1,336. เลี้ยงปลาในสวน

-----------------------------------------------------------------------------------------------






1,312. มะไฟจีนเชื่อมแห้ง ของฝากเมืองน่าน





มะไฟจีน ไม่นิยมรับประทานสด แต่นิยมนำมาแปรรูปเพื่อบริโภคและเพิ่มมูลค่า เป็นมะไฟจีนเชื่อมแห้งของกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านท่าดอนไชย
มะไฟจีน เป็นพืชที่ขึ้นกระจายอยู่ในพื้นที่จังหวัดน่าน ปกติมะไฟจีนจะออกผลและเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วงปลายเดือนเมษายน-กรกฎาคมของ ทุกปี ไม่นิยมรับประทานสด แต่นิยมนำมาแปรรูปเพื่อบริโภคและเพิ่มมูลค่า

นางปิยากร อินทฉิม หรือ ป้าเอียด วัย 53 ปี ประธานกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านท่าดอนไชย ต.นาเหลือง อ.เวียงสา จ.น่าน เล่าว่า กลุ่มฯได้กู้ยืมเงินจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จำนวน 144,000 บาท มาเป็นทุนหมุนเวียนในการแปรรูปมะไฟจีนเชื่อมแห้งเพื่อป้อนให้กับตลาดและผู้ บริโภคที่มีความต้องการสูง โดยปี 2553 ที่ผ่านมา สมาชิกกลุ่มฯ สามารถแปรรูปผลิตภัณฑ์มะไฟจีนเชื่อมแห้งได้ไม่น้อยกว่า 1,000 ตัน ซึ่งยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด ทั้งร้านค้าในจังหวัดน่านและต่างจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ แพร่ ลำปาง และกรุงเทพฯ เป็นต้น โดยกลุ่มฯ จะขายส่งราคากิโลกรัมละ 180 บาท ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ราคาจะขยับตัวสูงขึ้นถึง 200 บาท/กิโลกรัม ทำให้กลุ่มฯ มีรายได้และมีเงินเหลือพอที่จะชำระเงินคืนให้กับกองทุนฟื้นฟูฯ ได้ ซึ่งภายในปีนี้คาดว่าจะชำระเงินคืนครบตามสัญญา

ขณะนี้สมาชิกกลุ่มฯ ได้เร่งเตรียมความพร้อมและร่วมกันวางแผนการผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์มะไฟจีน เชื่อมแห้งในช่วงเดือนเมษายน-กรกฎาคม 2554 นี้ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยจัดสรรโควตาผลิตให้สมาชิกอย่างเป็นธรรมตามศักยภาพของแต่ละราย ๆ ละ 50-100 กิโลกรัม เป้าหมายรวม 2,000 กิโลกรัม ปัจจุบันลูกค้าในต่างจังหวัดเริ่มสั่งจองเข้ามาแล้ว เช่น กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ แพร่ และเพชรบูรณ์ ดังนั้น จำเป็นต้องวางแผนการผลิตให้ดี เพื่อที่จะส่งสินค้าให้ทันตามความต้องการของลูกค้า ต้นมะไฟจีนของสมาชิกกลุ่มมีไม่มากนัก ประมาณ 70-90 ต้น ซึ่งขึ้นอยู่ตามหัวไร่ปลายนาและแซมอยู่ในสวนของสมาชิก ปีนี้คาดว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ต้นละประมาณ 150-200 กิโลกรัม อาจไม่เพียงพอสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูป กลุ่มฯ ได้เตรียมแผนที่จะรับซื้อมะไฟจีนผลสดของชาวบ้านในละแวกนี้มาแปรรูปเพิ่มเติม ด้วย ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง คาดว่าจะทำให้ผลผลิตมะไฟจีนลดลง และส่งผลให้ราคามะไฟจีนผลสดขยับตัวสูงขึ้นถึง 20-30 บาท/กิโลกรัม

กลุ่มฯ ได้มีแผนเชื่อมโยงการผลิตและแปรรูปมะไฟจีนเชื่อมแห้งกับกลุ่มเครือข่ายผู้ ผลิต 2-3 กลุ่มในจังหวัดน่าน พร้อมสร้างเครือข่ายการผลิตและการตลาดด้วย ซึ่งไม่น่ามีปัญหาถึงแม้ต้นทุนการผลิตจะเพิ่มสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบที่ค่อนข้างแพง โดยเฉพาะมะไฟจีนผลสดและน้ำตาลทราย ป้าเอียดบอก

สนใจผลิตภัณฑ์มะไฟจีนเชื่อมแห้งของกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านท่าดอนไชย ติดต่อได้ที่ โทร. 08-1027-2408.



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3132


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/11/2011 10:22 am, แก้ไขทั้งหมด 4 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 6:07 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,313. ปาล์มน้ำมันพันธุ์ใหม่ ทนแล้ง






พันธุ์ปาล์มใหม่ๆ ที่ให้ผลผลิตสูง ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามพันธุ์ปาล์ม ซีพี เทเนอร่า พันธุ์ปาล์มใหม่มีคุณสมบัติพิเศษทนแล้ง และให้ผลผลิตสูง


หลังจากที่ประสบผล สำเร็จในการพัฒนาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสม “โกลเด้น เทเนอร่า” คนแรกของประเทศไทย และได้จดขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรเมื่อปี 2548 ล่าสุดนักปรับปรุงพันธุ์ดีเด่น ปี 2353 “เอนก ลิ่มศรีวิไล” กรรมการผู้จัดการบริษัท โกลด์เด้น เทเนอร่า จำกัด ประสบผลสำเร็จในการวิจัยพัฒนาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปาล์มน้ำลูกผสมใหม่ ที่มีคุณสมบัติทนแล้งสูง ให้ผลผลิตสูงไร่ละ 5 ตัน/ปี ขณะนี้เตรียมที่จะขอจดทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรในไม่ช้านี้ สำหรับพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปาล์มน้ำลูกผสมที่มีคุณสมบัติพิเศษทนแล้งสูงที่ว่านี้ เอนกบอกว่า สายพันธุ์พ่อยังเป็นพันธุ์ฟิสิเทอร่า ที่มีการผสมยีนข้ามสายพันธุ์กับปาล์มน้ำมัน ที่ทนแล้งจากแอฟริกา ได้พ่อพันธุ์ที่มีคุณสมบัติกะลาเล็กมาก บางผลไม่มีกะลา มาผสมกับแม่พันธ์ดูร่า ผลดกกะลาหนาต้นเตี้ย ซึ่งจากการทดลองปลูกในแปลงทดลองทั้งที่ อ.เมือง และ อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ มา 5 ปี โดยไม่มีการรดน้ำ แม้ฝนจะหยุดตกมา 3 เดือน ไม่มีผลกระทบต่อการออกดอกแต่อย่างใด ขณะนี้ได้พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่นิ่งแล้วหลายสิบต้น จึงได้ประสานไปยังกรมวิชาการเกษตรเพื่อขอขึ้นทะเบียนในปี 2556 แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อว่าเป็นพันธุ์อะไร เพราะต้องรอจดทะเบียนก่อน จากนั้นจึงจะผลิตต้นกล้าเพื่อจำหน่ายให้เกษตรกรต่อไป





“ตอนนี้ผมมีแปลงทดลองอยู่ 2 แปลงคือที่ อ.เมือง ซึ่งเป็นแปลงเดิม และที่ อ.ปลายพระยา มีพื้นที่กว่า 350 ไร่ ใช้สำหรับทดลองในการพัฒนาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปาล์มอย่าง เดียว ซึ่งจากการที่เราทดลองพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ในแปลง ภายใน 3 ปีแรกให้ผลผลิตอยู่ที่ไร่ละ 2.5-3 ตัน/ปี พอปีที่ 3-4 ได้ผลผลิตไร่ละ 3-4 ตัน/ปี ผ่านไป 5 ให้ผลผลิตกว่า 6 ตัน บางต้นอยู่ที่ 7 ตัน ผมเชื่อว่า เมื่ออายุได้ 8 ปีแล้ว แม่พันธุ์จะให้ผลผลิต 7-8 ตัน ถ้าเป็นลักษณะอย่างนี้ลูกผสมที่เราจะปลูกในแปลง ผมกล้ารับรองว่าต้องได้ไร่ละมากกว่า 5 ตันต่อปี เพราะพันธุ์เดิมที่ทางบริษัท เจริญโภคพันธุ์พืช จำกัด หรือกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เจริญโภคพภัณฑ์ (ซีพี) ทำตลาดคือ ซีพี เทเนอร่า นั้นให้ผลผลิตกว่า 4 ตันอยู่แล้ว” เอนกกล่าว





เอนกบอกด้วยว่า ที่ผ่านมานั้นการปลูกปาล์มน้ำมันหากฝนตกทิ้งช่วงเกินกว่า 3 เดือน ปัญหาตามมาคือปาล์มน้ำมันจะออกดอกตัวผู้มากขึ้น จะสิ่งผลกระทบโดยตรงการผลิตของปาล์ม แต่สำหรับพันธุ์ที่เขาพัฒนาขึ้นมา หากฝนตกทิ้งช่วง 3 ปี จะไม่มีผลใดๆ แต่กระนั้นหากน้ำฝนมีปริมาณที่น้อยผิดปกติ เกษตรกรต้องจัดหาน้ำมารดด้วย เพราะปาล์มน้ำมันเป็นพืชต้องการน้ำสูง

ด้านเอกชัย ตั้งจารุกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร ของเจริญโภคภัณฑ์ บอกว่า ซีพีจับมือกับเอนก มาตั้งแต่ปี 2548 แล้ว โดยการร่วมมือในการวิจัยพัฒนาพันธุ์ปาล์มใหม่ๆ ที่ให้ผลผลิตสูง ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามพันธุ์ปาล์ม ซีพี เทเนอร่า ล่าสุดเมื่อ เอนกได้พัฒนาพันธุ์ปาล์มใหม่ มีคุณสมบัติพิเศษทนแล้ง และให้ผลผลิตสูง ซีพีได้เข้าไปตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผลจากการติดตามพบว่า มีคุณสมบัติที่ว่าจริง ซีพีได้มีการจับมือกับบริษัท โกลด์เด้น เทเนอร่า จำกัด ของเอนก เพื่อทำตลาดเรียบร้อยแล้ว รอเพียงขั้นตอนจดทะเบียนเสร็จทางซีพี ก็ทำตลาดทันที

“ผมไปตรวจสอบหลายครั้ง เห็นพันธุ์ใหม่ที่ว่านี้ จะเป็นทางเลือกใหม่ของเกษตรกร โดยเฉพาะในพื้นที่แล้งอย่างในภาคอีสาน แม้แต่ภาคใต้หรือภาคตะวันออกในบางจังหวัด เพราะพันธุ์ใหม่นี้นอกจากทนแล้งแล้ว ยังให้ผลผลิตสูงด้วย คาดปีแรกเมื่อจดทะเบียนได้แล้ว จะสามารถผลิตต้นกล้าได้ราว 8 แสนต้นต่อปี” เอกชัยกล่าว

ก็นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรที่อยู่ในพื้นที่แล้งหากสนใจที่จะทำสวนปาล์มน้ำมันในอนาคต



ที่มา : คมชัดลึก
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3103


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 27/11/2011 7:27 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 6:11 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1, 314. ดอกไพรีทรัม






ดอกไม้ไพรีทรัมเป็นพืชเศรษฐกิจอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะนอกจากอนาคตสดใสแล้ว ยังปลอดภัยสำหรับมนุษย์และสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

ไพรีทรัมเป็นไม้ดอกทรงพุ่ม ดอกสีเหลือง/ขาวคล้ายดอกเดซี่หรือเบญจมาศ อยู่ในสกุล Chrysanthemum ชนิด C. cinerariaefolium เป็นพืชยืนต้นที่ชอบอากาศหนาวเย็น ปลูกในระดับความสูง 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ชอบสภาพภูมิประเทศที่กลางวันอากาศร้อนจัดกลางคืนอากาศหนาวจัด ออกดอกตลอดทั้งปี ปลูกมากทางแถบแอฟริกาตะวันออก เช่น เคนยา แทนซาเนีย รวันดา เป็นต้น

เมื่อนำดอกมาตากแห้งแล้วนำมาสกัดจะได้สารไพรีทรินส์ (pyrethrins) ที่มีคุณสมบัติในการกำจัดแมลงที่มีประสิทธิภาพสูงเพราะสารออกฤทธิ์ดังกล่าว จะตรงเข้าทำลายระบบประสาทของแมลงทันที จะทำให้แมลงสลบอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 นาที และตายในที่สุด เนื่องจากสารชนิดนี้เป็น lipophilic esters จึงถูกดูดซึมเข้าระบบประสาทของแมลงอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าสารนี้มีผลต่อมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นน้อยมาก เพราะในตับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีเอนไซม์ที่สามารถย่อยสลายไพรีทรินส์ ให้กลายเป็นสารไม่มีพิษจึงไม่มีการสะสมในร่างกาย และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติผ่านแสงแดดและความร้อน จึงทำให้สารสกัดจากดอกไพรีทรัมเป็นที่นิยมสำหรับกำจัดแมลงในบ้านเรือน ซึ่งแมลงที่สามารถกำจัดได้ผลอย่างดี คือ ยุง เพลี้ยอ่อน หมัดกระโดด ตั๊กแตน หนอนผีเสื้อกะหล่ำ หนอนกะหล่ำใหญ่ เพลี้ยจักจั่นฝ้าย หนอนเจาะมะเขือ หนอนแมลงวันเจาะต้นถั่ว แมลงวัน แมลงหวี่ ไร และ เรือด เป็นต้น โดยในประเทศจีนเองใช้สารสกัดจากดอกไพรีทรัมในการกำจัดยุงมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว ส่วนในยุโรปมีการนำมาเป็นส่วนผสมเป็นยาฉีดพ่นฆ่าแมลงในอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ ส่วนในอุตสาหกรรมยาสูบก็ได้นำมาใช้ในการกำจัดแมลงเช่นกัน

โดยสารสกัดจากดอกไพรีทรัมนี้ องค์การอนามัยโลก WHO และองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ FAO ให้การรับรองว่าปลอดภัยต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยงมากที่สุด ทำให้ความนิยมในสารไพรีทรินส์ของดอกไพรีทรัมได้รับความนิยมอย่างมากและมีราคาสูงอย่างต่อเนื่อง สำหรับในประเทศไทยเองต้องนำเข้ามาจากประเทศแถบแอฟริกาตะวันออกด้วยเช่นกัน นับว่าดอกไพรีทรัมเป็นพืชเศรษฐกิจอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะนอกจากอนาคตสดใสแล้ว ยังปลอดภัยสำหรับมนุษย์และสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

สำหรับในประเทศไทยเองได้เคยมีการนำดอกไพรีทรัม สายพันธุ์ญี่ปุ่น ชื่อ ชิรายูกิ ทดลองปลูกที่ดอยอ่างขาง ตั้งแต่ปี 2516-2518 โดยโครงการหลวงพัฒนาภาคเหนือ ในพระบรมราชานุเคราะห์ ได้ทดลองปลูกเพื่อหาพืชเศรษฐกิจมาปลูกทดแทนฝิ่น โดยทดลองปลูกแบบขั้นบันได ซึ่งในช่วงที่ออกดอกมากที่สุดเป็นช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคม–กรกฎาคม ซึ่งให้ผลผลิตเท่ากับ 335.25 กิโลกรัมต่อ 1 เอเคอร์ ในขณะที่ประเทศเคนยาที่ปลูกดอกไพรีทรัมเพื่อสกัดสารไพรีทรินส์เพื่อส่งออก เองสามารถปลูกและให้ผลผลิตดอกไพรีทรัมเพียง 200 กิโลกรัมต่อ 1 เอเคอร์ ซึ่งเป็นผลผลิตในปีแรก ส่วนในปีต่อมานั้นผลผลิตเริ่มลดลงเพราะสภาพอากาศของประเทศไทยมีปริมาณน้ำฝนสูง ทำให้โครงการปลูกพืชทดแทนฝิ่นของโครงการหลวงพัฒนาภาคเหนือบนดอยอ่างขางต้องระงับไป

ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3072





“ไพรีทรัม” ดอกไม้ฆ่าแมลง พืช ศก. ตัวใหม่ที่ต้องจับตามอง


ดอกไพรีทรัม ดอกไม้ฆ่าแมลง

ชื่อของดอกไม้“ไพรีทรัม” เรียกได้ว่าใหม่ต่อการรับรู้ของคนไทย แต่ถ้าพูดถึงชื่อดอกไม้เพชรฆาตสำหรับแมลงคงจะพอเป็นที่รู้จักกันบ้าง เพราะในหลายประเทศได้นำประโยชน์ของสารสกัดไพรีทรัมมาใช้ในการฆ่าแมลงในบ้าน ตลอดจนในอุตสาหกรรมเกษตรด้วยข้อดีที่ไม่เป็นพิษกับคนและสัตว์เลือดอุ่น ไม่ทิ้งสารตกค้าง ทว่าใครจะรู้บ้างว่า ดอกไม้ชนิดนี้เคยออกดอกสะพรั่งบนยอดดอยอ่างขางของไทยเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว

หลังจากได้พูดคุยกับ ศ.ดร.อังศุมาลย์ จันทราปัตย์ หัวหน้าภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน หนึ่งในทีมคณะผู้ทำการวิจัยภายใต้คณะของ ศ.ดร.สุธรรม อารีกุล หัวหน้าภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ ในขณะนั้นทำให้เราทราบว่า ไพรีทรัมมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง หากสามารถปลูกในประเทศไทยได้สำเร็จ

“โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเกษตรที่สูงของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งรวมอยู่ในโครงการหลวงพัฒนาภาคเหนือ ในพระบรมราชานุเคราะห์ เพื่อค้นหาพืชทดแทนการปลูกฝิ่นของชาวเขาในขณะนั้น เหตุผลที่เลือกดอกไพรีทรัมนั้นเพราะว่ามีการใช้งานดอกไพรีทรัมในการกำจัดแมลงศัตรูพืชอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ และสารสกัดในดอกไพรีทรัมมีราคาแพงมาก โดยดอกไพรีทรัมเป็นไม้ดอกทรงพุ่ม ดอกสีเหลือง/ขาวคล้ายดอกเดซี่หรือเบญจมาศ อยู่ในสกุล Chrysanthemum ชนิด C.cinerariaefolium เป็นพืชยืนต้นที่ชอบอากาศหนาวเย็น ปลูกในระดับความสูง 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ชอบสภาพภูมิประเทศที่กลางวันอากาศร้อนจัดกลางคืนอากาศหนาวจัด อากาศเหมือนที่อ่างขางออกดอกตลอดทั้งปี”

เมื่อนำดอกมาตากแห้งแล้วนำมาสกัดจะได้ สารไพรีทรินส์ (pyrethrins) ที่มีคุณสมบัติในการกำจัดแมลงเพราะสารออกฤทธิ์ดังกล่าวจะตรงเข้าทำลายระบบประสาทของแมลงทันที จะทำให้แมลงสลบอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 นาที และตายในที่สุด เนื่องจากสารชนิดนี้เป็น lipophilic esters จึงถูกดูดซึมเข้าระบบประสาทของแมลงอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าสารนี้มีผลต่อมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นน้อยมาก เพราะในตับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีเอ็นไซม์ที่สามารถย่อยสลายไพรีทรินส์ให้กลายเป็นสารไม่มีพิษจึงไม่มีการสะสมในร่างกาย และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติผ่านแสงแดดและความร้อน จึงทำให้สารสกัดจากดอกไพรีทรัมเป็นที่นิยมสำหรับกำจัดแมลงในบ้านเรือน

ทั้งนี้ แมลงที่สามารถกำจัดได้ผลอย่างดี คือ เพลี้ยอ่อน หมัดกระโดด ตั๊กแตน หนอนผีเสื้อกะหล่ำ หนอนกะหล่ำใหญ่ เพลี้ยจักจั่นฝ้าย หนอนเจาะมะเขือ หนอนแมลงวันเจาะต้นถั่ว แมลงวัน แมลงหวี่ ไร เรือด และยุง เป็นต้น โดยในประเทศจีนเองใช้สารสกัดจากดอกไพรีทรัมในการกำจัดยุงมานานกว่า 2 พันปีแล้ว ส่วนในยุโรปมีการนำมาเป็นส่วนผสมเป็นยาฉีดพ่นฆ่าแมลงในอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ ส่วนในอุตสาหกรรมยาสูบก็ได้นำมาใช้ในการกำจัดแมลงเช่นกัน

ศ.ดร.สุขุมาลย์ กล่าวต่อว่า ตอนนั้นโครงการได้นำดอกไพรีทรัม สายพันธุ์ญี่ปุ่นคือ ชิรายูกิ ทดลองปลูกที่ดอยอ่างขาง ตั้งแต่ปี 2516–2518 โดยทดลองปลูกแบบขั้นบันได ซึ่งในช่วงที่ออกดอกมากที่สุดเป็นช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคม – กรกฎาคม ซึ่งให้ผลผลิตเท่ากับ 335.25 กิโลกรัมต่อ 1 เอเคอร์ในขณะที่ประเทศเคนยาที่ปลูกดอกไพรีทรัมเพื่อสกัดสารไพรีทรินส์เพื่อส่งออกเองสามารถปลูกและให้ผลผลิตดอกไพรีทรัมเพียง 200 กิโลกรัมต่อ 1 เอเคอร์ ซึ่งเป็นผลผลิตในปีแรก ส่วนในปีต่อมานั้นผลผลิตเริ่มลดลงเพราะสภาพอากาศของประเทศไทยมีปริมาณน้ำฝนสูงผลผลิตต้องลดลง




ศ.ดร.อังศุมาลย์ จันทราปัตย์ หัวหน้าภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์


“ในขณะที่สารไพรีทรินส์ที่สกัดได้จากโครงการมีเปอร์เซ็นสูงถึง 1.5% ซึ่งเกินระดับมาตรฐานของสารออกฤทธิ์ที่ US EPA ของสหรัฐฯกำหนดไว้ที่ค่า 1% และเมื่อนำดอกไพรีทรัมมาสกัดเพื่อให้ได้สารออกฤทธิ์ไพรีทรินส์นั้น ต้องใช้ปริมาณดอกเยอะมากกว่าจะสกัดได้สัก 25 g และหากต้องการให้ได้สารไพรีทรินส์ในเชิงพาณิชย์ได้ต้องมีพื้นที่ปลูกเยอะมาก เรียกว่าต้องใช้ภูเขาทั้งลูกจึงจะสามารถมีวัตถุดิบเพียงพอต่อการผลิตเชิงอุตสาหกรรมได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่โครงการปลูกไพรีทรัมบนดอยอ่างขางต้องถูกระงับไป”


http://www.thaismefranchise.com/?p=16096


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 29/11/2011 8:56 am, แก้ไขทั้งหมด 3 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 6:14 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,315. อนุบาล ลูกปลาช่อน รายได้ดี






กรมประมงพยายามศึกษาค้นคว้าต่อเนื่องในที่สุดก็ประสบความ ได้ดำเนินการศึกษาวิจัย และทดลองอนุบาลลูกปลาช่อน โดยการเลือกขนาดถังอนุบาลและอัตราการปล่อยที่ต่างกันต่อการอนุบาลจนประสบผล สำเร็จ

ปลาช่อน ถือเป็นปลาพื้นเมืองของไทยอาศัยอยู่ทั่วไปตามแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นปลามีเกล็ด ลำตัวอ้วนกลมและยาวเรียว ท่อนหางแบนข้าง หัวแบนลง เกล็ดมีขนาดใหญ่มีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี อยู่ในที่ชื้น ๆ ได้เป็นเวลานาน และสามารถเคลื่อนไหวไปมาบนบกหรือฝังตัวอยู่ในโคลนได้เป็นเวลานาน ๆ

นางสมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมงเปิดเผยว่า ปลาช่อนเป็นปลาเศรษฐกิจที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ยังพบปัญหาและอุปสรรคเนื่องจากสภาวะแวดล้อมที่เสื่อมโทรม น้ำมีมลพิษมากขึ้น แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ในธรรมชาติถูกทำลาย ส่งผลให้ปริมาณปลาช่อนในแหล่งน้ำธรรมชาติลดน้อยลง ประกอบกับมีการจับสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติโดยใช้เครื่องมือประมงที่มี ประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ซึ่งทางกรมประมงได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้มีการเพาะพันธุ์และอนุบาลปลาช่อนโดยสำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด สามารถวิจัยและทดลองอนุบาลลูกปลาช่อนจนเป็นผลสำเร็จและนำไปปล่อยคืนสู่แหล่ง น้ำธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง

ทางด้าน นายสมหวัง พิมลบุตร ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากรมประมงประสบปัญหาการอนุบาลลูกปลาช่อน คือ ผลผลิตที่ได้ค่อนข้างน้อยและมีขนาดไม่เท่ากัน ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยง แต่เนื่องจากปลาช่อนเป็นปลาท้องถิ่นไทย กรมประมงจึงไม่นิ่งนอนใจพยายามศึกษาค้นคว้าต่อเนื่องในที่สุดก็ประสบความ สำเร็จ โดย นางณพัชร สงวนงาม และคณะวิจัย ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดสิงห์บุรี สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยและทดลองอนุบาลลูกปลาช่อน โดยการเลือกขนาดถังอนุบาลและอัตราการปล่อยที่ต่างกันต่อการอนุบาลจนประสบผล สำเร็จ ลูกปลาช่อนส่วนใหญ่ที่ได้จะมีขนาด 5-7 เซนติเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงเชิงพาณิชย์และเป็นที่ต้องการของเกษตรกร ผู้เพาะเลี้ยง เนื่องจากเป็นขนาดที่มีอัตรารอดตายสูง และมีการเจริญเติบโต ที่ดี

ในการทดลองอนุบาล คณะผู้วิจัยได้ใช้ถังอนุบาลไฟเบอร์กลาสกลมต่างกัน 3 ขนาด คือ 0.5, 1.0 และ 3.0 ตารางเมตร และอัตราปล่อยต่างกัน 5 ระดับ คือ 100, 600, 1,200, 1,800 และ 2,400 ตัวต่อตารางเมตร โดยอนุบาลลูกปลาช่อนรุ่นเดียวกันที่ความลึกของน้ำ 20 เซนติเมตร ในระบบน้ำไหลผ่าน ลูกปลาที่นำมาทดลองมีความยาวเฉลี่ย 28.0 มิลลิเมตร น้ำหนักเริ่มต้นเฉลี่ย 0.19 กรัม ให้อาหารเม็ดลอยน้ำโปรตีน 40 เปอร์เซ็นต์ แบบให้กินจนอิ่มวันละ 3 ครั้ง โดยดำเนินการทดลองที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดสิงห์บุรีในระหว่างเดือน กรกฎาคมถึงตุลาคม 2549 ที่ผ่านมา

ผลจากการศึกษาพบว่าขนาดถังอนุบาลที่ต่างกันจะมีผลต่อการเติบโตของลูกปลาที่ ต่างกัน โดยถังอนุบาลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้ลูกปลาสามารถเติบโตได้เร็วมากกว่า และการอนุบาลลูกปลาช่อนที่ระดับอัตราปล่อยที่มากขึ้นจะมีผลให้การเติบโตของ ลูกปลาช่อนมีค่าน้อยกว่าระดับอัตราปล่อยที่น้อยลง จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนพบว่าลูกปลาช่อนที่อนุบาลในถังขนาด 3.0 ตารางเมตร ที่อัตราปล่อย 2,400 ตัวต่อตารางเมตร ใช้ระยะเวลาอนุบาลเพียง 20 วัน ได้ลูกปลาที่มีความยาวเฉลี่ย 6.7 เซนติเมตร อัตรารอดตายร้อยละ 85 และมีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยเฉลี่ย 0.39 บาทต่อตัว มีกำไรสุทธิเฉลี่ย 1,300 บาทต่อถัง และมีผลตอบแทนสูงสุดร้อยละ 54.47 ของเงินลงทุน เมื่อพิจารณาต้นทุนและผลตอบแทนพบว่ามีความเหมาะสมในการนำไปปฏิบัติมากที่สุด ซึ่งผลการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ เกษตรกรที่เลี้ยงปลาช่อนเชิงพาณิชย์สามารถที่จะนำไปเป็นแนวทางในการดำเนิน กิจการของตนเองได้

นับเป็นอีกหนึ่งผลงานด้านการศึกษาวิจัยของกรมประมงที่สามารถเอื้อต่อความ ต้องการของเกษตรกรได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญปลาช่อนในปัจจุบันยังคงเป็นปลาน้ำจืดที่มีตลาดรองรับอย่างแน่นอน และมีความต้องการอย่างต่อเนื่องด้วยเป็นปลาที่ให้คุณค่าต่อร่างกายของผู้ บริโภคสูง ซึ่งเกษตรกรผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดสิงห์บุรี สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง โทร. 0-3653-9481, 0-3655-1126 ในวันและเวลาราชการ.



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3049


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 27/11/2011 7:28 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 6:19 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,316. อาชีพเลี้ยงปลานิล รายได้เสริม






กลุ่มเลี้ยงปลานิลของสมาชิกสหกรณ์ประมงพาน จำกัด แห่งบ้านดอยชังมงคล ต.สันติสุข อ.พาน จ.เชียงรายนิยมเลี้ยงปลานิล เพราะเลี้ยงง่าย ขายได้ราคาดี ที่สำคัญมีน้ำหล่อเลี้ยงตลอดทั้งปี

การรวมกลุ่มเลี้ยงปลานิลของสมาชิกสหกรณ์ประมงพาน จำกัด แห่งบ้านดอยชังมงคล ต.สันติสุข อ.พาน จ.เชียงราย ไม่เพียงสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำแก่สมาชิกเท่านั้น แต่ยังเป็นสหกรณ์ต้นแบบในด้านการบริหารจัดการดีเด่น ใช้เวลาเพียงแค่ 10 ปี สามารถขยายเครือข่ายได้มากถึง 16 กลุ่ม มีสมาชิกรวม 688 รายและมีทุนดำเนินงานทั้งสิ้นกว่า 18.40 ล้านบาท “สหกรณ์แห่งนี้ได้ก่อ ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2543 มีสมาชิกเริ่มต้น 116 คน มีทุนเรือนหุ้นแรกเข้าจำนวน 28,800 บาท ปัจจบันมีทุนดำเนินงานทั้งสิ้น 18,406,176.28 บาท” กาญจนา คำพุฒ ประธานสหกรณ์ประมงพาน จำกัด ย้อนอดีตการก่อตั้งสหกรณ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือสมาชิกที่ประกอบอาชีพเลี้ยงปลา จัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้แก่สมาชิก รวบรวมผลผลิตของสมาชิก รวมทั้งให้คำปรึกษาและบริการสมาชิกในด้านการเลี้ยงปลา ภายใต้การส่งเสริมสนับสนุนของสำนักงานสหกรณ์จังหวัดเชียงราย โดยเงินกู้จากกองทุนพัฒนาสหกรณ์เพื่อจัดหาอาหารปลามาจำหน่ายให้แก่สมาชิก





ปัจจุบันสหกรณ์ประมงพาน ถือเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงปลานิลใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ มีการจับปลานิลส่ง จำหน่ายเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3-4 ตันต่อวัน หรือประมาณ 1.2 หมื่นตันต่อปี โดยมีตลาดหลักอยู่ในจังหวัดต่างๆ ทางภาคเหนือและกรุงเทพมหานคร ซึ่งนอกจากปลานิลสดที่สร้างรายได้หลักให้สมาชิกแล้วยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลานิลหลากหลายรูปแบบวางจำหน่ายให้ผู้สนใจโดยทั่วไปอีกด้วย

กาญจนาระบุอีกว่า สาเหตุที่ชาวบ้านนิยมเลี้ยงปลานิลกันมากก็เพราะเลี้ยงง่าย ขายได้ราคาดี ที่สำคัญมีน้ำหล่อเลี้ยงตลอดทั้งปี โดยอาศัยน้ำจากเขื่อนแม่สรวยและเขื่อนแม่ลาว ตลอดสภาพดินที่ปราศจากสารเคมี ทำให้ปลานิลจากที่นี่จะไม่มีกลิ่นคาวเหมือนกับที่อื่น ปัจจุบันชาวบ้านจะยึดอาชีพเลี้ยงปลานิลเป็นอาชีพหลัก โดยทำนาและเลี้ยงสุกรเป็นอาชีพเสริม

“สมาชิกแต่ละคนจะมีบ่อเลี้ยงปลาเฉลี่ยคนละ 1-2 บ่อ แต่ละบ่อใช้พื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ขณะนี้มีประมาณเกือบ 2 พันบ่อ โดยสมาชิกมีหน้าที่เลี้ยงปลาตามแผนงานที่ทางสหกรณ์วางไว้และรับเงินเมื่อถึง กำหนดจับปลา ส่วนการบริหารจัดการเช่น การลงลูกปลาในบ่อ การใช้อาหาร การกำหนดเวลาจับ การลงมือจับ ตลอดจนการหาตลาด เป็นหน้าที่ของสหกรณ์เป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด”

เธอเผยต่อว่า ปัจจุบันปลานิลหน้า ฟาร์มจะจำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 56 บาท ซึ่งการลงลูกปลาแต่ละครั้งจะใช้ระยะเวลาเลี้ยงประมาณ 7 เดือน จึงจะจับเพื่อจำหน่ายได้ โดยขนาดปลาเฉลี่ยอยู่ที่ 4 ขีดขึ้นไป ถ้าหากต่ำกว่านี้จะปล่อยลงบ่อเพื่อเลี้ยงให้เติบโตจนได้ขนาดต่อไป ส่วนรายได้ของสมาชิกหลังหักต้นทุนการผลิต อาทิ ค่าอาหาร ลูกปลา ค่าแรงงานแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 1 แสนบาท/บ่อ ทำให้สมาชิกมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 2 แสนบาทต่อปีต่อจำนวน 2 บ่อ ขณะเดียวกันสมาชิกส่วนใหญ่ก็ยังทำนาปลูกข้าว เลี้ยงสุกรเป็นอาชีพเสริม ทำให้รายได้จากการขายปลา จึงเปรียบเสมือนเป็นเงินออม สนใจปลานิลของสมาชิกสหกรณ์โทร.08-3574-0587

ประคอง อภัยกาวี เกษตรกรเลี้ยงปลานิล อยู่บ้านเลขที่ 179 หมู่ 16 ต.สันกลาง อ.พาน หนึ่งในสมาชิกสหกรณ์ประมงพาน จำกัด กล่าวยอมรับว่าเริ่มเลี้ยงปลานิลมาตั้งแต่ปี 2545 ก่อนหน้านี้ยึดอาชีพทำนาอย่างเดียว ยิ่งทำก็ยิ่งเป็นหนี้ แต่หลังจากหันมาเลี้ยงปลานิลก็เริ่มมีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถปลดหนี้ลงได้ ทำให้ทุกวันนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

“ของผมมีเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่เศษ มีบ่อเลี้ยงปลา 2 บ่อ ที่เหลืออีก 3 ไร่ ทำนาข้าวและปลูกลำไย แต่ละวันเกือบจะไม่ต้องใช้จ่ายอะไร เพราะที่บ้านมีครบหมดแล้ว รายได้ปลาที่เลี้ยงไว้จึงเป็นเงินเก็บ” เขากล่าวอย่างภูมิใจ

นับเป็นอีกก้าวของสหกรณ์ประมงพาน ภายใต้การนำของหญิงแกร่ง “กาญจนา คำพุฒ” ในการนำพาองค์กรจนได้รับการกล่าวขานกันว่ามีระบบการบริหารจัดการที่ยอด เยี่ยมและเครือข่ายที่เข้มแข็ง จนกลายเป็นแหล่งผลิตปลานิลใหญ่ที่สุดของประเทศในปัจจุบัน



ที่มา : คมชัดลึก
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2996


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 27/11/2011 7:29 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 6:24 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,317. ปลูกมะเขือเทศ ฤดูแล้ง





เกษตรกรที่สนใจจะปลูกมะเขือเทศแบบเกษตรอินทรีย์สามารถเข้าไปดูงานและศึกษาวิธีการปลูกได้ที่ ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหารอันเนื่องมาจากพระ ราชดำริ จังหวัดชลบุรี

มะเขือเทศอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดในการเจริญเติบโตอยู่ระหว่าง 18-28 องศาเซลเซียส ซึ่งต้นจะแข็งแรงและติดผลมาก พื้นที่ปลูกที่สูงมีการระบายน้ำดีเป็นพิเศษ ดินมีสภาพเป็นกลาง คือ มีค่าความเป็น กรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 6.5-6.8 มีการระบายน้ำดี เตรียมดินให้ลึก 30-40 เซนติเมตร ตากดินให้แห้ง 3-4 อาทิตย์ แล้วย่อยดินให้ละเอียดพอควร หากดินเป็นกรดให้ใช้ปูนขาวหว่านในอัตราตามที่ได้รับคำแนะนำจากการวิเคราะห์ดิน หรือหากไม่ได้ส่งดินไปวิเคราะห์จะหว่านปูนประมาณ 100-300 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใช้ปูนขาวหว่านและคลุกเคล้ากับดิน หรืออาจจะหว่านก่อนการเตรียมดินครั้งสุดท้าย แต่อย่างไรก็ตาม ควรใส่ปูนขาวก่อนปลูก 2-3 อาทิตย์

ยกแปลงให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 100 เซนติเมตร นำพลาสติกมาคลุม เจาะรูเพื่อนำกล้ามาปลูก ปลูกเป็นแถวคู่ระยะระหว่างแถว 70 เซนติเมตร ระหว่างต้น 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมปลูกด้วยปุ๋ยคอกหนึ่งกระป๋องนมต่อหลุม คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วจึงย้ายกล้าลงหลุมปลูกหลุมละ 1-2 ต้น กลบดินให้เสมอระดับผิวดิน อย่าให้เป็นแอ่งหรือเป็นหลุม เพราะจะทำให้น้ำขังและต้นกล้าเน่าตายได้

การปลูกมะเขือเทศในฤดูแล้งควรจะกลบดินให้ต่ำกว่าระดับหลุมเล็กน้อย การย้ายกล้าลงแปลงปลูก ควรย้ายปลูกในเวลาที่อากาศไม่ร้อน คือ ในตอนบ่ายหรือตอนเย็น เมื่อย้ายเสร็จให้รีบรดน้ำตามทันทีจะทำให้กล้าตั้งตัวได้เร็วขึ้น และเปอร์เซ็นต์การตายน้อยลง แต่ถ้าเป็นการย้ายกล้าที่ชำในถุงพลาสติก สามารถย้ายลงแปลงได้ทุกเวลา กล้าจะตั้งตัวได้เร็ว และรอดตายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

จากนั้นรดน้ำกล้าให้ชุ่มทุกเช้า-เย็น เมื่อกล้าตั้งตัวดีแล้ว จึงรดน้ำเพียงวันละครั้งในบางพื้นที่ที่มีน้ำเพียงพออาจจะให้น้ำแบบปล่อยให้ไหลไปตามร่องแปลงจนชุ่มแล้วปล่อยน้ำออก วิธีนี้สามารถทำให้มะเขือเทศได้รับน้ำอย่างเต็มที่และอยู่ได้นาน 7-10 วัน ต่อการปล่อยน้ำ 1 ครั้ง

สำหรับพันธุ์มะเขือเทศที่ทอดยอดหรือพันธุ์เลื้อย จำเป็นต้องมีการปักค้างโดยใช้ไม้หลักปักค้างต้นก่อนระยะออกดอก โดยใช้เชือกผูกกับลำต้นให้ไขว้กันเป็นเลข 8 และผูกเงื่อนกระตุกกับค้าง เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตได้ดี สะดวกต่อการดูแลรักษา

สำหรับเกษตรกรที่สนใจจะปลูกมะเขือเทศแบบเกษตรอินทรีย์สามารถเข้าไปดูงานและศึกษาวิธีการปลูกมะเขือเทศได้ที่ ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมวัดญาณสังวราราม วรมหาวิหาร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชลบุรี

ศูนย์แห่งนี้มีการศึกษาวิจัยด้านการปรับปรุงดินเพื่อแก้ปัญหาดินเสื่อมโทรมโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ตลอดจนการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี รวมทั้งเทคนิคการเพาะปลูกพืชผักต่าง ๆ ด้วยวิธีเกษตรธรรมชาติ โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีโอกาสแวะเข้าไปดูได้



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2824


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/11/2011 6:50 pm, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 6:28 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,318. การเลี้ยงหอยหวาน





หอยหวาน เป็นสัตว์น้ำที่มีราคาค่อนข้างแพง เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ ส่วนใหญ่จับมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ปัจจุบันมีการศึกษา พบว่าสามารถนำหอยหวานมาเพาะเลี้ยงในบ่อเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้

หอยหวาน ที่พบมากในประเทศไทยมี ๒ ชนิด คือ บาบิโลเนีย อารีโอลาต้า และบาบิโลเนีย สไรลาต้า เป็นสัตว์น้ำที่มีราคาค่อนข้างแพง เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ

ในประเทศไทยหอยหวานที่บริโภคส่วนใหญ่จับมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยพบว่ามีแพร่กระจายอยู่หลายจังหวัดทั้งฝั่งอ่าวไทยและชายฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัดที่พบว่ามีจับหอยหวานกันมาก คือ ระยอง จันทบุรี เพชรบุรี ระนอง ปัตตานี และนครศรีธรรมราช

ปัจจุบันพบว่าปริมาณหอยหวานที่จับได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติลดน้อยถอยลงมากและ อาจจะสูญพันธุ์ไปในอนาคต กรมประมงจึงได้ศึกษา ค้นคว้า วิจัย เพื่อให้สามารถเพาะแพร่กระจายพันธุ์หอยหวานนี้ ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติเป็นการช่วยเพิ่มผลผลิตจากธรรมชาติให้มากขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา โดยศูนย์พัฒนาประมงทะเลอ่าวไทยฝั่งตะวันออกได้ทำการทดลองเพาะขยายพันธุ์หอยหวานชนิดบาบิโลเนีย อารีโอลาต้า จนเป็นผลสำเร็จ ลูกพันธุ์ที่ได้ก็นำปล่อยลงสู่พื้นน้ำทะเลจังหวัดระยอง อีกส่วนหนึ่งก็นำไปทดลองเลี้ยงให้มีขนาดตามความต้องการของตลาดต่อไป และจากการศึกษาครั้งนี้พบว่าสามารถนำหอยหวานมาเพาะเลี้ยงในบ่อเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้

โดยพื้นที่ที่เหมาะสม ควรเป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับทะเล หรือเป็นเกาะอยู่ห่างจากทะเลไม่มากนัก สามารถนำน้ำทะเลมาใช้ได้สะดวกและเพียงพอ ต้นทุนน้ำจะได้ไม่แพงมากนัก ไม่ควรอยู่ใกล้ปากแม่น้ำหรือลำคลองขนาดใหญ่ที่มีน้ำจืดไหลลงมาจำนวนมากในฤดูฝน เพราะอาจจะเกิดปัญหาความเค็มของน้ำลดลง รวดเร็ว ซึ่งจะมีผลต่ออัตราการตายของหอยหวาน

น้ำทะเลจะใช้เลี้ยงหอยหวาน ควรมีความเค็มอยู่ในช่วง 28-35 พีพีที หากน้ำมีความเค็มต่ำกว่า 28 พีพีที หอยหวานอาจจะเจริญเติบโตช้าลง และหากความเค็มลดลงต่ำกว่า 20 พีพีที หอยหวานบางส่วนจะเริ่มตายลง

บ่อใช้เลี้ยงหอยหวานจะมีหลายรูปแบบ แต่ต้องมีระบบที่จะทำให้สามารถถ่ายเทน้ำได้สะดวก มีระบบให้อากาศในปริมาณที่พอเพียง พื้นก้นบ่อหรือก้นถังดังกล่าวควรจัดให้มีทรายรองพื้นภาชนะ เริ่มจากการใช้ทรายละเอียด หากลูกหอยหวานยังมีขนาดเล็ก ปริมาณทรายที่ใช้ไม่จำเป็นต้องมากนัก ให้ทรายมีความหนาพอท่วมตัวหอยหวานที่เลี้ยงก็เป็นการเพียงพอแล้ว บ่อต้องมีพื้นผิวภาชนะที่ราบเรียบ ไม่ขรุขระซึ่งอาจเป็นที่สะสมของเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ มีการพรางแสง เพื่อไม่ให้แสงสว่างส่องตัวหอยหวานมากนัก น้ำที่ใช้เลี้ยงต้องใสสะอาด ไม่มีตะกอนแขวนลอย ขนาดความลึกของน้ำในบ่อ ประมาณ 40 ซม. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและความหนาแน่นของหอยหวานที่นำมาเลี้ยง ขนาดของลูกหอยหวานที่เหมาะสมจะ นำไปเลี้ยงนั้น ควรมีความยาวเปลือก 0.5 ซม. ขึ้นไป อัตราการปล่อยลูกหอยหวานประมาณ 300-500 ตัวต่อพื้นที่ก้นบ่อ 1 ตารางเมตร

การให้อาหารหอยหวานขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่จะให้ และขนาดของลูกหอยหวานที่เลี้ยง หากใช้เนื้อปลาควรใช้เนื้อปลาที่มีราคาไม่แพงนัก ควรให้ 2-10% ของน้ำหนักหอยหวานทั้งหมดที่เลี้ยง และตรวจสอบการเจริญเติบโตอย่างน้อยเดือนละครั้ง เมื่อได้ขนาดตามที่ตลอดต้องการก็จับขายได้



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2740


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 27/11/2011 7:30 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 6:32 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,319. ปลูกหอมแดง ปลอดสารพิษ






แนวทางในการผลิตหอมแดงให้ปลอดภัยจากสารพิษทำได้ 3 วิธี คือ งดใช้สารเคมีทุกชนิด , ลดการใช้สารเคมีลง และการใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง

หอมแดง จัดเป็นพืชผักอีกชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและคนไทยบริโภคในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันพื้นที่ปลูกหอมแดงในประเทศไทยมีประมาณ 40,000 ไร่ ปลูกมากใน จ.เชียงใหม่, ลำพูน และหอมแดงที่มีชื่อเสียงที่สุดปลูกอยู่ที่ จ.ศรีสะเกษ

ความจริงแล้วหอมแดงปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่จะปลูกให้ได้ผลผลิตและคุณภาพดีควรจะปลูกในช่วงฤดูหนาว เกษตรกรที่ปลูกหอมแดงในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนถือเป็นการผลิตหอมแดงนอกฤดู ซึ่งจะพบปัญหาการผลิตมากกว่าการปลูกในฤดูหนาว ยิ่งไปกว่านั้นหอมแดงจัดเป็นพืชผักที่มีทั้งโรคและแมลงรบกวนได้ทุกระยะของการเจริญเติบโต ทางศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษจึงได้มีการศึกษาเพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากการ ใช้สารพิษต่าง ๆ หรืองดการใช้สารเคมีมาใช้ศัตรูธรรมชาติเพื่อผลิตหอมแดงให้มีความปลอดภัย

คุณธวัชชัย นิ่มกิ่งรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ ได้ให้รายละเอียดถึงแนวทางในการผลิตหอมแดงให้ปลอดภัยจากสารพิษสามารถทำได้ 3 วิธี คือ งดใช้สารเคมีทุกชนิด (การผลิตพืชอินทรีย์), ลดการใช้สารเคมีลง (การผลิตพืชแบบผสมผสาน) และ วิธีการสุดท้ายคือการใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง (การผลิตพืชแบบปลอดภัย) จะเห็นได้ว่าวิธีการผลิตทั้ง 3 วิธี จะมีระดับของการใช้สารเคมีที่แตกต่างกันตั้งแต่ 0 ถึง 100%

อย่างกรณีของเกษตรกรที่มีความต้องการที่จะผลิตหอมแดงแบบอินทรีย์ คือ งดการใช้สารเคมีทุกชนิด จะต้องทำความเข้าใจและมีความรู้เกี่ยวกับโรคและแมลงที่ระบาด ในการปลูกหอมแดงให้ดี ปัจจุบันมีจุลินทรีย์หลายชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดโทษกับมนุษย์หรือเป็นประโยชน์กับพืชที่ปลูก โดยอาศัยหลักการแข่งขันทั้งด้านปริมาณและคุณภาพของจุลินทรีย์ เพื่อยึดครองพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณรากและบริเวณใต้ทรงพุ่มของพืช อาทิ เชื้อราไตรโคเดอร์มา เชื้อราคิโตเมียม เชื้อแบคทีเรียแบซิลลัส ทูริงจิเนนซีส ฯลฯ ซึ่งเชื้อราดังกล่าวสามารถป้องกันและกำจัดโรคหอมแดงได้หลายชนิด

คุณธวัชชัย ยังได้บอกว่า การปลูกพืชหมุนเวียน จะมีส่วนช่วยในการลดการแพร่ระบาดของโรคและแมลงของหอมแดงได้ และในการเตรียมดินเพื่อปลูกหอมแดงในแต่ละครั้งก่อนจะลงมือปลูกเกษตรกรควรจะ ไถดะตากดินไว้ระยะหนึ่งแล้วจึงเตรียมดินเพื่อปลูก การไถดะจะช่วยกำจัดวัชพืชซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและอาหารของแมลง ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์อัตราปีละ 1,000-3,000 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อช่วยให้โครงสร้างของดินดีขึ้น เมื่อดินร่วนซุยและมีการระบายน้ำที่ดีจะทำให้โรครากเน่าและโคนเน่าลดลง

ในขณะเดียวกันการปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างของดินให้มีความเหมาะสมกับการ เจริญเติบโตของหอมแดง โดยปกติทั่วไปแล้วสภาพดินในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีค่าความเป็นกรดปานกลางถึงกรดจัด จึงควรใส่ปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์ อัตรา 100-300 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นประจำทุกปี



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2880


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 28/11/2011 6:53 pm, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 6:38 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,320. การเพาะเห็ดตีนแรด






เห็ดตีนแรด หรือเห็ดตับเต่าขาว หรือ เห็ดจั่น เป็นเห็ดที่มีรสชาติอร่อย สามารถเก็บไว้ได้นานกว่าเห็ดหลายชนิด นำไปประกอบเป็นอาหารได้หลากหลายนำไปประกอบเป็นอาหารเจได้ อนาคตจะเป็นเห็ดที่สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้เพาะเห็ดได้เป็นอย่างดี

เห็ดตีนแรด หรือเห็ดตับเต่าขาว เป็นเห็ดสดที่มีขนาดใหญ่ สีสันสวยงาม ภาคเหนือเรียกว่า เห็ดจั่น ส่วนภาคกลางเรียกว่า เห็ดตับเต่าขาว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า เห็ดตีนแรด จัดได้ว่าเป็นเห็ดที่มีรสชาติอร่อย สามารถเก็บไว้ได้นานกว่าเห็ดหลายชนิด นำไปประกอบเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น แกงใส่ผักชะอม ผัดใส่หมู ผัดน้ำมันหอย นึ่งจิ้มน้ำพริกข่า ต้มยำ นำไปประกอบเป็นอาหารเจได้ อนาคตจะเป็นเห็ดที่สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้เพาะเห็ดได้เป็นอย่างดี

ดอกเห็ดมีสีขาวหม่นหรือสีเหลืองอ่อน หมวกรูปครึ่งวงกลม หรือรูปกระทะคว่ำ ผิวเรียบ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-25 เซนติเมตร ดอกอ่อนมีขอบม้วนงอเข้า ดอกแก่แบนลง ขอบหมวกหยักเป็นลอน และมีรอยฉีกขาดบางแห่ง เนื้อหมวกหนามีสีเดียวกันหมด ใต้หมวกมีครีบเป็นแผ่นสีขาวนวล กว้างประมาณ 0.7-1 เซนติเมตร ความยาวของครีบมี 2 ระดับ และเรียงสลับกัน ก้านยาว 6-15 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.2-2.5 เซนติเมตร โคนโป่งเป็นกระเปาะใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 4-5 เซนติเมตร สีขาวนวล ผิวเป็นร่องขาวโดยรอบหรือเป็นลายตาข่ายตื้นๆ เนื้อภายในก้านเป็นสีขาวหม่น สปอร์ของเห็ดรูปไข่เกือบกลมขนาด 7-8×6-7 ไมโครเมตร

การผลิตถุงเชื้อมีวัสดุเพาะ ประกอบด้วย
1. ขี้เลื่อยไม้ยางพารา 100 กิโลกรัม
2. รำละเอียด 5 กิโลกรัม
3. ยิปซัม 2 กิโลกรัม
4. ปูนขาว 1 กิโลกรัม
5. ดีเกลือ 200 กรัม




เห็ดตีนแรดสามารถเจริญได้อย่างกว้างขวางในสูตรอาหารอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น ฟางแห้งสับผสมกับซังข้าวโพดป่น ซังข้าวโพดป่นล้วน ไส้นุ่นล้วน ฟางสับล้วน ฟางหมักกับขี้ม้าหรือปุ๋ยเคมี และอาจใช้วัสดุหลายอย่างผสมกันในอัตราส่วนต่างๆ เชื้อเห็ดตีนแรดก็ยังคงเจริญได้ดี ถ้าต้องการให้เชื้อเจริญเร็วขึ้นให้เติมรำละเอียด 3% โดยน้ำหนักลงไป

การบรรจุถุง
ใช้ถุงสำหรับการเพาะเห็ดโดยเฉพาะ ขนาด 6.5×12.5 นิ้ว โดยกรอกวัสดุเพาะที่ผสมเสร็จแล้วลงให้เต็มถุง ใช้มือปาดปากถุงแล้วทุบให้แน่นที่สุด ใส่คอขวดพลาสติคแล้วปิดด้วยจุกสำลี หรือจุกประหยัดสำลี จากนั้นนำไปนึ่งฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งลูกทุ่ง มีความร้อนประมาณ 100 องศาเซลเซียส นาน 3 ชั่วโมง แล้วนำก้อนเชื้อเห็ดออกจากหม้อนึ่งเข้าห้องเขี่ยเชื้อ ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นแล้วจึงเขี่ยเชื้อเห็ด

วิธีการเขี่ยเชื้อ
ให้ทำความสะอาดวัสดุทั้งหมดโดยการฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์ คือ

1. เช็ดมือด้วยแอลกอฮอล์ให้สะอาด
2. ใช้แอลกอฮอล์เช็ดขวดเชื้อเมล็ดข้าวฟ่างให้ทั่วขวด
3. เขย่าขวดหัวเชื้อเมล็ดข้าวฟ่างให้เมล็ดแตกออกจากกัน ก่อนที่จะนำไปใส่ในถุงก้อนเชื้อเห็ด
4. เอาขวดเชื้อเมล็ดข้าวฟ่างที่เขย่าจนแตกและเช็ดแอลกอฮอล์แล้ว ดึงสำลีที่ปิดปากขวดออกแล้วลนปากขวดด้วยตะเกียงแอลกอฮอล์ เพื่อฆ่าเชื้อแล้วจึงเขี่ยเชื้อลงถุงก้อนเชื้อได้ โดยเทหัวเชื้อเห็ดเมล็ดข้าวฟ่างประมาณ 20-30 เมล็ด ต่อถุง แล้วปิดจุกด้วยสำลีทันที และหัวเชื้อที่ใส่ต้องใช้ให้หมด ถ้าเหลือจะทำให้มีเชื้ออื่นปนเปื้อน

การพักเชื้อเห็ด
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการเขี่ยเชื้อเห็ดแล้ว จึงนำเอาก้อนเชื้อเห็ดที่เขี่ยแล้วไปพักไว้ในโรงพักเชื้อที่ไม่มีลมโกรกและสะอาด เพื่อให้เชื้อเห็ดเดินในถุงเพาะเต็มที่ จากนั้นนำเข้าโรงเรือนเพื่อเปิดดอก ซึ่งใช้ระยะเวลาการพักเชื้อประมาณ 50 วัน

วิธีการเปิดถุงให้เห็ดออกดอก
การปิดผิวหน้าก้อน เชื้อ วิธีนี้เป็นการนำถุงก้อนเชื้อที่เส้นใยเห็ดเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว มาเปิดจุกสำลีแล้วดึงคอขวดออก จากนั้นจึงพับปากถุงจนถึงระดับที่อยู่สูงกว่าผิวก้อนเชื้อ 1-2 เซนติเมตร แล้วใช้มีดกรีดข้างถุงให้ขาดเป็นรอยยาว 1-2 เซนติเมตร 2-4 แห่ง เพื่อไม่ให้น้ำขัง จากนั้นจึงโรยดินกลบผิวหน้าก้อนเชื้อให้หนาประมาณ 0.1 -1 เซนติเมตร พร้อมกับยกเข้าเพาะในโรงเรือนเพาะเห็ด รดน้ำพื้นหน้าดินที่คลุมก้อนเชื้อให้ชื้น ทิ้งไว้ประมาณ 8-12 วัน จะพบตุ่มดอกเห็ดเล็กๆ

การนำก้อนเชื้อไปฝังดิน เพื่อให้ดอกเห็ดเกิดขึ้นคล้ายกับธรรมชาติ โดยการแกะถุงพลาสติคที่หุ้มก้อนเชื้อออกให้หมด และนำไปฝังยังบริเวณที่มีร่มเงา และมีความชื้นสูง ถ้าฝนตกสภาพภูมิอากาศเหมาะสมเห็ดตีนแรดก็จะงอกออกมาให้รับประทานทุกปี เพราะภายในดินมีเชื้อเห็ดชนิดนี้อยู่




การเพาะเห็ดตีนแรดร่วมกับการปลูกผัก มีขั้นตอนดังนี้
จัดเตรียมพื้นและวัตถุดิบที่ใช้ในการเพาะ ได้แก่ ดินป่นที่ขุดลึกจากผิวดิน 25 เซนติเมตร ก้อนเชื้อเห็ดตีนแรดที่เส้นใยเดินเต็มถุง (พื้นที่ 1 ตารางเมตร ใช้ก้อนเชื้อ 100 ก้อน) แปลงเพาะที่อยู่ในพื้นที่ดอน ไม่มีน้ำท่วมขัง อากาศไม่หนาวจัดจนเกินไป ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเก่าๆ จัดเตรียมแปลงเพาะให้เหมาะกับการเพาะเห็ด โดยทำเป็นบ่อลึกประมาณ 25 เซนติเมตร ขนาด 1×4 เมตร ต่อแปลง หรือกว้าง 1 เมตร ส่วนความยาวกำหนดเองตามต้องการ นำก้อนเชื้อเห็ดตีนแรดที่เส้นใยเดินเต็มถุงดีแล้ว มาฉีกเอาถุงพลาสติคออก ให้เหลือแต่ก้อนเชื้อ นำไปเรียงลงในแปลงชิดติดกันอย่างต่อเนื่องจนเต็มแปลงเพาะ (พยายามอัดก้อนเชื้อให้แน่น เพื่อให้เส้นใยของเห็ดแต่ละก้อนเดินประสานกันอย่างรวดเร็วเป็นเนื้อเดียวกัน ) แล้วนำดินที่ขุดไว้มากลบบนก้อนเชื้อให้มิด หนาประมาณ 1-3 เซนติเมตร บ่มเชื้อในแปลง เห็ดตีนแรดจะใช้เวลาประมาณ 20-40 วัน ในการเกิดดอก (ถ้าในฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำจะเกิดดอกช้า) หลังจากเกิดตุ่มดอกแล้ว 7-10 วัน จึงจะเก็บผลผลิตได้ โดยขนาดหรือน้ำหนักดอกเห็ดจะขึ้นอยู่กับจำนวนก้อนเชื้อที่ใช้ โดยทั่วไปดอกเห็ดที่ได้จะหนักกว่า 1 กิโลกรัม และบางกลุ่มอาจหนักกว่า 10 กิโลกรัม

การปลูกผัก ให้นำเมล็ดผักที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น เช่น คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง ขึ้นฉ่าย มาทยอยปลูกลงในแปลง นำดินกลบบางๆ แล้วใช้ฟางข้าวคลุม รดน้ำให้ชุ่ม และรักษาความชื้นไม่ให้ดินแห้ง ผักที่ปลูกจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในระยะเวลา 40-60 วัน ซึ่งระหว่างนั้นเชื้อเห็ดตีนแรดจะเริ่มเกิดดอก เมื่อเก็บผักรุ่นแรกเสร็จให้ทำร่มเงาในแปลงผัก โดยใช้ตาข่ายพรางแสง 60-80 เปอร์เซ็นต์ ขึงสูงประมาณ 2.5 เมตร หรือใช้ทางมะพร้าวพรางแสงและบังลมแทนก็ได้ สำหรับแปลงผักที่เก็บเกี่ยวแล้วสามารถนำผักชีมาปลูกหรือผักกินใบที่อยู่ใน ร่มก็ได้ โดยนำดินผสมปุ๋ยอินทรีย์โรยก่อนปลูกผัก แล้วนำฟางข้าวคลุม ซึ่งในระหว่างที่ผักรุ่นสองเจริญเติบโต ให้ดูแลรดน้ำและรักษาความชื้นตามปกติ และเห็ดก็จะเจริญเติบโตเก็บดอกได้อีกครั้งประมาณ 40-60 วัน พร้อมกับการเก็บผักควบคู่กันไป สามารถเก็บผลผลิตอยู่ได้นานถึง 8 เดือน

ท่าน ผู้อ่านท่านใดสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อาจารย์ปรีชา รัตนัง สาขาพืชผัก ภาควิชาพืชสวน คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ 50290 โทร. (053) 873-380 ในวันและเวลาราชการ



ที่มา : มติชน
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2681


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 27/11/2011 7:31 pm, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 6:43 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,321. ไผ่กิมซุง





ไผ่กิมซุงกำลังได้รับความนิยม เพราะไผ่กิมซุงจะให้ผลผลิตทั้งปี พร้อมทั้งให้หน่อตลอดทั้งปี

นายแทน รักคุณ วัย 57 ปี เกษตรกรใน ต.ศาลาครุ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี ไม่แตกต่างไปจากเกษตรกรรายอื่นที่ปลูกส้มเขียวหวาน และประสบกับโรคส้มระบาดเมื่อปี 2542 ขาดทุนย่อยยับจนหมดตัว ถึงขั้นต้องหันเหชีวิตด้วยการปลูกพืชล้มลุกเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัวไป วันๆ

ด้วย เป็นคนไม่ค่อยอยู่นิ่ง จึงมองหาพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ เป็นช่วงจังหวะไผ่กิมซุงกำลังได้รับความนิยม จึงเดินทางไปยังสวนไผ่กิมซุง หรือไผ่ไต้หวัน เพื่อศึกษาข้อมูลที่ จ.จันทบุรี จึงพบว่า ไผ่กิมซุง เป็นไผ่ที่โตไว ให้ผลผลิตเร็วเพียงอายุแค่ 7 เดือนก็ให้ผลผลิตได้แล้ว เป็นหน่อไม้ที่ไม่มีขน ไม่มีหนาม ประหยัดแรงงานในการขัดขน ที่สำคัญคือหน่อมีน้ำหนักดี เฉลี่ยแล้วตกหน่อละ 1.7-3.0 กก. รสหวานกรอบรับประทานอร่อย

หลังจากปลูกแล้วไผ่กิมซุงให้ผลผลิตทั้งปี พร้อมทั้งให้หน่อตลอดทั้งปี กับที่ปลูกเพื่อโรงงานอุตสาหกรรม และยังให้ประโยชน์อีกหลายอย่าง เนื่องจากลำไผ่มีเนื้อหนา รูในกระบอกเล็กให้เนื้อไม้ปริมาณมากน้ำหนักดี หากปล่อยให้แก่เป็นไม้ไผ่ เหมาะสำหรับใช้ในการทำเยื่อกระดาษ หรือทำเป็นถ่านสำหรับดูดกลิ่นภายในตู้เย็นหรือตามห้องนอน หรือจะนำไปทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ก็ได้

ตัดสินใจซื้อกิ่งพันธุ์ไผ่กิมซุงในราคากิ่งละ 25 บาท แล้วนำกลับมาปลูกในแปลง 35 ไร่ ปลูกขนาด 6×4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ จนได้ราว 70 ก่อ พอปลูกได้ 6 เดือน ก่อไผ่เริ่มโต จากนั้นก็เริ่มแต่งกอให้เหลือลำตรงก่อละ 4-5 ลำต้น จากนั้นอีก 1 เดือน ไผ่จะเริ่มแตกหน่อ คือ 1 ก่อจะมี 15-20 หน่อ น้ำหนักรวม 30-50 กก. พอตัดขายราคาจะดีมากตก กก.ละ15-35บาท มีพ่อค้าคนกลางจาก จ.นครนายก และจากตลาดไท มารับซื้อถึงที่ ตอนนี้ผมมีรายได้เลี้ยงครอบครัวได้ เพราะนอกจากจะขายหน่อไม้แล้ว ยังตอนกิ่งพันธุ์ขายด้วย นายแทน กล่าว

นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกทาง ทำให้ครอบครัวของ นายแทน รักคุณ สามารถฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง



ที่มา : คมชัดลึก
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2646
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 6:49 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,322. การปลูกฟักทอง เป็นอาชีพ





ฟักทองปลูกได้ในดินแทบทุกชนิดที่มีสามารถปลูกผักชนิดต่าง ๆ ได้ ชอบดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ดี และมีการระบายน้ำดี มีค่าความเป็นกรด-ด่างของดินระหว่าง 5.5-6.8 ชอบดินเป็นกรดเล็กน้อย ชอบอากาศแห้ง ดินไม่ชื้นแฉะ และน้ำไม่ขัง

ที่บ้านสะแล่ง ตำบลเชียงแรง อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นพื้นที่ที่เมื่อก่อนหน้านี้จะเพาะปลูกพืชประเภทตลาดนิยมของพื้นที่ ภาคเหนือทั่วไป คือ ลำไย และข้าว เมื่อหมดหน้านาเกี่ยวข้าวเสร็จก็ออกเดินทางไปต่างถิ่นขายแรงงานหารายได้ เลี้ยงชีวิตและครอบครัว

แต่มาในวันนี้ประชาชนในพื้นที่แห่งนี้มีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ด้วยสามารถใช้พื้นที่เพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้งได้แล้ว และสามารถปลูกให้ได้ผลผลิตที่ดีตรงตามความต้องการของตลาด เพราะวันนี้พื้นที่แห่งนี้มีน้ำเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งโดยเฉพาะฟักทอง

ฟักทอง เป็นพืชผักที่จัดอยู่ในกลุ่มพืชตระกูลแตง ซึ่งได้แก่ ฟักทอง แตงกวา แตงร้าน ฟักแฟง มะระ บวบ แตงโม แคนตาลูป เป็นพืชผักที่มีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงผิวพรรณและถนอมสายตา นำมาทำอาหารได้หลายชนิด เช่น ยอดอ่อนนำมาลวกจิ้มน้ำพริก หรือใส่แกงเลียง แกง ส้มเปรอะ แกงส้ม เป็นต้น เนื้อใช้ทำอาหารได้ทั้งคาว-หวาน ทั้งผัด-แกง-ขนม และใช้เป็นอาหารเสริมในเด็กเล็ก รวมทั้งดัดแปลงมาใช้โรยหน้าหรือปนในขนมต่าง ๆ ทำให้มีสีสันสวยงาม และมีคุณค่าทางอาหารมากยิ่งขึ้น

ประเทศไทยมีหลายจังหวัดที่ปลูก แต่ที่เป็นล่ำเป็นสันก็เห็นจะเป็นที่ ศรีสะเกษ, สกลนคร, ขอนแก่น, กาญจนบุรี, ชุมพร และฉะเชิงเทรา ซึ่งจะทยอยกันให้ผลิต ออกมาสู่ท้องตลาด ทำให้มีฟักทองขายตลอดทั้งปี

ปลูกได้ในดินแทบทุกชนิดที่มีสามารถปลูกผักชนิดต่าง ๆ ได้ ชอบดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ดี และมีการระบายน้ำดี มีค่าความเป็นกรด-ด่างของดินระหว่าง 5.5-6.8 ชอบดินเป็นกรดเล็กน้อย ชอบอากาศแห้ง ดินไม่ชื้นแฉะ และน้ำไม่ขัง

ฤดูปลูก ส่วนมากจะเริ่มปลูกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม หรือหลังฤดู ทำนา แต่สามารถปลูกได้ดีในปลายฤดูฝน และต้นฤดูหนาวคือช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม และปลูกได้ดีที่สุดคือช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ พื้นที่ปลูกต้องรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้าดินด้วย การรดน้ำทุกวัน จนผลแก่จึงเลิกรดน้ำ แล้วทำการเก็บเกี่ยว





สำหรับที่บ้าน สะแล่ง ตำบลเชียงแรง อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา แห่งนี้ที่สามารถเพาะปลูกฟักทองได้ดีให้ผลผลิตตรงตามที่ตลาดต้องการก็เพราะ มีน้ำเพียงพอแก่การเพาะปลูก ด้วยทางกรมชลประทานได้ดำเนินการก่อสร้างฝายคอนกรีตปนหินใหญ่ขนาดสันฝาย ยาว 60 เมตร สูง 2.50 เมตร พร้อมประตูระบายทราย สามารถส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรของราษฎรได้ในฤดูฝนประมาณ 2,000 ไร่ ในฤดูแล้งประมาณ 1,100 ไร่

ทั้งนี้เนื่องจากนายประเสริฐ ผันแก้ว ราษฎรในพื้นที่ได้ฎีกาขอแหล่งน้ำจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโครงการฝายวังผาเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จากนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็เข้ามาดำเนินการ ปัจจุบันแล้วเสร็จสามารถให้ประโยชน์แก่ราษฎร เกษตรกร อย่างเต็มที่ดังที่กล่าวมาข้างต้น

และล่าสุดทาง สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และกรมชลประทาน ตลอดถึงส่วนงานราชการที่เกี่ยวข้องในจังหวัดพะเยาได้ร่วมกันทำพิธีส่งมอบ โครงการฝายทดน้ำแห่งนี้ให้แก่ราษฎรในพื้นที่ ทำหน้าที่ในการดูแลบำรุงรักษาเพื่อประโยชน์ของผู้คนในการทำการเกษตรกันต่อ ไป



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2633
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 8:56 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,323. การปลูกพริกพิโรธ








มีวิจัยในการปลูกพริก ถือเป็นพริกที่มีความเผ็ดมากที่สุดในโลก คือ พริกพิโรธ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากแคว้นอัสสัม ประเทศอินเดีย ชอบอากาศค่อนข้างเย็นและมีความชื้นเหมาะสมสำหรับการปลูก

ก่อนหน้านี้ราวกลางปี 2546 มีบริษัทเอกชน อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ได้เปิดตัวพริกขี้หนูพันธุ์ใหม่เผ็ดที่สุดในโลก ซูเปอร์ฮอต จนได้รับรางวัล ชนะเลิศนวัตกรรมเกียรติยศยอดเยี่ยม โครงการประกวดนวัตกรรมแห่งประเทศปี 2546 แต่ล่าสุด วิพัฒน์ ดวงโภชน์ หัวหน้าสถานีเกษตรหลวงปางดะ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ยืนยันว่าประสบผลสำเร็จในการศึกษาวิจัยการปลูก พริกพิโรธ ถือเป็นพริกที่มีความเผ็ดมากที่สุดในโลก

วิพัฒน์บอกว่า สถานีเกษตรหลวงปางดะ เป็น 1 ใน 4 ของสถานีวิจัยที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิโครงการหลวง ที่ศึกษาวิจัยทั้งพืชและสัตว์ใหม่ๆ ที่มีอยู่ในประเทศและต่างประเทศ ศึกษาวิจัยปรับปรุงเพื่อให้มีความเหมาะสมต่อพื้นที่ สภาพอากาศ สภาพแวดล้อม และการปฏิบัติที่เหมาะสมในการขยายผลไปสู่เกษตรกรชาวไทยภูเขาและเกษตรกรทั่วไป และล่าสุดได้วิจัยในการปลูกพริกพิโรธ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากแคว้นอัสสัม ประเทศอินเดีย ชอบอากาศค่อนข้างเย็นและมีความชื้นเหมาะสมสำหรับการปลูกพริกพริกพิโรธ

ดังนั้นสถานีเกษตรหลวงปางดะ เป็นสถานที่หนึ่งที่มีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพริกพิโรธ เนื่องจากมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 720 เมตร อุณหภูมิต่ำสุดและสูงสุด 21-33 องศาเซียลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,310 มิลลิเมตรต่อปี เจ้าหน้าที่จึงนำพริกพิโรธมาทดลองปลูกจนประสบผลสำเร็จ โดยงบประมาณสนับสุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเพื่อท้องถิ่น (สกว.) และมหาวิทยาลัยมหิดล

ขั้นตอนการปลูกพริกพิโรธ
เตรียมแปลงด้วยการไถพรวนแล้วตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน ขึ้นแปลงปลูกและปรับปรุงบำรุงดินด้วยการใส่ปุ๋ยหมัก 3,000 กิโลกรัมต่อไร่ ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ในอัตรา 30 กิโลกนัมต่อไร่ คลุกเคล้าให้เข้ากัน คลุมแปลงด้วยพลาสติกเพื่อป้องกันวัชพืชและควบคุมความชื้นในดิน การเตรียมเมล็ดพันธุ์ จะต้องแช่เมล็ดพริกพิโรธในน้ำอุ่นอุณหภูมิประมาณ 50-55 องศาเซียลเซียส นาน 15 นาที

จากนั้นจึงผึ่งเมล็ดให้แห้ง แล้วคลุกด้วยยาป้องกันเชื้อราที่อาจจะติดมากับเมล็ดพันธุ์ ห่อเมล็ดพันธุ์ด้วยผ้าขนหนูที่ชุบน้ำพอหมาดๆ นำไปบ่มในกล่องพลาสติกที่ปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง 1 คืน เมล็ดพริกจะเกิดรากงอกออกมาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร นำไปเพาะในตะกร้าพลาสติกที่มีวัสดุเพาะ รดน้ำให้ชุ่มวันละ 2 ครั้ง นาน 10 วัน หลังจากเมล็ดงอกจนเป็นต้นกล้าที่มีอายุประมาณ 35 วัน หรือมีใบจริง 2 ใบ จึงย้ายไปอนุบาลในถุงชำต่ออีก 30 วัน ก่อนย้ายลงปลูกในแปลง หลังจากปลูกพริกพิโรธที่ปลูกในเรือนโรง จะเริ่มออกดอกประมาณ 82 วัน หากปลูกกลางแจ้ง จะออกดอกประมาณ 64 วัน

การปลูกพริกพิโรธในแปลงสามารถปลูกได้ทั้งแบบแถวเดี่ยวและแถวคู่ ปลูกในเรือนโรงหรือกลางแจ้งก็ได้ หลังจากย้ายต้นกล้าลงปลูก 7 วัน ควรให้ปุ๋ยทางระบบน้ำ ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-0-0 อัตรา 500 กรัมต่อน้ำ 500 ลิตร จากนั้นใส่ปุ๋ยสูตรอื่นตามระยะของการเจริญเติบโตและความต้องการของต้นพริกพิโรธ สนใจสอบถามได้ที่สถานีเกษตรหลวงปางดะโทร.0-5337-8046



ที่มา : คมชัดลึก
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2766
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 9:01 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,324. ปลูกพริกไทย สร้างรายได้








พริกไทยมีศัตรูทางธรรมชาติ น้อยมาก ที่สำคัญไม่ต้องใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลงฉีดพ่น จะมีก็เพียงแค่ให้ปุ๋ยชีวภาพ หรือปุ๋ยมูลไก่ เพื่อเพิ่มคุณภาพให้แก่ดินเท่านั้น
ความที่เป็นคนไม่ท้อถอยต่อโชคชะตา อีกทั้งความมานะบุกบั่นที่ต้องการจะเห็นครอบครัวมีความมั่นคงในอาชีพเกษตร เป็นแรงผลักดันให้ ลุงประมาณ สายโสภา เกษตรกรแห่ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ พลิกชีวิตจากการทำไร่เสาวรส ซึ่งตลอดเวลาประสบสารพัดปัญหา แล้วหันมาทำสวนพริกไทย กระทั่งประสบความสำเร็จสร้างรายได้กว่า 2 แสนบาทต่อเดือน

ลุงประมาณ ในวัย 50 ปี ผู้คลุกคลีอยู่ในวงการเกษตร อยู่บ้านเลขที่ 64 หมู่ 2 ต.หนองแม่นา อ.เขาค้อ เล่าว่า ยึดอาชีพเป็นเกษตรกรมาตลอดชีวิต ปลูกพืชเกษตรมาหลากหลายชนิด โดยเน้นไปที่ปลูกไม้ผลเป็นหลัก บนพื้นที่ที่มีอยู่เกือบ 10 ไร่ จนเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา ได้แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งปลูกต้นเสาวรส หรือแฟชั่นฟรุตเพื่อจำหน่ายลูก แต่เนื่องจากปัญหาการปลูกต้นเสาวรสมีมากมาย จนเกิดอาการเบื่อหน่าย จึงคิดหาปลูกอย่างอื่นเสริม

ปัญหาของเสาวรสก็คือ ต้องใช้พื้นที่เพาะปลูกค่อนข้างมาก และต้องใช้แรงงานเยอะ อีกทั้งลงทุนก็สูง นอกจากนั้นร่างกายต้องเสี่ยงต่อการได้รับสารเคมีจากยาฆ่าแมลง เพราะต้นเสาวรส หรือแฟชั่นฟรุต มีศัตรูทางธรรมชาติค่อนข้างมาก ลุงจึงหันมาทดลองปลูกพริกไทยแทน บนเนื้อที่ราว 2 ไร่ โดยปลูกมาได้เกือบ 5 ปีแล้ว

ปลูกมาเกือบ 5 ปีแล้ว ลุงประมาณยอมรับว่าพริกไทยมีศัตรูทางธรรมชาติน้อยมาก ที่สำคัญไม่ต้องใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลงฉีดพ่น จะมีก็เพียงแค่ให้ปุ๋ยชีวภาพ หรือปุ๋ยมูลไก่ เพื่อเพิ่มคุณภาพให้แก่ดินเท่านั้น ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้ผลผลิตพริกไทยอ่อนเก็บส่งตลาดได้ถึงเดือนละ 4 ครั้ง หรือเก็บผลผลิตได้ทุกสัปดาห์

ยิ่งช่วงนี้ราคาพริกไทยอ่อนจะมีราคาสูงมาก เนื่องจากปัญหาของภัยแล้งทั่วทุกภาค ที่ผ่านมาจึงทำให้เกิดผลกระทบต่อปริมาณการออกผลผลิตของพริกไทยอ่อนในหลายจังหวัด โดยเฉพาะแถบภาคตะวันออก อย่าง จ.จันทบุรี ระยอง ทำให้ปริมาณผลผลิตลดลง แต่ของที่สวนไม่ได้รับผลกระทบเท่าใด ปริมาณผลผลิตยังได้เป็นกอบเป็นกำ แถมมีคุณภาพ ลุงประมาณบอกด้วยความภาคภูมิใจ

พร้อมยอมรับว่า รายได้แต่ละเดือนจากการจำหน่ายพริกไทยอ่อนนั้น จะอยู่ที่ประมาณ 2.2-2.4 แสนบาทต่อเดือน การจำหน่ายจะมีพ่อค้าขับรถมารับซื้อผลผลิตถึงในไร่ ในราคากิโลกรัมละ 220-250 บาท ส่วนพ่อค้าจะไปขายต่อราคาเท่าไหร่นั้นไม่รู้ แต่คาดว่าราคาสูงมาก เพราะแม่ค้าที่ตลาดสดจะนำไปแยกขายเป็นขีดอีกทอดหนึ่ง

ทุกวันนี้ยอมรับว่าผลผลิตจากพริกไทยช่วยให้สมาชิกในครอบครัวมีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาก ลุงประมาณแจงและว่า หากเพื่อนเกษตรกรคนใดสนใจขั้นตอน รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการทำสวนพริกไทย ก็ติดต่อไปได้ตามที่อยู่ที่ให้ไว้ข้างต้น ยินดีให้ความกระจ่างแก่ทุกคน



ที่มา : คมชัดลึก
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2458
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 9:05 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,325. ปลูกแก้วมังกร รายได้งาม





แก้วมังกรเป็นพืชที่ปลูกง่าย ไม่มีโรคแมลงรบกวน ไม่ต้องรดน้ำ-ใส่ปุ๋ยมากนัก และให้ผลผลิตหลังจากออกดอกเพียง 40 วัน

หลังเปลี่ยนจากสละมาปลูกแก้วมังกรกลับสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำสำหรับ จิตนา วรศรี เกษตรกรวัย 52 ปี ใน ต.เกาะเต่า อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ก่อนหน้านี้ปลูกไว้ประดับบ้านเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังไม่มีเกษตรกรรายใดปลูกเพื่อการจำหน่ายอย่างจริงจัง จึงทำให้เธอเริ่มหันมาสนใจเรียนรู้การปลูกแก้วมังกรมากขึ้น เพราะเห็นช่องทางว่ามีเกษตรกรปลูกน้อยในพื้น จ.พัทลุง ผลผลิตน่าจะเป็นที่ต้องการของตลาด

จิตนา เล่าว่าเริ่มต้นจากนำต้นพันธุ์จาก จ.ราชบุรี มาปลูกจำนวน 10 ต้น โดยปลูกผสมผสานทั้งทุเรียน ลองกอง มังคุด เงาะ สละเนินวง สละอินโด บนเนื้อที่ 30 ไร่ จากการเรียนรู้ทำให้ทราบว่าแก้วมังกรเป็นพืชที่ปลูกง่าย ไม่มีโรค แมลงรบกวน ไม่ต้องรดน้ำ ใส่ปุ๋ยมากนัก และให้ผลผลิตหลังจากออกดอกเพียง 40 วัน แก้วมังกรที่ปลูกให้ผลผลิตในช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคม

เธอเผยถึงการดูแลรักษาว่า ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่เตรียมพันธุ์แก้วมังกร โดยคัดเลือกตัดต้นแก่ ขนาด 50 เซนติเมตร แล้วนำไปพักไว้ในที่ร่มราว 30 วัน ก็จะมีรากงอกออกมา ระหว่างนั้นก็เตรียมแปลงปลูกโดยปลูกระยะ 3 เมตร คูณ 3 เมตร ใช้ค้างคอนกรีต ขนาด 4 นิ้ว ยาว 2.5 เมตร ฝังดิน 50 เซนติเมตร ที่ปลายเสาทำกากบาท เพื่อนำยางรถสิบล้อ ที่ผ่า 2 ซีก ไปวางพาดกากบาทให้เป็นค้างให้แก่แก้วมังกรต่อด้วยการเตรียมหลุมปลูกทั้ง 4 ด้าน 4 ต้น แล้วมัดต้นแก้วมังกรให้ติดกับหลัก หมั่นรดน้ำ ไม่ให้แฉะ เพราะจะทำให้ต้นแก้วมังกรเน่า หลังจากนั้นก็ใส่ปุ๋ยคอกเป็นหลัก

หลังจากปลูกได้ 8 เดือน ถึง 1 ปี แก้วมังกรจะเริ่มให้ผลผลิต ปีแรกแก้วมังกรจะให้ผลประมาณ 30 ผล ต่อค้าง และให้ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นในปีที่ 4 โดยแก้วมังกรจะให้ผลผลิตประมาณ 300 ผลต่อค้าง ส่งขายตลาดในพื้นที่ในราคากิโลกรัมละ 25-30 บาท ขณะนี้แก้วมังกรที่ปลูกมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยเฉลี่ยรายได้ต่อปีที่ขายแก้วมังกรประมาณ 1.5-2 แสนบาท มีกำไรกว่าผลไม้ทุกชนิดที่ปลูกในสวน

ปัจจุบันแก้วมังกรของเธอมีอยู่ 2 พันธุ์คือพันธุ์เนื้อสีขาว และเนื้อสีแดง เพราะพันธุ์เนื้อแดงกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น หากใครสนใจเข้ามาเรียนรู้การปลูกแก้วมังกรที่สวนยินดีให้ความรู้โดยไม่ปิดบัง ติดต่อได้ที่บ้านเลขที่ 220 หมู่ 5 ต.เกาะเต่า อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง หรือโทร.0-7460-0055



ที่มา : คมชัดลึก
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2409
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 9:09 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,326. มะพร้าวกะทิลูกผสม สายพันธ์ใหม่








มะพร้าวลูกผสมกะทิพันธุ์ใหม่ทั้ง 2 สายพันธุ์ คือ YDK และ NHK เป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรภายในปี 2553 นี้ พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรนำไปปลูกเพื่อการค้าเพื่อเพิ่มรายได้อย่างแพร่หลาย

นับเป็นข่าวดีที่ กรมวิชาการเกษตร ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์มะพร้าวกะทิลูกผสมพันธุ์ใหม่ 2 พันธุ์ ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมเสนอให้คณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร พิจารณาประกาศเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตร เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก เพื่อการค้า

นายสมชาย วัฒนโยธิน นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ทีมนักวิจัยเริ่มปรับปรุงพันธุ์มะพร้าวลูกผสมกะทิที่สวนผลิตพันธุ์มะพร้าว ลูกผสมคันธุลี ศูนย์วิจัยยางสุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2538 โดยได้รับความร่วมมือจากสวนมะพร้าวกะทิพันธุ์แท้ของบริษัท อูติเมล็ดพันธุ์ปาล์มน้ำมัน จำกัด อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ซึ่งสนับสนุนพ่อพันธุ์มะพร้าวกะทิสายพันธุ์แท้ 1 พันธุ์ จำนวน 44 ต้น นำมาผสมกับแม่พันธุ์มะพร้าว 5 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์น้ำหอม สายพันธุ์มลายูสีเหลืองต้นเตี้ย สายพันธุ์มลายูสีแดงต้นเตี้ย สายพันธุ์ทุ่งเคล็ด และสายพันธุ์เวสท์อัฟริกันต้นสูง พันธุ์ละ 100 ต้น

เบื้องต้นได้สายพันธุ์มะพร้าวลูกผสมกะทิ ชื่อย่อ NHK, YDK, RDK, TKK และ WAK ซึ่งทีมนักวิจัยได้ทำการทดลองปลูกพร้อมคัดเลือกสายพันธุ์เรื่อยมากระทั่งปี 2549 พบว่า มะพร้าวลูกผสมกะทิ 2 พันธุ์มีความโดดเด่นและมีศักยภาพการให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพ คือ YDK และ NHK ซึ่งเหมาะสมที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเพื่อเพิ่มรายได้

สำหรับสายพันธุ์ YDK เป็นมะพร้าวพันธุ์ลูกผสมกะทิระหว่างมลายูสีเหลืองต้นเตี้ย (พันธุ์แม่) กับมะพร้าวกะทิสายพันธุ์แท้ (พันธุ์พ่อ) มีลักษณะเด่น คือ ออกจั่นและติดผลเร็วขณะที่ ต้นเตี้ย (สูงจากพื้นที่ดินประมาณ 50-60 เซนติเมตร) หลังปลูกประมาณ 4 ปี ก็เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ให้ผลผลิตสูง เฉลี่ย 1,902 ผล/ไร่/ 3 ปีแรก (ช่วงอายุ 4-7 ปี) คิดเป็นรายได้ 28,008 บาท/ไร่ ถ้าแหล่งปลูกปลอดจากมะพร้าวธรรมดา จะมีศักยภาพในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 34,002 บาท/ไร่ ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการสวน

ส่วนสายพันธุ์ NHK เป็นมะพร้าวพันธุ์ลูกผสมกะทิระหว่างพันธุ์น้ำหอม (พันธุ์แม่) กับกะทิสายพันธุ์แท้ (พันธุ์พ่อ) มีลักษณะเด่น คือ ออกจั่นเร็ว ให้ผลผลิตเป็นมะพร้าวกะทิที่มีกลิ่นหอมทั้งน้ำและเนื้อ จำนวน 55% ของจำนวนต้นที่ปลูก โดยให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,064 ผล/ไร่/3 ปีแรก (อายุ 4-7 ปี) ซึ่งต้นมะพร้าวลูกผสมกะทิจำนวนดังกล่าว สามารถใช้พัฒนาพันธุ์มะพร้าวกะทิน้ำหอมต้นเตี้ยได้โดยใช้เทคนิคการผสมพันธุ์ คัดเลือกพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงคัพภะ (Embryo culture) เข้ามาช่วยในการเพาะเลี้ยงผลมะพร้าวกะทิน้ำหอม ก็จะได้ต้นพันธุ์มะพร้าวกะทิน้ำหอม 100%

กรมวิชาการเกษตรจะประกาศให้มะพร้าวลูกผสมกะทิพันธุ์ใหม่ทั้ง 2 สายพันธุ์ เป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรภายในปี 2553 นี้ พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรนำไปปลูกเพื่อการค้าเพื่อเพิ่มรายได้อย่างแพร่หลาย มากขึ้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างเร่งผลิตต้นพันธุ์มะพร้าวกะทิลูกผสมพันธุ์ใหม่ทั้ง 2 พันธุ์ โดยใช้พื้นที่กว่า 80 ไร่ เพื่อรองรับความต้องการของเกษตรกรที่มียอดสั่งจองต้นพันธุ์เข้ามาแล้วกว่า 20,000 ต้น ขณะเดียวกันยังมีแผนขยายผลการวิจัยพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ต่อ เพื่อให้ได้พันธุ์มะพร้าวกะทิน้ำหอมต้นเตี้ยซึ่งเป็นพันธุ์แท้ต่อไป

หากสนใจเกี่ยวกับมะพร้าวกะทิลูกผสมพันธุ์ใหม่ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร โทร. 0-2579-0583 ต่อ 135 หรือ สวนผลิตพันธุ์มะพร้าวลูกผสมคันธุลี ศูนย์วิจัยยางสุราษฎร์ธานี โทร. 0-7738-1963



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2356
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 9:13 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,327. การปลูกมะละกอแขกดำ








เกษตรกรหลายรายเข้าใจผิดว่ามะละกอที่ปลูกเป็นโรคจุดวงแหวน แต่ความจริงแล้วเกิดจากละอองของยาฆ่าหญ้า ทำให้ใบหงิกงอและชะงักการเจริญเติบโต

หลายคนก็ทราบดีว่าปัญหาหลักของการปลูกมะละกอ ในประเทศไทยคือ โรคไวรัสจุดวงแหวน หรือบางคนเรียกสั้น ๆ ว่า โรคจุดวงแหวน ซึ่งปัจจุบันนี้มีการระบาดไปทุกพื้นที่ของการปลูกมะละกอ

และนี่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พื้นที่การปลูกมะละกอในประเทศไทยลดลงเป็นลำดับ ในทางวิชาการต่างก็ทราบดีว่าเมื่อมะละกอ เป็นโรคจุดวงแหวนแล้วไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้อย่างรุนแรง ต้นมะละกอจะเป็นโรคนี้ตายก่อนที่ต้นมะละกอจะออกดอกและติดผลด้วยซ้ำไป มะละกอทุกสายพันธุ์ที่ปลูกกันอยู่ในขณะนี้ มีโอกาสเป็นโรคจุดวงแหวนได้ทุกสายพันธุ์ แม้แต่พันธุ์แขกดำศรีสะเกษ ก็ไม่ต้านทานต่อโรคนี้เช่นกัน

ในการแก้ปัญหาโรคจุดวงแหวนในมะละกอแบบยั่งยืน จะต้องใช้วิธีเทคโนโลยีการตัดต่อยีนหรือวิธีการพันธุวิศวกรรม ซึ่งขณะนี้งานวิจัยมะละกอตัดต่อยีนที่กรมวิชาการเกษตรทำไว้ประสบผลสำเร็จและเสร็จสิ้นลง แล้วในส่วนของการหาพันธุ์ต้านทานโรคจุดวงแหวน

ผศ.ดร.วิชัย โฆสิตรัตน์ จากมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ได้ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยว กับโรคจุดวงแหวนในมะละกอว่า ไวรัสจุดวงแหวนเป็นไวรัสทำลายผลผลิตมะละกอเป็นส่วนมากและยังรวมถึงแตงด้วย โดยมีเพลี้ยอ่อนเป็นพาหะ เพลี้ยอ่อนไม่ใช่ศัตรูสำคัญของมะละกอ เป็นแมลงที่หาอาหารด้วยการดูด ชิมต้นอื่นอีก โดยใช้เวลาเพียงน้อยนิดใน การดูดชิมจากต้นหนึ่งไปสู่อีกต้นหนึ่งและ ถ่ายเชื้อไวรัส ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของชาวสวนที่มักปลูกพืชตระกูลแตงร่วมในแปลงมะละกอ ซึ่งเป็นพืชที่เป็นบ้านของไวรัส ชนิดเดียวกันทำให้การควบคุมโรคยิ่งยากเข้าไปอีก

ในขณะที่ รศ.ดร.รวี เสรฐภักดี จากภาควิชาพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กลับมองต่างมุมออกไปเกี่ยวกับปัญหาโรคจุดวงแหวนในมะละกอไม่น่าจะใช่เรื่องสำคัญที่สุด ถ้าเกษตรกรมีการจัดการบำรุงรักษาต้นมะละกอให้แข็งแรงและสมบูรณ์ จะทนทานต่อโรคได้ดีระดับหนึ่ง แต่กลับห่วงปัญหาเรื่องการใช้ยาฆ่าหญ้าในแปลงปลูกมะละกอ ไม่ว่าจะเป็นสารฆ่าหญ้าในกลุ่มไกลโฟเสท และสาร 2, 4-ดี โดยเฉพาะสาร 2, 4-ดี ละอองยาสามารถ ฟุ้งกระจายไปไกลได้นับร้อยเมตร เมื่อต้นมะละกอได้สัมผัสสารฆ่าหญ้าจะทำให้ใบหงิก และมีลักษณะอาการเหมือนกับโรคไวรัสจุด วงแหวน

ทำให้เกษตรกรหลายรายเข้าใจผิดว่ามะละกอที่ปลูกเป็นโรคจุดวงแหวน แต่ความจริงแล้วเกิดจากละอองของยาฆ่าหญ้า ทำให้ใบหงิกงอและชะงักการเจริญเติบโต ดังนั้นเกษตรกรที่ปลูกมะละกอจะต้องตระหนักเป็นพิเศษ ไม่ควรฉีดพ่นสารฆ่าหญ้าในแปลงปลูกมะละกอ



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2343
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 9:17 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,328. ปุ๋ยหมักจากกากอ้อย





กากอ้อย มาแปรสภาพเป็น ปุ๋ยหมักชีวภาพ คุณภาพชั้นดี สร้างมูลค่าและเพิ่มประโยชน์ให้แก่อาชีพทางการเกษตร

แม้จะทำงานเป็นที่ปรึกษาบริษัทผลิตน้ำตาลรายใหญ่ แต่ก็ไม่ทิ้งกลิ่นอายความเป็นเกษตรกรในฐานะหมอดินอาสา จนสามารถคว้ารางวัลหมอดินอาสาดีเด่น สาขาการผลิตและการใช้ปุ๋ยหมัก ประจำปี 2551 ของกรมพัฒนาที่ดิน สำหรับ สุริวงค์ แห้วเพ็ชร เกษตรกรหนุ่มไฟแรง แถมควบตำแหน่งกำนันแห่ง ต.ทัพหลวง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี มีแนวคิดสร้างสรรค์ในการนำสิ่งเหลือใช้จากการทำการเกษตรในท้องถิ่นอย่าง กากอ้อย มาแปรสภาพเป็น ปุ๋ยหมักชีวภาพ คุณภาพชั้นดี เพื่อสร้างมูลค่าและเพิ่มประโยชน์ให้แก่อาชีพทางการเกษตร รวมถึงคืนความสมดุลให้แก่ผืนแผ่นดินที่หล่อเลี้ยงชีวิตได้เป็นอย่างดี

สุริวงศ์ เล่าว่า หลังเรียนจบด้านวิศวกรรมศาสตร์ก็ใช้ความรู้ที่เล่าเรียนมามาทำงานอยู่ในโรงงานที่กรุงเทพฯพักใหญ่ ก่อนหันมาสวมหมวกเกษตรกรเต็มขั้น หลังตัดสินใจกลับสู่บ้านเกิดเพื่อยึดอาชีพปลูกอ้อยส่งโรงงานอ้อย บนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ ซึ่งเป็นอาชีพหลักของครอบครัวที่ทำกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ด้วยพื้นฐานความรู้ดีกรีวิศวะ จึงมองเห็นมูลค่าของกากตะกอนอ้อยหรือที่เรียกว่า ฟินเตอร์เค้ก ซึ่งเป็นวัตถุเหลือใช้มีอยู่เป็นจำนวนมาก น่าจะนำมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้ จึงทดลองนำมาใส่ในไร่อ้อย ปรากฏว่าดินดีขึ้น จากนั้นจึงได้นำความคิดนี้มาต่อยอด โดยปรึกษากับสถานีพัฒนาที่ดินอุทัยธานี เพื่อนำมาเป็นวัสดุหลักในการผลิตเป็นปุ๋ยหมักชีวภาพ

หลังทดลองใช้แล้วได้ผล ผมจึงได้แนะนำให้เกษตรกรทดลองใช้บ้าง ซึ่งก็ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี จากนั้นจึงได้จัดตั้งกลุ่มขึ้นภายในหมู่บ้านเมื่อปี 2547 ชื่อว่า กลุ่มเกษตรกรทำสวนทัพหลวง ตอนนั้นมีสมาชิกเริ่มแรก 50 คน ทำปุ๋ยหมักเพื่อใช้กันเองในกลุ่ม ต่อมาทางจังหวัดอุทัยธานีให้งบประมาณสนับสนุนในรูปของวัตถุดิบและเครื่องจักร

สุริวงศ์อธิบายถึงกระบวนการผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพจากกากอ้อยว่า มีส่วนผสมที่สำคัญ ได้แก่ กากตะกอนอ้อยหรือเศษใบอ้อยจำนวน 1,000 กก. มูลสัตว์จำนวน 200 กก. สารเร่งซุปเปอร์ พด.1 ของกรมพัฒนาที่ดิน 1 ซอง ส่วนวิธีการกองปุ๋ยหมัก

ขั้นตอนแรก นำเศษวัสดุที่จะใช้ทำปุ๋ยหมัก (กากตะกอนอ้อยหรือเศษใบอ้อย) มา กองเป็นชั้นแรกขนาดกว้าง 2-3 เมตร สูงประมาณ 30-40 ซม. ย่ำให้แน่นและรดน้ำให้ชุ่ม

ขั้นตอนที่สอง นำมูลสัตว์ประมาณ 50 กก. มาโรยบนชั้นของวัตถุดิบให้ทั่วแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ขั้นตอนที่สาม นำสารเร่งซุปเปอร์ พด.1 ละลายน้ำ รดให้ทั่วกองและขั้นตอนสุดท้าย นำเศษวัสดุที่ใช้ทำปุ๋ยหมักมากองทับแล้วนำมูลสัตว์โรยทับให้ทั่วทั้งผิวหน้า เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

การดูแลกองปุ๋ยหมัก ควรรดน้ำสม่ำเสมอไม่ให้กองปุ๋ยแห้งและแฉะจนเกินไป กลับกองปุ๋ยหมักประมาณ 7-10 วันต่อครั้ง เพื่อเป็นการระบายอากาศและลดความร้อนภายในกองปุ๋ย ทำให้การย่อยสลายเป็นไปด้วยดี ส่วนปุ๋ยหมักที่เสร็จและนำไปใช้ปรับปรุงดินได้ สีของเศษวัสดุจะมีสีน้ำตาลเข้มจนถึงสีดำ ลักษณะของวัสดุจะอ่อนนุ่มและเปื่อยยุ่ย ไม่มีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นฉุน ความร้อนภายในกองปุ๋ยจะใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายนอก

ขณะนี้กำลังการผลิตอยู่ที่ครั้งละ 100 ตัน โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ที่ผ่านมาปุ๋ยหมักจากกากอ้อยช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและสมาชิกไม่น้อย กว่าปีละ 1.5 ล้านบาท ส่วนปีนี้คาดว่ามีรายได้อยู่ประมาณ 1.2 ล้านบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาปุ๋ยเคมีเป็นหลัก หากปุ๋ยเคมีแพงปริมาณการซื้อปุ๋ยหมักก็จะมากขึ้น หมอดินอาสาดีเด่นกล่าวทิ้งท้าย

จากความสำเร็จในการถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกรในฐานะหมอดินอาสา ทำให้ สุริวงศ์ แห้วเพ็ชร คว้ารางวัลหมอดินอาสาดีเด่น สาขาการผลิตและการใช้ปุ๋ยหมัก ประจำปี 2551 ของกรมพัฒนาที่ดิน สำหรับเกษตรกรหรือผู้สนใจทั่วไปต้องการความรู้เพิ่มเติมหรือทดลองนำปุ๋ยหมัก ไปใช้โทร.0-5659-6525 หรือ 08-1953-0188 ได้



ที่มา : คมชัดลึก
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2320
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 27/11/2011 9:23 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,329. การปลูกพริกกะเหรี่ยง








คุณลักษณะที่เด่นเฉพาะตัวของพริกกะเหรี่ยง คือ ต้องปลายแหลม ก้นโต สีส้มจัด (ไม่แดงคล้ำ) เผ็ดแต่ไม่แสบลิ้นและมีกลิ่นหอม

อาจจะกล่าวได้ว่าพริกกะเหรี่ยงเป็นวัฒนธรรมของคนกะเหรี่ยง ก็ว่าได้ ถึงกับมีคำกล่าวว่า มีข้าว มีพริก มีฟืน ไม่ต้องมีเงิน ก็อยู่ได้ หลายคนเคยรับประทานก๋วยเตี๋ยวน้ำพริกกะเหรี่ยง แต่ไม่ทราบว่าพริกกะเหรี่ยงคือพริกอะไร

พริกกะเหรี่ยงไม่ใช่พริกขี้หนูสวน ในธรรมชาติพริกขี้หนูสวนจะเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดีในพื้นที่ปลูกที่ร่ม รำไรในขณะที่พริกกะเหรี่ยงชอบแสงแดดจัด การปลูกพริกกะเหรี่ยงของคนกะเหรี่ยงจะปลูกแบบพืชไร่โดยการเอาเมล็ดพริกผสม กับเมล็ดพืชอื่น ๆ อาทิ เมล็ดฟัก, แฟง, แตง กวา ฯลฯ หว่านในไร่หลังจากที่หยอดเมล็ด ข้าวไปแล้ว เมล็ดข้าวงอกก่อนและเป็นร่มเงา ให้ต้นกล้าผักซึ่งรวมถึงต้นกล้าพริกด้วย ระหว่างที่รอต้นข้าวให้ผลผลิตชาวกะเหรี่ยง จะได้กินผักชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จต้นพริกกะเหรี่ยงอยู่ ในระหว่างออกดอกและติดผลพอดี ชาวกะเหรี่ยงทยอยเก็บเกี่ยวพริกกะเหรี่ยงได้ต่อเนื่องถึง 5-6 เดือน

ชาวกะเหรี่ยงบอกถึงคุณลักษณะที่เด่นเฉพาะตัวของพริกกะเหรี่ยงดังนี้ ต้อง ปลายแหลม ก้นโต สีส้มจัด (ไม่แดงคล้ำ) เผ็ดแต่ไม่แสบลิ้นและมีกลิ่นหอม พริกกะเหรี่ยงว่ามีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม มีลำต้นใหญ่ การแตกแขนงดี สามารถเก็บผลผลิตติดต่อกันได้ระยะเวลานาน นิยมแปรรูปเป็นพริกแห้งโดยใช้พริกกะเหรี่ยงสด 3 กิโลกรัม เมื่อเป็นพริกแห้งได้น้ำหนักเฉลี่ย 1-1.3 กิโลกรัม ปัจจุบันโรงงานที่ผลิตซอสพริกนิยมนำเอาพริกกะเหรี่ยงแห้งไปปั่นผสมกับพริกหนุ่มเขียวเพื่อเพิ่มความเผ็ดและมีกลิ่นหอม

ผศ.ดร.จานุลักษณ์ ขนบดี จากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จังหวัดลำปาง ได้กล่าวว่า การปลูกพริกกะเหรี่ยงของเกษตรกรในเขตพื้นที่ ต.คีรีราษฎร์ อ.พบพระ จ.ตาก ส่วนใหญ่เกษตรกรจะปลูกพริกกะเหรี่ยงแซมหรือปลูกหมุนเวียนร่วมกับพืชชนิดอื่น ๆ เช่น ข้าวโพด และมันสำปะหลัง เป็นต้น

โดยสามารถปลูกพริกได้เพียงละ 1 ครั้งเท่านั้น ศักยภาพในการผลิตพริกกะเหรี่ยง ของเกษตรกรในเขต ต.คีรีราษฎร์ สามารถผลิตพริกได้เฉลี่ยเพียง 200-300 กิโลกรัมต่อไร่เท่านั้น ผลผลิตออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม มีผลผลิตออกในแต่ละปีเฉลี่ยวันละ 200,000 กิโลกรัม จากการดำเนินงานนักวิจัยได้รวบรวมพันธุ์พริกพื้นเมืองจนได้พริกสายพันธุ์ดี 14 สายพันธุ์

หลังจากนั้นทำการทดสอบและประเมินพันธุ์โดยนักวิจัยและภาคเอกชน ผลสำเร็จที่ได้ คือ พริกพันธุ์คีรีราษฎร์ 1 ที่สามารถปรับตัวได้ดีในพื้นที่ และ ให้ผลผลิตสูงมากกว่า 1.5 ตันต่อไร่ และได้ส่งเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกรนำไปเพาะและเพิ่มจำนวนเมล็ดพันธุ์เพื่อการ ผลิตและจำหน่ายเป็นพริกพันธุ์การค้าในระยะต่อไป



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2223
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 28/11/2011 7:21 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,330. น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็น





ผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็นและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวรายใหญ่บนเกาะ ภายใต้สัญลักษณ์ สปาโก้ (Spaco) นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ จนได้รับความสนใจจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ

แม้ปัจจุบันความเจริญย่างกลายเข้ามา จนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานีกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อติดอันดับโลก แต่วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านบนเกาะแห่งนี้ที่ยึดอาชีพทำสวนมะพร้าวก็ยังคงดำรงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือความต้องการผลมะพร้าวสุกกลับเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ หลัง พงษ์ทิพย์ ศรลัมน์ เจ้าของผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็นและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวรายใหญ่บนเกาะ ภายใต้สัญลักษณ์ สปาโก้ (Spaco) นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ จนได้รับความสนใจจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ

ผมเป็นคนนครสวรรค์ ไปทำธุรกิจอสังหาอยู่ที่เชียงใหม่อยู่พักใหญ่ แล้วย้ายมาลงหลักปักฐานอยู่ที่เกาะสมุย เพราะภรรยาเป็นคนที่นี่ มีอาชีพดั้งเดิมคือทำสวนมะพร้าว ตอนนั้นมะพร้าวลูกละ 1 บาท ถ้าหักค่าจ้างสอยออก คงเหลือลูกละ 50 สตางค์ มะพร้าว 100 ลูกชาวสวนจะขายได้เพียง 50 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งน้อยมาก เทียบกับค่าครองชีพบนเกาะที่สูง แต่ถ้าส่งมะพร้าวจากเกาะสมุยไปขายยังฝั่งก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงและเสียเวลาค่อนข้างมาก

พงษ์ทิพย์ย้อนอดีตราคาผลผลิตมะพร้าวเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว แต่หลังจากมีการจัดตั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็นและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าว โดยได้รับการแนะนำจากดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องมะพร้าว ในฐานะที่ปรึกษาและเพื่อนซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ม.พายัพจบทางด้านนี้โดยตรงคอยให้คำปรึกษา จากนั้นจึงทดลองทำผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็น จนในที่สุด จึงสำเร็จเป็นชิ้นแรก ก่อนจะขยายต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆ ในเวลาต่อมา ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตและจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดมากกว่า 10 ผลิตภัณฑ์ และสามารถผลิตน้ำมันบริสุทธิ์ได้วันละ 30 ลิตร จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้ตราสัญลักษณ์ สปาโก้ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและฮ่องกงถือเป็นตลาดส่งออกหลักในขณะนี้

เขาเผยต่อว่า ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะใช้มะพร้าวบนเกาะสมุย 100% ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต โดยจะมีเกษตรกรในเครือข่ายกว่า 30 รายนำผลมะพร้าวสุกมาจำหน่ายให้กลุ่มทุกวัน โดยจะรับซื้อในราคาลูกละ 5 บาท ขณะเดียวกันก็มีผลผลิตจากสวนมะพร้าวตัวเองและญาติๆ ของภรรยาอีกกว่า 300 ไร่ ซึ่งทุกวันนี้มีความต้องการผลมะพร้าวสุกสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเฉลี่ย 150-500 ลูกต่อวัน

ในส่วนขั้นตอนการแปรรูปเริ่มจากการคัดเลือกวัตถุดิบนั่นก็คือผลมะพร้าวสุกต้องใหม่และสะอาดปลอดจากสารเคมีตามมาตรฐานออแกนิก จากนั้นนำเนื้อมะพร้าวไปขูดเป็นฝอยและคั้นเป็นน้ำกะทิ ทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมงเพื่อให้น้ำมันแยกตัวออกจากน้ำ ก่อนที่นำน้ำมันที่ได้ไปกรองและเข้ากระบวนการลดความชื้นแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้ตกตะกอน จึงได้น้ำมันพร้อมจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็น จากนั้นก็นำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและอื่นๆ ต่อไป

เมื่อปี 2548 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 10 ได้จัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์มูลค่ากว่า 8 แสนแล้วก็มีสวทช.ส่งวิทยากรมาช่วยให้คำแนะนำ ซึ่งตอนนี้ก็มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ อย่างเช่นที่เพิ่งออกมาก็คือครีมบำรุงผิวหน้า ราคาขายปลีกหลอดละ 859 บาท หรือที่กำลังจะออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ก็คือกากมะพร้าวบรรจุแคปซูนรับประทาน มีคุณสมบัติเป็นไฟเบอร์อย่างดี แทนที่จะทิ้ง เราก็นำมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ทุกวันนี้มีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยเดือนละ 8 หมื่น-1 แสนบาท เจ้าของผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวคนเดิมระบุทิ้งท้าย

กลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าว ตราสปาโก้ (SPACO) เลขที่ 56/5 หมู่ 2 ต.อ่างทอง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี นับเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ได้มาตรฐาน โดยใช้วัตถุดิบหลักจากมะพร้าวของเกษตรกรบนเกาะสมุย 100% สนใจผลิตภัณฑ์โทร.0-7742-1211, 08-1603-2965 ได้ตลอดเวลา



ที่มา : คมชัดลึก
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2196
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 28/11/2011 7:34 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,331. วิธีการปลูกพู่ระหงส์





บ้านใดปลูกต้นพู่ระหงส์ไว้ประจำบ้านจะทำให้เป็นผู้มีน้ำใจและมีจิตใจที่สูง เพราะลักษณะของดอกพู่ระหงห์เวลาบานจะบอกถึงกริยาที่เบิกบาน ซึ่งแสดงถึงความมีน้ำใจ และเพื่อเป็นสิริมงคล ใครที่กำลังมองหาต้นไม้มาปลูกไว้ประดับบ้าน วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีการปลูกและดูแลต้นพู่ระหงส์มาฝาก

คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพู่ระหงส์ไว้ประจำบ้านจะทำให้เป็นผู้มีน้ำใจและมีจิตใจที่สูง เพราะลักษณะของดอกพู่ระหงห์เวลาบานจะบอกถึงกริยาที่เบิกบาน ซึ่งแสดงถึงความมีน้ำใจ และเพื่อเป็นสิริมงคล ควรปลูกต้นพู่ระหงส์ ไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบ้าน ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธ

วิธีปลูกพู่ระหงส์
สำหรับประดับบริเวณบ้านและสวน โบราณนิยมปลูกไว้เป็นแนวรั้วรอบบ้านหรือบริเวณสวนหน้าบ้าน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x30 เซนติเมตรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1:2 ผสมดินปลูกวิธีนี้ผู้ปลูกสามารถตัดแต่งทรงพุ่มให้เหมาะสมตามความต้องการได้

การดูแลรักษา
ต้นพู่ระหงส์ ต้องการแสงแดดจัด ควรรดน้ำอย่างน้อยวันละ 5-7 วัน/ครั้ง และให้ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่อย่างน้อย 1-2 ครั้ง/ เดือน เพื่อการเจริญเติบโต วิธีง่ายๆลองนำไปทำตามดูได้




ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2097
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 28/11/2011 7:39 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,332. ข้าวฮางสมุนไพร








สร้างความแตกต่างให้แก่ ผลิตภัณฑ์ ข้าวทั่วไปคือข้าวฮางสมุนไพรกลิ่นกระชายดำ ตะไคร้ และใบเตย

ย้อนไปเมื่อปี 2544 เกษตรกรชาวบ้านถลุงเหล็ก ต.ใหม่นาเพียง อ.แวงใหญ่ จ.ขอนแก่น รวมกลุ่มตั้งศูนย์ส่งเสริมและผลิตภัณฑ์ข้าวชุมชนบ้านถลุงเหล็กขึ้น เน้นผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน เพื่อจำหน่ายให้แก่เกษตรกรในละแวกใกล้เคียง และป้อนให้ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวขอนแก่นในแต่ละปีมีจำนวนหลายตัน แต่ ไพศาล ผาจันดา ในฐานะผู้นำกลุ่ม มองว่าการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวนั้นมีมูลค่าไม่มากนัก จึงตัดสินใจนำผลผลิตข้าวชุมชนมาแปรรูปการทำข้าวฮาง ตามแบบฉบับภูมิปัญญาของชาวบ้าน ล่าสุดมาประยุกต์เป็นข้าวฮางสมุนไพรตรา ขวัญนา ได้โอท็อป 4 ดาว ขายในราคากิโลกรัมละ 45 บาท

ไพศาล บอกว่า ศูนย์ส่งเสริมและผลิตภัณฑ์ข้าวชุมชนบ้านถลุงเหล็ก ต.ใหม่นาเพียง ถือว่าเป็นการรวมตัวของเกษตรกรที่เข้มแข็ง เริ่มต้นจากสมาชิกเพียง 20 คนเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีถึง 70 คนแล้ว ช่วงแรกเริ่มจากการปลูกข้าวเพื่อจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ขายให้เกษตรกรที่เป็น สมาชิกรายละ 1 กระสอบ และผลิตคืนให้แก่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวขอนแก่นฤดูกาลละ 3 กระสอบ ทำให้มีรายได้น้อย เนื่องจากเป็นการขายวัตถุดิบ จึงคิดว่าควรที่จะแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าขึ้น ในปี 2547 จึงเริ่มแปรรูปทำเป็นข้าวฮาง โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรและสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดขอนแก่น มาถ่ายทอดถึงวิธีการทำด้วย ในช่วงแรกเป็นการแปรรูปออกจำหน่ายเล็กๆ น้อยๆ ตามเทศกาลงานไหมของ จ.ขอนแก่น งานวันเกษตรภาคอีสาน จน 2 ปีถัดมาคือในปี 2549 เริ่มมีออเดอร์จากกรุงเทพฯ เข้ามา ครั้งละ 100-200 กิโลกรัม จนผลิตไม่ทัน

แรกเราไม่มีตราหรือยี่ห้อเป็นของตัวเอง จึงคิดว่าควรจะมียี่ห้อหรือแบรนด์เป็นของตัวเอง กระทั่งปี 2550 จึงติดยี่ห้อ ขวัญนา มีรูปร่วงข้าวเป็นโลโก้ โดยมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น สำนักงานเกษตรจังหวัด และสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด ร่วมกันออกแบบ พร้อมสร้างความแตกต่างให้แก่ผลิตภัณฑ์ ข้าวทั่วไปคือข้าวฮางสมุนไพรกลิ่นกระชายดำ ตะไคร้ และใบเตย โดยหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนสนับสนุนเครื่องกะเทาะเปลือกข้าวฮาง รวมทั้งเครื่องอัดสุญญากาศในระยะแรก ซึ่งปัจจุบันก็มีโรงสีชุมชนเป็นของกลุ่ม และที่สำคัญเราได้โอท็อประดับ 4 ดาวด้วย เขากล่าว

ปัจจุบันศูนย์ส่งเสริมและผลิตภัณฑ์ข้าวชุมชนบ้านถลุงเหล็กมีกำลังการ ผลิตข้าวฮางตรา ขวัญนา วันละ 200 กิโลกรัม ข้าวเปลือกเมื่อผ่านกระบวนการกะเทาะเปลือกแล้วจะได้ข้าวกว่า 100 กิโลกรัม อย่างไรก็ตามในแต่ละเดือนจะมียอดขายไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2,000 กิโลกรัม คิดราคาเพียง กิโลกรัมละ 45 บาท ส่วนราคาขายปลีกที่มีการบรรจุภัณฑ์เรียบร้อยแล้วคิดราคากิโลกรัมละ 70 บาท โดยกลุ่มตลาดมีทั้งลูกค้าจากกรุงเทพฯ สมุทปราการ นอกจากนี้ยังส่งขายตามธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ศูนย์โอท็อป และงานเทศกาลต่างๆ

เรามีรูปแบบการบริหารภาคการผลิต โดยมีสมาชิกในกลุ่มแวะเวียนมาทำวันละ 4 คน สมาชิกที่ทำข้าวฮางจะได้ค่าจ้างวันละ 200 บาท พอสิ้นปีจะมีรายได้จ่ายเงินปันผลให้แก่สมาชิกทุกๆ คน หากสมาชิกลงหุ้นละ 100 บาท จะได้เงินปันผล 30 บาท ในปีที่ผ่านมามีสมาชิกได้รับเงินปันผลคนละ 5,000 บาท เนื่องจากมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีรายได้และกำไรกลับคืนสู่สมาชิกมากตามด้วย ไพศาล กล่าว

สำหรับขั้นตอนการทำข้าวฮาง เริ่มจากการนำข้าวหอมมะลิ 105 มาแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน หลังจากนั้นก็เอาไปนึ่ง ซึ่งในขั้นตอนนึ่งนั้นหากต้องการใส่สมุนไพรก็นำตะไคร้หรือใบเตยมารองที่ก้น ซึ้งนึ่งทับด้วยข้าวเปลือก ก่อนจะนำไปตากแดดบนนั่งร้านประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วเข้าสู่กระบวนการกะเทาะเปลือกข้าวออก และมาคัดเมล็ดที่สมบูรณ์และกากข้าวที่ปะปนมาทิ้งไป จากนั้นนำไปบรรจุหีบห่อซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย

สำหรับผู้ที่สนใจข้าวฮางสมุนไพรสามารถสอบถามได้ที่โทร.08-1369-1552




ที่มา : คมชัดลึก
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-2072
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 28/11/2011 9:27 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,333. กุ้งมดแดง สัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่








กุ้งมดแดงเป็นกุ้งทะเลขนาดเล็กมีสีแดงสลับขาว พบได้ง่ายตามแนวปะการังของทะเลเขตร้อนทั่วโลก อาศัยอยู่ในความลึกตั้งแต่สองเมตรขึ้นไป ชอบอยู่ใต้ปะการังหรือซอกหิน และจากพฤติกรรมของกุ้งมดแดงที่มักจะเก็บกินเศษอาหาร ซากพืชซากสิ่งปฏิกูล

การเลี้ยงสัตว์ทะเลสวยงามในปัจจุบันนิยมเลี้ยงสัตว์ทะเลที่ไม่ใช่ปลาเพิ่ม ขึ้นไม่ว่าจะเป็นเห็ดทะเล กุ้งและปลาสวยงาม และนิยมสร้างตู้จำลองที่มีแนวปะการัง ทำให้กุ้งทะเลสวยงามกลายเป็นส่วนประกอบที่ช่วยเพิ่มสีสันและรักษาสมดุลของ ระบบนิเวศภายในตู้ได้เป็นอย่างดี โดยกุ้งที่นิยมนำมาใช้มีหลายประเภท ได้แก่ กุ้งมดแดง กุ้งพยาบาล กุ้งนักเลง กุ้งไฟ กุ้งเปปเปอร์มิ้นท์และกุ้งเซ็กซี่

ล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางสาววารินทร์ ธนาสมหวัง ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง เผยว่า กุ้งที่พบในตลาดส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นกุ้งที่จับมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น กรมประมงจึงเกรงว่ากุ้งทะเลในแนวปะการังจะเสี่ยงต่อการถูกรบกวนและสูญพันธุ์ ได้ในที่สุด ทางศูนย์วิจัยและพัฒนาชายฝั่งสมุทรสาคร กรมประมง จึงได้ทำการศึกษาและรวบรวมข้อมูลทางด้านชีววิทยา ด้านการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของลูกกุ้งวัยอ่อนในระยะต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านวิชาการ ตลอดจนการผลิตกุ้งทะเลสวยงามเชิงพาณิชย์ เพื่อทดแทนการจับจากธรรมชาติ โดยได้พัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลสวยงามด้วยการให้อาหารที่มีคุณภาพ การใช้กรองชีวภาพและโปรตีนสกิมเมอร์ในการเพาะพันธุ์กุ้งมดแดง และประสบความสำเร็จสามารถขยายผลไปสู่การเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้





กุ้งมดแดงเป็นกุ้งทะเลขนาดเล็กมีสีแดงสลับขาว พบได้ง่ายตามแนวปะการังของทะเลเขตร้อนทั่วโลก อาศัยอยู่ในความลึกตั้งแต่สองเมตรขึ้นไป ชอบอยู่ใต้ปะการังหรือซอกหิน และจากพฤติกรรมของกุ้งมดแดงที่มักจะเก็บกินเศษอาหาร ซากพืชซากสิ่งปฏิกูล หากนำมาเลี้ยงชนิดเดียวหรือเลี้ยงร่วมกับสัตว์น้ำชนิดอื่นจะช่วยทำความสะอาด พื้นล่างของตู้ได้ อีกทั้งยังสามารถกินดอกไม้ทะเลขนาดเล็กที่มีเข็มพิษที่เป็นอันตรายได้อีก ด้วย “กุ้งมดแดง” เลยกลายเป็นกุ้งสวยงามที่ตลาดต้องการมากในปัจจุบัน

ทางด้านนางชมพูนุท หลักดี นักวิชาการประมงปฏิบัติการ และนายวรดร สุขสวัสดิ์ เจ้าพนักงานประมงปฏิบัติงานศูนย์วิจัยและพัฒนาชายฝั่งสมุทรสาคร สำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง กรมประมงร่วมกันเปิดเผยว่าทางศูนย์ฯ ได้ทำการคัดเลือกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์กุ้งมดแดงที่มีลักษณะสมบูรณ์ แข็งแรง รูปร่างสมส่วน อวัยวะและรยางค์ต่าง ๆ ครบสมบูรณ์ ลวดลายและสีเด่นชัด โดยให้กินอาร์ทีเมียตัวโตเต็มวัย เสริมด้วยเพรียงทรายตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ วันละ 2 มื้อ จากนั้นนำแม่พันธุ์ที่มีไข่แก่ออกไปใส่ไว้ในถังฟักไข่พลาสติกสีดำขนาด 350 ลิตร ปริมาตรน้ำ 300 ลิตร ให้อากาศผ่านหัวทรายเบา ๆ เมื่อไข่ที่หน้าท้องฟักออกเป็นตัวอ่อนจึงนำแม่กุ้งออกจากถังฟักไข่

จากนั้นอนุบาลในห้องควบคุมอุณหภูมิ เพื่อไม่ให้อุณหภูมิน้ำในรอบวันแตกต่างกันมาก ให้อากาศผ่านหัวทรายเบา ๆ ป้องกันไม่ให้รยางค์ขาดหรือหลุด โดยใช้ถังพลาสติกสีดำขนาด 350 ลิตร ปริมาตรน้ำ 300 ลิตร ที่ความหนาแน่น 2 ตัวต่อลิตร หรือ 600 ตัวต่อถัง ดูดตะกอนและเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกวันครั้งละ 50 เปอร์เซ็นต์

อาหารสำหรับลูกกุ้งมดแดงวัยอ่อน เริ่มต้นด้วยโรติเฟอร์ร่วมกับแพลงก์ตอนพืช อาร์ทีเมียแรกฟัก อาทีเมียอายุ 3-4 วัน และอาหารผสมไข่ตุ๋น ทำให้ผลผลิตลูกกุ้งมดแดงมีอัตรารอดตายสูง นอกจากนี้ทางศูนย์ฯ ได้เตรียมเผยแพร่ความรู้ในการเพาะเลี้ยงกุ้งมดแดงให้กับเกษตรกรและผู้สนใจ ในรูปของเอกสารเผยแพร่ และเอกสารวิชาการ เป็นการเสริมสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรและช่วยลดปริมาณการจับกุ้งมดแดงจาก ธรรมชาติได้อีกทางหนึ่ง

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาชายฝั่งสมุทรสาคร สำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง กรมประมง 0-3485-7136 หรือ 0-3442-6220 ในวันและเวลาราชการ.




ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3137
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 28/11/2011 9:33 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,334. ไอศกรีม มะม่วงน้ำดอกไม้





ช่วงหน้ามะม่วงจะมีผลผลิตออกมามาก แล้วก็ยังมีเหลืออีกมาก จึงหาวิธีแปรรูป เพื่อไม่ให้มะม่วงเน่าเสียหายแบบเปล่าประโยชน์ ล่าสุดก็ได้นำมะม่วงมาแปรรูปเป็น ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้

หนึ่งในของหวานทานเล่นที่ได้รับความนิยมยามที่อากาศร้อน หรือแม้แต่ช่วงที่ไม่ร้อน คือ ไอศกรีม ซึ่งไอศกรีมก็สามารถทำได้หลากหลายรสชาติ อย่างรายของ สุพัตรา พัชรารัตน์ เจ้าของสวนมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ในช่วงนี้เป็นช่วงมะม่วงออกผลผลิต นอกจากขายผลสดแล้ว ก็ยังนำมะม่วงมาผลิตเป็น ’ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้ เป็นการนำผลผลิตมาแปรรูปจำหน่ายสร้างรายได้เสริม เป็นอีกหนึ่งรูปแบบ ช่องทางทำกิน ที่น่าพิจารณา

สุพัตรา พัชรารัตน์ ซึ่งทำสวนมะม่วงอยู่ที่ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ชื่อสวนมะม่วงน้องปลื้ม เล่าว่า ครอบครัวทำสวนมะม่วงมานาน ปลูกมะม่วงกว่า 100 ไร่ มีมะม่วงหลากหลายพันธุ์ ที่ปลูกมากที่สุดก็คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เป็นพันธุ์ที่ขึ้นชื่อและได้รับความนิยมที่สุด และในช่วงหน้ามะม่วงจะมีผลผลิตออกมามาก เร่งขายผลสดแล้วก็ยังมีเหลืออีกมาก ซึ่งก็จะต้องหาวิธีแปรรูปเพื่อไม่ให้มะม่วงเน่าเสียหายแบบเปล่าประโยชน์ โดยส่วนใหญ่ก็จะนำไปทำเป็นมะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงดอง มะม่วงกวน และล่าสุดก็ได้นำมะม่วงมาแปรรูปเป็น ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้ ขายอีกด้วย

เนื่องจากคุณย่านั้นทำไอศกรีมกะทิขายมานานหลาย 10 ปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังทำขายอยู่ และในช่วงที่มะม่วงออกผลผลิตนั้นจะตรงกับช่วงหน้าร้อนพอดี เราจึงมีความคิดที่จะนำมาทำเป็นไอศกรีม เพราะยังไงคุณย่าก็มีสูตรการทำไอศกรีมอยู่แล้ว เราจึงไปให้คุณย่าทดลองทำไอศกรีมมะม่วง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ยาก คุณย่าทดลองทำอยู่ไม่นานก็ได้สูตรการทำไอศกรีมมะม่วง และก็ทำขายตั้งแต่ปี 2553 เรื่อยมา

ไอศกรีมมะม่วง ใช้สูตรการทำคล้ายไอศกรีมกะทิ แต่จะเพิ่มเนื้อมะม่วงลงไปปั่นผสมเพื่อให้มีกลิ่นหอมและมีรสชาติของมะม่วง ด้วย โดยเลือกใช้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เพราะมีรสชาติหวาน เนื้อแน่น ไอศกรีมมะม่วงที่ทำออกมานั้นจะไม่หวานมาก แต่จะต้องมีกลิ่นหอม และได้ความมันของกะทิแบบกลมกล่อมไอศกรีม 1 ถังจะมีอยู่ 3 ปั่น โดย 1 ปั่น เทียบได้ประมาณ 8 กิโลกรัม ซึ่งในการทำไอศกรีม 8 กิโลกรัมจะใช้มะม่วงน้ำดอกไม้ประมาณ 5 กิโลกรัม เนื่องจากมีมะม่วงเป็นต้นทุนอยู่แล้ว จึงใส่มะม่วงได้เต็มที่ ส่วนมะม่วงที่นำมาใช้ได้ จะเป็นมะม่วงที่สุกงอมกำลังพอดี ไม่สุกมากหรือน้อยเกินไปเพราะจะทำให้ไอศกรีมที่ทำออกมามีกลิ่นไม่หอมและไม่อร่อย





สำหรับการทำไอศกรีมมะม่วงนั้นเราจะจำกัด ทำออกมาจำหน่ายเฉพาะในช่วงหน้ามะม่วงออกผลผลิตเท่านั้น เพราะเราต้องการคุณภาพของไอศกรีม เนื่องจากมะม่วงนอกฤดูนั้นเป็นมะม่วงที่จืด ไม่หอมไม่หวาน เวลานำมาทำเป็นไอศกรีมก็จะไม่อร่อย

การทำไอศกรีม 8 กิโลกรัม มีส่วนประกอบในการทำไอศกรีมดังนี้ เนื้อมะม่วงน้ำดอกไม้สุกประมาณ 5 กิโลกรัม, น้ำตาลทราย 5 กิโลกรัม, น้ำกะทิ 10 กิโลกรัม, นมสด 3 กระป๋อง, ไวท์มอลต์ 2 ช้อนชา, กลิ่นวานิลลาเล็กน้อย

ขั้นตอนการทำไอศกรีมมะม่วง
เริ่มจากนำมะม่วงน้ำดอกไม้สุกมาทำการปอกเปลือก หั่นเอาแต่เนื้อ จากนั้นนำไปใส่ในเครื่องปั่น เทน้ำกะทิผสมลงไป ทำการปั่นให้เนื้อมะม่วงละเอียดเข้าเป็นเนื้อเดียวกับกะทิ พักทิ้งไว้

นำน้ำตาลทรายผสมกับไวท์มอลต์และนมสดส่วนหนึ่ง (แยกนมสดไว้อีกส่วนหนึ่ง) ใส่ลงในหม้อนำขึ้นตั้งไฟอ่อนค่อย ๆ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ ตอนเคี่ยวนั้นก็ให้ค่อย ๆ เทนมสดส่วนที่แยกไว้ผสมลงไปเรื่อย ๆ จนหมด จากนั้นก็เคี่ยวต่อ โดยนำมะม่วงที่ปั่นผสมกับน้ำกะทิใส่ลงไปเคี่ยวให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน ใช้เวลาเคี่ยวประมาณ 5-7 นาที จนส่วนผสมที่เคี่ยวเดือดก็ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้ให้เย็น เติมกลิ่นวานิลลาลงไปเพื่อเพิ่มความหอม และเพื่อให้สีสันออกเหลืองนวลขึ้นมามากขึ้น แต่หากต้องการให้เป็นสีธรรมชาติก็ไม่ต้องใส่ก็ได้

หลังจากส่วนผสมที่เคี่ยวไว้เย็น ก็ให้ตักใส่ถุงนำไปแช่ตู้เย็น เพื่อให้เนื้อส่วนผสมเข้ากันและจับตัว ใช้เวลาแช่ประมาณ 4 ชั่วโมง หลังจากเนื้อส่วนผสมจับตัวแข็งเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็ให้นำออกมาใส่ลงไปในเครื่องปั่นสำหรับทำไอศกรีม ทำการปั่นไปเรื่อย ๆ ประมาณ 30-40 นาที ก็จะได้ไอศกรีมที่มีเนื้อเนียนนุ่ม จากนั้นก็นำไปบรรจุไว้ในถังใส่ไอศกรีม เตรียมขายไอศกรีมมะม่วง





การตัก ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้ ขาย ก็จะใช้ถ้วยขนาด 260 กรัม ตักไอศกรีมใส่ประมาณ 4 ลูก โรยหน้าด้วยเนื้อมะม่วงน้ำดอกไม้สุกที่หั่นเป็นลูกเต๋า ขายในราคาถ้วยละประมาณ 20-25 บาท ซึ่งไอศกรีม 1 ถัง ใช้เงินทุนประมาณ 1,000 บาท ถ้าขายหมดก็จะได้ประมาณ 2,000 บาท

ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้ของสุพัตราจะทำออกมาขายเฉพาะในช่วงฤดูมะม่วงเท่านั้น ซึ่งก็คือในช่วงนี้ ก็ตั้งแต่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม หากเป็นช่วงนอกฤดูมะม่วงก็จะทำไอศกรีมกะทิมะพร้าวอ่อนขายแทน

สำหรับผู้ที่สนใจ ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้ ของสุพัตรา ในช่วงนี้แวะไปชิมกันได้ที่ตลาดน้ำบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ขายวันเสาร์-อาทิตย์ หรือถ้าต้องการสั่งทำก็สามารถโทรฯ ไปสอบถามได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-1752-9684 โดยต้องสั่งล่วงหน้าก่อนประมาณ 2-3 วัน ซึ่งการทำ-การขายไอศกรีมผลไม้ชนิดนี้ ก็น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกัน




ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3151
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 28/11/2011 9:44 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,335. ผลไม้กวน ขายได้ตลอด





ผลไม้กวน ของ มา’ยอง OTOP จ.ระยอง ศูนย์ของฝากคุณภาพเยี่ยมแห่งภาคตะวันออก มีสับปะรดและกล้วย ที่ใช้แปรรูป และยังมี มะละกอ ขนุน กระท้อน แก้วมังกร ซึ่งเป็นผลไม้ตามฤดูกาลด้วย

การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เป็นการเพิ่มมูลค่า และก็เป็นอีกรูปแบบ ช่องทางทำกิน ซึ่งจากงานสื่อมวลชนสัญจร มา’ยอง OTOP จ.ระยอง ศูนย์ของฝากคุณภาพเยี่ยมแห่งภาคตะวันออก เมื่อปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีการแนะนำเกษตรกรที่นำผลไม้มาแปรรูปเป็น ผลไม้กวน สร้างอาชีพได้อย่างน่าสนใจ วันนี้เราลองมาดูกัน

ละออ สุวรรณสว่าง ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรสาวน้อย 45 อ.บ้านค่าย จ. ระยอง เล่าว่า ที่กลุ่มแปรรูปผลไม้ทุกชนิด ได้แก่ สับปะรด กล้วย มะละกอ ขนุน กระท้อน แก้วมังกร โดยผลไม้ 3 อย่างแรกจะเป็นผลไม้ประจำที่ใช้ในการแปรรูป ส่วนอีก 3 อย่างหลังจะแปรรูปตามฤดูกาล ตามผลผลิตที่ออกในช่วงนั้น ๆ โดยผลิตภัณฑ์ของกลุ่มถือเป็นอันดับต้น ๆ ของผลิตภัณฑ์แปรรูปในจังหวัดระยอง ซึ่งเมื่อก่อนทำกันเยอะ แต่รายที่จะอยู่รอดได้ก็ต้องมีตลาดให้การยอมรับ

เริ่มมาจากสับปะรดกวนก่อน ซึ่งเป็นผลไม้ที่ปลูกแซมในสวนยางพารา และส่งขายให้โรงงาน แต่เมื่อไม่ได้เกรด ก็ต้องขนกลับบ้าน ด้วยความเสียดายของจึงคิดมาแปรรูปเป็น สับปะรดกวน สูตรก็คิดเองทำเองทั้งหมด มาจนบัดนี้ก็ 20 ปีมาแล้ว มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น และมีการจ้างงานในหมู่ลูกหลานสมาชิกด้วย” ป้าละออเล่า

สับปะรดกวนมีการทำแยกย่อยเป็น 5 ชนิด คือ สับปะรดกวน, สับปะรดกะทิ, ทอฟฟี่สับปะรด, สับปะรดบ๊วย, สับปะรดแก้ว และยังมี กล้วยกวน แยกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ กล้วยกวน, กล้วยกวนสามรส เป็นอีกสินค้าหลักของกลุ่มที่ขายดิบขายดี ซึ่งป้าละออมาบอกถึงการทำให้ฟัง เริ่มกันที่อุปกรณ์ที่ใช้ ก็เป็นเครื่องครัวทั่ว ๆ ไป อาทิ เตาแก๊ส กระทะสเตนเลส หรือกระทะทองเหลือง ไม้พาย มีดเขียง ถาด ฯลฯ ซึ่งถ้าไม่ใช้เครื่องจักรอย่างเครื่องสไลซ์ หรือเครื่องกวน ก็ใช้ทุนอุปกรณ์ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป (แล้วแต่ขนาดกิจการ) หากใช้เครื่องก็จะต้องมีงบประมาณมากอีกหน่อย





สูตรสับปะรดนั้น เริ่มที่ สับปะรดกวน ใช้เนื้อสับปะรด 5 กก. เมื่อได้สับปะรดมาแล้ว นำไปล้างให้สะอาด ปอกเปลือก ล้างให้สะอาด เข้าเครื่องสไลดซ์หรือสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ กวนกับน้ำตาลทราย 1.5 กก. แบะแซ 2 กก. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ นำลงกวนในกระทะทองเหลือง หรือกระทะสเตนเลสก็ได้ โดยตั้งกระทะให้ร้อน ใส่เนื้อสับปะรดลงไป ใส่น้ำตาล แบะแซ และเกลือลงไป กวนให้เข้ากัน การกวนนี้จะใช้เครื่องกวนก็ได้ หรือกวนด้วยมือก็ได้ ถ้าเป็นเครื่องกวนจะใช้เวลากวน 1 ชั่วโมง หากใช้มือกวนจะต้องใช้เวลานานขึ้นอีก 30 นาที กวนเหนียวได้ที่เสร็จแล้ว ยกขึ้นผึ่งไว้ให้เย็น แล้วใส่บรรจุภัณฑ์ขาย โดยขาย กก.ละ 70 บาท โดยมีกำไร กก.ละประมาณ 15-20 บาท

สับปะรดกะทิ ใช้สับปะรดที่กวนเสร็จแล้ว 5 กก. กวนกับกะทิ 5 กก. และน้ำตาลทรายอีก 1 กก. กวนให้เข้ากัน จนเหนียวได้ที่ เสร็จแล้วผึ่งไว้ให้เย็น แล้วใส่บรรจุภัณฑ์ ขาย กก.ละ 100 บาท มีกำไรประมาณ 20 บาท

ทอฟฟี่สับปะรด ใช้เนื้อสับปะรดกวน 5 กก. กะทิ 5 กก. น้ำตาลปี๊บ 3 กก. แบะแซ 3 กก. เนย 1.5 กก. และนมข้น 4 กระป๋อง กวนให้เข้ากันจนเหนียว ผึ่งให้อุ่น หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กขนาดเม็ดทอฟฟี่ ห่อพลาสติก และกระดาษสี ๆ ขาย กก.ละ 120 บาท ส่วน สับปะรดบ๊วย และ สับปะรดแก้ว ทำเหมือนกัน คือ ใช้เนื้อสับปะรดกวน 10 กก. แบะแซ 2 กก. และน้ำมะนาว 15 ลูก กวนให้เข้ากัน ซึ่งจะกวนนานกว่าปกติ 1 ชั่วโมง จากนั้นนำออกผึ่ง พอใกล้เย็น ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดเล็กกว่าเม็ดทอฟฟี่เล็กน้อย แล้วนำไปคลุกผงบ๊วย (หากทำเป็นสับปะรดบ๊วย) หรือคลุกพริกเกลือ (หากทำเป็นสับปะรดแก้ว) ขาย กก.ละ 80-120 บาท (แล้วแต่รูปแบบบรรจุภัณฑ์) กำไรก็ประมาณ 20%

สำหรับ กล้วยกวน และ กล้วยสามรส ก็มีวิธีทำที่ไม่ยาก เริ่มที่กล้วยกวน ใช้กล้วยสุกแบบใดก็ได้ 10 กก. น้ำตาลทราย 2 กก. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ แบะแซ 2 กก. และ/หรือ นมสด 5 กระป๋อง, นมข้น 4 กระป๋อง, กะทิ 5 กก. (เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง) กวนให้เข้ากัน ผึ่งให้เย็น แล้วใส่บรรจุภัณฑ์ ขาย กก.ละ 100 บาท ส่วนกล้วยสามรส ใช้กล้วยกวน 10 กก. แบะแซ 3 กก. น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วย น้ำมะนาว 15 ลูก กวนให้เข้ากันจนเหนียว จากนั้นผึ่งให้ใกล้เย็น ตัดเป็นชิ้นเล็กขนาดเล็กกว่าเม็ดทอฟฟี่เล็กน้อย นำไปคลุกพริกและเกลือ แล้วใส่บรรจุภัณฑ์ ขายกก.ละ 80-120 บาท (แล้วแต่รูปแบบบรรจุภัณฑ์) ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกล้วยจะมีกำไรประมาณ 40%




นอกจากสับปะรดและกล้วยแล้ว ที่กลุ่มฯนี้ยังแปรรูป มะละกอ ขนุน กระท้อน แก้วมังกร ซึ่งเป็นผลไม้ตามฤดูกาลด้วย สนใจเรื่องผลไม้กวนของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรสาวน้อย 45 ติดต่อ ป้าละออ สุวรรณสว่าง ได้ที่ 7/1 หมู่ที่ 4 ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โทร. 0-3864-1046 และ 08-7124-9422 ป้าละออยินดีต้อนรับ.



ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3458
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 28/11/2011 9:52 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

1,336. เลี้ยงปลาในสวน





การเลี้ยงปลาในสวนที่บ้าน ต้องมีวิธีเลี้ยงปลาที่ถูกต้อง ที่จะช่วยให้ปลาเจริญเติบโตได้ดี มีความสวยงาม

น้ำมีส่วนในการสร้างบรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย เสียงน้ำไหลรินเบา ๆ ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ผ่อนคลาย เมื่อนึกถึงน้ำสิ่งที่มักอยู่คู่กันเสมอคือ ปลา ซึ่งช่วยสร้างความเพลิดเพลินใจเมื่อมองเห็นฝูงปลาแหวกว่ายไปมาในสายน้ำ การเลี้ยงปลาจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มักเป็นตัวเลือกในลำดับต้น ๆ คู่กับการออกแบบสวนเสมอ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับบ่อเลี้ยงปลา ตลอดจนวิธีเลี้ยงปลาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ปลาเจริญเติบโตได้ดี มีความสวยงาม


ก่อนจะเริ่มเลี้ยงปลาในสวน
ตำแหน่งบ่อเลี้ยงปลาที่ดี ไม่ควรอยู่ในบริเวณที่รับน้ำฝน โดยเฉพาะน้ำที่ไหลผ่านหลังคา เนื่องจากจะเป็นการนำเชื้อโรคและสารต่าง ๆ มาสู่บ่อ ส่งผลให้ปลาป่วยได้ ควรได้รับแสงแดดในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าอยู่ในที่ที่รับแสงแดดมากเกินไปจะทำให้ตะไคร่น้ำเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และน้ำในบ่อมีสีเขียว หากบ่ออยู่ในที่โล่งควรใช้ตาข่ายพรางแสงประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ และควรอยู่ในบริเวณที่มีแนวกันลมและแสงแดด เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกะทันหัน

ตำแหน่งของบ่อควรอยู่ในบริเวณที่สามารถนั่งเล่นดูปลาและให้อาหารปลาได้สะดวก เพื่อจะได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับปลา ไม่อยู่ในบริเวณที่มีเสียงดังอึกทึก เนื่องจากทำให้ปลาตกใจได้ ควรห่างไกลบริเวณที่มีการใช้สารเคมีหรือได้รับมลพิษ เช่น ใกล้ถนน อู่ซ่อมรถ หรือสารกำจัดศัตรูพืชต่าง ๆ


รูปแบบของบ่อเลี้ยงปลา
รูปแบบของบ่อเลี้ยงปลาโดยทั่วไปอาจแบ่งได้เป็น 2 แบบ แบบแรกคือ บ่อดิน เป็นบ่อขุดที่ดูเป็น ธรรมชาติ มีความลึกประมาณ 1-2 เมตร ระดับน้ำควรต่ำกว่าขอบบ่อประมาณ 20-30 เซนติเมตร และทำผนังให้มีความเรียบเพื่อลดการเสียดสีระหว่างผิวปลากับบ่อ ข้อดีของบ่อดินคือเป็นบ่อที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ปลาสามารถกินพืชน้ำและได้รับธาตุอาหารในธรรมชาติได้เต็มที่ อุณหภูมิของน้ำในบ่อค่อนข้างคงที่ แต่มีข้อเสียคือ ทำความสะอาดค่อนข้างยาก มีการปนเปื้อนจากสารต่าง ๆ เช่น สารกำจัดศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี จึงอาจเกิดโรคกับปลาได้ง่าย

แบบที่สองคือ บ่อปูน เหมาะสำหรับผู้ที่คิดจะเลี้ยงปลาสวยงาม เพราะทำความสะอาดง่าย แต่ขั้นตอนการเตรียมบ่อปูนค่อนข้างยุ่งยาก และมีเรื่องการทำบ่อกรองเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยสัดส่วนของบ่อต่อบ่อกรองคือ 3 : 1 หรือมีขนาด 30 เปอร์เซ็นต์ ของบ่อเลี้ยงปลา ก้นบ่อกรองควรลึกกว่าก้นบ่อเลี้ยงปลา 20 เซนติเมตร หากบ่อเลี้ยงปลามีขนาดเล็กเพียง 15-18 ตารางเมตร อาจใช้วิธีติดตั้งเครื่องกรองสำเร็จรูปแทน



ปลาในสวน

ปลาแต่ละชนิดมีธรรมชาติในการอยู่อาศัยแตกต่างกันออกไป อาจพิจารณาความเหมาะสมของปลากับบ่อแบบต่าง ๆ สำหรับบ่อปูน ควรเลี้ยงปลาที่ดูสวยงาม เช่น ปลาคาร์ป ปลาสอด ปลางหางนกยูง ปลาทอง ส่วนบ่อดินเหมาะสำหรับปลาที่ชอบสภาพธรรมชาติจำพวกปลาแรด ปลาช่อน ปลาหมอ ปลาเข็ม ปลาชะโด ปลา กระดี่ ซึ่งปลาเหล่านี้อาจมีสีสันไม่ค่อยสวยงาม แต่ก็ให้ความเพลิดเพลินได้เหมือนกัน



บ้านและสวน

ที่มา : เดลินิวส์
http://www.อาชีพเสริม.th/jobs-make-earning-3521
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า ก่อนนี้  1, 2, 3 ... 47, 48, 49 ... 72, 73, 74  ถัดไป
หน้า 48 จากทั้งหมด 74

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©