-
++kasetloongkim.com++
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - *** ผักระบบเกษตรอินทรีย์ ....
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

*** ผักระบบเกษตรอินทรีย์ ....

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11554

ตอบตอบ: 28/04/2023 6:58 am    ชื่อกระทู้: *** ผักระบบเกษตรอินทรีย์ .... ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
ตอบ :
คนถามใหม่ คำถามเก่า คำตอบเดิม :

การปลูกผักระบบเกษตรอินทรีย์ :

แรงบันดาลใจ : ลดปุ๋ย "เคมี" ในกระสอบ....เพิ่มปุ๋ย "อินทรีย์+เคมี" ในถังหมัก ....


ปัจจุบันกระแสความต้องการผลผลิตทางการเกษตรในระบบเกษตรอินทรีย์ กำลังมีความต้องการและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ เกษตรกรเองก็อยากปลอดภัยจากสารเคมี ไม่มีใครอยากใช้สารเคมีเพราะอันตรายทั้งตนเองและผู้บริโภค แต่ถ้าไม่ใช้แล้วจะใช้อะไรทดแทน ปัญหาในการเพราะปลูกที่เกษตรกรพบมี 2 ประการใหญ่คือ เรื่อง ดินตาย หรือความไม่อุดมสมบูรณ์ของดินถ้าไม่ใช้ปุ๋ยเคมีแล้วจะใช้อะไรทดแทน และปัญหาของการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ถ้าไม่ใช้สารเคมีแล้วจะใช้อะไรทดแทนแนวทางที่จะปรับปรุงแก้ไขให้ดินตายกลับกลายเป็น ดินที่มีชีวิตสามารถเพาะปลูกพืชให้ได้ผลผลิตสูง และมีคุณภาพดีไม่ว่าจะเป็นพืชอะไรก็ตามและต้องเป็นแนวทางที่จะสามารถผลิตผลผลิต ที่ปลอดภัยจากสารพิษทางการเกษตร ทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภค ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม สามารถทำเป็นอาชีพได้อย่างยั่งยืน ซึ่งก็คือ แนวทางการเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมี แต่จะใช้ความสำคัญของดินเป็นอันดับแรก ด้วยการปรับปรุงดินให้มีพลังในการเพาะปลูก เหมือนกับดินในป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ และใช้หลักการป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี โดยการนำทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นวิธีการที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อมไม่เป็นอันตรายต่อเกษตรกรและผู้บริโภค สามารถให้ผลผลิตที่มีทั้งปริมาณและคุณภาพ เป็นระบบเกษตรที่มีความยั่งยืนเป็นอาชีพที่มั่นคง

ความสมดุลตามธรรมชาติ ที่มาของเกษตรอินทรีย์ :
โดยธรรมชาติของป่าไม้จะมีต้นไม้นานาชนิดขึ้นปะปนกันอยู่เต็มไปหมดมีใบไม้หล่นทับถมกันสัตว์ป่าถ่ายมูลไว้ที่ผิวหน้าดินคลุกเคล้ากันกับใบไม้และซากพืชมูลสัตว์รวมทั้งซากสัตว์ โดยมีสัตว์เล็กๆ เช่น ไส้เดือน กิ้งกือ จิ้งหรีด ฯลฯ กัดแทะเป็นชิ้นเล็กๆ และมี จุลินทรีย์ที่อยู่ในดินช่วยย่อยสลายจนกลายเป็นฮิวมัสซึ่งเป็นแหล่งธาตุอาหารพืชและใช้ในการเจริญเติบโตของต้นไม้ ในป่านั่นเองดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเอาปุ๋ยเคมีไปใส่ในป่า ซึ่งเกษตรการสามารถเลียนแบบป่าได้โดยการใช้ปุ๋ยเคมี นอกจากนี้ใบไม้และเศษพืชที่ปกคลุมผิวดินก็เป็นการคลุมผิวหน้าดินไว้ป้องกันการสูญเสียความชื้นภายในดินทำให้หน้าดินอ่อนนุ่มสะดวกต่อการไชชอนของรากพืชไม่มีใครนำเอายาฆ่าแมลงไปฉีดพ่นให้ต้นไม้ในป่าแต่ต้นไม้ในป่าก็เจริญเติบโตแข็งแรงต้านทานโรคและแมลงได้ตามธรรมชาติ ถึงแม้จะมีโรคและแมลงรบกวนบ้างก็ไม่ถึงขั้นเสียหายและยังสามารถให้ผลผลิตได้ตามปกติ นั่นก็คือ ต้นมี่ขึ้นอยู่บนดินที่มีความอุดมสมบูรณ์จะสามารถต้านทานโรคและแมลงได้

นอกจากนี้พืชในป่าก็มิได้เป็นพืชชนิดเดียวกันทั้งหมด แต่เป็นพืชหลากหลายชนิดทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพมีแหล่งอาหารที่หลากหลายของแมลง และแมลงบางชนิดก็เป็นแมลงศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืช ดังนั้นจึงเกิดสมดุลตามธรรมชาติโอกาสที่แมลงศัตรูพืชจะระบาดจนเกิดความเสียหายจึงมีน้อย ดังนั้นเกษตรการจึงสามารถจำลองสภาพป่าไว้ในไร่-นา โดยการปลูกพืชให้หลากหลายชนิด ซึ่งเป็นที่มาของการเกษตรในระบบอินทรีย์หลักการผลิตผักอินทรีย์ เป็นหลักการที่เลียนแบบมาจากป่าที่สมบูรณ์นั่นเอง ซึ่งจะประกอบด้วยหลักทางการเกษตรที่คำนึงถึง ดิน พืช แมลงและสภาพแวดล้อมควบคู่กันไปทุกด้าน

หลักการปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ซึ่งสามารถทำได้ :
- การใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยน้ำชีวภาพ และปุ๋ยพืชสด ส่วนปุ๋ยจุลินทรีย์ชีวภาพ ได้แก่ ไรโซเบียม, ไมโคไรซ่า, ปุ๋ยและจุลินทรีย์เหล่านี้จะให้ทั้งธาตุหลักธาตุอาหารรองแก่พืชอย่างครบถ้วน จึงใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี

- การคลุมดิน ทำได้โดยใช้เศษพืชต่างๆ จากไร-นา เช่น ฟางหญ้าแห้ง ต้นถัว ใบไม้ ขุยมะพร้าวเศษเหลือทิ้งจากไร่นา หรือ กระดาษหนังสือพิมพ์ พลาสติกคลุมดิน หรือการปลูกพืชคลุมดิน การคลุมดินมีประโยชน์หลายประการ คือ ช่วยป้องกันการชะล้างของน้าดิน และรักษาความชุ่มชื้นของดินเป็นการอนุรักษ์ดินและน้ำ ช่วยทำให้หน้าดินอ่อนนุ่มสะดวกต่อการไชชอนของรากพืช ซึ่งประโยชน์ต่างๆ ของการคลุมดินดังกล่าวมาจะช่วยส่งเสริมให้พืชเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดี

- การปลูกพืชหมุนเวียน เนื่องจากพืชแต่ละชนิดต้องการธาตุอาหารแตกต่างกันทั้งชนิดและปริมาณ อีกทั้งระบบรากยังมีคามแตกต่างกันทั้งในด้านการแผ่กว้างและหยั่งลึกถ้ามีการจัดระบบการปลูกพืชอย่างเหมาะสมแล้วจะทำให้การใช้ธาตุอาหารมีทั้งที่ถูกใช้และสะสมสลับกันไปทำให้ดินไม่ขาดธาตุอาหารธาตุใดธาตุหนึ่ง

หลักการปลูกพืชหลายชนิด :
เป็นการจัดสภาพแวดล้อมในไร่-นา ซึ่งจะช่วยลดการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืชได้ เนื่องจากการปลูกพืชหลายชนิดจะทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีแหล่งอาหารที่หลากหลายของแมลงจึงมีแมลงหลายชนิดมาอาศัยอยู่ร่วมกัน ในจำนวนแมลงเหล่านี้จะมีทั้งแมลงที่เป็นศัตรูพืชและแมลงที่เป็นประโยชน์ที่จะช่วยควบคุมแมลงศัตรูพืชให้คล้ายคลึงกับธรรมชาติในป่าที่อุดมสมบูรณ์นั่นเอง มีหลายวิธีได้แก่ ปลูกดาวเรืองเพื่อไล่ไส้เดือนในดิน ปลูกผักหลายชนิด

- การปลูกพืชหมุนเวียน เป็นการไม่ปลูกพืชชนิดเดียวกันหรือตระกูลเดียวกัน ติดต่อกันบนพื้นที่เดิม การปลูกพืชหมุนเวียนจะช่วยหลีกเลี่ยงการระบาดของโรคและแมลง และเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงดิน

- การปลูกพืชแซม การเลือก พืชมาปลูกร่วมกัน หรือแซมกันนั้นพืชที่เลือกมานั้นต้องเกื้อกูลกัน เช่น ช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืช ช่วยเพิ่มธาตุอาหารให้อีกชนิดหนึ่ง ช่วยคลุมดิน ช่วยเพิ่มรายได้ก่อนเก็บเกี่ยวพืชหลัก เป็นต้น

หลักการป้องกันและกำจัดโรคและแมลงศัตรูผักโดยไม่ใช้สารเคมี :
- การป้องกันและกำจัดโดยวิธีกล โดยไม่ใช้สารเคมี เช่น การใช้มือจับแมลงมาทำลาย การใช้มุ้งตาข่าย การใช้กับดักแสงไฟ การใช้กับดักกาวเหนียวเป็นต้น

- การใช้ตาข่ายไนล่อนสีขาว หรือสีฟ้าคลุมแปลงผัก เพื่อป้องกันผีเสื้อกลางคืนมาวางไข่ที่ใบพืชผักสามารถป้องกันแมลงประเภทหนอนใยผัก หนอนกระทู้ และหนอนผีเสื้ออื่นๆ ได้ แต่ด้วงหมัดผักกาดและเพลี้ยอ่อนยังเข้าไปทำลายพืชผักได้ ให้ใช้สารควบคุมแมลงจากดอกไพรีทรินฉีดพ่น การปลูกผักในมุ้งมีข้อเสียตรงที่ไม่มีต้นไม้บังลม เมื่อมีลมพายุขนาดย่อมพัดมาอย่างรุนแรงในฤดูแล้ง มุ้งไนล่อนซึ่งใหญ่มากจะถูกลมตีแตกเสียหายทั้งหลัง การใช้มุ้งตาขายครอบแปลงขนาดเล็ก หรือขนาดผ้าคลุมแปลงเพาะกล้าจะไม่เกิดปัญหามุ้งแตกเพราะลมแต่อย่างใด

- การใช้กับดักแมลงสีเหลืองเคลือบวัสดุเหนียว แมลงศัตรูพืชจะชอบบินเข้าหาวัตถุสีเหลืองมากที่สุด หากใช้วัสดุที่มีลักษณะข้นเหนียวไปทาเคลือบวัสดุสีเหลือง เช่น แกลลอนน้ำมันเครื่องสีเหลือง ถังพลาสติกสีเหลือง แผ่นพลาสติกสีเหลือง แผ่นไม้ทาสีเหลืองหรือแผ่นสังกะสีทาสีเหลือง วางติดตั้งบนหลักไม้ให้อยู่เหนือต้นพืชเล็กน้อย หรือติดตั้งในแปลงปลูกผักห่างกันทุก 3 ตารางเมตร ให้แผ่นสีเหลืองสูงประมาณ 1 เมตร ขนาดแผ่นสีเหลืองควรมีขนาด 1 ตารางฟุต ก็จะลดอันตรายการทำลายของแมลงกับพืชผักของเราได้อย่างมากแมลงศัตรูพืชที่เข้ามาติดกับดักสีเหลองได้แก่แมลงงันหนอนชอนใบ ผีเสื้อกลางคืนของหนอนกระทู้หลอดหอม ผีเสื้อกลางคืน ของหนอนใบผัก ผีเสื้อกลางคืนของหนอนกระทู้ผัก ผีเสื้อกาลางคืนของหนอนคืบกะหล่ำ แมลงวันทอง แลงหวี่ขาว เพลี้ยไฟ เพลี้ยจั๊กจั่น และเพลี้ยอ่อน กาวเหนียวที่มีขายในท้องตลาด มีชื่อว่า “ อพอลโล่ ” หรือ “ คันริว ” ป้ายกาวเหนียวครั้งหนึ่งจะอยู่ทนได้นาน 10-15 วัน ส่วนผสมของกาวเหนียวที่กรมวิชาการเกษตรทำร่วมกับผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นและใช้ได้ผลดีในประเทศไทยคือ น้ำมันละหุ่ง 150 ซีซี ผงยางสน 100 กรัม ไขคาร์นาบัว 10-12 กรัม อุ่นให้ร้อน กวนให้เช้ากันตั้งทิ้งให้เย็น แล้วนำไปใช้ได้เลย

หลักการป้องกันและกำจัดวัชพืชโดยไม่ให้ใช้สารเคมี :
- ใช้วิธีการถอนด้วยมือ ใช้จอบถาง ใช้วิธีการไถพรวนพลิกดินตากแดดไว้
- ใช้วัสดุคลุมดิน ซึ่งเป็นการปกคลุมผิวดินช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำและเป็นการเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้กับดินอีกด้วยโดยส่วนใหญ่มักใช้วัสดุตามธรรมชาติ ได้แก่ เศษซากพืชหรือวัสดุเหลือใช้ในการเกษตร เช่น ฟางข้าว ตอซังพืช หญ้าแห้ง ต้นถัว ขุยมะพร้าว กากอ้อย แกลบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีพลาสติกที่ผลิตขึ้นสำหรับการคลุมดินโดยเฉพาะซึ่งสามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน

- ปลูกพืชคลุมดิน เช่น การปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดินเป็นต้น

หลักการควบคุมแมลงศัตรูพืชผักโดยใช้สารสกัดจากพืชในธรรมชาติ :
- นิโคติน (Nicotine) เป็นสารเคมีธรรมชาติที่พบใน ใบยาสูบ ใช้ป้องกันกำจัดแมลงพวกปากดูด เช่น เพลี้ย มวน ฯลฯ และใช้เป็นยารมกำจำแมลงในเรือนเพาะชำ

- โรทีโนน (Rotenone) เป็นสารเคมีในธรรมชาติสกัดมาจากต้นใต้ดินและรากของต้น หางไหล หรือโล่ติ๊น หรือดวดน้ำ นอกจากนั้นยังสามารถสกัดได้จากรากและต้นของต้อนหนอนตายยาก (Stemona) และจากใบและเมล็ดของมันแกว มนุษย์ใช้สารโรทีโนนจากโล่ติ๊น เป็นยาเบื่อปลามาตั้งแต่สมัยโบราณมีพิษน้อยต่อสัตว์เลือดอุ่น รากป่นแห้งของต้นหนอนตายอยาก สามารถกำจัดแมลงในล้าน ได้แก่ เรือด หมัด ลูกน้ำยุง และหนอนแมลงวัน และกำจัดแมลงศัตรูพืชได้แก่ ด้วงเจาะเมล็ดถั่ว หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนใยผัก แมลงวันแตง เพลี้ยอ่อนฝ้าย หนอนกะหล่ำ หนอนแตง เป็นต้น สารทีโนนนี้เป็นสารที่มีพิษต่อระบบหายใจของสิ่งมีชีวิต แมลงที่ถูกสารนี้จะมีอาการขาดออกซิเจน เป็นอัมพาต และตายในที่สุด

- ไพรีทริน (Pyrethrin) เป็นสารเคมีธรรมชาติที่มนุษย์สกัดได้จาก ดอกของไพรีทรัม ซึ่งมีสีขาวอยู่ในวงศ์ Compositae (ตระกูลเก๊กฮวย, เบญจมาศ) ชอบขึ้นและเจริญเติบโตได้ดีในที่มีอากาศเย็น สารไพรีทรินเป็นสารฆ่าแมลงประเภทถูกตัวตาย ซึ่งเป็นพิษต่อระบบประสาทของแมลง โดยเข้าไปสกัดประจุโซเดียมบนผิวของเส้นประสาท ทำให้ระบบไฟฟ้าของเส้นประสาทหยุดชะงัก ทำให้แมลงสลบโดยทันทีและตานในที่สุด ไพรีทรินมีอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นน้อยมากเนื่องจากสลายตัวได้รวดเร็วในร่างกายของคนและสัตว์เลี้ยง คนที่แพ้อาจมีอาการคล้ายคนเป็นโรคหอบหืด ไม่มีพิษตาค้างสลายตัวได้ดีในสิ่งแวดล้อม สารเคมีสังเคราะห์คล้ายพวกไพรีทรินทมีหลายชนิดที่มีคุณสมบัติในการกำจัดแมลงศัตรูพืชคือ เพลี้ยอ่อน หมัดกระโดด ตั๊กแตน หนอนผีเสื้อกะหล่ำ หนอนกะหล่ำใหญ่ เพลี้ยจักจั่นฝ้าย หนอนเจาะมะเขือ และ หนอนแมลงงันเจาะต้นถั่ว

- สะเดา (Azadiracgta indica) สารฆ่าแมลงมีในทุกส่วนของต้น สะเดา แต่จะมีมากที่สุดในเมล็ด แมลงที่สารสะเดาสามารถควบคุมและกำจัดได้คือ ด้วงงวงข้าวโพด หนอนเจาะสมอฝ้าย เพลี้ยอ่อนทั่วไป เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล หนอนใยผัก หนอนกระทู้ ด้วงหมัด เพลี้ยจั๊กจั่นสีเขียว หนอนแมลงวันชอนใบ ไรทั่วไป เพลี้ยกระโดดหลังขาว แมลงหวี่ขาว เต่ามะเขือ หนอนเจาะยอดกะหล่ำ เป็นต้น สารออกฤทธิ์ของสะเดาได้ แก่ azadirachtin,Salannin,Meliantriol และ Nimbin ซึ่งจะหมดฤทธิ์ในสภาพที่มีแดด ซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเล็ต จึงควรใช้สารสะเดากับพืชเวลาเย็น หรือตอนกลางคืน สารสะไม่เป็นอันตรายต่อแมลงพวกต่อ แตน ผึ้ง สัตว์เลือดอุ่น และมนุษย์

การใช้ บดเมล็ดสะเดาให้ละเอียด ห่อด้วยผ้าขาวบาง แช่น้ำ 1 คืน ด้วย อัตราการใช้ผงสะเดา 25-30 กรัม/ลิตร หรือเมล็ดสะเดาบด 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร แช่น้ำเป็นเวลา 1-2 คืน แล้วกรองเอากากออก ใช้ฉีดพ่นป้องกันกำจัดแมลงได้ โดยนำไปฉีดพ่นเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืชได้เลย ควรผสมยาจับใบทุกครั้งที่มีการฉีดพ่น

ขั้นตอนการปลูกผักระบบเกษตรอินทรีย์ :
- การไถพรวนและเตรียมแปลง ต้องทำการไถพรวนให้พื้นที่ในแปลงโล่งแจ้งพร้อมที่จะทำการวางรูปแบบแปลง ในการวางรูปแบบแปลงจะต้องวางไปตามตะวัน เนื่องจากพืชใช้แสงแดดปรุงอาหารและแสงแดดฆ่าเชื้อโรค แปลงที่จะปลูกพืชผักนั้นความกว้างไม่ควรเกิน 1 เมตร ส่วนความยาวตามความเหมาะสมของพื้นที่ ส่วนพื้นที่ที่ยังทำแปลงปลูกพืชไม่ทันให้เอาพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเขียวหรือถั่วมะแฮะมาหว่านคลุมดินเพื่อทำเป็นปุ๋ยพืชสด เป็นการปรับปรุงบำรุงดินไปพร้อมกับเป็นการป้องกันแมลงที่จะมาวางไข่ในพงหญ้าด้วย

- ปลูกพืชสมุนไพรไล่แมลง ให้ปลูกก่อนที่จะปลูกพืชหลักคือพืชผักต่างๆ (เสริมกับการป้องกัน) พืชสมุนไพรที่กันแมลงรอบนอกเช่น สะเดา ชะอม ตะไคร้ หอม ข่า ปลูกห่างกัน 2 เมตร โดยรอบพื้นที่ ส่วนต้นด้านในกันแมลงในระดับต่ำโดยปลูกพืชสมุนไพรเตี้ยลงมาเช่น ดาวเรือง กระเพรา โหระพา ตะไคร้หอม พริกต่างๆ ปลูกห่างกัน 1 เมตร และที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือจะต้องปลูกตะไคร้หอมทุกๆ 3 เมตร แซมโดยรอบพื้นที่ด้านในด้วย

- การแยกแปลงปลูกยกแปลงเพื่อปลูกพืชผัก แต่ก่อนที่จะปลูกจะต้องมีการปรับสภาพดินในแปลงปลูก โดยการใส่ปุ๋ยคอกจากมูลสัตว์ที่ตากแห้งแล้วจะใส่มากน้อยขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินที่จะทำแปลงปลูกพืชอินทรีย์ (ห้ามใช้มูลสัตว์สด) ทำการพรวนคลุกดินให้ทั่วทิ้งไว้ 7 วัน ก่อนปลูก

- ปลูกพืชสมุนไพรกันแมลง ให้ปลูกที่ขอบแปลงก่อน เช่น กุ๋ยฉ่าย คื่นฉ่าย และระหว่างแปลงก็ทำการปลูก กระเพรา โหระพา พริก ต่างๆ เพื่อป้องกันแมลงก่อนที่จะทำการปลูกพืชผัก พอครบกำหนด 7 วัน พรวนดินอีกครั้งแล้วนำเมล็ดพันธุ์พืชมาหว่านแต่เมล็ดพันธุ์พืชส่วนใหญ่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่คลุกสารเคมีจึงต้องนำเอาเมล็ดพันธุ์ผักมาล้าง โดยการนำน้ำที่มีความร้อน (50-55 C ) วัดได้ด้วยความรู้สึกของตัวเราเองคือเอานิ้วมือจุ่มลงไปถ้าทนความร้อนได้ก็ให้นำเมล็ดพันธุ์พืชแช่ลงไป นาน 30 นาที แล้วจึงนำขึ้นมาคลุกกับกากสะเดา หรือ สะเดาผงแล้วนำไปหว่านลงแปลงที่เตรียมไว้คลุมฟางและรดน้ำ

- การเตรียมน้ำสมุนไพรไล่แมลง ก่อนรดน้ำทุกวันควรขยำขยี้ใบ ตะไคร้หอม แล้วใช้ไม้เล็กๆ ตี ใบกระเพรา โหระพา ข่า ฯลฯ เพื่อให้เกิดกลิ่นจากพืชสมุนไพรออกไล่แมลง ควรพ่นสารสะเดาอย่างต่อเนื่องทุกๆ 3-7 กันก่อนแก้ถ้าปล่อยให้โรคแมลงมาแล้ว จะแก้ไขไม่ทัน เพราะว่าไม่ใช้สารเคมี ควรดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด

- การเก็บเกี่ยว เมื่อถึงอายุควรเก็บเกี่ยวทันทีถ้าทิ้งไว้จะสิ้นเปลืองสารสมุนไพรในการปลูกพืชอินทรีย์ในระยะแรกผลผลิตจะได้น้อยกว่าพืชเคมี ประมาณ 34.40 % ผลดีคือทำให้สุขภาพของผู้ผลิตดีขึ้นไม่ต้องเสียค่ายา (รักษาคน) สิ่งแวดล้อมก็ดีด้วย รายได้ก็เพิ่มกว่าพืชเคมีหากทำอย่างยั่งยืนอย่างต่อเนื่องผลผลิตจะไม่ต่างกับการปลูกพืชโดยใช้สารเคมีเลย

- ปลูกพืชหมุนเวียน หลังจากที่ทำการเก็บเกี่ยวพืชแรกไปแล้ว ไม่ควรปลูกพืชชนิดเดียวกับพืชแรเช่น ในแปลงที่ 1 ปลูกผักกาดเขียวปลีได้ผลผลิตดีหลักเก็บผลผลิตไปแล้วปลูกซ้ำอีก จะไม่ได้ผลเลย ควรปลูกสลับชนิดกัน เช่น ปลูกผักกาดเชียวปลี แล้วตามด้วยผักบุ้งจีน เก็บผักบุ้งจีนแล้วตามด้วยผักกาดหัว เก็บผักกาดหัวแล้วตามด้วยผักปวยเล้ง เก็บปวยเล้งตามด้วยตั้งโอ๋ ทำเช่นนี้ทุกๆ แปลงที่ปลูกแล้วจะได้ผลผลิตดี

- การปลูกพืชอินทรีย์ ปลูกได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอนแต่จะต้องปลูกพืชสมุนไพรก่อนและต่อเนื่อง แล้วต้องปลูกพืชสมุนไพรสลับลงไปในแปลงพืชผักเสมอ แล้วต้องทำให้พืชสมุนไพรต่างๆ เกิดการช้ำ จะได้มีกลิ่น ไม่ใช่ปลูกเอาไว้เฉยๆ การปลูกพืชแนวตั้งคือ พืชที่ขึ้นค้าง เช่น ถั่วผักยาวมะระจีน ฯลฯ และแนวนอน คือ พืชผักต่างๆ คะน้า กระหล่ำปลี ปวยเล้ง ตั้งโอ๋ ฯลฯ ทุกพืชที่ปลูกในแปลงเกษตรอินทรีย์

- การปลูกพืชสมุนไพรในแปลงเพื่อไล่แมลง ยังสามารถนำเอาพืชสมุนไพรเหล่านี้ไปขายเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งด้วย หลังจากทำการเก็บเกี่ยวพืชผักแล้วควรรีบทำความสะอาดแปลงไม่ควรทิ้งเศษพืชที่มีโรคแมลงไว้ในแปลง ให้รีบนำไปทำลายนอกแปลง ส่วนเศษพืชที่ไม่มีโรคแมลงก็ให้สับลงแปลงเป็นปุ๋ยต่อไป

ที่มา : กรมส่งเสริมการเกษตร

ผักอินทรีย์ PURE-PURE
หลักการและเหตุผล :

ปุ๋ย-ธาตุอาหาร-สารอาหาร ทั้ง 3 คำนี้คือ สิ่งเดียวกัน หมายถึงสิ่งที่พืชใช้เพื่อการดำรงชีวิต ประกอบด้วย ธาตุหลัก-ธาตุรอง-ธาตุเสริม-ฮอร์โมน และอื่นๆ.... แบ่งประเภทหรือชนิดได้เป็น 2 คือ อินทรีย์ (ธรรมชาติ) กับ สังเคราะห์ (เคมี)

การจะ "รับ" หรือ "ปฏิเสธ" อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวระหว่าง อินทรีย์ กับ เคมี นั้นสามารถทำได้ แต่เมื่อต้องการให้พืชมีพัฒนาการที่ดีจึงจำเป็นต้องให้และต้องให้ในปริมาณที่พอเพียงด้วย

กรณีที่เราต้องการปฏิเสธ "ปุ๋ยเคมี" อย่างเด็ดขาด ก็ต้องใช้ "ปุ๋ยอินทรีย์" แทน และการแทนก็จะต้องแทนอย่างเหมาะสมถูกต้องตรงตามความต้องการของพืช อย่างแท้จริง มิเช่นนั้น พืชหรือผักที่ปลูกก็จะไม่เจริญเติบโต แคระแกร็น ไม่มีคุณภาพ ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดหรือขายไม่ออกเลย ถึงขนาดบางครั้งเจ้าของหรือคนปลูกยังไม่อยากกินด้วยซ้ำ

ทำเล :
ห่างไกลแหล่งมลภาวะ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม, โรงไฟฟ้า, คอกปศุสัตว์ที่ใช้สารสังเคราะห์ (ฮอร์
โมน-ยา-ฯลฯ), แปลงเพาะปลูกพืชด้วยระบบเคมี, แปลงปลูกพืชตัดแต่งพันธุกรรม (จีเอ็มโอ).

น้ำ :
เป็นน้ำธรรมชาติที่ปราศจาการเจือปนสารพิษ เช่น น้ำเสียจากครัวเรือน. น้ำจากเหมืองแร่, น้ำจากคอกปศุสัตว์ที่ใช้สารสังเคราะห์, น้ำที่ไหลผ่านมาจากแปลงเกษตรระบบเคมี, น้ำที่ไหลผ่านมาจากกองขยะ,

ปุ๋ยอินทรีย์ :
ปุ๋ยคอก :
ใช้มูลสัตว์ประเภทเลี้ยงปล่อยหากินอิสระ ไม่มีโรคระบาด ไม่กินฮอร์โมนสังเคราะห์ ตากแห้งเก็บนานข้ามปี ใช้มูลสัตว์กินพืช (เพื่อให้ได้ธาตุไนโตรเจน) และมูลสัตว์ปีก (เพื่อให้ได้ธาตุฟอสฟอรัสและโปแตสเซียม) ที่พักสัตว์ต้องไม่มีการใช้โซดาไฟฆ่าเชื้อโรคหรือดับกลิ่น

ปุ๋ยพืชสด : เลือกใช้พืชตระกูลถั่วเพื่อให้ได้ธาตุไนโตรเจนมากๆ เป็นพืชที่ไม่ผ่านการบำรุงด้วยปุ๋ยเคมี ฮอร์โมนสังเคราะห์ และไม่ผ่านการให้สารเคมีฆ่าแมลง แห้งหมักนานข้ามปี เพื่อให้ได้ธาตุอาหารหลากหลายควรใช้ทุกส่วนของพืชต่างๆ เช่น หัว ราก ต้น ใบ ดอก ผลดิบ ผลสุก

หมายเหตุ :
เทคนิคการทำปุ๋ยอินทรีย์เพื่อให้ได้ ชนิดและปริมาณ ธาตุอาหารมากๆ ควรใช้วัสดุส่วนผสมหลายๆ ประเภท เช่น

ปุ๋ยคอก : มูลวัว/ควาย/หมู/แพะ. มูลไก่/นกกระทา/เป็ด/ค้างคาว.
เศษซากพืช : ฟาง. ต้นถั่ว. เปลือกถั่ว. ขุยมะพร้าว. แกลบดิบ/ดำ. รำหยาบ/ละเอียด.
อื่นๆ : น้ำมะพร้าว. นมสด. น้ำซาวข้าว. น้ำผักดอง. น้ำล้างชาม. น้ำล้างเขียงทำปลาสด. สาโท. เศษอาหารจากครัวเรือน. มูลวัว/หมู สดใหม่ขณะตั้งท้อง. ขี้เพี้ยในลำไส้เล็กวัว/ควาย.

จุลินทรีย์ :
จุลินทรีย์เพื่อการเกษตรที่ดีที่สุด คือ จุลินทรีย์ประจำถิ่น (ฟูกูโอกะ) เทคนิคการทำกองปุ๋ยอินทรีย์ ณ ใจกลางแปลงเกษตร เพื่อเปิดโอกาสให้จุลินทรีย์ภายในแปลงบริเวณรอบข้างหรือใกล้เคียงกองปุ๋ยอินทรีย์ เข้าไปอยู่ในกองปุ๋ยอินทรีย์แล้วเจริญพัฒนาอยู่ในกองปุ๋ยอินทรีย์นั้น เมื่อนำปุ๋ยอินทรีย์กองนี้ไปใช้ในแปลง จึงเท่ากับส่งจุลินทรีย์ในกองให้กลับไปอยู่ยังที่เดิม ข้อดีก็คือ จุลินทรีย์กลุ่มนี้ไม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่อยู่ใหม่ เมื่อลงไปอยู่ในดินแล้วสามารถเจริญพัฒนาต่อได้เลยนั่นเอง

เทคนิคการบำรุงจุลินทรีย์ประจำถิ่น : ใช้กากน้ำตาลต้มร้อน 70 องศาเซลเซียส นาน 1 ชม. เพื่อขจัดสารปนเปื้อนจากกระบวนการทำน้ำตาลทรายซึ่งติดมากับกากน้ำตาลนั้น ต้มแล้วปล่อยให้เย็น.... ใช้งาน : กากน้ำตาลต้มแล้ว 40 ซีซี./น้ำ 20 ล. ฉีดพ่นลงดินในแปลง กากน้ำตาลตัวนี้จะไปเป็นอาหารแหล่งพลังงานแก่จุลินทรีย์ดั้งเดิมที่แฝงตัวอยู่ในเนื้อดินให้เจริญพัฒนาขึ้นเองตามธรรมชาติ

จุลินทรีย์ภายนอก หมายถึงจุลินทรีย์ที่มีจำหน่ายตามท้องตลาด หรือจุลินทรีย์ของ พด. ที่เกษตรกรนำมาใช้ ได้แก่ จุลินทรีย์ในกองปุ๋ยหมักอินทรีย์. จุลินทรีย์ในถังหมักน้ำหมักชีวภาพ. การใช้จุลินทรีย์ประเภทนี้ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจมีจุลินทรีย์ชนิดเชื้อโรคแฝงเข้าไปอยู่ในกองหรือในถังได้

การนำจุลินทรีย์ต่างถิ่นมาใช้ แม้จะเป็นจุลินทรีย์ดีมีประโยชน์ เมื่อจุลินทรีย์พวกนี้ลงไปอยู่ในแปลงซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ใหม่แล้ว จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ แต่เนื่องจากจุลินทรีย์เป็นสัตว์เซลล์เดียว มีความแข็งแรงน้อยมาก อาจปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของแหล่งที่อยู่ใหม่ไม่ได้หรือไม่ทัน จุลินทรีย์พวกนี้ก็ต้องตาย

พันธุ์ :
ไม่ใช่พืชตัดแต่งพันธุกรรม (จีเอ็มโอ), ควรเน้นพืชพื้นเมืองมากว่าพันธุ์ลูกผสม,

น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง :
ส่วนผสม :
ปลาทะเล. กากน้ำตาล(ต้ม).น้ำมะพร้าว. สับปะรด. เลือด. นม. ไข่. ไขกระดูก. ขี้ค้างคาว.

เตรียมดิน :
(1) ไถดิน ขี้ไถขนาดใหญ่ ตากแดดจัด 15 แดด ถ้าฝนตกให้ไถใหม่เริ่มนับ 1 ตากแดดใหม่
(2) ใส่อินทรีย์วัตถุ "ขี้วัว+ขี้ไก่. แกลบเก่า. รำละเอียด." ผสมเข้ากันแล้วหว่านทั่วแปลง
(3) ไถพรวน ปรับสันแปลงให้เป็นหลังเต่า
(4) คลุมหน้าแปลงด้วยฟางหรือหญ้าแห้งหนาๆ
(5) รดด้วย "น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง" รอบที่ 1 ทิ้งไว้ 7-10 วัน
(6) รดด้วยน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง รอบที่ 2 ก่อนลงกล้า 1-2 วัน
(7) โครงสร้างดินชื้นสม่ำเสมอแต่ต้องไม่อุ้มน้ำ

หมายเหตุ :
- ระยะเวลาให้น้ำหมักระเบิดเถิดเทิงจากรอบที่ 1 ถึงรอบที่ 2 เป็นการบ่มดิน เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์เข้าทำการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุและปรับสภาพดิน

- น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงหมักนานข้าม 1-2-3 ปี ส่วนผสมทุกอย่างเป็น "อินทรีย์" แท้ๆ
- ปุ๋ยอินทรีย์แห้งหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (ส่วนผสมของน้ำหมักระเบิดเถิดเทิง + อินทรีย์วัตถุ) หมักนานข้ามปี ดีที่สุด


- น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงสูตรดังกล่าวข้างต้นมีสารอารแต่ละตัวระดับกลางๆ ซึ่งเหมาะสำหรับปรับปรุงบำรุงดินโดยเฉพาะ แต่หากต้องการใช้กับผักกินใบก็ต้องปรับสูตร โดยเพิ่มเลือด. นม. มากขึ้นจากปกติ 25-50% และหากต้องการใช้กับผักกินผลก็ต้องปรับสูตร โดยเพิ่มขี้ค้างคาว. ไข่. 25-50% เช่นกัน

เตรียมเมล็ดพันธุ์ :
- แช่เมล็ดในน้ำหมักชีวภาพระบิดเถิดเทิง 3-6 ชม.
- แช่ครบกำหนดเวลาแล้วนำขึ้นผึ่งลมให้แห้ง เมื่อแห้งแล้วนำไปหว่านในแปลงเพาะกล้าได้เลย

ฮอร์โมน :
- ฮอร์โมนธรรมชาติ ได้แก่ น้ำมะพร้าวแก่+อ่อน, น้ำคั้นไชเท้า+น้ำคั้นเมล็ดเริ่มงอก, น้ำคั้นผักที่ปลูกให้แก่ผักที่ปลูก, น้ำคั้นเมล็ดอ่อนข้าวโพดหวาน, น้ำคั้นข้าวน้ำนม. นมเหลืองแม่วัว,

- ฮอร์โมนธรรมชาติอื่นๆ ได้แก่ น้ำเต้าหู้. น้ำมูลวัว/หมูตั้งท้องสดใหม่. น้ำล้างเขียงทำปลา. เลือดสด. น้ำนึ่งปลาทะเล. น้ำหอยเผา. น้ำคั้นผล/เมล็ดอ่อน.

ฮอร์โมนพืชสด :
วิธีทำและวิธีใช้ :

(1) เลือกผักกินใบ ต้นสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคแมลงรบกวน ใช้ทั้งต้น เก็บตอน ตี.5
(2) เก็บมาแล้วไม่ต้องล้างน้ำ เพียงสลัดเศษดินออก
(3) นำเข้าเครื่องปั่นแบบแยกกากแยกน้ำ (จุ๊ยเซอร์) ทันที ใช้ส่วนที่เป็นน้ำ
(4) การเก็บและการปั่นในเครื่องปั่นควรทำในที่มืด
(5) น้ำค้นที่ได้เก็บในภาชนะทึบแสง
(6) นำเก็บในตู้เย็น
(7) อัตราใช้ : น้ำคั้นผักสด 100-200 ซีซี./น้ำ 20 ล.ให้ตอนมืดหรือไม่มีแสงแดดเท่านั้น
เหตุผล : เพราะฮอร์โมนธรรมชาติไม่สู้แสง ยูวี.

การบำรุง
- ให้ "น้ำ 100 ล.+ น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 50 ซีซี." ทุกวัน ช่วงหลังค่ำ
- ให้ "ฮอร์โมนธรรมชาติ" ที่เหมาะสมกับผักที่ปลูก 2-3 อย่างแบบสลับกัน ทุกวันเว้นวัน ช่วงหลังค่ำ
- ให้ "น้ำ 100 ล.+ เลือดไก่สดใหม่ 100-200 ซีซี." 2-3 ครั้ง ตลอดอายุผัก (ตั้งแต่ยืนต้นได้ถึงเก็บเกี่ยว) จะช่วยให้ได้น้ำหนักเพิ่มขึ้น 20-25% (อ.สุวรี จันทร์กระจ่าง / สถาบัน เอไอที)

- ให้ "น้ำ 100 ล.+ น้ำเมือกไส้เดือน (ไส้เดือนเป็นๆ แช่น้ำ 1 คืน)10 ล." จะช่วยให้ผักกินใบเขียวสดดี
- ให้ "น้ำ 100 ล.+ น้ำเมือกปลา (ปลาเป็นแช่น้ำ 1 คืน) 10 ล." จะช่วยให้ผักกินใบแตกยอดใหม่ ใบใหญ่ เขียวเข้มดี (น้ำเมือกปลามี N มากกว่ายูเรียเท่าตัว / ดร.สุรยา ศาสนรักกิจ / วว.)

- ให้ "น้ำ 100 ล.+ น้ำตาลสดจากงวงตาลหรือจั่นมะพร้าวหรือน้ำอ้อยคั้น 100-200 ซีซี." จะช่วยให้ผักกินผลออกดอกดี

7. สปริงเกอร์ :
ความจริง-1 :
สปริงเกอร์ที่ติดๆ ๆๆ กันทั่วไป เท่าที่เห็นใน ร่อง/แถว เดียวกัน ทำงาน 3-4 หัวแรกพ่นน้ำแรงมาก, 3-4 หัวกลาง พ่นน้ำแรงกลาง, แต่ 3-4 หัวท้ายพ่นน้ำออกค่อย เป็นอย่างนี้ทุก ร่อง/แถว

ความจริง-2 : ทำงานพ่นน้ำได้อย่างเดียว ปล่อยปุ๋ย (ทางราก/ทางใบ), ฮอร์โมน, ยา (เคมี/สมุนไพร) ไปทางสปริงเกอร์ไม่ได้ ต้องแยกทำงานต่างหาก สูญเสียเท่าไหร่....เกษตรกรอเมริกาส่ง ปุ๋ย/ยา ผ่านไปกับสปริงกเกอร์มานานกว่า 50 ปี คนไทยไปเรียนที่อเมริกาไม่รู้ เพราะไม่ได้เรียนเกษตรแต่มีเพื่อนเป็นอเมริกันไม่ใช่เหรอ แม้แต่คนไทยอยู่เมืองไทยไม่ดูอินเตอร์เน็ต

ความจริง-3 : ฉีดพ่นสารเคมี 1 รอบ เทียบกับฉีดพ่นสารสมุนไพร 10-20 ครั้ง ความ สูญเสีย/สิ้นเปลือง อย่างไหน มาก/สูง กว่ากัน

ความจริง-4 : ไม่ใช้สารเคมียาฆ่าแมลง แต่ใช้สารสมุนไพรแทน ได้เครดิตจากคนรับซื้อ ได้คำชมจากคนกิน ได้กุศลแก่ตัวเอง แก่ทุกคนในครอบครัว ถึงบ้างข้างเคียง

ความจริง-5 : ทำอย่างเดิมคงไม่มีอะไรดีไปกว่าเดิม เผลอๆ อาจจะเลวร้ายไปกว่าเดิมด้วย

ความจริง-6 : ยุคนี้สมัยนี้วันนี้ งานที่ทำจะเป็นงานอดิเรกหรืองานหลัก สมัครเล่นหรืออาชีพ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือ “เทคโนโลยี” ว่าด้วย เทคโนโลยีการผลิต เทคโนโลยีการจัดการ เทคโนโลยีการบริหาร เทคโนโลยีเครื่องทุ่นแรง เทคโนโลยีการตลาด เทคโนโลยีการโฆษณาประชาสัมพันธ์

ประเด็นเทคโนโลยีเครื่องทุ่นแรง สำหรับงานสวนเกษตรด้านพืช เพื่อให้ได้ คุณภาพดี, ปริมาณผลผลิตมาก, ประสิทธิภาพ ระยะสั้น/ระยะปานกลาง/ระยะยาว สูง, ต้นทุนค่าเวลาสั้น, ต้นทุนค่าแรงต่ำ, ต้นทุนค่าพลังงานน้อย, ต้นทุนค่าอารมณ์ไม่มี, ฯลฯ, .... ถึงวันนี้ยืนยันได้ว่า ระบบสปริงเกอร์ คือ หนึ่งในเทคโนโลยีเครื่องทุ่นแรงนี้

-------------------------------------------------------------------------------------


.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 13/08/2023 9:31 am, แก้ไขทั้งหมด 7 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©