-
++kasetloongkim.com++
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตทางวิทยุ 13 APR *สมุนไพร(44),ชมพู่ไต้หวัน-ทับทิมจันทร์
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตทางวิทยุ 13 APR *สมุนไพร(44),ชมพู่ไต้หวัน-ทับทิมจันทร์

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 13/04/2016 10:35 am    ชื่อกระทู้: ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตทางวิทยุ 13 APR *สมุนไพร(44),ชมพู่ไต้หวัน-ท ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
ถาม-ตอบ ปัญหาเกษตทางรายการวิทยุ 13 APR

AM 594 เวลา 06.30-07.00 (ทุกวัน) และ 08.10-09.00 (จันทร์-ศุกร์)

********************************************************************

สวัสดีครับ ท่านผู้ฟังที่เคารพ
กองทัพบกเพื่อประชาชน เสนอรายการสีสันชีวิตไทย วิทยุเพื่อการเกษตร และอาชีพเสริม
ผลิตรายการโดยกองกิจการพลเรือน หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก

@@ สนับสนุนรายการโดย ...

* บ.นิมุติ เอ็นจิเนียริ่ง เครื่องย่อยเศษพืช (02) 322-9175-6

http://kasate.site88.net/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=1
* ยิบซั่มธรรมชาติ เฟอร์มิกซ์, ธันเดอร์พลัส, ธาตุรอง/ธาตุเสริม มัลติแชมป์ (089) 144-1112

http://www.mysuccessagro.com
* บ.มายซัคเซส อะโกร---ปุ๋ยอินทรีย์ ตราคนกับควาย, กาวเหนียวดักแมลง มายฟิกส์, กลิ่นล่อแมลงวันทอง ฟลายแอต,
สารเสริมฤทธิ์สารสมุนไพร ไบโอเจ๊ต, ถังฉีดพ่นรุ่นใหม่ ใช้แบตเตอรี่ (081) 910-5034

กระผม พันโทวีระ ใจหนักแน่น (คิม ซา กัสส์) เป็นผู้ดำเนินรายการครับ
เช่นเคยครับ รายการเรา 1188 ฝากข้อความ-ฝากคำถาม ที่ (081) 913-4986

----------------------------------------------------------------------------------------------

ตัวแทนจำหน่าย ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง, ไบโออิ, ไทเป, ยูเรก้า. (อินทรีย์ – เคมี)

1) ชมรม (ใหญ่) สีสันชีวิตไทย (089) 814-3204 ใกล้ไฟแดง สี่แยกบางแพ ราชบุรี
2) “คุณชาตรี” (081) 841-9874 ทรัพย์ทวีการเกษตร ชัฎป่าหวาย สวนผึ้ง ราชบุรี (ส่งทาง ปณ.)

3) ร.ต.ต.นันท์สุรัตน์ (089) 821-8273 ต.จรเข้เผือก ด่านมะขามเตี้ย กาญจนบุรี (ส่งทาง ปณ.)
4) “คุณล่า” (081) 944-8494 ทุกวันจันทร์ ตลาดนัดวัดอมรญาติ ดำเนินสดวก ราชบุรี

5) “คุณประเสริฐ” (080) 110-4645 บ.เขาดิน หนองแขม เดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี
6) “คุณพรพรรณ” (089) 814-7944 พลชัยเกษตรชีวภาพ ตลาดนัดธนบุรี ถ.เลียบคลองทวีวัฒนา
7) “คุณน้ำส้ม” (085) 055-7706 ชมรมฯ สาขาศาลายา หน้า ม.มหิดล พุทธมณฑลสาย 4 (ส่งทาง ปณ.)

----------------------------------------------------------------------------------------

@@ สารอาหาร (ปุ๋ย) เพื่อการสื่อสาร :

** ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง : ส่วนผสมหลัก .... อินทรีย์/เคมี (กุ้งหอยปูปลาทะเล, เลือด,
ไขกระดูก, นม, ขี้ค้างคาว, น้ำมะพร้าว, ธาตุหลักตามพืช, แม็กเนเซียม. สังกะสี. รอง/เสริม

** ไบโออิ : ส่วนผสมหลัก .... เคมี (แม็กเนเซียม. สังกะสี. รอง/เสริม)
** ยูเรก้า : ส่วนผสมหลัก .... เคมี (21-7-14, ไคโตซาน, อะมิโนโปรตีน)
** ไทเป : ส่วนผสมหลัก ..... อินทรีย์/เคมี (นม, ไข่, น้ำมะพร้าว, 13-0-46. 0-52-34)

มิได้มีเจตนาโฆษณาผลิตภัณฑ์ แต่ใช้ชื่อผลิตภัณฑ์เพื่อง่ายต่อการสื่อสารข้อมูล เท่านั้น
.... ต้นพืชไม่รู้จักยี่ห้อ ไม่รู้จักเจ้าของสูตร .....
...... ไม่รู้เจ้าของคนปลูก ไม่ฟังโฆษณา .......
...... ต้นพืชรู้จักแต่ส่วนผสมหรือเนื้อใน .......

-----------------------------------------------------------



สารสมุนไพร (44)

การทำ .... สมุนไพรกำจัดแมลงศัตรูพืช ! !
5. สูตรสมุนไพรกำจัดหมัดกระโดด :
ส่วนประกอบ :

1. ว่านน้ำ 1 ขีด
2. ขมิ้นชัน 1 ขีด
3. สบู่กรด 1/8 ก้อน
วิธีทำ วิธีใช้ :
นำขมิ้นชันและว่านน้ำมาทุบ และสับให้ลพเอียด จากนั้นไปต้มน้ำให้เดือด โดยเติมน้ำพอท่วม เมื่อน้ำเดือดให้เติมสบู่กรดลงไปอีกสักครู่จึงยกลง
ตามสัดส่วนดังกล่าวจะได้น้ำสกัดประมาณ 3 กระป๋องนม ให้นำไปผสมกับสารสะกัดสะเดา 1 กระป๋องนม แล้วน้ำจำนวน 20 ลิตร นำมาฉีดพ่น ถ้ามีแมลงระบาดมากให้ฉีดวันเว้นวัน แต่ถ้าระบาดน้อยหรือใช้เพื่อป้องกันจะฉีดวันเว้น 5-7 วันก็เพียงพอ

6. สูตรป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืช :
ส่วนประกอบ :

สะเดา ใบตะไคร้หอม ใบและกิ่งโล่ติน ใสาบเสือหรือใบและต้นบัวตอง ทั้งหมดรวมกัน 10 กิโลกรัม น้ำตาลทรายดิบ หรือกากน้ำตาล 5 กิโลกรัม หัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้น 100 ซีซี.
วิธีทำ วิธีใช้ :
นำใบสะเดา ใบตะไคร้หอม ใบและกิ่งโล่ติน ใบสาบเสือหรือใบและต้นบัวตอง สับเป็นชิ้นผสมกับน้ำตาลทรายดิบหรือคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นจึงเอาส่วนผสมใส่โอ่งเทน้ำลงไป 10 ลิตร หรือให้ท่วมพืช นำหัวจุลินทรีย์เข้มข้นผสมลงไป ปิดฝาให้มิดชิดตั้งไว้ในที่ร่ม ทิ้งไว้ประมาณ 30 วัน เมื่อได้น้ำหมักแล้วให้กรองใส่ขวดเก็บไว้ในที่มืด ส่วนกากที่เหลือสามารถนำไปใช้แทนปุ๋ยได้

อัตราใช้ 20-50 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 15 วัน หรือใส่ที่โคนต้นเพื่อป้องกันและกำจัดโรค แมลงศัตรูพืช

7. สูตรป้องกันและกำจัดเพลี้ยแป้ง หนอนชอนใบ และแมลงอื่นๆ :
ส่วนประกอบ :

1. เหล้าขาว 2 ขวด
2. น้ำส้มสายชู5% 1 ลิตร
3. สาร อีเอ็ม 1 ลิตร
4. กากน้ำตาล 1 ลิตร
5. น้ำสะอาด 10 ลิตร
วิธีทำ วิธีใช้ :
นำกากน้ำตาลผสมน้ำคนให้เข้ากันใส่เหล้าขาว น้ำส้มสายชู และสาร อีเอ็ม ผสมให้เข้ากัน ปิดฝาภาชนะให้สนิท หมักทิ้งไว้ 10-15 วัน คนส่วนผสมในภาชนะทุกวัน เพื่อไม่ให้เกิดการนอนก้น เปิดฝาระบายก๊าซหลังจากคน เมื่อครบกำหนดแล้วจึงนำไปฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลง และป้องกันโรคพืชบางชนิด เช่น ใบหงิกและใบด่าง
- ใช้ 1-5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสะอาด 5-10 ลิตร
- ฉีดพ่นให้ชุ่มและทั่วถึงทั้งนอกและในพุ่ม
- ใช้กับพืชผักทุก 3 วัน สลับกับพ่นปุ๋ยน้ำ
- พืชไร่ พืชสวน พ่นทุก 3-7 วัน สลับกับการพ่นปุ๋ยน้ำ
- ผสมกับกากน้ำตาล หรือนมสด ฯลฯ เพื่อเป็นสารจับใบ

8. สูตรป้องกันกำจัดหนอนหลอดหอม หนอนชอนใบ เพลี้ยกระโดด เพลี้ยในผลไม้ (สูตรเข้มข้น)
ส่วนประกอบ :

1. เหล้าขาว 2 แก้ว
2. น้ำส้มสายชู5% 1 แก้ว
3. สาร อีเอ็ม 1 แก้ว
4. กากน้ำตาล 1 แก้ว
วิธีทำ วิธีใช้ :
นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงไปในภาชนะคนให้เข้ากันและปิดฝาให้สนิท หมักทิ้งไว้ 1 วัน แล้วนำไปฉีดพ่น
ใช้ 5-10 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 20 ลิตร

9. สูตรไล่หอยหรือเพลี้ยไฟ ป้องกันใบข้าวไหม้ :
ส่วนประกอบ :

1. ยอดยูคาลิปตัส 2 กิโลกรัม
2. ยอดสะเดา 20 ยอด หรือ 1 ปี๊บ
3. ข่าแก่ 2 กิโลกรัม
4. บอระเพ็ด 2 กิโลกรัม
5. จุลินทรีย์ 1 แก้ว
6. กากน้ำตาล 1 แก้ว
วิธีทำ วิธีใช้ :
นำยอดยูคาลิปตัส ยอดสะเดา ข่าแก่ และบอระเพ็ด แต่ละอย่างแยกกันใส่ปี๊บ ใส่น้ำให้เต็มต้มให้เหลือน้ำอย่างละครึ่งปี๊บทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาเทรวมกันใส่โอ่ง ใส่จุลินทรีย์ลงไป 1 แก้ว กากน้ำตาล 1 แก้ว ปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ 3 วัน แล้วกรองเอาแต่น้ำ นำน้ำที่ได้มาใช้

อัตราใช้ 0.5 แก้ว ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นราดในไร่หรือนาข้าว

http://kasetthai2015.blogspot.com/2015/02/blog-post_56.html
-------------------------------------------------------------------

1. พืชสมุนไพรป้องกันกำจัดแมลง
พริกขับไล่แมลง

ผลสุก มีคุณสมบัติในการฆ่าแมลง ส่วนเมล็ดมีสารฆ่าเชื้อรา ใบและดอกมีสารยับยั้งการขยายตัวของเชื้อไวรัส พริกจึงเป็นสารฆ่าแมลง ขับไล่แมลงขัดขวางการดูดกินของศัตรูพืชหลายชนิด เช่น มด เพลี้ยอ่อน หนอนผีเสื้อ ด้วงเต่าโคโลราโด หนอนผีเสื้อกะหล่ำ ด้วงงวงช้าง แมลงศัตรูในโรงเก็บ ไวรัสโรคใบด่างของแตง ไวรัสโรคใบหดของยาสูบ ไวรัสโรคใบจุดวงแหวนของยาสูบ
วิธีเตรียมและการใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืช :
นำพริกแห้งที่ป่นละเอียด 100 กรัม ผสมน้ำ 1 ลิตร คนให้เข้ากันทิ้งไว้ 1 คืน แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง หลังจากนั้นนำน้ำพริกนี้ 1 ส่วน ผสมกับน้ำสบู่ 5 ส่วน ซึ่งการผสมน้ำสบู่จะช่วยให้จับเกาะใบพืชได้ดีขึ้น ฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน

ในการนำไปใช้ ควรทดลองแต่น้อยๆ ก่อน เพราะสารละลายที่เข้มข้นเกินไปจะทำให้ใบไหม้ หากพืชเกิดอาการดังกล่าวให้ผสมน้ำเพื่อให้เจือจางและควรใช้อย่างระมัดระวัง อาจเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังของผู้ใช้

สำหรับการใช้เพื่อยับยั้งเชื้อไวรัส โดยใช้น้ำคั้นจากใบและดอกของพริก ไปฉีดพ่นก่อนการระบาดของเชื้อไวรัส สามารถป้องกันต้นพืชจากไวรัสได้ดีกว่านำไปฉีดเมื่อพืชเกิดโรคแล้ว
----------------------------------------------------------------

จาก :
(083) 139-64xx
ข้อความ : ขอให้คุณลุงเล่าเรื่องชมพู่ไต้หวันพันธุ์ใหม่ ตลาดประเทศไทยจะไปไหวไหม ตอนนี้ผมลงทับทิมจันทร์ไว้ 4 ไร่ 400 ต้น ไซส์ใหญ่ตลาดดีมาก ไซส์รองตลาดรองลงมาก็อยู่ได้ สวนผมไม่มีปัญหาเรื่องน้ำ สวนชมพู่ 4 ไร่ ติดสปริงเกอร์ ช่วยประหยัด เวลา แรงงานได้มาก เจาะบ่อบาดาลพักน้ำในสระขนาด 2 ไร่ ในสระเลี้ยงไก่บนบ่อปลา ริมบ่อลงมะเขือ พริก ก็เป็นรายได้ นาข้าว 20 ไร่ หยุดสนิทมาตั้งแต่นาปรังปีที่แล้ว ยังไม่รู้ว่าจะหยุดไปอีกกี่ปี.... (ต่อ)

(ต่อ) .... ทับทิมจันทร์ของผม คุณภาพดีกับไม่ดีครึ่งต่อครึ่ง สังเกตรูปทรงผล ถ้าผลใหญ่ข้างผลจะเต็มและตรง เนื้อมาก ไม่มีเมล็ด รสหวานอร่อย ถ้าผลเล็กข้างผลจะเว้า เนื้อน้อย มีเมล็ด หวานน้อยกว่า ถ้าผมจะเปลี่ยนปุ๋ยบำรุงมาเป็นปุ๋ยคุณลุงดีไหม .... ขอบคุณครับ
ตอบ :
- ไม่บอก จากจังหวัดไหน รูปแบบการจัดสวน สูตรปุ๋ยปุ๋ยสูตรที่ให้ ลำดับขั้นตอนในการบำรุง ไม่บอกจริงๆ เพราะคิดว่า ชมพู่คือชมพู่ ในธรรมชาติมีตัวเลขมีสูตรสำเร็จ อะไรก็ได้ ใช้แล้วเหมือนกันทั้งนั้น ประมาณนั้นมั้ง

.... เหมือนคนไม่สบาย ไปหาหมอ หมอจะซักถามเพื่อหาสาเหตุของการไม่สบาย แล้วถึงจะสั่งจ่ายยา ไม่ใช่เหรอ ได้ยามาแล้วก็ต้องดูอีก ยาถูกแต่กินผิด หรือว่า ยาผิดถึงจะกินถูก แม้แต่ยาก่อนนอน ก่อนนอนกลางวัน หรือก่อนนอนกลางคืน

.... แล้วต้นไม้ต้นพืชล่ะ ต้นไม้พูดด้วยใบบอกด้วยราก ผลผลิตที่ออกมาให้เห็นนั่นคือ “คำตอบ” ในคำตอบเป็นตัวเลขเป๊ะๆ

ราคาขาย – ต้นทุน = กำไร คือ ประสบความสำเร็จ หรือ ทำเป็น
ราคาขาย – ต้นทุน = ขาดทุน คือ ประสบความล้มเหลว หรือ ทำไม่เป็น

ราคาขาย ขายได้เท่ากัน แต่กำไรมากกว่า เพราะต้นทุนต่ำ
ราคาขาย ขายได้เท่ากัน แต่กำไรน้อยกว่า เพราะต้นทุนสูง

ราคาขาย กำหนดโดยคนขายในตลาด .... เกษตรกรคนผลิต กำหนดไม่ได้
ต้นทุน กำหนดโดยคนขายในตลาด ....... เกษตรกรคนผลิต กำหนดได้

ต้นทุน ....... ค่าปุ๋ย30% ค่าสารเคมี30% ค่าแรง20%
ต้นทุน ....... สูญเปล่า-มากเกิน-ผิด-ถูก-ใช่-ไม่ใช่-ระยะสั้น-ระยะยาว
ต้นทุน ....... ทำเองครึ่งนึง-ซื้อครึ่งนึง .... ทำใช้-ทำขาย-ทำแจก


ผลผลิตเพิ่ม (คุณภาพ ปริมาณ) ต้นทุนลด (เท่าที่พืชต้องการจริง) อนาคตดี (ดีขึ้น ใหญ่ขึ้น กว้างไกลขึ้น) เรื่อยๆ ๆๆ

- จะปลูกชมพู่ .... รู้ชมพู่ให้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล .... ขึ้นชื่อว่า “ชมพู่” เชื่อเถอะ ใหญ่กว่าเป็นต่อเสมอ ใหญ่ต้องไซส์ 2 ลูกโล หรือ 3 ลูกโลกว่า เท่าไหร่ก็ไม่พอขาย

- ปลูกชมพู่ ปลูกอะไรก็สุดแท้ ยากหรือง่าย อยู่ที่ใจ
.... ใจไม่เอา ใจไม่รับ โลภโกรธหลงเพราะ มิจฉาทิฐิ ประมาท และขาดสติ
.... นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ยังไม่เหลืออะไรอีกด้วย ทำยิ่งทำยิ่งแย่ลง ยิ่งเป็นหนี้ บางคนเหมือนเราหรือหนักกว่าเรา แต่บางคนไม่เหมือน ยิ่งทำยิ่งรวยใจ
.... เป็นเพราะอะไร ฝีมือ ใจ ดวง จมตัวเองไม่ลง ไม่กล้ากลืนน้ำลายตัวเองเพราะคุยไว้มาก
-----------------------------------------------------

ชมพู่ไต้หวัน

ชมพู่ชนิดนี้ เป็นต้นเดียวกันกับ ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน ที่เคยแนะนำในคอลัมน์ไปแล้ว ปัจจุ บัน มีผู้ตอนกิ่งออกวางขายในชื่อ “ชมพู่ไต้หวัน” ทำให้ผู้ซื้อไปปลูกเกิดความสงสัยและสับ สนคิดว่าเป็นชมพู่พันธุ์ใหม่ ซึ่งก็ขอยืนยันว่า “ชมพู่ไต้หวัน” เป็นต้นเดียวกันกับ ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน ตามที่กล่าวข้างต้นอย่างแน่นอน เพียงแต่ กิ่งตอนตัดคำว่า “ยักษ์” ออกไปให้เหลือเพียงชื่อ “ชมพู่ไต้หวัน” เท่านั้น

ชมพู่ไต้หวัน หรือ ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน มีความเป็นพิเศษคือ ผลมีขนาดใหญ่ เมื่อโตเต็มที่หนักได้ถึง 800 กรัมต่อผล แต่โดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 350–500 กรัมต่อผล ใหญ่กว่าผลของ ชมพู่ทับทิมจันทร์ ที่มีน้ำหนักเพียง 150 กรัมต่อผลเท่านั้น และที่สำคัญ “ชมพู่ไต้หวัน” ยังเป็นชมพู่สายพันธุ์ที่ไม่มีเมล็ดอีกด้วย ซึ่งในประเทศไต้หวันมีการรณรงค์ให้เกษตรกรของเขาปลูกเพื่อเก็บผลส่งขายทั้งในประเทศและส่งออกได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เนื่องจาก “ชมพู่ไต้หวัน” มีรสชาติหวานกรอบอร่อยมาก ความหวานระหว่าง 10–14 องศาบริกซ์ มีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้ไม่มีรสเปรี้ยวเจือปนเลย

สีของผล เมื่อสุกจะดูสวยงามมาก โดยเฉพาะจะติดผลดกเป็นพวงอย่างน้อย 3-5 ผลต่อพวง ติดผลเกือบตลอดปี จึงทำให้คุ้มค่ามากที่จะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน หรือปลูกเพื่อเก็บผลขายสร้างรายได้

ซึ่ง “ชมพู่ไต้หวัน” หรือชมพู่ยักษ์ไต้หวัน มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับชมพู่ทั่วไป เพียงแต่ขนาดของใบจะใหญ่มาก และไม่ร่วงง่าย ให้ร่มเงาดียิ่ง เป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานต่อการถูกน้ำท่วมขังได้ดี

ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง และติดตา

ปัจจุบันมีกิ่งตอนขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผง “คุณหลง–คุณก็อต” ตรงกันข้ามโครงการ 15 กับ แผง “คุณเล็ก” ตรงกันข้ามโครงการ 17 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

http://www.thairath.co.th/content/329449
-----------------------------------------------------

บันทึกไว้เป็นเกียรติ /ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
การปลูกชมพู่ยักษ์ไต้หวันในประเทศไทย :
“ชมพู่” จัดเป็นไม้ผลเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดียตอนใต้ และได้มีการแพร่กระจายสายพันธุ์มาปลูกมากในหลายประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศที่มีชื่อเสียงในการปลูกชมพู่และมีชมพู่สายพันธุ์ดีๆ ก็คือ ประเทศอินโดนีเซียและมา เลเซีย เป็นต้น ที่ผ่านมาชมพู่ที่มีชื่อเสียงในบ้านเรา อาทิ “พันธุ์ทับทิมจันท์” ได้มีการพิสูจน์และเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีการนำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย

หรือแม้แต่ “พันธุ์เพชรปฐม” ได้สายพันธุ์มาจากหมู่เกาะมลายู ประเทศมาเลเซีย ชมพู่ มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Water Apple” และยังมีชื่อเรียกตามท้องถิ่นอีกหลายชื่อ เช่น ที่อินโดนีเซียเรียกว่า jambu air, ที่มาเลเซียเรียกว่า Rose apple, ที่ฟิลิปปินส์เรียกว่า “wax apple” และที่ไต้หวันเรียกว่า “bell fruit” เป็นต้น

สำหรับประเทศไทยพันธุ์ชมพู่ที่มีการปลูกในอดีตมาถึงปัจจุบันแทบจะไม่มีใครปลูกกันแล้วหรือรู้จักกันน้อยมาก เช่น “ชมพู่ม่าเหมี่ยว” เป็นชมพู่ที่มีขนาดลำต้นใหญ่ ใบกว้างหนาเป็นมัน ดอกออกบริเวณกิ่งและมีสีแดงสด เมื่อผลแก่จะมีสีแดงเข้มและมีกลิ่นหอมเหมือนดอกกุหลาบ ลักษณะของเนื้อนุ่มและฉ่ำน้ำ รสชาติหวานอมเปรี้ยวและมีเมล็ดใหญ่ เป็นที่สังเกตว่าในขณะนี้เริ่มมีเกษตรกรไทยหลายรายได้ให้ความสนใจที่จะขยายพื้นที่ปลูกชมพู่ม่าเหมี่ยวกันมากขึ้น ดูได้จากร้านจำหน่ายพันธุ์ไม้ได้มีการนำต้นชมพู่เพาะ
เมล็ดมาจำหน่ายในราคาต้นละ 40-50 บาท

ในหนังสือ คู่มือการทำสวนชมพู่อย่างมืออาชีพ เรียบเรียงโดย คุณสุพจน์ ตั้งจตุพร (สำนักพิมพ์นาคา) ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับชมพู่ม่าเหมี่ยวไว้ว่า เป็นชมพู่ที่มีต้นสูงใหญ่ ความสูงประมาณ 8-10 เมตร ปลูกด้วยเมล็ด จะใช้เวลาประมาณ 4-5 ปี จะเริ่มออกดอกติดผลและมีการออกดอกติดผลตลอดทั้งปี ผลผลิตจะออกมากในช่วงเดือนพฤศจิกายน

ในวงการนักขยายพันธุ์ชมพู่บอกว่า การเสียบยอดชมพู่พันธุ์ดีบนต้นตอชมพู่ม่าเหมี่ยวจะได้ต้นชมพู่ที่แข็งแรงและมีอายุยืน “ชมพู่สาแหรก” จัดเป็นชมพู่ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับชมพู่ม่าเหมี่ยว ต่างกันตรงที่ผลของชมพู่สาแหรกมีสีแดงอมชมพู และมีริ้วจากขั้วมาที่ก้นผล เนื้อมีสีขาวนุ่ม รสชาติหวานหอม ลำต้นและใบคล้ายกับชมพู่ม่าเหมี่ยว แต่กิ่งแขนงจะตั้งฉากกับลำต้น

และ “ชมพู่น้ำดอกไม้” จัดเป็นชมพู่สายพันธุ์โบราณของไทย หารับประทานได้ยากมาก ลักษณะของผลถ้าไม่บอกจะไม่รู้เลยว่าเป็นชมพู่ ลักษณะผลจะออกกลม มีสีขาวอมเหลือง อาจจะมีสีชมพูปนบ้าง จัดเป็นชมพู่ที่มีเนื้อบางกว่าชมพู่สายพันธุ์อื่นแต่มีรสชาติหวานกรอบ มีกลิ่นหอมคล้ายกับกลิ่นดอกกุหลาบและเมล็ดใหญ่ ลักษณะต้นของชมพู่น้ำดอกไม้จัดเป็นไม้ที่มีทรงพุ่มขนาดกลาง ใบเล็กเรียวยาวมีสีเขียวเป็นมัน ดอกมีสีขาวอมเหลืองและมีกลิ่นหอม จัดเป็นชมพู่แปลกและหายากในปัจจุบัน

สายพันธุ์ชมพู่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของในประเทศไทย คือ :
“พันธุ์เพชรสายรุ้ง” :
ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีชื่อเสียงและมีการปลูกมากในเขตจังหวัดเพชรบุรี ชมพู่พันธุ์นี้มีชื่อเสียงมายาวนาน คาดว่ามีการนำพันธุ์มาปลูกที่จังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2375 ปัจจุบันยังมีปลูกอยู่บ้างแต่น้อยลงกว่าเดิม ลักษณะเด่นของชมพู่พันธุ์เพชรสายรุ้ง คือ ขนาดของผลใหญ่ ทรงผลรูประฆังคว่ำ เมื่อผลแก่จะมีสีขาวอมชมพู รสหวานกรอบ และภายในผลจะมีเมล็ด 1-3 เมล็ด

“พันธุ์ทูลเกล้า” :
จัดเป็นพันธุ์การค้าที่ได้รับความนิยมและครองตลาดมายาวนานสายพันธุ์หนึ่ง ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าประวัติความเป็นมาของชมพู่สายพันธุ์นี้เป็นอย่างไรบ้าง ก็ว่าเป็นชมพู่ที่เกิดการกลายพันธุ์ที่อำเภอสามพรานหรือมีคนนำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย ลักษณะเด่นของชมพู่พันธุ์ทูลเกล้าก็คือ ออกดอกและติดผลง่าย ออกทะวายตลอดทั้งปีและไม่เลือกพื้นที่ปลูก มีการขยายพื้นที่ปลูกกันอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา ลักษ ณะของผลจะเป็นทรงยาว เมื่อผลแก่จะมีสีเขียวอมเหลือง เป็นชมพู่ที่มีความหวานไม่มากนัก ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกน้อยลง

“พันธุ์ทับทิมจันท์” :
หลังจากที่ อาจารย์ประเทือง อายุเจริญ นำพันธุ์ชมพู่พันธุ์ “ซิต้า” มาจากประเทศอินโดนีเซีย นำมาปลูกเป็นครั้งแรกที่จังหวัดจันทบุรี เมื่อต้นชมพู่พันธุ์ซิต้าที่นำมาปลูกเริ่มให้ผลผลิตพบว่า เป็นชมพู่ที่ผลสีแดงเข้ม และมีผลขนาดใหญ่ เนื้อแน่น มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 120-130 กรัม เนื้อแน่นและรสชาติหวานมาก ไม่มีเมล็ด มีคุณสมบัติที่ดีกว่าชมพู่พันธุ์การค้าอื่นๆ หลายสายพันธุ์ อาจารย์ประเทือง อายุเจริญ จึงได้ตั้งชื่อว่า “พันธุ์ทับทิมจันท์” เพื่อเป็นเกียรติแก่จังหวัดจันทบุรี และใน ปี พ.ศ. 2541 อาจารย์ประเทืองได้เริ่มขยาย พันธุ์กิ่งชมพู่ทับทิมจันท์ออกจำหน่าย ได้รับความนิยม มีการนำไปปลูกกันทั่วประเทศ

ช่วงที่ผลผลิตชมพู่ทับทิมจันท์ออกสู่ตลาดใหม่ๆ จะมีราคาแพงมาก ราคาถึงผู้บริโภคสูงกว่ากิโลกรัมละ 100 บาท จากที่ได้กล่าวมาแล้ว เมื่อมีการขยายพื้นที่ปลูกกันมากทำให้ราคาตกลง นอกจากสายพันธุ์ชมพู่ที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีสายพันธุ์ชมพู่อีกหลายสายพันธุ์ที่เกษตรกรนำพันธุ์มาปลูก อาทิ พันธุ์เพชรสามพราน พันธุ์เพชรน้ำผึ้ง พันธุ์เพชรจินดา ฯลฯ แต่ไม่มีการขยายพื้นที่ปลูกกันมากนักและเป็นที่รู้จักน้อยกว่าพันธุ์ทูลเกล้าและพันธุ์ทับทิมจันท์

สิ่งหนึ่งที่เกษตรกรที่คิดจะปลูกชมพู่ในเชิงพาณิชย์จะต้องเน้นในเรื่องของคุณภาพของ
ผลผลิต การปลูกชมพู่ในพื้นที่มากๆ อาจดูแลไม่ทั่วถึง การให้ปุ๋ยและการจัดการสวนชมพู่เป็นเรื่องสำคัญมาก ฝนเป็นปัญหาหลักของเกษตรกรที่ปลูกชมพู่ โดยเฉพาะในช่วงกำลังติดผล จะพบปัญหาผลแตก ชมพู่เป็นไม้ผลที่ต้องการแรงงานในการห่อผลเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เกษตรกรที่คิดจะปลูกชมพู่ควรจะยึดหลัก “ทำน้อย ได้มาก” คือ ปลูกและสามารถจัดการสวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาถึงปัจจุบันดูเหมือนว่าในวงการผู้ปลูกชมพู่จะเงียบเหงาลง จนกระ ทั่งได้เริ่มมีการนำเอาสายพันธุ์ชมพู่ยักษ์จากประเทศไต้หวันออกมาเผยแพร่และขายกิ่งพันธุ์ในราคาสูงมาก แต่ยังไม่เคยเห็นผลผลิตว่าปลูกในประเทศไทยแล้วให้ผลผลิตเป็นอย่างไร

ทำความรู้จักกับชมพู่ยักษ์ไต้หวัน ที่ให้ผลผลิตแล้ว :

เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2553 ผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูงานการเกษตรที่ไต้หวันร่วมกับคณะ ธ.ก.ส. ดูงานการเกษตรหลายอย่างที่โดดเด่นที่สุด ก็คือ การปลูกกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิสที่ไต้หวัน ได้ชื่อว่าผลิตเพื่อการส่งออกมากที่สุดในโลก

ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในการดูงานในครั้งนั้นผู้เขียนได้มีโอกาสไปเที่ยวชมตลาดขายพันธุ์ไม้ผลที่มีชื่อเสียงของไต้หวัน ซึ่งมีไม้ผลหลากหลายชนิด จะต้องยอมรับกันว่าสายพันธุ์มะม่วงไต้หวันที่มีการนำพันธุ์มาปลูกในประเทศไทยส่วนใหญ่จะมาหาซื้อพันธุ์จากที่นี่ อาทิ มะม่วงพันธุ์หยู่เหวิน เบอร์ 6, พันธุ์งาช้างแดง, พันธุ์หงจู ฯลฯ

ผู้เขียนได้ซื้อชมพู่มาต้นหนึ่งราคาต้นละ 500 เหรียญไต้หวัน ซึ่งเมื่อคิดเป็นเงินไทยประมาณ 500 บาท (ราคาแลกเปลี่ยนเงินตราเงินไต้หวันกับเงินไทยใกล้เคียงกัน) รายละเอียดที่ติดมากับชมพู่ต้นนั้นเป็นภาษาจีนและเมื่อแปลเป็นภาษาไทยชื่อว่า “ชมพู่น้ำหอมที่ใหญ่เท่ากับฝ่ามือ”

ผู้เขียนได้นำกิ่งพันธุ์ชมพู่ไต้หวันมาเลี้ยงให้ต้นเจริญเติบโตและได้นำยอดมาเสียบบนต้นชมพู่พันธุ์ทับทิมจันท์ที่แผนกฟาร์ม ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร จังหวัดพิจิตร ได้ปลูกไว้เพื่อบริโภค 2 ต้น และมีอายุต้นประมาณ 5 ปี ได้เสียบยอดชมพู่ไต้หวันบนต้นชมพู่ทับทิมจันท์เพียงต้นเดียว เลี้ยงยอดชมพู่ไต้หวันที่แตกออกมาเป็นเวลาประมาณ 2 ปี และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นมา ทางผู้เขียนเห็นว่าต้นชมพู่ไต้หวันแตกทรงพุ่มใหญ่ เห็นว่าควรใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อบังคับให้ต้นชมพู่ออกดอกติดผลนอกฤดู

ในการบังคับให้ต้นชมพู่ออกนอกฤดูนั้น ผลปรากฏว่า ต้นชมพู่ได้ออกดอกมาเพียง 1-2 ช่อ เท่านั้น ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นมากได้พยายามบำรุงรักษาเป็นอย่างดีเพื่อดูว่าผลชมพู่จะมีขนาดผลใหญ่จริงหรือไม่ ในขณะที่ต้นชมพู่เลี้ยงผลอยู่เพียง 1-2 ช่อนั้น พอเข้าเดือน ม.ค. 2555 ผลปรากฏว่าต้นชมพู่ไต้หวันที่เสียบไว้ทยอยออกดอกทั้งต้น ถึงทุกวันนี้เดือนพฤษภาคม 2555 ก็ยังมีดอกออกมา อาจจะเป็นเพราะว่าในช่วงที่ผ่านมาได้มีการฉีดพ่นปุ๋ยและฮอร์โมนสะสมมาโดยตลอด

หลังจากที่ห่อผลชมพู่ไต้หวันไปได้ประมาณ 25-30 วัน (โดยเริ่มห่อในระยะที่ผลชมพู่ถอดหมวกหรือผลใหญ่ขนาดนิ้วโป้ง) พบว่า ผลชมพู่ไต้หวันที่เก็บเกี่ยวมานั้นมีขนาดของผลใหญ่กว่าชมพู่สายพันธุ์อื่นๆ ที่ผู้เขียนพบมาโดยมีคุณสมบัติของผลดังนี้

“ผลมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักผลประมาณ 200 กรัม หรือ 5 ผล ต่อ กก. ผิวผลมีสีขาวอมชมพูหรือสีชมพูอมแดง ลักษณะของผลเป็นรูประฆังคว่ำใหญ่ มีความกว้างของผลเฉลี่ย 7 ซม. และความยาวของผลเฉลี่ย 9-10 ซม. เนื้อหนามากและเป็นชมพู่ไร้เมล็ด รสชาติหวานกรอบ มีความหวานประมาณ 11-12 บริกซ์ ถ้าผลผลิตแก่และเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูแล้งจะมีความหวานสูงกว่านี้ จัดเป็นชมพู่สายพันธุ์หนึ่งที่ออกดอกและติดผลดกมาก”

ทางชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร จึงได้ตั้งชื่อชมพู่ไต้หวันสายพันธุ์นี้ว่า “ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน” ผู้เขียนมีความเชื่อที่ว่าชมพู่ยักษ์ไต้หวันนี้จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการปลูกชมพู่ในประเทศไทย เพราะมีความโดดเด่นในเรื่องขนาดผล และความอร่อยไม่แพ้ชมพู่พันธุ์การค้าสายพันธุ์อื่น

การปลูกและการบำรุงรักษาชมพู่ยักษ์ไต้หวัน :

ก่อนอื่นมีคำแนะนำเบื้องต้นสำหรับเกษตรกรที่จะปลูกชมพู่ยักษ์ไต้หวันในเชิงพาณิชย์ว่า ควรจะเริ่มต้นปลูกในพื้นที่เพียง 1-3 ไร่ ก็พอแล้ว เนื่องจากชมพู่ยักษ์ไต้หวันมีการจัดการและบำรุงรักษาไม่แตกต่างจากชมพู่ทับทิมจันท์ การจัดการที่สำคัญคือ การห่อผล ระยะปลูกที่แนะนำคือ ระยะระหว่างต้น 5 เมตร และระยะระหว่างแถว 6 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 50 ต้น เกษตรกรจะเลือกใช้กิ่งปักชำปลูกก็ได้ เนื่องจากต้นจะเจริญเติบโตเร็วและให้ผลผลิตเมื่ออายุต้นเพียงปีเศษเท่านั้น

จากการสอบถามจากเกษตรกรที่มีความเชี่ยวชาญในการปลูกชมพู่ได้บอกถึงเคล็ดลับในการผลิตชมพู่ยักษ์ไต้หวันให้มีคุณภาพดีและรสชาติหวานกรอบ ก่อนที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิต 15 วัน ควรจะใส่ปุ๋ยเพิ่มความหวาน สูตร 14-14-21 อัตรา 500 กรัม ต่อต้น (ต้นชมพู่อายุ 2-3 ปี) แต่ถ้าต้นชมพู่ยักษ์ไต้หวันมีอายุต้น 5 ปีขึ้นไป ให้ใส่ต้นละ 1 กก. ด้วยชมพู่จัดเป็นไม้ผลที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น คือ หลังจากดอกโรยและถอดหมวกมีขนาดผลเท่าหัวนิ้วโป้งจะใช้เวลาเลี้ยงผลเพียง 25-30 วัน จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้

ดังนั้น ในช่วงเลี้ยงผลก่อนที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 15 วัน ควรจะฉีดพ่น นูแทค ซุปเปอร์-เค อัตรา 75-100 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร นูแทค ซุปเปอร์-เค จัดเป็นปุ๋ยพ่นทางใบชนิดผลแบบสเปรย์ ดรายด์ ที่มีโพแทสเซียมสูงและช่วยเพิ่มความหวานให้แก่ชมพู่

ล้อมกรอบ :

หนังสือ “การปลูกชมพู่ยักษ์ไต้หวันในประเทศไทย” พิมพ์ 4 สี แจกฟรีพร้อมกับ หนังสือ “ไม้ผลแปลกและหายาก เล่ม 1-4” รวมทั้งหมด 5 เล่ม จำนวน 420 หน้า เกษตรกรและผู้สนใจเขียนจดหมายสอดแสตมป์มูลค่ารวม 200 บาท (พร้อมระบุชื่อหนังสือ) ส่งมาขอได้ที่ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เลขที่ 2/395 ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร 66000 โทร. (056) 613-021, (056) 650-145 และ (081) 886-7398

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1340191755
----------------------------------------------------------



“ทับทิมจันทร์ คุณภาพดีกับไม่ดีครึ่งต่อครึ่ง รูปทรงผล ถ้าผลใหญ่ข้างผลจะเต็มและตรง เนื้อมาก ไม่มีเมล็ด รสหวานอร่อย ถ้าผลเล็กข้างผลจะเว้า เนื้อน้อย มีเมล็ด หวานน้อยกว่า ถ้าจะเปลี่ยนปุ๋ยบำรุงมาเป็นปุ๋ยคุณลุงดีไหม”

ตอบ :
- ต้นไม้ต้นพืช ไม่รู้จักยี่ห้อปุ๋ย ไม่รู้จักคนขายปุ๋ย ไม่รู้จักเจ้าของสูตรปุ๋ย ไม่รู้จักโฆษณา .... ต้นไม้ต้นพืช รู้จักแต่เนื้อใน หรือส่วนผสมเท่านั้น

- สมการปุ๋ย....
ปุ๋ยถูก + ใช้ผิด = ไม่ได้ผล
ปุ๋ยผิด + ใช้ถูก = ไม่ได้ผล
ปุ๋ยผิด + ใช้ผิด = ไม่ได้ ยกกำลังสอง
ปุ๋ยถูก + ใช้ถูก = ได้ผล ยกกำลังสอง


“ปุ๋ยถูก” คือ ถูกสูตร-ถูกประเภท-ถูก พีเอช.-ถูกปริมาณ-ถูกทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวปุ๋ย
“ใช้ถูก” คือ ถูกพืช-ถูกดิน-ถูกน้ำ-ถูกอุณหภูมิ-ถูกเครื่องมือ-ถูกทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวพืช
------------------------------------------------

บางคนเปรียบชมพู่พันธุ์ทับทิมจันทร์ว่าเป็นชมพู่ ปราบเซียน หรือ ทับทิมจน
เพราะลักษณะทางธรรมชาติประจำสายพันธุ์หลายอย่างต่างจากชมพู่ทั่วไป คนที่จะปลูกทับทิมจันทร์ให้ประสบความสำเร็จจริงๆนั้นต้องเข้าใจถึงช่วงพัฒนาการแต่ละระยะอย่างแท้ จริง โดยเฉพาะ น้ำ-สภาพอากาศ-ธาตุอาหาร ว่าชมพู่ทับทิมจันทร์ต้องการหรือไม่ต้องการอย่างไร จากนั้นจึงเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า

ปัญหา

ทับทิมจันทร์ผลเล็ก เมล็ดใหญ่ เนื้อบาง สีไม่จัด หรือสีจัดแต่ไม่เต็มผล

แนวทางแก้ไข

* ช่วงเริ่มแทงช่อดอกออกมาให้บำรุงด้วยฮอร์โมนจิบเบอเรลลิน. เพื่อเตรียมขยายขนาดผลให้มีขนาดใหญ่ยาว และสมส่วน โดยฉีดพ่น 3 รอบ

รอบแรก ช่วงตาดอกเริ่มโผล่ออกให้เห็น
รอบสอง ช่วงหลังดอกบาน
รอบสาม ช่วงติดผลขนาดเล็ก (หมวกเจ๊ก) ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้นและเน้นที่ดอก/ผลโดยตรง


การผสมอัตราส่วน จิบเบอเรลลิน สำคัญมาก เพราะแต่ละยี่ห้อกำหนดความเข้มข้นในการใช้ไม่เท่ากัน ดังนั้น ต้องอ่านรายละเอียดแล้วใช้ให้ตรงตามเกณฑ์กำหนดของแต่ละยี่ห้อจริงๆ การใช้ในอัตราน้อยเกินไปจะทำให้ไม่ได้ผล การใช้ในอัตราเข้มข้นเกินทำให้รูปทรงผลบิดเบี้ยวและไม่โต

* ช่วงดอกตูมนี้หากพื้นดินโคนต้นถ้าได้เปิดไว้หรือได้นำเศษพืชคลุมหน้าดินออก (ช่วงงดน้ำ) ก็ให้นำกลับเข้าคลุมโคนต้นอย่างเดิม พร้อมกับให้น้ำโดยเริ่มจากให้น้อยๆ พอหน้าดินชื้นก่อนแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณมากขึ้นเมื่อผลมีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ

* ธรรมชาติของชมพู่เมื่อดอกรุ่นแรกออกมาแล้วมักจะมีดอกรุ่นที่สอง-สาม-สี่-ออกตามมาเรื่อยๆ จนมีดอกหลายรุ่นแล้วกลายเป็นผลหลายรุ่นหลายขนาดในต้นเดียวกัน ทำให้ค่อนข้างยุ่งยากต่อการปฏิบัติบำรุงโดยเฉพาะการให้ฮอร์โมนสำหรับผลต่างระยะหรือต่างอายุกัน .... แนวทางแก้ไข คือ

1. จำนวนดอกทั้งหมดที่ออกไล่เลี่ยกันมาตลอดทั้งปีนั้น ตั้งเป้าเอาไว้เพียง 3 รุ่น/ปี เป็นอย่างมาก
2. สำรวจจำนวนดอกที่ออกมาแต่ละรุ่นในรอบ 7 วันว่าปริมาณดอกระหว่าง 2 วันแรกกับ2 วันท้ายของ 7 วันนั้นช่วงไหนน้อยกว่ากัน ถ้าช่วง 2 วันแรกน้อยกว่าช่วง 2 วันท้ายให้เด็ดดอกชุด 2 วันแรกทิ้ง หรือถ้าช่วง 2 วันท้ายน้อยกว่า 2 วันแรกก็ให้เด็ดชุด 2 วันท้ายทิ้ง ให้เหลือดอกที่ออกติดต่อกัน 5 วันใน 1 รุ่นก็จะได้ผลที่มีขนาดและอายุใกล้เคียงกันหรือเรียกว่าพร้อมกันก็ได้ หลังจากได้ดอกรุ่นที่ต้องการให้เป็นผลรุ่นเดียวกันเรียบร้อยแล้วให้เด็ดดอกที่ออกต่อมาตลอดระยะเวลา 3 เดือนทิ้งทั้งหมด

ระหว่าง 3 เดือนที่เด็ดดอกทิ้งนี้ดอกรุ่นแรกจะพัฒนาเป็นผลโตขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อครบกำหนด 3 เดือนแล้วก็ให้เตรียมการเก็บดอกรอบใหม่อีกด้วยวิธีการเดิม

วิธีจัดรุ่นแบบ 3 เดือนเด็ดดอกทิ้งกับ 5 วันเก็บดอกไว้นี้ ปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้อายุผลชมพู่แต่ละรุ่นที่อยู่บนต้นต่างกัน 3 เดือน หลักการเดียวกันนี้หากจัดรุ่นแบบ 1 หรือ 2 เดือนเด็ดดอกทิ้งกับ 5 วันเก็บดอกไว้ ก็จะได้อายุผลแต่ละรุ่นต่างกัน 1 เดือน

สรุปก็คือ ช่วงระยะเวลาเด็ดดอกทิ้ง คือ ช่วงต่างอายุของผลบนต้นนั่นเอง ....

ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อต้นมีความสมบูรณ์อย่างแท้จริงเท่านั้น ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของชมพู่ออกดอกติดผลได้ตลอดปีแบบไม่มีรุ่นอยู่แล้ว

------------------------------------------------------------------------



.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 13/04/2016 12:23 pm, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©