-
++kasetloongkim.com++
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - เกษตร เก็บตก ตอน It's time to say SAYONARA.
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

เกษตร เก็บตก ตอน It's time to say SAYONARA.
ไปที่หน้า 1, 2  ถัดไป
 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 29/04/2014 10:00 pm    ชื่อกระทู้: เกษตร เก็บตก ตอน It's time to say SAYONARA. ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกจ้า

เก็บสิ่งละอัน พันละน้อย มาร้อยเรียง จ้า

หนูหริ่งจ้า เคยเข้ามาแจมในกระทู้ทิดแดงบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเปิดกระทู้ของตัวเองจ้า ไม่กล้าทำจ้า ...ทิดแดงเป็นคนลุ้นให้ทำจ้า (มึงทำเลยไอ้หริ่ง มึงมีอะไรดี ๆ ทำเลย) ความดีทั้งหมดยกให้ลุง ความผิดทั้งหมดยกให้ทิดแดง(คนยุ)จ้า....

ไม่เคยทำ ลองหัดโพสท์รูปจ้า........ขอบคุณคำแนะนำวิธีจากทิดแดงจ้า(กว่าจะทำได้ หนูหริ่งกับหนานปัน โดน...ซะน่วมเลยจ้า)

มีเรื่องดี ๆ มาฝากเล็กน้อยจ้า...(ดีหรือเปล่าไม่รู้จ้า เพราะต่างคน ต่างมองต่างมุม เราว่าดี แต่คนอื่นอาจว่าไม่ดีก็ได้จ้า....ถ้าไม่ดี ลุงลบทิ้งได้เลยจ้า....)


เรื่องที่ 1 :
ม.ขอนแก่นทำสำเร็จ! น้ำมันดิบจากใบอ้อย ประเทศแรกของโลก

รูปที่ 1
รศ.ดร.รัชพล สันติวรากร เปลี่ยนใบอ้อยให้เป็นเชื้อเพลิงน้ำมัน(ไบโอออยล์) ผ่านกระบวนการกลั่นได้น้ำมันดีเซล 300 ซีซี สามารถไปใช้กับเครื่องยนต์ระบบดีเซลได้ทั้งที่บราซิล สหรัฐอเมริกา ขึ้นชื่อมีพื้นที่ ปลูกอ้อยมาก ไทยเทียบไม่ติดฝุ่น...แต่วันนี้ไทยจะเป็นประเทศแรกของโลกที่สามารถนำใบอ้อยมา ผลิตเป็นน้ำมันดิบเทียบเท่าน้ำมันจากใต้พื้นพิภพ

“ภาคอีสานมีการปลูกอ้อยมาก แต่ละปีมีใบอ้อย เหลือทิ้งในไร่ประมาณ 10 ล้านตัน เป็นวัสดุทางการเกษตรที่แทบจะหาค่าไม่ได้ เนื่องจากใบอ้อยมีน้ำหนักเบาขนไปขายที่ไหนก็ได้ราคาไม่คุ้มค่าขนส่ง ชาวบ้านจึงมักเผาทิ้ง ทำให้สภาพแวดล้อมเสีย ผงเขม่าจากการเผายังสร้างความเดือดร้อนกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง แต่จากการศึกษาข้อมูลเราพบว่า ใบอ้อยมีคุณสมบัติสามารถนำมาเป็นแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงได้ จึงได้ทำโครงการนำใบอ้อยมาทำเป็นเชื้อเพลิง”


รูปที่ 2
รศ.ดร.รัชพล สันติวรากร หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เล่าถึงที่มาของโครงการนำใบอ้อยมาผลิตเป็นน้ำมันดิบ

แต่กว่าจะถึงวันนี้ โครงการเริ่มจากความคิดง่ายๆ นำใบอ้อยมาอัดเป็นก้อนฟ่อน ด้วยระบบไฮดรอลิก เพื่อนำไปขายให้โรงงานอุตสาหกรรมใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ แต่ปรากฏว่า ทางโรงงานให้ราคารับซื้อตันละ 600 บาท เมื่อคำนวณต้นทุนทั้งหมดแล้ว ไม่คุ้มค่าขนส่ง เพราะพื้นที่ปลูกอยู่ห่างไกลจากแหล่งรับซื้อ จึงต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่ นำใบอ้อยมาผลิตเป็นก๊าซชีวมวล ใช้ทดแทนก๊าซหุงต้ม LPG โดยนำใบอ้อยอัดก้อน 1 กก. ใส่ลงเครื่องที่ออกแบบไว้ จะได้ก๊าซที่สามารถนำมาใช้ทดแทน LPG ทำอาหารได้ 1 ชม. แต่เมื่อนำไปให้กลุ่มผู้ทดลองรอบมหาวิทยาลัยใช้ในครัวเรือน ปรากฏว่าไม่มีใครชอบเพราะขั้นตอนการใช้งานยุ่งยาก ไม่สะดวกเหมือนใช้ก๊าซถัง เลยต้องมาตั้งหลักคิดใหม่ สกัดใบอ้อยเป็นน้ำมัน ด้วยการสร้างเตาปฏิกรณ์ฟลูอิดไดซ์เบด ที่ใช้หลักการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยเทคนิคการผลิต “ไพโรไลซิส” โดยใช้ลมร้อนเป่าผงทรายด้วยอุณหภูมิความร้อน 500 องศาเซลเซียส นำใบอ้อยที่บดเป็นผง 1 กก.เทใส่ปล่องเผาไหม้ 5 นาที จะได้ควันดำลอยผ่านจุดควบแน่น กลั่นตัวออกมา เป็น น้ำมันดิบสีดำ (ไบโอออยล์) และเมื่อนำน้ำมันที่ได้ไปผ่านกระบวนการกลั่นจะได้น้ำมันดีเซล 300 ซีซี สามารถนำไปใช้กับเครื่องยนต์ระบบดีเซลได้


รูปที่ 3
แต่นี่เป็นผลที่ได้จากการทดลองเบื้องต้น เพื่อต่อยอดนวัตกรรมจากห้องแล็บให้สามารถนำไปใช้ได้จริง สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จึงสนับสนุนทุนสร้างเตาปฏิกรณ์ฟลูอิดไดซ์เบดที่ใหญ่ขึ้น เพื่อผลิตน้ำมันให้ได้เพียงพอสำหรับนำไปทดลองใช้ในเครื่องยนต์ระบบดีเซลต่อไป


รูปที่ 4
ที่มา-เพ็ญพิชญา เตียว ไทยรัฐออนไลน์ ข่าว/ภาพ...
ม.ขอนแก่น http://www.kku.ac.th/news/v.php?q=0005981&l=th


รูปที่ 5 หนานปันฝากมาจ้า....ที่นี่ประเทศไทย...ท่าน สส.ผู้ทรงเกียรติ....แล้วแบบนี้จะไปรอด อาเซี่ยน มั๊ยจ๊า.....


ขอบคุณจ้าลุง

หนูหริ่ง กับหนานปันจ้า

ปล. โอย ๆๆๆๆ ...ดีใจแทบตาย โพสต์รูปทำเองได้แล้วจ้าลุง ......

[size=18]


.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย noo-ring เมื่อ 10/03/2017 3:08 am, แก้ไขทั้งหมด 34 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
Phinyo
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 25/01/2014
ตอบ: 59
ที่อยู่: นครสวรรค์

ตอบตอบ: 30/04/2014 10:50 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับ

อ้า เป็นเรื่องดีนะเนี่ย เดี๋ยวให้ลุงคิมย้ายไปไว้ในหมวดเทคโนโลยีเกษตรเลย

_________________

โปรแกรมPhotoscape(Free)รองรับภาษาไทย โปรแกรมตกแต่งภาพ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 30/04/2014 8:20 pm    ชื่อกระทู้: เก็บสิ่งละอัน พันละน้อย มาร้อยเรียง จ้า ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีจ้าลุง..... และเพื่อน ๆ สมาชิกจ้า

เก็บสิ่งละอัน พันละน้อย มาร้อยเรียง จ้า

เปิดอ่านเจอข้อมูล อาจดีสำหรับคนชอบกินผัก เลยเอามาฝากจ้า ส่วนคนไม่ชอบกินผักคงไม่ชอบนะจ๊า...กินก็ตาย ไม่กินก็ตาย ส่วนจะตายแบบไหน ตามกรรมของคนนั้นจ้า....



ผัก 10 ชนิด... ที่ไม่กินไม่ได้แล้ว
1. ผักกาดขาว : ช่วยระบบย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ แก้ไอ มีโฟเลตสูง ช่วยบำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์
2. ต้นหอม : มีน้ำมันหอมระเหย ช่วยบรรเทาอาการหวัด และมีสารฟลาโลนอยด์ช่วยต้านมะเร็ง
3. หอมหัวใหญ่ : ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
4. คะน้า : มีแคลเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันโรคกระดูกพรุน และมะเร็ง
5. ตำลึง : มีวิตามินเอสูง ซึ่งดีต่อดวงตา พร้อมเส้นใยจับไนเตรต ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร

6. มะระ : มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นยาระบายอ่อนๆ ถ้านำมาคั้นน้ำดื่มจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
7. บัวบก : มีวิตามินบีสูง ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย บำรุงสมองและความจำ บำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ
8. ชะอม : ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ขับลมในลำไส้ มีเส้นใยคอยจับอนุมูลอิสระ
9. ถั่วพู : มีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และสารช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว
10. ผักชี : ช่วยขับลม บำรุงธาตุ ย่อยอาหาร มีน้ำมันหอมระเหย แก้หวัด มีวิตามิน เอ.และ ซี.สูง

Cr : guru.sanook.com


ปล. พี่ทิดแดง....อ่านหลังไมค์ด้วยจ้า....



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 30/04/2014 11:19 pm    ชื่อกระทู้: เก็บสิ่งละอัน พันละน้อย มาร้อยเรียง จ้า ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกจ้า

เก็บสิ่งละอัน พันละน้อย มาร้อยเรียง จ้า

ข้อคิดดีๆ จาก "รอยตะปู"




มีเด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดีพ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา 1 ถุงและบอกเขาว่า

ทุกครั้งที่ลูกรู้สึกไม่ดี โมโห หรือโกรธใครก็ตาม ให้ตอกตะปู 1 ตัวลงไปที่รั้วหลังบ้านก็แล้วกัน วันแรกผ่านไปเด็กน้อยตอกตะปูเข้าไปที่รั้วถึง 37 ตัว วันที่ 2 และ วันที่ 3 และแต่ละวันที่ผ่านไป ผ่านไปจำนวนตะปูก็ค่อยๆ ลดลง ลดลงๆ เพราะเด็กน้อยรู้สึกว่า การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ

แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาสามารถ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นใจเย็นมากขึ้น เขาเดินไปหาพ่อเพื่อบอกว่า เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นที่ต้องตอกตะปูอีกแล้ว เพราะเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนแล้ว

พ่อยิ้มแล้วบอกลูกชายว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลองพิสูจน์ให้พ่อดู ทุกๆครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองได้ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้านที่ละ 1 ตัว ........วันแล้ววันเล่า เด็กชายก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัว ๆ จนในที่สุด วันหนึ่งตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกเด็กชายดีใจมากรีบวิ่งไปบอกพ่อของเขาว่า ผมทำได้แล้วครับในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จ

พ่อไม่ได้พูดว่าอะไร แต่จูงมือลูกของเขาไปที่รั้วนั้น แล้วบอกลูกทำได้ดีมากทีนี้ลองมองกลับไปที่รั้วสิ เห็นมั๊ยว่ารั้วมันไม่เหมือนเดิมมันไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็นก่อนหน้านี้

ลูกจำไว้นะ ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำอะไรลงไปด้วยการใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมักจะเกิดรอยแผล เหมือนกับการเอามีดไปกรีดหรือแทงใครเข้า ต่อให้ใช้คำว่า..ขอโทษ..สักกี่หนก็ไม่อาจจะลบรอยแผลหรือความเจ็บปวดที่เกิดกับเขาคนนั้นได้ ลูกจงจำคำว่า ..ขอโทษ..ไว้เสมอนะ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือ ไม่ก็ตามนะ จำไว้อีกด้วยว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับเขาเขาอาจจะไม่มีวันลืมมันได้......ตลอดไป

สิ่งที่สำคัญคือ รู้ทันความโกรธให้เร็วที่สุด ทันทีที่สติรู้ทันว่าเราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ อย่างน้อยมันจะหยุดเพ่งโทษคนอื่นวางความยึดมั่นว่าเราถูกลงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขสถานการณ์ดีกว่าปล่อยให้ความยึดว่า ตัวเองถูกเสมอ หรือทิฎฐิมานะ มาทำลายทุกอย่างรวมทั้งชีวิตตัวเราเอง

.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
cherm
สาวดาม
สาวดาม


เข้าร่วมเมื่อ: 17/11/2011
ตอบ: 237

ตอบตอบ: 01/05/2014 3:19 pm    ชื่อกระทู้: ตามอ่านอยู่จร้า ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีค่ะ ลุงคิม
สวัสดีค่ะ ทิดแดง หนูหริ่ง

ชอบ เอามาลงเยอะนะค่ะ

หนูหริ่ง เก่งจัง ลงรูปได้

ยัยเฉิ่ม คลานต้วมเตี้ยม
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 01/05/2014 11:38 pm    ชื่อกระทู้: เก็บสิ่งละอัน พันละน้อย มาร้อยเรียง ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีจ้าลุง...และเพื่อนสมาชิกทุกท่านจ้า

เก็บสิ่งละอัน พันละน้อย มาร้อยเรียง จ้า

ทำเสียม PVC เอาไว้กรอกดินลงถุงเพาะชำ….ทำไม่ยากจ้า...




(รูปที่ 1) ไปเห็น คนบ้า เค้าทำเอาไว้ที่นครปฐมจ้า....เลยแอบจำเอามาทำบ้างจ้า....
(คนบ้าที่นครปฐม มีเครื่องมือทำสวนแปลก ๆ แยะเลยจ้า เครื่องมือบางอันเค้าบอกว่า....อันนี้ กู ไปจ้างเค้าทำ)

วิธีทำ ....อุปกรณ์ตามรูปเลยจ้า




(รูปที่ 2). หาเศษท่อ PVC ขนาด 2 นิ้ว (ความยาวเลือกตามใจชอบจ้า)

นำเลื่อยลันดา หรือใบเลื่อยตัดเหล็ก หรือใช้ลูกหมูติดใบตัดกระเบื้อง มาผ่าตรงกลางท่อให้เป็นแนวตรงยาวประมาณ 8 นิ้ว ตามในรูปนะจ๊า

หาขวดน้ำปลา หรือขวดที่เห็นตามรูปก็ได้จ้า ขวดอะไรที่อยู่ใกล้มือใช้อันนั้นละจ้า....(ขวดนี้ของพ่อ ซะมี...เค้าเชียร์หงส์จ้า... อิอิอิ)



(รูปที่ 3) นำท่อ PVC ที่ผ่าแล้ว มารนกับไฟให้ร้อน แต่อย่าร้อนมากจนเกินไปเดี๋ยวท่อจะไหม้จ้า





(รูปที่ 4) นำขวดแก้ว มายัดใส่รอยผ่าบริเวณที่ลนกับไฟโดยเร็วเลยนะจ๊า รีบทำก่อนที่ท่อจะแข็งตัวจ้า




(5)


(6)

(5 - 6) หาลูกหมู หรือตะไบ มาลบขอบท่อ PVC เสร็จมาได้มาตามรูป




(7)



(8 )



(9)



(10)

(7 – 10) กรอกดินผสมใส่ถุงดำปลูกต้นไม้ ปกติจะใช้มือโกยใส่ ถ้าใช้เสียมอันนี้ ทำได้สบาย และรวดเร็วเลยละจ้า .....ทำเอาไว้ใช้หลาย ๆ ขนาดก็ดีจ้า ถุงเล็ก
ถุงน้อย ถุงสั้น ถุงยาว ใช้ได้หมดจ้า

ใครจะไปนึกว่า คนบ้า ก็มีอะไรดี ๆ กว่าที่คิดแยะเลยจ้า ......


เครดิท :- No Name ขอบคุณจ้า...............



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
toodtoo
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 13/10/2012
ตอบ: 95

ตอบตอบ: 29/05/2015 4:26 pm    ชื่อกระทู้: เก็บสิ่งละอัน พันละน้อย มาร้อยเรียง ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.

สวัสดีครับลุง....ไอ้หนูหริ่ง

กระทู้เอ็งเกยตื้นติดแห้งแหง๋แก๋มานานแล้ว เดินเรื่องต่อซะทีได้แล้ว อยากอ่านต่ออ่ะ..

คิดถึงเอ็งกับพี่หนานนะ

.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
ampolk
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 14/01/2013
ตอบ: 53

ตอบตอบ: 02/06/2015 2:28 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีครับลุงคิม และสมช.ทุกๆท่านครับ

ผมมารออ่านด้วยคนครับ พี่หนูหริ่ง เอามาลงให้อ่านไวไวนะครับ

อำพล เกษตรกรฝึกหัดครับผม


.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 03/06/2015 9:42 am    ชื่อกระทู้: เก็บสิ่งละอันพันละน้อยมาร้อยเรียง จ้า ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
(กราบ)สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกจ้า

เก็บสิ่งละอันพันละน้อยมาร้อยเรียง จ้า

ข้อคิดดี ๆ จากครูบ้านนอก....ตอนที่ 1

(ระบายสีตัวหนังสือได้แล้วจ้าลุง...ทิดแดงบอกว่า กูละหน่ายกะพวกมึง..จดวิธีทำเอาไว้แล้วจ้าทิด)

เวลาปีกว่าไม่ได้เข้ามาทักทายลุงและเพื่อน ๆ เลยจ้า เพราะว่า..

..หลังจากทำตามวิธีการลุงคิม ตามที่พี่ทิดแดงแนะนำ จนหูสองข้าง ชาไปหมดจ้า. ..ทั้งขู่ ทั้งปลอบ ทั้งดุ ทั้งด่า – แต่ส่วนมากจะด่าจ้า

เพราะฟังวิธีการแล้ว ไม่เคยเชื่อ ไม่เคยศรัทธา วิธีการ(บ้า ๆ )นี้จ้า ขนาดใส่ปุ๋ยเคมี ฉีดยาฆ่าแมลง ยังไม่ค่อยได้ผล ต้นไม่งาม เลยจ้า แล้วจะเอาอินทรีย์นำ เคมีมาเสริม..ตามด้วยพ่นสมุนไพร...ยิ่งจะหนักเข้าไปใหญ่น่ะซีจ๊ะ.....แต่ก็ทำตามกันโดนด่าไปงั้น ๆ แหละจ้า....และผลได้แรก ๆ มันก็งั้น ๆ เหมือนกันจ้า...สุดท้าย ทิดแดงบอกว่า

….สงสัยกูคงต้องเกณฑ์พวกลิงมาลงมือทำให้มึงสองคนเห็นซะแล้ว...

..และจากนั้น พี่ทิดแดง เกณฑ์พี่ทิดบัติ พี่ตู่ ขึ้นมาช่วยเป็นกำลังใจให้เราสองคนจ้า......

จากนาข้าวที่เคยทำ กข15 ได้ผลแค่ 60 – 65 ถัง รุ่นแรกที่ทำตามวิธีการบ้า ๆ ได้ 70 ถัง ปัจจุบัน ได้ 75 – 85 ถังจ้า มีร่นหนึ่งได้เกือบ 90 ถัง..... ที่ดีใจที่สุดคือ สามารถไถ่โฉนด คืนให้พ่อพี่หนานปันได้ก่อนที่คนเฒ่าจะลาลับ.....จ้า


หลังจากนั้น หนูหริ่งกับพี่หนานปัน สองแรงช่วยกันทำ ช่วยกันบุกเบิกที่รกร้างว่างเปล่า ....ตอนนี้ถอดใจให้วิธีการของลุงคิม รวมทั้งวิธีการบ้า ๆ ของพี่ทิดแดงแล้วจ้า......และได้ทำตามตำราหลายเล่มของลุงคิม ซึ่งทิดแดงส่งมาให้จ้า

หนูหริ่งจะนำเสนอเรื่องในเว็ป ก็ไม่ค่อยมีเวลาจ้า เนื่องจาก ต้องดูแลพ่อพี่หนาน ซึ่งป่วยไข้เดินไม่สะดวกตามวัยจ้า แล้วต้องดูแลเจ้าตัวเล็กอีกสองตัวจ้า โรงเรียนเพิ่งจะเปิด จ่ายค่าจิปาถะ มึนไปเหมือนกันจ้า ขอทำเท่าที่พอจะทำได้นะจ๊ะ...

ขอขอบคุณคุณ อำพล ที่ติดตามอ่านจ้า ...ความจริง ก๊อปปี้เค้ามาจ้า เห็นอะไรดี ๆ
ก็เอามาแบ่งปันกันจ้า ใครเคยรู้มาแล้ว หรือเคยอ่านมาแล้ว ต้องขออภัยนะจ๊า

เรื่องเก่าแล้ว แต่น่าสนใจจ้า………ขอขอบคุณ ข้อมูลจากครูชาตรี ครูบ้านนอกจ้า

(1) 3 ธค.13

ข้อ (1) ไทยขายข้าวได้อันดับ 1 ของโลก คือความเพ้อฝันของไทย
ประเทศไทยยังเพ้อฝันว่าไทยขายข้าวอันดับหนึ่งของโลก จริงแล้วชาวนาไทยเห็นแก่เงินจาก
การประกันราคาบ้าง จากจำนำราคาบ้าง จนเร่งผลิตข้าวอายุสั้นคุณภาพต่ำออกจำนำและ
รัฐบาล ส่งข้าวออกเป็นสินค้าหลักให้ได้มากแต่รายได้กลับลดลง

ข้อ (2) เวียดนาม พยายามหนีตลาดที่แข่งกับไทยโดยเน้นผลิตข้าวคุณภาพสูง ....
สปป.ลาว มีข้าวจ้าวเป็นข้าวหอมคล้ายข้าวหอมมะลิ105 .มีข้าวเหนียว เบอร์ 5 หุงสุกแล้วนิ่ม
นุ่มนวล เหมือนข้าว กข6. ของไทย......และ...เชื่อเถอะว่าอีก 2 – 3 ปีข้างหน้าพม่าจะ
นำหน้าไทย เพราะพื้นที่มากกว่า น้ำดีกว่า ที่สำคัญเพิ่งเปิดประเทศ ยังยากจน เกษตรกร

ชาวพม่าต้องปลูกพืชที่ให้ผลตอบแทนเร็วในระยะสั้น ข้าวคือทางเลือกหนึ่งในการผลิต ....
พี่ตู่บอกว่า...(ถ้าเอ็งอยากได้ข้าวหอมมะลิลาว กับข้าวเหนียว เบอร์ 5
ของลาวทั้งสองพันธุ์นี้ ขอแบ่งที่ทิดแดง หรือสอบถามป้าห่าน).


ข้อ (3) รัฐบาลไม่ควรแข่งว่าเราจะขายข้าวให้ได้อันดับหนึ่ง ควรวางแผนการเกษตรของ
ประเทศไทยว่าทำอย่างไรจะลดต้นทุนด้านการผลิต ทำอย่างไรที่เราจะเน้นเกษตรแบบอินทรีย์
เพื่อเปิดตลาดคนรักสุขภาพในต่างประเทศ ข้าวไทย(สายพันธุ์ที่คนกิน)ต่างชาติชื่นชอบเป็น
เอกลักษณ์ของชาติ ควรสร้างแบรนด์ข้าวไทยที่มีคุณภาพมากกว่าคุยว่าขายข้าวเป็นอันดับ 1…..
เลิกเป่าหูคนไทยให้เชื่อว่าไทยขายข้าว (คุณภาพต่ำ หมายังไม่กินเพราะมันแข็ง) ให้ชาวโลก
ได้เป็นอันดับ 1 (ซะที)

เกษตรอินทรีย์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในวันนี้ นอกจากลดต้นทุนแล้ว สินค้าเกษตรยัง
ปลอดภัยต่อตนเองและผู้บริโภค


พี่ทิดแดงเล่าให้ฟัง.......
“ กูไปเห็นงานเกษตรที่ประเทศภูฏาน มันเหมือนกับกูได้ย้อนยุคกลับไปเมื่อกูเป็นเด็ก
ฟาร์มของเค้าจะเน้นอินทรีย์ทุกกระบวนการ บวกกับการจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อ
กลับไปสู่ไร่นา

... กูเห็นแล้ว อึ้งกิมกี่ ....ชาวนาของเค้าเก็บ – หอบ ฟางมาทำปุ๋ยหมัก กลิ่นหอมเหมือน
เห็ดโคนบ้านเรา มันยิ่งกว่าปุ๋ยอินทรีย์ระดับซุเปอร์ที่ลุงคิมบอก ของบ้านเราเผาทิ้งหมด
เพื่อให้ทำงานง่าย


ลุงคิมบอกว่า การเผาฟาง เท่ากับเราเผาทิ้งธาตุอาหารพืช ไร่นึงเป็นตันนะมึง เผาเงินเผาทอง
เพียงเพื่อการเริ่มต้นทำนาให้เร็วขึ้น ถ้าเราแช่ฟางหมักด้วยจุลินทรีย์ไว้ประมาณ ครึ่ง ถึง 1 เดือน
เราลดปุ๋ยได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ... เรื่องนี้ ลุงคิมพูดจนปากจะฉีกถึงใบหู มี หอ มอ สระ อา
ที่ไหนสนใจทำตามกันซักกี่คน...

หมักฟางให้ย่อยสลายอีกซักเดือน เพื่อให้ดินมันดี มันจะตายโหง ตายห่ะ หรือยังไง
แล้วมึงจะรีบทำนาไปทำ เห้ อะไรกันนักกันหนา ทำนาปีละ 2 ครั้ง มึงจะมีกำไร
ถ้าทำ 3 ครั้ง มึงจะชิบหายเพราะขาดทุน กูมือใหม่ทำนาก็จริง แต่เรื่องปุ๋ยหมัก
ปุ๋ยคอก กูรู้มาตั้งแต่กูอยู่ในท้องคุณย่า เพราะแม่กูลูกชาวสวน ”



(2) 4 ธค.13
สุดยอดคาถา..ที่ทำได้รวยทุกคน

1. ตื่นเช้ามาท่องให้ขึ้นใจ ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก เหลืองกินจึงขาย ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
2. เลิกทำ ไล่ (ไล่ตามเขา) ให้ทำ สวน (สวนทาง สวนกระแส)
3. อะไรแพงอย่าปลูก คนจะปลูกกันมากในที่สุดจะถูก
4. อะไรถูกปลูกอย่างนั้น คนจะไม่สนใจปลูกที่มีอยู่โค่นทิ้งและจะกลับมาแพง
5. ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ (ทำน้อยให้ได้มาก)
6. กินผักผลไม้ตามฤดูกาล (สารพิษน้อย ราคาถูก)
7. แต่เน้นทำนอกฤดู (ราคาดีไม่มีปัญหาตลาด)
8. อย่าเน้นแต่ทำขายต้องหันมาใส่ใจทำกิน ถ้าทำเกษตรแล้วต้องซื้อผักสวนครัวกิน ถือว่าล้มเหลวในอาชีพเกษตร
9. ทำเกษตรผสมผสาน ลด ละ เลิก การปลูกพืชเชิงเดี่ยว (พืชก็ต้องการสังคมที่หลากหลาย)

(3) ได้คุยกับครูบ้านนอก ท่านมีความคิดว่า
ข้อ (4) ทำ 1 โรงเรียน 1 ฟาร์ม เพื่อให้เด็กสามารถนำความรู้ไปใช้จริง
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม รายได้ส่วนใหญ่มาจากภาคเกษตรกรรม
แต่คนทำเกษตรส่วนใหญ่ยากจน เพราะต้นทุนส่วนใหญ่อยู่ที่สารเคมีที่ใช้ตั้งแต่
ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ตลอดจนฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตของพืช

ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนควรปลูกฝังให้เด็กได้เรียนรู้เกษตรแบบอินทรีย์เป็น
การสนับสนุนให้เด็กนำความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง เลิกวิธีเก่าๆที่ซื้อเมล็ดพันธุ์ผักแล้วชื้อปุ๋ย
เคมีมารอเพื่อให้เด็กใช้ ตามโรงเรียนครูสอนเกษตรน่าจะมาจากสถาบันเดียวกัน ส่วนใหญ่
ก่ออิฐทำแปลงอย่างสวยงาม แทนที่จะสอนเด็กว่ามีดินมีที่ว่างปลูกผักในระบบการพึ่งพาแบบ
ธรรมชาติ เด็กเลยได้รับการปลูกฝังว่าปลูกผักต้องก่ออิฐทำแปลงให้สวยงามต้องใช้ปุ๋ยเคมีผัก
ถึงจะงาม ในแปลงต้องสะอาดไม่มีหญ้าขึ้น นั่นคือการสร้างค่านิยมให้เด็กเป็นเกษตรเคมี

การเพาะเห็ดก็เหมือนกัน ได้รับการปลูกฝังว่าวัสดุเพาะเห็ดต้องใช้ขี้เลื่อยไม้ยางพาราดีที่สุด
คนน่าน คนเชียงใหม่ คนอีสาน ต้องสั่งขี้เลื่อยยางพาราจากใต้ทำให้มีราคาต้นทุนที่แพง
เกษตรกรซื้อเห็ดถุงก้อนละ 12–15 บาท

จริงๆแล้วขี้เลื่อยทุกชนิดเพาะเห็ดได้ดีเหมือนกันแม้แต่กิ่งไม้เล็กๆเข้าเครื่องสับ เครื่องบดก็
เพาะเห็ดได้ดีไม่ด้อยกว่าขี้เลื่อยไม้ยางพารา ฟางข้าวเพาะเห็ดนางรมนางฟ้าได้ดี ดังนั้นถ้าจะ
ปรับการเกษตรแบบอินทรีย์ต้องปรับตั้งแต่ปฐมศึกษา ต้องสร้าง 1 โรงเรียนต้องมี 1 ฟาร์ม
เหมือนภูฏาน เกาหลี หรือญี่ปุ่น ให้เด็กเรียนรู้จนสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง

กรมส่งเสริมการเกษตร ถ้าเข้ามามีส่วนร่วมสร้าง 1 โรงเรียน 1 ฟาร์มได้ เมื่อเด็กเหล่านี้จบ
การศึกษาไปเป็นเกษตรกรก็จะได้เกษตรกรที่มีคุณภาพ

ส่วนวิทยาลัยเกษตรของเราปัจจุบันน่าจะมีถึง 40 กว่าแห่ง เชื่อหรือไม่ ประเทศไทยเป็น
ประเทศเกษตรกรรม วิทยาลัยเกษตรเรียนฟรี มีที่พักฟรี กลับไม่มีเด็กเรียน เพราะอะไร ผู้
บริหารต้องคิดอย่างน้อยต้องทำงานเชิงรุกไปตามโรงเรียนมัธยมเพื่อสานต่อระดับอุดมศึกษา
อย่าไปแนะแนวแค่ 2 – 3 ชั่วโมงเพื่อหาคนเรียนต่อ ต้องสร้างเจตคติอย่างไรให้เด็กมาเรียน
และทำอย่างไรให้เด็กที่ผ่านจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (เห็นแต่แบบเดิมๆ) สามารถ
พัฒนาจนเป็นเกษตรกรมืออาชีพที่มั่งคั่งร่ำรวยบนที่ดินตนเองไม่ใช่เป็นลูกจ้างบริษัทปุ๋ย
บริษัทยาฆ่าแมลง

อีกอย่างหนึ่งควรจัดตั้งวิทยาลัยเกษตรอินทรีย์ (Organic Agricuture)ต้นแบบซัก1 วิทยาลัย
เพื่อเป็นวิทยาลัยที่จะสร้างเกษตรแบบอินทรีย์อย่างมั่นคงถาวรสร้างเด็กและสร้างเกษตรกร
สู่ความมั่นคงด้านเกษตรอินทรีย์…..


ผม (ครู) เป็นเด็กเกษตรจบจาก......ไม่ได้เนรคุณวิทยาลัย 10 ปีที่จบมาแล้ว มองกลับไป
วิทยาลัยเกษตรเกือบทุกแห่งสภาพก็เหมือน 10 ปีที่แล้ว (คล้ายพิพิธภัณฑ์) โรงเรือนทิ้งร้างจำนวนมาก ...
ความจริง ทรัพยากรพร้อม บุคลากรพร้อม ถ้าทำขึ้นมาให้จริงจัง แต่ละแห่งเลี้ยงตัวเองได้สบาย
แต่เพราะอะไรผมไม่ตอบ ถ้าตอบ ตามความคิดของผมคือการเนรคุณครูและสถานศึกษาที่จบ
พี่ๆ ที่จบจากวิทยาลัยเกษตรไม่ต้องเถียง พี่มองกลับไปแล้วจะเห็นคำตอบด้วยตัวของพี่เอง..

ขอบคุณครับ

ข้อ (5) บริบทของแต่ละโรงเรียนไม่เหมือนกันตามสภาพพื้นที่ สถานที่ตั้งต่างกัน
ต้องเลือกวิธีการเรียนการสอนต่างกัน แต่ตัวการที่ทำให้เด็กไทยห่างจากธรรมชาติโดย
เฉพาะวิชาเกษตรกรรมคือนักวิชาการทั้งหลายที่จัดโครงสร้างหลักสูตรให้มีการเรียนงาน
เกษตรเพียง 0.5 หน่วยกิจในระยะเวลาที่เรียน ม.ปลาย( เรียน 1 คาบ/สัปดาห์/ภาคเรียน)
แต่เป้าหมายหลักสูตรบอกว่าผู้เรียนมีทักษะ มีประสบการณ์นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
คิดดู 3 ปีเรียนเพียงแค่ 18 คาบ ทักษะจะเกิดไหม

ข้อ (6) ถูกต้องที่สุดที่แต่ละโรงเรียนสามารถทำได้ในรูปแบบวิชาเพิ่มเติมหรือเสริมทักษะ
โดยคัดเลือกเด็กที่สนใจ

สำหรับพื้นที่นั้น ดาดฟ้ายังปลูกผักได้ เราต้องสอนทักษะว่า อยู่บ้านเช่าเราจะปลูกผักสวนครัวไว้กินได้อย่างไร....
อยู่ทาวเฮาส์เราปลูกผักกินได้อย่างไร... อยู่ในแพริมน้ำเราปลูกผักกินได้อย่างไร
อยู่ที่เราจะมาประยุกต์ได้อย่างไร สวนหย่อมในโรงเรียนลองมาปลูกผักดูว่าจะเป็นอย่างไร

ในประเทศอังกฤษมีอยู่เมืองหนึ่งปลูกผักที่ป้ายรถเมล์ ดังนั้นทักษะการปลูกผักในชีวิตประจำวัน
ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่กว้าง มีอย่างไรก็ประยุกต์อย่างนั้น



จบตอนที่ 1.......มีต่อ

ขอบคุณจ้าลุง


.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 05/06/2015 12:11 am    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย - จากครูบ้านนอก-1(1.1) ประโยชน์ของเปลือกไ ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีจ้าลุง...และเพื่อนสมาชิกทุกท่านจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย - จากครูบ้านนอก-1(1.1)
ตอน ประโยชน์ของเปลือกไข่

ขอบคุณข้อมูลจาก ลุงไก่ เกษตรคนดิน เดินตามรอยพ่อ จ้า

ไข่ เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย ทุกๆบ้านต้องมีไข่เก็บไว้ทำอาหารเสมอๆ
กินไข่วันละฟองไม่ต้องไปหาหมอ แล้วเปลือกไข่ที่เหลือล่ะเอาไปทำอะไรได้บ้าง ลองไปดูกันจ้า

สารในเปลือกไข่

(1) คั่วเปลือกไข่
เปลือกไข่ ประกอบด้วยสารแคลเซียมเป็นส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นแท่งๆมาต่อกัน
ในการสร้างเปลือกไข่แต่ละฟองนั้นจะใช้แคลเซียมประมาณ 2 กรัม ที่ผิวของเปลือกไข่มีรูเล็กๆ
อยู่มากกว่า 17,000 รู ช่วยระบายความชื้นและรับอากาศเข้าไป ซึ่งสำคัญมากต่อ
การพัฒนาการของลูกไก่นะจ้า

และมีสารเคลือบที่สามารถป้องกันเชื้อแบคทีเรียไม่ให้เข้าไปในตัวไข่ได้จ้า ความแข็งแรงของ
เปลือกไข่ขึ้นกับอายุและการกินอาหารของแม่ไก่ ส่วนใหญ่แม่ไก่ที่ตัวใหญ่จะให้ไข่ไก่ขนาด
ใหญ่และมีเปลือกบางจ้า

ช่องอากาศ จะอยู่ภายในเปลือกตรงส่วนหัวของไข่ ในเปลือกไข่มีเยื่อหุ้มเซลล์บางๆ 2 ชั้น
ซึ่งจะอยู่ห่างออกจากกันเล็กน้อยเพื่อให้มีช่องว่างเกิดขึ้นสำหรับให้อากาศเข้าไปได้ เมื่อไข่
อายุมากขึ้นช่องอากาศจะขยายใหญ่ขึ้นเนื่องจากความชื้นและคาร์บอนไดออกไซด์
ระเหยออกไป และถูกทดแทนด้วยอากาศ ไข่จะเบาขึ้นและสามารถลอยน้ำได้ เราจึงสามารถ
ทดสอดความสดของไข่ได้โดยการนำไปใส่น้ำ ไข่ที่สดจะจมอยู่ก้นภาชนะจ้า

ประโยชน์ของเปลือกไข่



(2) คั่วให้เปลือกไข่เหลือง
1. เปลือกไข่ไล่มด



(3) คั่วเพื่อความร้อนดึงสารอาหารออกมาจากเปลือกไข่
เปลือกไข่ที่เผาไฟแล้วบดละเอียด จะมีสารแคลเซียมเมื่อผสมกับน้ำก็จะได้แคลเซียมไฮดรอกไซด์
ซึ่งมีฤทธิ์เป็นเบส(ด่าง) สามารถขับไล่มดได้ วิธีทำ ล้างเปลือกไข่ให้สะอาด เผาให้เหลืองและแห้งสนิท
ใส่เปลือกไข่ที่ย่างแล้วใส่ครก ตำให้ละเอียด เทเปลือกไข่ลงในแก้ว 1 ส่วนแล้วเติมน้ำ 2 ส่วน
คนให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ใช้ฉีดพ่น หรือราดบริเวณรังมดจ้า

2. เปลือกไข่ซักผ้า


(4) เมื่อคั่วได้ที่แล้ว เทใส่ครกตำให้ละเอียด
เปลือกไข่ทำให้ผ้าขาว เวลาซักผ้า ให้เอาเปลือกไข่หลายๆฟองห่อผ้าเอาไว้ แล้วนำไปต้ม
รวมกับผ้าขาว เสร็จแล้วก็นำไปซักหรือขยี้ผ้าตามปกติทั่วไป จะทำให้ผ้าดูขาวผิดตาขึ้นเลย
ทีเดียวจ้า หรือนำเปลือกไข่บดละเอียดผสมกับโซดาซักผ้าอย่างละ 1 ส่วนเท่าๆ กัน ก็นำไป
ใช้แทนผงซักผ้าได้จ้า

3. สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง

ในกรณีที่เราต้องการใช้เตาถ่าน โดยที่ขณะก่อไฟให้ทุบเปลือกไข่จนแตกละเอียดแล้วใช้กระดาษห่อมัดไว้วางข้าง ใต้ฟืนจะทำให้ ไฟแรงขึ้นจ้า

4. กินเปลือกไข่เพิ่มแคลเซียม
เปลือกไข่อุดมด้วยธาตุเหล็ก นำเปลือกไข่มาล้างให้สะอาด อบย่างให้ร้อนแล้วตำให้เป็นผง
ละเอียดนำไปหุงปนกับข้าวสาร เป็นอาหารที่มีคุณค่าบำรุงดีมาก และสารอาหารที่จะได้รับ
จากเปลือกไข่ ก็คือ แคลเซี่ยม หรือนำผงเปลือกไข่ไปผสมอาหารสัตว์เพื่อเสริมแคลเซียมก็
ได้เหมือนกันจ้า

5. เป็นเครื่องมือทำความสะอาด
สามารถนำเปลือกไข่ไป ใช้ขัดล้างอ่างล้างหน้าอ่างอาบน้ำและเครื่องใช้เซรามิคทั้งหลาย
ใช้แทนแปรงล้างขวดหรือภาชนะที่มีปากแคบ ใส่เปลือกไข่ลงไปแล้วเขย่าๆขวดจ้า

6. ใช้เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ได้



(5) นำเปลือกไข่ตำเป็นผง โรยลงไปในดินก็สามารถเพิ่มแคลเซียมให้กับดินได้ หรือใช้
เปลือกไข่ป่นผสมในปุ๋ยหมัก ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ช่วยให้พืชผักในบ้าน
ของเราเจริญเติบโตงดงามกว่าเดิมจ้า

7. ใช้แทนยาฆ่าแมลง
ถ้าเราโรยเปลือกไข่ทุบหยาบๆ ไว้ตามใบของต้นไม้ จะช่วยป้องกันศัตรูพืชบางประเภทซึ่งกิน
ใบไม้เป็นอาหาร เช่น ตัวหนอน เนื่องจากความแหลมคมของเปลือกไข่จะบาดผิวหนังที่ไม่มี
อะไรปกคลุมของมัน ทำให้มันหลีกหนีจากต้นไม้ของเราจ้า
จะเห็นว่า นอกจากไข่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว เปลือกไข่ก็อย่าเอาไปทิ้งค่ะ
เก็บไว้ทำประโยชน์ได้อีกตั้งเยอะจ้า




ยังมีต่อจ้า

ขอบคุณพี่ทิดแดง กับพี่ตู่จ้า ที่แนะนำวิธีระบายสี กับทำตัวหนังสือให้ใหญ่ขึ้น

.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 17/06/2015 3:55 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อยจากครูบ้านนอก-2 (1.2) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกจ้า


สิ่งละอันพันละน้อยจากครูบ้านนอก-2 (1.2)


ตอน ปลูกมะละกอแบบเอียง



ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก ครูชาตรี ครูบ้านนอก และกลุ่มบุญนิยมอโศกจ้า




1-


2-


3-


4-

1 – 4 การปลูกมะละกอแบบนอน(เอียง)จ้า
เป็นแปลงมะละกอของคุณธงชนะ ทำกสิกรรมไร้สารพิษอยู่ที่ สวนอุทยาน ราชธานีอโศก ในเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ อยู่ห่างจากชุมชนราชธานีอโศกไปทางบ้านกุดระงุมประมาณ 1 กม. จ้า

ต้นมะละกอของที่นี่ มันไม่ตั้งตรง แต่อยู่แบบเอียงๆ จ้า....คุณธงชนะอธิบายว่า เวลาปลูกต้นมะละกอแบบนี้ใช้วิธี ให้วางต้นเอียงนอนกับพื้น ข้อดีของการปลูกมะละกอแบบนอน คือ เมื่อรากหยั่งลง ต้นมะละกอก็จะเริ่มตั้งตัวเอียงตรงขึ้นมาเรื่อยๆ จนปรากฏ เป็นเหมือนว่าต้นมะละกอกำลังลุกขึ้นจะตั้งตรง แต่ก็อยู่แบบเอียงๆ จ้า

คุณธงชนะอธิบายว่า การปลูกมะละกอแบบนอน เป็นผลดีให้รากไม่อยู่ลึกเกินไป ทำให้น้ำท่วมรากได้ยากขึ้น ต้นมะละกอจะอยู่ได้ทนนาน และที่สำคัญ ลูกของมะละกอจะอยู่ไม่สูงเกิน เพราะต้นมันเอียง ทำให้เก็บผลผลิตได้ง่ายขึ้นอีกด้วย…น่าจ้า





5 12 มี.ค. 2558 คุณธงชนะได้วางระบบน้ำที่เรียกว่า สปริงเกอร์ลอยฟ้า พ่นละอองน้ำให้เป็นฝอยเล็กๆทำความชุ่มชื้นและทำให้ดินร่วนซุย เป็นระบบการให้น้ำที่ดีมากจ้า

พื้นที่สวนอุทยาน มีคุณธงชนะและครอบครัว มาบุกเบิกอยู่ที่นี่เป็นคนแรกจ้า และจะทำให้เป็นโมเดลของการปลูกอยู่ปลูกกินแบบกสิกรรมธรรมชาติไร้สารพิษ จะเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของชาวบ้านต่อไป เพราะน้ำท่วมไม่ถึงในพื้นที่นี้ จ้า





6 ตอนนี้ คุณธงชนะกำลังจะปลูกมะนาวพันธ์พิเศษที่ลูกเล็กเปลือกบางกลิ่นหอม ให้น้ำมะนาวมาก ไว้รอบๆแปลงกสิกรรม ตลอดจนปลูกพืชผักอื่นๆอีกด้วยจ้า





7 แปลงฟักทองปลอดสารพิษจ้า





8 แหล่งน้ำจ้า



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 10/09/2015 1:36 am    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน สูตรเร่งดอก เร่งผล จ้า ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน สูตรเร่งดอก เร่งผล จ้า

หนูหริ่ง Copy ข้อคิดดี ๆ มาฝากจ้า

ขอบคุณ ข้อมูลจาก #svgroup จ้า
ต้องขออภัย แอดมิน เอสวี ที่แก้ไขคำที่เขียนผิดบางคำให้ถูกต้องน่ะจ้า


(1) เคล็ดไม่ลับฉบับ เอสวี ภูมิใจนำเสนอ "วิธีการเร่งดอก เร่งผล"

โดยเป็นวิธีง่ายๆ และอุปกรณ์ก็ไม่ยุ่งยากเลย อุปกรณ์หลักของเราในวันนี้คือ "ผงชูรส" หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ (โมโน)โซเดียมกลูตาเมต (MSG) โดยมีส่วนประกอบของ (กรด) โพลิ กลูตามิก แอซิต

ซึ่งข้อดีของสารตัวนี้ก็คือ เป็นสารธรรมชาติที่กินได้ ไม่มีพิษ และสำหรับวงการเกษตรถือว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ด้วย

วิธีง่าย ๆ ของเราวันนี้ก็คือ นำผงชูรส, น้ำสัมควันไม้, และน้ำเปล่า มาผสมกันในอัตราส่วน "ผงชูรส 1 ช้อนชา + น้ำส้มควันไม้ 1 ช้อนชา / น้ำ 1 ลิตร"
หากท่านใดที่หาน้ำส้มควันไม้ไม่ได้ สามารถใช้ "ผงชูรส 1 ช้อนชา : น้ำ 1 ลิตร" ได้เลยจ้า

ถ้าจะใช้กับน้ำ 200 ลิตร อัตราส่วนที่ใช้คือ - ผงชูรส 1 กก น้ำส้มควันไม้ 1 ลิตร (ต่อ น้ำ 200 ลิตร) ฉีดพ่น ตอนเช้า 6.00 - 09.00 ตอนเย็น 16.00 - 19.00 เลือกเอานะคะ เดือนละครั้ง

แต่ถ้าท่านใดบอกว่าใช้กับเป้ 20 ลิตร ก็ต้องใช้ ผงชูรส 100 กรัม น้ำส้มควันไม้ 100 cc ต่อ น้ำ 20 ลิตรจ้า


Comments.-
(1) สูตรของผมคือ
1 ผงชูรสหนึ่งช้อนโต๊ะ
2 เอ็มร้อยหนึ่งขวด
3 ผสมเข้าด้วยกันแล้วนำไปใช้ หนึ่งฝาเอ็มร้อยต่อน้ำ10 ลิตร ช่วยให้งามติดดอกติดผลดี

(2) ของผมไข่ไก่ 1 กก กากน้ำตาล 1 กก ยาคู้ลท์ 1 ขวด ลูกแป้งที่ทำข้าวหมาก เอา 1 ใน 5 ของลูกแป้ง
เอาไข่ไก่ไส่เครื่องปั่งทั้งปลือก ไส่ส่วนผสมทั้งหมดรวมกันแล้วหมักไว้14 วัน ในระยะ 1 – 7 วัน ให้กวนทุกวัน อัตรา ไช้ 20 ซี ซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ดีจริงๆนะจิบอกไห้ ไช้มาเกือบ 10 ปีแล้ว...เรียกกันว่า ฮอร์โมนไข่


2 - “การนำถ่านมาใส่ในดินเพื่อเพิ่มโพแทสเซียมในดิน”
เนื่องจากมีหลายท่านที่เข้ามาสอบถามเรื่องปุ๋ย หรือเรื่องสูตรต่างๆ ซึ่งสำหรับพืชบางอย่างที่ใช้ไม่ได้ แอดมินจึงนำเคล็ดไม่ลับนี้...มาให้ลองกัน

สำหรับพืช ปาล์ม ผักกินใบ เช่น ผักบุ้ง, คะน้า ฯลฯ ที่ใช้หลายๆ สูตรไม่ได้นั้น
รับรองว่า เคล็ดไม่ลับนี้ใช้ได้ผลกับพืชทุกชนิดคะ ไม่มีผลเสียต่อพืชและคนปลูก แถมลดต้นทุนได้ด้วย คือ “การนำถ่านมาใส่ในดินเพื่อเพิ่มโพแทสเซียมในดิน” วิธีใส่คือ ใส่รอบโคนต้น

(น่าจะเป็นถ่านที่ละเอียด หรือป่นแบบหยาบ ๆ น่ะจ้า เพราะเคยเห็นพี่ทิดแดง กับพี่ทิดบัติ แกใช้ถ่านก้อนขนาดที่ใช้ปิ้งกล้วย ใส่กระถางปลูกกล้วยไม้น่ะจ้า)

หลายคนอาจไม่ทราบ ในไม้ที่เผาแล้วเป็นถ่าน คือคาร์บอน นอกจากจะเป็นเชื้อเพลิงที่เราเห็นกันตามบ้านเรือนแล้ว ถ่านยังมีคุณสมบัติดูดกลิ่น ช่วยกักเก็บธาตุอาหารส่งต่อให้พืชนำไปใช้สร้างราก ลำต้น ดูดซับอาหาร ช่วยให้ดินมีการระบายน้ำและอากาศได้ดีขึ้น

เมื่อลำต้นแข็งแรงสมบูรณ์แล้ว ต้นจะต้านทานโรคต่างๆ ได้ดี และให้ผลผลิตเร็วขึ้น ลดการซื้อปุ๋ยราคาแพง เช่นปุ๋ยเคมี ที่มีสูตรตัวท้ายสูงมาใช้ เพราะถ่านช่วยเพิ่มโพแทสเซียม (หรือปุ๋ยตัวท้าย) ได้เป็นอย่างดี ถ่านช่วยให้ดินมีการระบายน้ำและอากาศได้ดีขึ้น ลดได้ทั้งต้นทุน ผลผลิตเพิ่มขึ้น ราคาสบายกระเป๋าได้กำไรมากขึ้นแน่นอน

แอดมินแนะนำว่ายังไงก็ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ด้วยนะคะ


3.- ใครอยากให้พืชได้รับสารอาหารเร็วขึ้น ต้องอ่านทางนี้เลยนะคะ

วิธีง่ายๆ เพียงฉีดอาหารเสริมที่ "ใต้ใบ"
ในช่วงเวลา 6.00 น. - 9.00 และ 16.00 - 19.00 น.
จะทำให้พืชของเราได้รับสารอาหารไปแบบเต็มๆเลยคะ


4.- "สูตรการใช้ปุ๋ยเพื่อดินดีเยี่ยม"
เคล็ดไม่ลับวันนี้ การันตีมาจากเกษตรหลายท่านที่ทดลองทำสูตรนี้แล้วเห็นผลกันถ้วนหน้านะคะ ทำให้ดินดี แถมเพิ่มผลผลิต และที่สำคัญยังลดต้นทุนอีกด้วยนะคะ

สูตรวิเศษนี้จำง่ายมากคะ นั่นคือ 3 ต่อ 1 (Three in One)
(ลุงคิมเรียกว่า อินทรีย์นำ เคมีเสริมตามความเหมาะสม ยังไงล่ะจ๊า)

3 ต่อ 1 นั่นก็คืออัตราส่วนของปุ๋ยอินทรีย์ 3 กระสอบ + ปุ๋ยเคมี 1 กระสอบ นำมาผสมกันเลยนะคะ สามารถใช้ได้ถึง 4 ไร่กันเลย


5.- สำหรับผู้ที่ทำเกษตรกรรมหรือชอบปลูกต้นไม้ อาจจะประสบปัญหาเชื้อรา,

เชื้อโรคเข้าไปทำลายลำต้นของต้นไม้หรือพืชของเรา เคล็ดลับดีๆ ที่ทำง่ายมาก


คือการนำปูนแดงมาทาบริเวณรอยแตกตามลำต้นของพืช เพียงเท่านี้ก็สามารถป้องกันเชื้อโรคได้แล้วนะคะ

และอีกวิธีขั้นต้นที่ดีที่สุดคือ การดูแลดินและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสารเคมีนะคะ อย่างเช่น เลือกใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อเป็นการบำรุงรักษาดินนะคะ

เพียงวิธีพื้นฐานขั้นต้นเท่านี้ ก็ทำให้พืชพันธุ์และดิน สามารถยืดระยะเวลาอยู่กับเราได้อีกนานขึ้นเลยคะ

#svgroup




(6) ใช้น้ำเอ็นไซม์ แช่เมล็ดพันธุ์พืข
ถ้าไม่มีน้ำเอ็นไซม์ ก็น่าจะใช้ น้ำกลูโคส ลิโพ กระทิงแดง เอ็ม หรือ ไคโตซาน แทนได้จ้า


(7) วันนี้มีสาระน่ารู้มาบอกนะครับ
เอนไซม์ (enzyme) คืออะไร
เอนไซม์ กลุ่มของโปรตีนที่มีหน้าที่พิเศษแตกต่างจากโปรตีนทั่วไป คือ มีความสามารถในการเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้ในการสังเคราะห์องค์ประกอบภายในเซลล์ ระบบการย่อยอาหาร ฯลฯ

เอนไซม์มีความจำเพาะต่อสารที่ทำปฏิกิริยาที่เรียกว่า “ซับสเตรด” (Substrate) และสามารถเร่งปฏิกิริยาโดยไม่ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์อื่น ตลอดทั้งเอนไซม์จะเพิ่มอัตราเร็วของปฏิกิริยาโดยลดพลังงานกระตุ้นของปฏิกิริยาได้

เอนไซม์ มีประโยชน์กับพืชอย่างไร ?
ช่วยกระตุ้นและเร่งปฏิกิริยา การทำงานของพืชทุกขั้นตอน พืชจึงดูดซับอาหารไปใช้ได้ทันที ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นทวีคูณ พืชฟื้นต้นไว สมบูรณ์และแข็งแรง นอกจากนี้ช่วยเพิ่มอัตราการงอกสำหรับเมล็ดพันธุ์และท่อนพันธุ์


(8 ) เกษตรกรไทย หัวใจอยู่ที่ปุ๋ยเคมีเกินร้อยมานานแล้ว.....คงจะดึงกลับให้มาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ คงแก้ยากจ้า

เมื่อก่อน หนูหริ่ง กับพี่หนานปัน ก็ใช้เคมีเต็มร้อยละจ้า
ต่อมา พี่ทิดแดง พี่ทิดบัติ พี่ตู่ แนะนำว่า ลองทำแบบ อินทรีย์นำ + เคมีเสริม ดู....ก็ได้ผลดีจ้า ...ดินก็ดีขึ้น ระยะหลัง ๆ มา ก็อินทรีย์เกือบเต็มร้อย มีเคมีเสริมบ้างนิดหน่อยจ้า ชาวบ้านก็เห็น แต่ก็ยังไม่ยอมเชื่อ..ก็ไม่รู้จะแนะนำยังไงละจ้า...


(9) ปุ๋ยอินทรีย์...ก็สามารถละลายน้ำฉีดได้นะค่ะ

...ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต
และยังมีคุณสมบัติพิเศษเหมือนฮอร์โมนอีกด้วย
เราจะใช้เทคนิคนี้ กรณีที่ต้องการให้พืชได้รับสารอาหารได้เร็วมากขึ้น....อย่าลืมใช้สูตรนี้นะค่ะ

.....แต่วิธีของลุงคิม ต้อง + สมุนไพร ขม ๆ เผ็ด ๆ ฝาด ๆ เข้าไปด้วยนะจ๊า...เพื่อป้องกันแมลงและเชื้อราจ้า


(10) น้ำยาล้างจานกลิ่นมะนาว ช่วยไล่แมลงหวี่

โดยเคล็ดไม่ลับนี้ จะนำสิ่งของที่มีภายในบ้านมาใช้ประโยชน์แบบคาดไม่ถึง คือ
ใช้น้ำยาล้างจานกลิ่นมะนาว(ยี่ห้อใดก็ได้) 10 ซีซี ผสมน้ำเปล่า 1 ลิตร ฉีดหรือลาดพื้นดิน ช่วยลด ไล่แมลงหวี่ได้ตามต้องการ

ภูมิปัญญาชาวบ้านของแท้ ลองทำกันดูนะค่ะ
(11) ใช้ระบบน้ำหยด

ใช้สำหรับพืชไร่ พืชสวน นาข้าว คะ ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้
นอกจากลำต้นจะโตได้ดีกว่าการปลูกแบบเดิมแล้ว

การใช้น้ำยังน้อยกว่าและประหยัดค่าน้ำได้มากกว่า ระบบน้ำหยดสูบน้ำวันละ 1-2 ชั่วโมง และช่วยประหยัดเงินค่าปุ๋ยอีกต่างหาก
แค่ละลายปุ๋ยผสมไปในน้ำ 2.5 กก./ไร่ มีแค่คนเดียวก็ทำเองได้...มั่นใจได้กำไรเพิ่มแน่คะ

หนูหริ่งใช้ระบบ สปริงเกอร์จ้า ใครอยากใช้น้ำหยด ลองทำดูจ้า


(12) "การเสียบยอดต้นตอด้วยหลอดกาแฟ"

เป็นเทคนิคเพื่อการขยายพันธุ์โดยวิธีการเสียบยอด โดยวิธีทำก็แสนง่าย ทำได้เองที่บ้านด้วยนะคะ เพียงนำเอากิ่งพันธุ์ดีมาเสียบเข้ากับต้นตอที่แข็งแรง และหาอาหารได้เก่ง

การเสียบยอดพันธุ์นี้ นิยมเลือกใช้ต้นตอจากต้นมะขวิด หรือส้มโอ หรือต้นที่มีลักษณะแข็งแรงที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้ จะทำให้ต้นพันธุ์ดี เจริญเติบโตได้เร็ว และเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของต้นพันธุ์ที่เราต้องการได้

อันนี้ดูจากรูปคงพอเข้าใจ และคงพอทำกันได้นะจ๊า ลองทำดูจ้า ใหม่ ๆ อาจไม่ได้ผล ทำไป ๆ บ่อย ๆ คงจะได้ผลจ้า…

(หมายเหตุ) แต่ได้ถามพี่ทิดแดงแล้ว แกบอกว่า
การที่จะเอาต้นพันธุ์มาเสียบกับยอดมะขวิดหรือส้มโอ หรือต้นมะสังได้ ก็น่าจะมีแต่ต้นมะนาว หรือส้มเขียวหวานจ้า ถ้าจะเสียบยอดมะม่วง ก็คงต้องเสียบกับต้นตอมะม่วง หรือมะเขือยาวเสียบบนตอมะเขือพวง น่ะจ้า


(13) การเพาะเมล็ดลงในถ้วยปีโป้.
เพียงนำถ้วยปีโป้ ที่ใช้เเล้ว ตัดก้นถ้วย นำวัสดุหรือขุยมะพร้าวที่ผสมมาเเล้วใส่

ลงในถ้วยปีโป้ จากนั้น นำถ้วยปีโป้เสียบลงใน
ขวดที่เจาะรูเเละใส่น้ำไว้ วิธีใส่น้ำควรใส่น้ำให้พอดีกับก้นปีโป้
เพื่อขุยมะพร้าวจะได้ดูดน้ำได้เพียงพอ เพียงเท่านี้ก็สามารถเพาะเมล็ดง่ายๆ แถมนำของเหลือใช้ที่บ้านมาทำประโยชน์ได้อีกด้วย

ลองทำดูจ้า....ปีโป้ คงขายดีขึ้นอีกแยะละจ้า.....


(14) ไคโตซานหัวกุ้ง (Shrimp’s Head Chitosan)ไคโตซานจากหัวกุ้ง ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่าทางอาหารสูงสุด

งานวิจัยที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดในระดับนานาชาติ สามารถส่งเสริมการเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน ช่วยทำให้อัตราการงอกของเมล็ดพืชเพิ่มขึ้นและผลผลิตที่ได้สูงขึ้น มีผลต่อการต้านทานเชื้อราและแบคทีเรียที่ไม่มีประโยชน์บางชนิดมีฤทธิ์์ไล่แมลงโดยไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมและไม่มีสารตกค้าง นอกจากนั้นยังเป็นตัวตรึงไนโตรเจนไม่ว่าจากอากาศหรือจากดิน


(15) "การปลูกพืชแบบกลับหัว"

งงกันใช่มั้ยคะ ว่าการปลูกพืชกลับหัวคืออะไร และดีอย่างไร?

การปลูกพืชกลับหัว เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้น้ำและธาตุอาหารไหลไป
เลี้ยงส่วนยอดได้มากกว่าปกติ รวมถึงรากพืชตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วงได้เป็น
อย่างดี

วิธีนี้สามารถปลูกพืชผักไปพร้อมกับการแขวนในครัวเรือนได้เลยคะ ทั้งได้ประโยชน์และยังนำมาประดับตกแต่งให้เกิดความสวยงามอีกด้วย

ขั้นตอนการทำก็ง่ายมาก ดังนี้เลยคะ ....
1. ผสมวัสดุสำหรับปลูกและนำใส่ลงกระถางให้เต็ม
2. คว่ำกระถางเพื่อให้ด้านก้นกระถางหันขึ้นข้างบน
3. นำต้นกล้าลงปลูกในรูก้นกระถาง
4. รดน้ำและให้ปุ๋ยอินทรีย์ตามปกติ (หรือสามารถใช้เทคนิคละลายปุ๋ยในน้ำได้)
5. เมื่อต้นโต สูงอย่างน้อย 1 ฟุต จึงสามารถพลิกกระถางเพื่อให้ต้นพืชกลับหัว
6. ใช้ลวดแขวนกระถาง เพื่อสามารถนำมาประดับตกแต่ง หรือห้อยแขวนตามจุดต่างๆได้


(16) เกร็ดความรู้ : เทคนิคเพิ่มผลผลิตปาล์ม

ง่ายๆ คือ งดการตัดแต่งทางปาล์ม ซึ่งจะช่วยทำให้ปาล์มน้ำมันผลใหญ่

เกษตรกรหลายคนยังคงเข้าใจผิดว่าการตกแต่งกิ่งปาล์มน้ำมันประจำ จะช่วยให้ได้ลูกโต มีน้ำหนักดีขึ้น

แต่ในความเป็นจริงแล้วการตัดแต่งทางปาล์มน้ำมัน มีแต่จะทำให้ปาล์มน้ำมันนั้นมีผลผลิตลดลง เพราะธรรมชาติของปาล์มจะออกลูกตามซอกกาบใบ ดังนั้น ก้านใบที่อยู่ด้านล่างทลายปาล์ม จึงมีหน้าที่รองรับน้ำหนักของทลายปาล์มระหว่างการพัฒนาไปจนถึงเก็บเกี่ยว

หากมีการตัดแต่งทางปาล์มออกไปในช่วงนี้ จะส่งผลให้ต้นต้องสูญเสียพลังงานในการแบกรับน้ำหนักของทลายปาล์มไปส่วนหนึ่ง แทนที่จะส่งสารอาหารเข้าไปเลี้ยงทลายปาล์มได้อย่างเต็มที่ จึงส่งผลให้ทลายปาล์มหรือผลปาล์มขณะที่ปาล์มให้ผลผลิต ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุดเพื่อให้ได้ทลายปาล์มน้ำหนักดี


(17 ) วิธีตรวจโรคพืช คำอธิบายตามในรูปจ้า


(1Cool สถิติการการส่งออกสินค้าทางการเกษตร 5 อันดับที่ประเทศไทย ส่งออกมากที่สุดปี 2557 -ถึงปัจจุบัน

ไม่น่าเชื่อว่า อันดับที่ 2 จะเป็นข้าวที่เราคิดว่าเป็นที่ 1 มาตลอด ในด้านการส่งออกต่างประเทศ จะถูกล้มแชมป์ด้วยสินค้าชนิดไหน ลองอ่านกันดูนะจ๊า

(19) วันนี้มาลงมือทำน้ำหมักชีวภาพไว้ใช้ในสวนหลังบ้านกันนะครับ ปกติการทำน้ำหมักมีหลายสูตร ตามความถนัดของเเต่ละท่าน และที่แอดมินเลือกสูตรนี้มา เพราะเห็นว่า ทุกๆท่านทำเองได้ ทั้งวัตถุดิบยังหาง่าย ในเเต่ละพื้นที่อีกด้วย ลองทำกันดูนะครับ ได้ผลดีกับพืชยังไง แชร์กันได้นะครับ

https://sites.google.com/site/kirwuthihwykeing/khx-mu-lna-hmak-chiwphaph/kar-tha-na-hmak-chiwphaph-em


(20) .....วันนี้ขอจบ พร้อมกับฝากรอยยิ้มมาให้จ้า



ขอบคุณจ้าลุง



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 14/09/2015 3:14 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน จากข้าง Web เก็บมาฝากจ้า (1) ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน จากข้าง Web เก็บมาฝากจ้า (1)

เนื้อเรื่องชุดนี้ ค่อนข้างยาว ขอแบ่งเป็น 2 ภาคจ้า

ต้องกราบขออภัย แอดมิน ทุก ๆ เว็ปบอร์ด ที่แก้ไขคำภาษาไทยที่เขียนผิดบางคำให้ถูกต้องน่ะจ้า

และกราบขอบคุณเจ้าของ ทั้งรูปและเรื่อง ที่นำมาเผยแพร่ ที่มีชื่อก็อ้างอิงไป ที่ไม่มีชื่อก็เลยตามเลยจ้า....คิดเสียว่าเป็นวิทยาทานน่ะจ้า


(1) กำจัดเพลี้ยแป้งด้วย "ผงกาแฟ"

เพื่อนๆเกษตรกรท่านไหนประสบปัญหาเรื่องเพลี้ยระบาดบ้าง

วันนี้แอดมิน(กลุ่ม SV)มีสูตรเด็ดที่จะ กำจัดเพลี้ยแป้งด้วย "ผงกาแฟ"
เนื่องจากในกาแฟมีสารคาเฟอีนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการแพร่พันธุ์และการเจริญเติบโตของเพลี้ยแป้งได้ โดยเราจะใช้ กาแฟผงสำเร็จรูป ชนิดที่เรานำมาชงดื่มกัน (แต่แบบ 3 in 1 ใช้ไม่ได้นะ)

โดยการใช้งานก็ง่ายมาก นั่นคือ
1. นำกาแฟผง 1 ช้อนโต๊ะ ชงกับน้ำร้อน พักไว้ให้เย็น แล้วผสมน้ำสะอาดให้ได้ 10 ลิตร
2. ฉีดพ่นให้ทั่วใบ โดยที่ต้องฉีดโดนทั้งบนใบและท้องใบ โดย ในช่วงที่เกิดการระบาดเราจะฉีดวันละ 2 ครั้ง และ ฉีดต่อเนื่องทุกอาทิตย์เพื่อป้องกันการกลับมาของเพลี้ยแป้ง

หากเพื่อนๆอยากเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดเพลี้ยแป้งและสร้างภูมิต้านทานให้ต้นพืชด้วยแล้ว เพียงเพิ่ม "นมเปรี้ยว" (รสใดก็ได้) ลงไปในสูตร ดังนี้
1. นำกาแฟผง 2 ช้อนโต๊ะ ชงกับน้ำร้อน พักไว้ให้เย็น
2. ตามด้วยนมเปรี้ยว 80 ซีซี (เท่า 1 ขวดยาคูลท์) และผสมน้ำเพิ่ม 20 ลิตร
3. ฉีดที่ต้นพืชได้เลย

สำหรับสูตรนี้ฉีดได้กับพืชทุกชนิด ที่ประสบปัญหาเพลี้ยแป้ง

ขอขอบคุณสูตรเด็ดเคล็ดไม่ลับนี้ จาก "วิสาหกิจชุมชนปลูกผักโพงาม จ.ชัยนาท" ที่ร่วมแบ่งปันข้อมูลดีๆให้กับเพื่อนเกษตรกรจ้า

(2 - 6) น้ำยาเช็ดกระจก..จาก ดอกอัญชันและมะกรูด..ทำใช้เองได้..ไร้สารเคมี


(2)

(3)

(4)

(5)

(6)

น้ำยาเช็ดกระจกจัดอยู่ในผลิตภัณฑ์ซักล้าง จึงมีสารลดแรงตึงผิวเป็นองค์ประกอบหลัก ผสมกับสารเคมีที่ใช้เป็นตัวทำละลาย ซึ่งน้ำยาเช็ดกระจกที่พบมีอยู่หลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อ มีส่วนผสมหลักคล้ายคลึงกัน โดยทุกชนิดจะใช้ ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์(isopropyl alcohol) ในปริมาณ 1.0 - 4.0%

ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์เป็นของเหลวใส ไม่มีสี ไวไฟ และมีกลิ่นฉุนมาก ใช้ในการทำความสะอาด ถ้าจะใช้ฆ่าเชื้อต้องใช้ที่ความเข้มข้นสูงถึง 60-70%

การหายใจเข้าไปในปริมาณเล็กน้อยจะระคายเคืองจมูก ลำคอ และระบบทางเดินหายใจ ทำให้ปวดหัว คลื่นไส้ วิงเวียน อาเจียน ถ้าได้รับปริมาณสูงขึ้นอาจทำให้หมดสติ

การสัมผัสนาน ๆ จะทำให้ผิวหนังแห้งและแตก การกลืนกินมีอาการคล้ายการหายใจ อาเจียนและอาจทำอันตรายแก่ปอด และระคายเคืองต่อตา ห้ามทิ้งสู่แหล่งน้ำ น้ำเสีย หรือดิน เพราะสามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้

ดอกอัญชันสีม่วง ที่ขึ้นอยู่ทั่วไปบริเวณใกล้บ้าน ในสวน ริมถนน คนในชุมชนของเราโดยเฉพาะผู้สูงอายุมักนำดอกอัญชันมาใช้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น ทาผม ทาคิ้ว เพื่อให้ดกดำ ใช้แทนสีผสมอาหาร ซึ่งเป็นน้ำชาลดอาการเบาหวาน เป็นต้น

ภูมิปัญญาชาวบ้านของไทย ได้นำเอาสีจากดอกอัญชันมาใช้ แต่งสีขนมไทย เช่น ขนมช่อม่วง ขนมเรไร ขนมชั้น เป็นต้น ทำให้สีคราม โดยเอาดอกอัญชันไปแช่ในน้ำร้อนจะได้สีน้ำเงิน ถ้าเติมน้ำมะนาว หรือหยดน้ำมะพร้าวลงไปเล็กน้อย จะได้สีม่วง
นอกจากนี้ในสมัยโบราณยังนิยมใช้ย้อมผมจะทำให้ผมดำตามธรรมชาติ ไม่หงอกก่อนวัยแก้ปัญญาผมแตกปลายและผมเสีย กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมให้นุ่มสลวยเป็นเงางาม ปัจจุบันมีการเอาสารสกัดจากดอกอัญชันไปใช้ผสมกับแชมพูและครีมนวดผม เพื่อทำให้ผมดกดำ

นอกจากนี้มะกรูดและดอกอัญชันยังช่วยลดคราบสกปรกและยังไม่มีสารเคมี เพราะน้ำยาเช็ดกระจกที่ซื้อมาอาจจะมีสารเคมีและยังอาจทำอันตรายร่างกายเราด้วย

วัสดุอุปกรณ์
1. ดอกอัญชันสีม่วง 300 กรัม
2. น้ำตาลทรายหรือกากน้ำตาล 300 กรัม
3. มะกรูด 2 ผล
4. น้ำสะอาด 1 ลิตร
5. หม้อสแตนเลสหรือหม้อเคลือบ 1 ใบ
6. โหลสำหรับหมัก 1 ใบ

วิธีทำ (การทำน้ำหมักชีวภาพจากดอกอัญชัน)
1. นำดอกอัญชันต้มกับน้ำให้เดือดสักพัก ให้ได้สีของดอกอัญชันที่เข้มข้ม
2. ฝานมะกรูด เอาเฉพาะผิวมะกรูด ใส่ลงในหม้อต้มดอกอัญชันต้มต่อประมาณ 10 นาที ดับไฟ
3. ปล่อยให้น้ำดอกอัญชันเย็นลง จนมีอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ใส่น้ำตาลทรายหรือกากน้ำตาลลงไปคนให้ละลายเข้ากัน
4. เทใส่โหลสำหรับหมัก ปิดฝา พอให้แก๊สที่เกิดขึ้นระบายออกมาได้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 วัน
5. กรองน้ำหมักชีวภาพที่ได้ เอากากออก (นำไปเป็นปุ๋ยต้นไม้ได้)
6. นำน้ำหมักชีวภาพจากดอกอัญชันใส่ลงในขวดสเปรย์

ผลที่ได้
เมื่อยังไม่กรอง น้ำหมักชีวภาพจากดอกอัญชันสีม่วงเข็ม มีแก๊สเล็กน้อย มีกลิ่นออกเปรี้ยวเล็กน้อย มีดอกอัญชันสีซีดลอยอยู่ด้านบนและมีฝ้าสีขาวลอยอยู่บนผิวด้านบน การที่น้ำหมักชีวภาพมีกลิ่นเปรี้ยวเล็กน้อยและฝ้าสีขาวลอยอยู่บนผิวด้านบน แสดงว่ามีจุลินทรีย์เกิดขึ้น สามารถนำน้ำหมักชีวภาพไปใช้งานได้ (ถ้าไม่ฝ้าสีขาวลอยอยู่ด้านบนและมีกลิ่นเหม็นแสดงว่าน้ำหมักชีวภาพเสีย ใช้ไม่ได้)

ใช้ทำความสะอาดกระจกเงา มีความเงาวาว ไม่มีคราบสกปรกเหลืออยู่ นอกจากนั้นน้ำมันหอมจากผิวมะกรูดยังมีสรรพคุณในการไล่แมลงต่างๆ รวมทั้งยุงอีกด้วย

ที่มา
โครงงานวิทยาศาสตร์ (น้ำยาเช็ดกระจกจากดอกอัญชันและมะกรูด) ปิยนุช รัตนวงศ์, สุรัตนา คงกำไร


(7)

(8 )
(7 – 8 ) เห็นรูปแล้ว ปวดตับ เหมือนคนไทยโดนตบหน้าเบาๆ.... จีนก๊อปชุดไทยส่งขายทั่วโลก.

ชอบกันดีนักงานจีน. คราวนี้ จีนก๊อปชุดไทยส่งขายทั่วโลก. เอาสิพี่ไทยเราก้อ ช่วยกันอุดหนุนอีกสิ

ได้รู้กันไปเลย. ชุดไทยเอกลักษณ์ไทย ต้องซื้อไกลถึงจีน.......
ร้าน Wedding หยุดคิดสักนิด. ก่อนจะเสพงานจีนจนติดเป็นนิสัยนะคร๊าบ



(9)

(10)

(11)

(12)

(13)

(14)
(9 – 14) ฟาร์มดอกไม้ลอยฟ้า เหนือผิวน้ำ ที่เวียดนามใต้

พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียตนาม มีความอุดมสมบูรณ์ แต่ก็เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่จำนวนมาก มีน้ำท่วมขังตลอดปี แต่ชาวเวียดนามก็รู้จักใช้ประโยชน์ด้วยการปลูกพืชลอยฟ้า เหนือผิวน้ำซะเลย ... ใช้ความชื้นจากการระเหยของน้ำนั่นแหล่ะ ดูแลต้นไม้ไปเลย

ตรงไหนน้ำลึก ก็พายเรือไปดูแลเก็บเกี่ยว ... ตรงไหนน้ำตื้นก็เดินทำงานได้เลย อย่างในภาพครับ


(15) อยากให้ดูภาชนะที่ชาวสวนเวียตนามใช้จ้า...คนไทยใช้กระถางไม่ดินเผาก็พลาสติกจ้า แต่เวียตนามใช้วัสดุจากธรรมชาติคือ ไม้ไผ่สานเป็นรูปเข่งหรือกระถาง เมื่อต้นไม้โทรมก็ทิ้งไปเลย หรือเวลาปลูกลงดินก็ปลูกลงทั้งกระถาง ต้นไม้จะไม่โทรม ไม่นานนัก กระถางจะเน่าเปื่อยผุพังคืนสู่ธรรมชาติไปในที่สุดน่ะจ้า


Credit : Many Thanks to ..... เกษตรอัจฉริยะ
- Picture from http://www.luxurycruisemekong.com/mekong-delta-tour-cai-mo…/
- Picture from http://motorbiketoursinvietnam.com/…/dest…/mekong-delta.html
- Picture from http://www.vietmaz.com/…/mekong-delta-flower-city-in-full-…/



(16) ประโยชน์จากลูกหม่อน (Mulburry)

ธัญวรัตน์ คงถาวร (เรียบเรียง)

ใครผมหงอกอ่านทางนี้ กินมัลเมอร์รี่สิ ป้องกันผมหงอกก่อนวัย

มัลเบอร์รี่ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลูกหม่อน มัลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น กรดโฟลิก ซึ่งพบว่าทารกที่เกิดจากมารดาที่ขาดกรดโฟลิก มีความเสี่ยงที่จะพิการทางสมองและประสาท ไขสันหลัง

นอกจากนั้นยังพบสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโธไชยานิน เควอซิติน ที่มีส่วนลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ตำรับยาโบราณมีการใช้ผลหม่อนต้มบริโภคทั้งเนื้อและน้ำแก้โรคไขข้ออักเสบ ท้องผูก โลหิตจาง และขับเสมหะ

ด้วยความที่มัลเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายจึงมีส่วนช่วยในการเพิ่มการทำงาน และลดการอักเสบของหลอดเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคทางระบบประสาทและสมอง

ลูกหม่อน สามารถกินได้ทั้งผลสด เเปรรูปเป็นเครื่องดื่มหรือแปรรูปเป็นเเยมได้ เพราะผลที่ยังไม่สุกจัดจะมีสีเเดง รสเปรี้ยว เมื่อสุกจัดจะมีสีม่วงออกดำซึ่งจะมีรสชาดหวานชุ่มคอ ให้พลังงานต่ำ เพียง 43 kcal ต่อ 100 กรัม ทั้งได้ประโยชน์มากมายด้วย

ผลงานวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของมัลเบอร์รี่จากหลายสถาบันในประเทศไทย เช่น มหาวิทยาลัยทางการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตและงานวิจัยหลายประเทศ ดังนี้

• มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ชื่อ Anthyocyanin ซึ่งเป็นสารสีม่วงแดง ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และป้องกันโรคมะเร็ง

• มีวิตามินบี 6 ช่วยบำรุงเลือด ตับ ไต ลดการเกิดสิว ลดอาการปวดประจำเดือน
• ป้องกันและยับยั้งการเกิดลิ่มเลือด ป้องกันเส้นเลือดแตก สาเหตุของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
• มีวิตามินซี สูง ช่วยป้องกันหวัด โรคภูมิแพ้ โรคปอด วัณโรค ป้องกันเชื้อไวรัส
• มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดต้อกระจก (ป้องกันแสงสีน้ำเงินเข้าทำลายเลนส์ตา) บำรุงเหงือกและฟัน สร้างภูมิให้ระบบหายใจ บำรุงผิว ลดการอักเสบของสิว
• มีกรดโฟลิค หรือวิตามินใบไม้ หรือวิตามินเอ็ม ป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันทารกพิการ ช่วยการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ หญิงแรกตั้งครรภ์เดือนแรกต้องการกรดโฟลิค
• ช่วยแก้อาการเมาค้าง ผ่อนคลายความเครียด
• ช่วยบำรุงเส้นผมให้ดกดำ ป้องกันผมหงอกก่อนวัย

ข้อมูล http://www.lovefitt.com/




(17)

(18 )
(17 – 18 ) เห็ดตับเต่า คนเหนือเรียก เห็ดฮ้า คนอีสานเรียก....? อิหยังบ่ฮู๊จ้าว ฮู๊แต่ว่า มันแปง(แพง)หนาจ้าว



(19) ปัญหาดินดานในไร่มัน จะหมดไป...
เมื่อเจอกับ “ ไถระเบิดดินดาน” พ่วงท้ายแทรกเตอร์

จาก สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร

โดย...ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ / นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน


การใช้เครื่องจักรกลการเกษตรขนาดใหญ่ในพื้นที่ปลูกพืชไร่ เช่น มันสำปะหลัง หรืออ้อย ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ส่งผลให้ชั้นดินมีลักษณะแน่นทึบและแข็งมากขึ้น
(คงมาจากการใส่ปุ๋ยเคมีมากเกินน่ะจ้า)

เนื้อดินมีช่องว่างสำหรับน้ำและอากาศน้อย มีโอกาสทำให้เกิดชั้นดินดานสูง ซึ่งเป็นปัญหาต่อการปลูกพืช โดยช่วงฤดูฝนเมื่อมีฝนตกลงมา น้ำจะซึมลงไปในดินชั้นล่างไม่ได้ ขณะเดียวกันในหน้าแล้งดินดานจะกั้นไม่ให้ความชื้นที่อยู่ข้างล่างขึ้นมาถึงรากพืช อาจทำให้พืชขาดน้ำและตายได้

เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังจึงจำเป็นต้องไถระเบิดดินดาน แต่ปัจจุบันค่าจ้างในการไถระเบิดดินดานมีราคาค่อนข้างสูง และยังขาดเครื่องมือไถระเบิดดินดานที่มีประสิทธิภาพด้วย

จากปัญหาดังกล่าว สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร จึงได้วิจัยและพัฒนา “ไถระเบิดดินดานสำหรับติดพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ขนาดกลาง” ขึ้น เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังและอ้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณยุทธนา เครือหาญชาญพงค์ วิศวกรการเกษตรชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า

การไถระเบิดดินดานนับว่ามีความจำเป็นต่อการปลูกมันสำปะหลัง ซึ่งหลักของการไถระเบิดดินดานคือ ไถต้องจิกลงไปในดินและถูกลากไปตลอดแนว ทำให้ดินแตกร่วนโดยไม่มีการพลิกดิน เช่น ไถหัวหมู หรือไถจาน คุณภาพของดินที่ต้องการขึ้นอยู่กับความลึก ระยะห่างระหว่างขาไถ มุมของขาไถ และความชื้นในดิน


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันเกษตรกรมีการใช้รถแทรกเตอร์ขนาดกลาง (36 - 50 แรงม้า) อย่างแพร่หลายในไร่มันสำปะหลัง แต่การไถระเบิดดินดานที่ใช้งานส่วนใหญ่เป็นไถ 5 ขา พ่วงติดกับรถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีกำลังสูง 60 - 85 แรงม้า หรือมากกว่า 120 แรงม้า และมีราคาแพงกว่า 100,000 บาท ประกอบกับค่าจ้างไถระเบิดดินดานแต่ละครั้งราคาค่อนข้างสูง ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือดังกล่าวได้

ทีมนักวิจัยสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร จึงได้ออกแบบและพัฒนาไถระเบิดดินดานเพื่อใช้ต่อพ่วงกับรถแทรกเตอร์ขนาดกลาง ซึ่งเหมาะสมสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังสามารถเข้าถึงการไถระเบิดดินดานด้วยตัวเอง โดยที่ราคาหรือต้นทุนไม่สูงมาก

ซึ่งไถระเบิดดินดานสำหรับติดพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ขนาดกลางที่ออกแบบ มีทั้งแบบขาเดียวใช้ต่อพ่วงกับรถแทรกเตอร์ขนาด 36 แรงม้า และแบบ 2 ขา ใช้ต่อพ่วงกับรถแทรกเตอร์ ขนาด 45 - 50 แรงม้า โดยไถระเบิดดินดานแบบ 2 ขา จะมีปีกสองข้าง ขนาดขาไถยาว 1 เมตร ที่ปลายขาไถมีเหล็กซึ่งออกแบบให้มีมุมจิกสำหรับระเบิดดินดานที่ 30 องศา มีความกว้างของหัวจิกที่ 1.5 นิ้ว

จากการทดสอบไถระเบิดดินดานในแปลงเกษตรกรในพื้นที่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น มีดินดานลึกที่ 35 เซนติเมตร ที่ความชื้นดิน 14.53% พบว่า สามารถระเบิดดินดานได้ โดยไถได้ที่ความลึกเฉลี่ย 41 เซนติเมตร และมีความสามารถในการทำงาน เฉลี่ย 2.5 ไร่ ต่อชั่วโมง ขณะเดียวกันยังพบว่า ไถระเบิดดินดานที่ออกแบบใหม่นี้มีประสิทธิภาพการทำงานเชิงพื้นที่ เฉลี่ย 70.71% อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ย 3.52 ลิตร ต่อไร่ และสามารถใช้งานกับรถแทรกเตอร์ ขนาด 49 แรงม้า ได้

ที่ผ่านมา ยังไม่มีการใช้งานไถระเบิดดินดานกับรถแทรกเตอร์ที่มีต้นกำลังขนาดนี้ ถือเป็นหนึ่งทางเลือกให้กับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่มีรถแทรกเตอร์ขนาดกลาง ซึ่งสามารถไถระเบิดดินดานได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องจ้างรถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่มาไถระเบิดดินดาน จะช่วยลดต้นทุนได้ในระยะยาว และทำให้เกษตรกรได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น

ขณะนี้ ห.จ.ก. ศรีกำแพงแสนมอเตอร์ ซึ่งเป็นผู้ร่วมวิจัยได้นำต้นแบบไปผลิตจำหน่ายในเชิงพาณิชย์แล้ว สำหรับไถระเบิดดินดานแบบขาเดียว ราคาอยู่ที่ 23,000 บาท และแบบ 2 ขา ราคาประมาณ 30,000 บาท ซึ่งถูกกว่าไถระเบิดดินดานที่ใช้กับรถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ และเริ่มมีเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังนำไปใช้ในการไถระเบิดดินดานมากขึ้น อาทิ กลุ่มคลัสเตอร์มันสำปะหลัง จังหวัดนครราชสีมา ในปีนี้คาดว่า เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังจะนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย

คุณยุทธนา บอกอีกว่า เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังสามารถตรวจสอบชั้นดินดานในแปลงปลูกของตนเองได้ง่ายๆ โดยสังเกตเวลาฝนตก พื้นที่ราบน้ำจะแช่ท่วมขังอยู่นาน เพราะไม่สามารถซึมลงไปในดินชั้นล่างได้ แต่จะไหลบ่าบนผิวดิน ทำให้เกิดการชะล้างพังทลายบนผิวดิน สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการไถระเบิดดินดาน ซึ่งพื้นดินที่ปลูกมันสำปะหลังอาจไถระเบิดดินดานปีเว้นปี จะทำให้เกษตรกรได้ผลผลิตมันสำปะหลังเพิ่มสูงขึ้น

หลังจากไถระเบิดดินดานแล้ว ใช้ผาล 3 เพื่อพลิกดินกลบวัชพืช ทิ้งไว้ ประมาณ 5-7 วัน และไถพรวนด้วยผาล 7 เพื่อย่อยดินและกลบรอยเบิกดินดาน ซึ่งจะช่วยป้องกันการสูญเสียความชื้นจากใต้ดินได้

หากสนใจเกี่ยวกับ “ไถระเบิดดินดานสำหรับติดพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ขนาดกลาง” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร โทร. (02) 940-5583 ในวันและเวลาราชการ


(20) ไข่แสนสนุก หลายเรื่องที่คนไม่รู้.

โดย...สุมิตรา จันทร์เงา/นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน


มีหลายเรื่องเกี่ยวกับไข่ที่เรานึกว่ารู้แล้ว แต่ที่จริงยังไม่รู้
อย่างเรื่องความแตกต่างของไข่แต่ละชนิด เคยสังเกตกันอย่างละเอียดไหมว่า เหมือนหรือต่างอย่างไร

ไข่ไก่ เป็นไข่ที่เนื้อนิ่ม ไม่คาว ราคาถูกกว่าไข่เป็ด ก็เลยนิยมนำมาปรุงอาหารทั้งหวานคาว โดยไข่ขาวของไข่ไก่นิยมใช้คลุกกุ้ง ปลา และเนื้อสัตว์อื่นๆ ก่อนจะชุบแป้งทอด เพราะมีคุณสมบัติพิเศษที่ความเหนียวหนืด ทำให้แป้งเกาะดีและยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย

ไข่เป็ด สังเกตดีๆ จะเห็นว่า เนื้อไข่จะหยาบกว่าไข่ไก่ มีกลิ่นคาวกว่า แต่ก่อนไข่เป็ดใช้ทำอาหารเกือบทุกชนิด ยกเว้นไข่ลวก เพราะจะคาวเกินไป แต่ระยะหลังเมื่อมีการเลี้ยงไก่ไข่มากขึ้น คนก็หันมานิยมใช้ไก่ไข่ปรุงอาหารแทนเป็นส่วนใหญ่ แต่อาหารบางชนิดจะต้องใช้ไข่เป็ดเท่านั้นจึงจะอร่อย ได้แก่ ไข่พะโล้ ไข่เค็ม ไข่เยี่ยวม้า เมื่อใดที่ใช้ไข่ไก่จะเสียรส

ไข่นกกระทา มีขนาดเล็ก รสชาติจืด แต่เป็นไข่เล็กฤทธิ์แรง เพราะมีคอเลสเตอรอลสูงสุดในบรรดาไข่ด้วยกัน เมื่อเทียบปริมาณเนื้อไข่เท่ากัน จึงเป็นของต้องห้ามสำหรับคนที่มีไขมันในเส้นเลือดสูง แต่สำหรับเด็กแล้วถือเป็นอาหารบำรุงชั้นยอด

ไข่นกพิราบ ขนาดใหญ่กว่าไข่นกกระทานิดหน่อย และเป็นของดีมีราคา เพราะมีเนื้อละเอียด กลิ่นหอม เปลือกบาง คนจีนนิยมนำมาปรุงน้ำแกง เพราะยิ่งต้มยิ่งหวาน ในเมืองจีนหลายพื้นที่มีการทำฟาร์มนกพิราบ เพื่อเลี้ยงเอาไข่และกินตัว แต่ในไทยไม่แน่ใจว่ามีการเลี้ยงหรือไม่ ใครอยากชิมไข่นกพิราบคงต้องแอบขโมยจากรังนกมาชิมดู (แต่ออกจะใจร้ายไปหน่อย)

ไข่เล็ก ไข่ใหญ่ ไข่สด ไข่เก่า เวลาเลือกซื้อไข่ ควรเลือกอย่างไรดี?


หลายคนกังวลกับสีเปลือกที่อ่อนแก่ไม่เหมือนกันของไข่ เช่น ไข่ไก่เหมือนกันแต่มีทั้งสีขาว สีครีม สีน้ำตาล หรือไข่เป็ดก็มีทั้งสีขาวและสีเขียว เรื่องนี้อย่าวิตกกันไปเลย เพราะสีของเปลือกไม่ได้บ่งบอกถึงคุณค่าทางอาหารในไข่ สีของเปลือกไข่ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของไก่ และอาหารที่ไก่กินต่างหาก แต่จริงแท้แน่นอนเลยว่า ไข่ใบใหญ่ย่อมมีปริมาณสารอาหารมากกว่าไข่ใบเล็ก

เวลาเลือกซื้อไข่ เดี๋ยวนี้พ่อค้าแม่ขายเขาจะคัดขนาดแยกไว้เป็นเบอร์เลย เริ่มจากเบอร์ใหญ่สุด คือ เบอร์ 0 ไข่ฟองเล็กจะเบอร์สูงขึ้นตามลำดับ แต่ไม่ว่าจะเป็นไข่เบอร์อะไร ตอนเลือกซื้อให้เลือกไข่ที่มีทรงกลมที่สุดเข้าไว้ เพราะในขนาดเบอร์ที่เท่ากัน ไข่ทรงกลมจะมีน้ำหนักมากกว่าไข่ทรงรี หมายถึงว่าพอตอกไข่ออกมาแล้วจะได้เนื้อไข่มากกว่า

อีกสิ่งที่ต้องรู้ก็คือ ใบใหญ่จะมีปริมาณไข่ขาวมากกว่าไข่แดง ดังนั้น ถ้าต้องการได้ไข่ที่มีเนื้อไข่ขาวมากพิเศษให้เลือกซื้อไข่ฟองใหญ่เข้าไว้ ส่วนปริมาณไข่แดงในไข่รุ่นเดียวกันมักจะมีขนาดเท่าๆ กัน การเลือกซื้อไข่ฟองเล็กหรือฟองใหญ่จึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่จะใช้ ถ้าหากเน้นเนื้อไข่แดงก็จงเลือกลูกเล็ก

ปัจจัยสำคัญที่กำหนดขนาดของไข่ คือ อายุแม่ไก่ ยิ่งแม่ไก่อายุมาก ไข่ก็จะมีขนาดใหญ่ นอกนั้นก็จะเป็นเรื่องสภาพแวดล้อม เช่น ความร้อน ความเครียด ความแออัดของการเลี้ยง รวมไปถึงคุณภาพอาหารที่แม่ไก่ได้รับ ดังนั้นฟาร์มที่ดี จึงต้องมีระบบการจัดการที่ได้มาตรฐาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทั้งแม่ไก่และผู้เลี้ยง

แต่ถ้าเราเลี้ยงไก่เพื่อกินไข่ไก่จากเล้าของเราเอง วิธีที่จะทำให้ได้ไข่คุณภาพดีก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ไก่มีความสุขในการอยู่กับเรา เริ่มตั้งแต่ให้อาหารคุณภาพดี ให้อยู่ที่ที่ร่มรื่นอากาศโปร่ง ไม่ร้อนจัด มีที่เดินเล่นคุ้ยเขี่ยอาหาร สะอาด ปราศจากโรค ถ้ามีไก่ออกไข่ให้กินวันละฟองสองฟองเช่นนี้คงมีความสุขที่สุด

ส่วนเรื่องความสดของไข่ที่จะต้องทำความเข้าใจก็คือ นอกจากอายุของไข่ที่เป็นปัจจัยบ่งบอกความสดของไข่แล้ว อุณหภูมิและความชื้นในอากาศก็เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสดของไข่เช่นกัน ไข่ที่มีอายุ 1 สัปดาห์ อาจมีความสดมากกว่าไข่ที่มีอายุ 1 วัน ที่ไม่ได้ดูแลอย่างถูกวิธี นี่คือ หัวใจของการผลิตไข่ และสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับไข่ คือ อุณหภูมิประมาณ 4-5 องศาเซลเซียส และความชื้นในอากาศ 70-80%

ดังนั้น ฟาร์มไก่ไข่หรือผู้ผลิตไข่มักจะใช้เรื่องความสดนี้มาเป็นจุดขาย เพื่อทำให้ไข่ของตนได้ราคาดี มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาด แต่เราผู้บริโภคก็ควรจะมีหลักของตัวเองในการเลือกซื้อไข่ให้คุ้มค่าเงินในกระเป๋ามากที่สุด

วิธีดูไข่สดตอนเลือกซื้อ ให้ดูจากเปลือกไข่ ไข่ไก่สดจะมีผิวคล้ายแป้งฉาบติดอยู่ จับดูแล้วเนียนมือ หากไข่ลื่นเป็นมันแทบจับไม่ติด แสดงว่าไข่เก่าแล้ว อีกอย่างไข่ที่สดใหม่เมื่อยกขึ้นส่องกับแสงแดดจะมีสีออกแดงเล็กน้อย มองเห็นไข่แดงกับไข่ขาวแยกกันอย่างชัดเจน ส่วนไข่ที่เสียแล้วจะทึบแสง เพราะไข่แดงกระจายตัว ถ้ามีจุดเงาหรือทึบทั้งฟอง แสดงว่า ไข่เน่า

ถ้าไม่กลัวไข่แตก ลองใช้วิธีเขย่าดูก็ได้ ถ้าเป็นไข่สดจะเสียงทึบๆ หรือไม่ก็เอาไปแช่น้ำดู ไข่เก่าจะลอยขึ้นมาที่ผิวน้ำ ไข่สดจะจมน้ำ ยิ่งถ้าเป็นไข่เน่าเสียจะลอยเหนือน้ำเลย

อีกอย่าง ลักษณะไข่ขาวก็บอกอายุไข่ได้ เมื่อไข่มีอายุมากขึ้น โปรตีนในไข่ขาวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทำให้เนื้อไข่ขาวเหลวขึ้น ไข่แดงก็เลยแบนราบลง แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มีความสำคัญมากมายอะไรต่อคุณภาพทางโภชนาการของไข่ เพียงแต่เวลาเอาไปปรุงอาหารจะเห็นทันทีว่า ไข่เก่า ไม่ได้รูปสวยเหมือนไข่สด เวลาเอาไปทอดไข่ดาวจะได้ไข่แบนๆ กระจายไปทั่วกระทะ ไม่กลมสวยเหมือนไข่ใหม่ๆ

แต่ข้อดีของไข่เก่า ก็คือ เวลานำไปต้มจะปอกเปลือกได้ง่ายกว่าไข่สด
แล้วควรเก็บไข่อย่างไร ให้สวยและอยู่ได้นาน?

เรื่องนี้ก็เป็นคำถามค้างคาใจหลายคน เพราะเห็นว่าไข่มีเปลือกหุ้มแข็ง จะเก็บไว้นอกตู้เย็นได้ไหม หรือว่าควรใส่ตู้เย็นดี

สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ในเรื่องของการเก็บไข่ก็คือ ไข่ที่ออกมาใหม่ๆ จะมีแป้งสีขาวนวลหุ้มอยู่โดยรอบ ซึ่งฝุ่นแป้งนี้จะช่วยปิดรูพรุนของเปลือกไข่เอาไว้ ทำให้เชื้อโรคหรือสิ่งอื่นๆ แม้กระทั่งกลิ่นไม่สามารถซึมผ่านเข้าไปได้ ฉะนั้น เมื่อซื้อไข่สดมาก็ไม่ควรล้างฝุ่นแป้งนี้ออกไป หากกลัวว่าเปลือกไข่จะไม่สะอาดพอก็ให้ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดโดยรอบไข่ก็พอแล้ว แต่ถ้าไข่สกปรกมากจำเป็นต้องล้าง เพราะกลัวเชื้อโรคจะซึมผ่านเข้าไปในฟองไข่ก็ให้ล้างได้ แต่ไม่ใช่ล้างแล้วเก็บเลย ให้เช็ดไข่จนแห้งแล้วทาน้ำมันพืชรอบเปลือกไข่ เพื่อปิดรูพรุนไม่ให้อากาศเข้าไป และกันน้ำในไข่ไม่ให้ระเหยออกมา ดังนั้น ไข่จะเสียช้าลง

ในทางตรงกันข้าม ถ้าอยากให้ไข่มีกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นต่างๆ ที่เราชอบ ก็ทำได้ง่ายมาก เพราะธรรมชาติของเปลือกไข่ที่มีรูพรุนเล็กๆ อยู่ทั่วทั้งฟองนั่นเอง ทำให้ไข่สามารถดูดซับเอากลิ่นรอบตัวไว้ได้ง่ายมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเก็บไข่ไว้นานและฝุ่นแป้งที่เคลือบเปลือกไข่หลุดร่อนออกแล้ว จึงไม่ควรเก็บไข่ไว้กับอาหารที่มีกลิ่นฉุนแรง อย่าง กะปิ น้ำปลา ปลาร้า หรืออื่นๆ เพราะเมื่ออยู่ด้วยกันนานเข้า โดยเฉพาะในพื้นที่ปิดสนิทไข่ไก่ก็จะดูดซับเอากลิ่นเหล่านั้นมาไว้ในตัวเอง

กลายเป็นกลิ่นกะปิ น้ำปลา ทุเรียน ได้ง่ายมาก
ด้วยเหตุนี้ นักนิยมเห็ดทรัฟเฟิล ซึ่งเป็นเห็ดกลิ่นหอมแรง หายาก ราคาแพง กิโลละเหยียบแสน จึงมีวิธีบริโภคกลิ่นหอมของเห็ดโดยไม่ต้องกินเนื้อเห็ดตรงๆ เพื่อจะได้เหลือเห็ดเอาไปใช้ปรุงอาหารอย่างอื่น เขาเอาไข่สดมาดูดกลิ่นหอมของเห็ด โดยเช็ดไข่ให้เกลี้ยงเกลาเพื่อเปิดรูพรุนอย่างเต็มที่ แล้วเก็บไข่ใส่ไว้ในลังเก็บเห็ด ไข่จะดูดกลืนกลิ่นหอมของเห็ดทรัฟเฟิลเข้ามาอยู่ในเนื้อไข่ ยิ่งเก็บนานยิ่งหอม เอาไปปรุงอาหาร ทำไข่เจียวได้เอร็ดอร่อยยิ่งนัก

ใครสนใจอยากให้ไข่มีกลิ่นแบบไหนก็ลองใช้วิธีนี้ดู เช่น อาจจะเก็บไข่ปนกับทุเรียนที่กำลังสุกหอมจัด หรืออาจอบไข่ด้วยกลิ่นดอกมะลิ เป็นต้น ฟังดูดี๊ดีนะ

ส่วนการเก็บไข่ในตู้เย็น ไม่ควรวางไว้ในช่องเก็บไข่ตรงประตูฝาตู้เย็น อย่างที่ทางโรงงานตู้เย็นเขาออกแบบมาให้ แต่ควรเก็บไข่ไว้ในชั้นวางของแช่เย็นด้านในบริเวณที่มีความเย็นสม่ำเสมอจะรักษาความสดของไข่ได้ยาวนานกว่าบริเวณข้างตู้

อีกอย่างที่ควรรู้ ในการเก็บรักษาไข่คือ ในไข่มีช่องอากาศอยู่ที่ปลายด้านป้านของไข่ เป็นพื้นที่ว่างระหว่างไข่ขาวกับเปลือก ช่องนี้เกิดขึ้นตอนที่แม่ไก่ออกไข่มาใหม่ๆ ไข่จะมีความร้อน เมื่อเย็นลงจึงทำให้เกิดช่องอากาศขึ้น ช่องอากาศนี้จะเป็นตัวบ่งบอกอายุไข่ เพราะเมื่อไข่มีอายุมากขึ้นความชื้นและคาร์บอนไดออกไซด์จะระเหยออกตามรูพรุนของเปลือกไข่ ทำให้มีอากาศเข้าไปแทนที่ ทำให้ช่องอากาศกว้างขึ้นเรื่อยๆ ไข่ที่เก่ามากๆ ช่องอากาศจะเยอะ สังเกตเห็นได้ชัดตอนทำไข่ต้ม เวลาแกะเปลือกไข่ต้ม ถ้าด้านป้านของไข่ไม่กลม ไข่ขาวแหว่งหายไปส่วนหนึ่ง นั่นแหละคือ สภาพของไข่เก่า

ดังนั้น ถ้าอยากเก็บไข่ให้เป็นลูกกลมรีสวยงาม การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่ข้างบนด้วยวิธีนี้ไข่แดงที่มีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นบน แต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้าน ไม่ปะทะกับเปลือกไข่ ทำให้ไข่แดงลอยอยู่ตรงกลางใบ แต่ถ้าเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลง ไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่เปลือกไข่ เวลาตอกไข่จะทำให้ไข่แดงแตกง่าย การเก็บไข่จึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง

สำหรับใครที่อยากเก็บไข่ให้อยู่ได้นานจนลืม 10-12 เดือน โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น ลองเอาเทคนิคเคลือบไข่ด้วยน้ำมันพืชหรือน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารชนิดใดก็ได้ทาบางๆ ที่เปลือกไข่สิ รับรองได้ผลแน่นอน

วิธีเคลือบก็ง่ายมาก แค่ใส่ถุงมือพลาสติก หยดน้ำมันพืชลงบนถุงมือเล็กน้อย ถูมือพอให้มีน้ำมันหมาดๆ อย่าให้ชุ่มหยิบไข่ขึ้นมาคลึงบนมือ ให้น้ำมันเคลือบทั่วฟอง แค่นี้เป็นอันเรียบร้อย เสร็จแล้วเก็บไว้ในถาดไข่เหมือนเดิม ออกซิเจนภายนอกก็ซึมเข้าไปในไข่ไม่ได้อีก ลักษณะเช่นนี้จะเหมือนกับแม่ไก่เพิ่งออกไข่ จะมีไขมันเคลือบมาด้วย ทำให้ไข่อยู่ได้นาน เพียงเท่านี้ก็จะยืดอายุไข่ได้นานร่วมปีเลยทีเดียว

เห็นไหมว่า เรื่องของไข่ที่เราไม่ค่อยรู้ ทำให้สนุกได้เยอะเลย
แล้วก็อย่าลืมนะว่า ไข่ ไม่ได้เป็นแค่อาหาร แต่นำไปใช้ประโยชน์สารพัดเลย เช่น ไข่ขาว นำไปทำเป็นส่วนประกอบของยาบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง กำจัดสิวเสี้ยน ไข่แดง ใช้ทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิว เปลือกไข่ ใช้ทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้อีกหลายสิบอย่าง

ว่าแล้วก็นึกอยากเลี้ยงไก่ไว้กินไข่เองสักเล้าขึ้นมาในทันใด



(21) เพาะเมล็ดอินทผลัมไม่งอก จะแก้ไขอย่างไรดี
เพาะเมล็ดอินทผลัมไม่งอก จะแก้ไขอย่างไรดี

โดย...หมอเกษตร/นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน

อินทผลัมที่วางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้า เมล็ดยังมีความงอกอยู่เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมเริ่มทดลองเพาะเมล็ดอินทผลัมมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2537 ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต่อมามีโอกาสได้ไปดูงานอินทผลัมที่อิสราเอล และจอร์แดน ซึ่งทั้งสองแห่งเป็นแหล่งผลิตอินทผลัมที่มีคุณภาพ ทำให้ผมสนใจอินทผลัมมาจนถึงปัจจุบัน

วิธีเพาะเมล็ดอินทผลัม เมื่อคุณรับประทานเนื้อหมดแล้ว นำเมล็ดมาล้างทำความสะอาด จะแช่น้ำอุ่นเพื่อทำลายระยะพักตัว หรือไม่ต้องก็ได้ เพาะในขุยมะพร้าว หาซื้อได้ที่ตลาดนัดจตุจักร หรือร้านขายต้นไม้ทั่วไป ข้อดีของขุยมะพร้าว สะอาด เก็บความชื้นได้อย่างพอเหมาะ พอดี แช่ขุยมะพร้าวไว้ 1 คืน บีบน้ำออกพอหมาด ใส่ลงในกระจาดพลาสติก ที่นิยมนำมาใส่เส้นขนมจีนขายในตลาดสด สูงจากก้นกระจาดขึ้นมา 3 ใน 4 เกลี่ยผิวหน้าให้เรียบ วางเมล็ดอินทผลัมที่เตรียมไว้ลง อย่าให้ชิดกันเกินไป

กลบทับด้วยขุยมะพร้าว บีบน้ำออกพอหมาดเช่นเดียวกัน แล้วเกลี่ยให้เรียบ เก็บในร่มรำไร ดูแลอย่าให้ขุยมะพร้าวแห้งผาก หมั่นรดน้ำแต่อย่าให้แฉะ แบบวันเว้นวันก็พอไหว อีกประมาณ 20-30 วัน เมล็ดจะงอก โดยแทงงวงออกมาจากตอนกลางเมล็ด ทิ้งไว้ให้งวงยาว สัก 1 เซนติเมตร จึงย้ายลงถุงเพาะชำ

สิ่งสำคัญที่สุด อย่าให้ปลายงวงซึ่งเป็นตัวอ่อนที่จะพัฒนาเป็นต้นและใบต่อไป หลุดหรือขาดหายไป หากปราศจากตัวอ่อนแล้ว ต้นอินทผลัมจะตายทันที

วัสดุปลูก
ใช้ดินร่วนสะอาด 3 ส่วน
กาบมะพร้าวสับเล็ก 1 ส่วน
ปุ๋ยคอกเก่าอีกเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน ปลูกลงกลางถุง เก็บในเรือนเพาะชำ
ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 5 - 7 เม็ด ทุก 2-3 สัปดาห์ หากต้นสมบูรณ์ดีให้เว้นไป หมั่นดูแลได้อายุครบ 8-12 เดือน หรือมากกว่า จึงนำปลูกลงในแปลง ความสำเร็จในการปลูกอินทผลัม คุณต้องเลือกพื้นที่น้ำท่วมไม่ถึง เป็นแหล่งที่ฝนหมดเร็วและฝนตกไม่ชุก จะได้ผลดี


(22) เค้าเขียนว่า ขมิ้นเหลือง .... (จ้า)

สมัยเป็นเด็ก เคยได้ยินแต่ ขมิ้นอ้อย กับขมิ้นชัน ไม่เคยได้ยินชื่อ ขมิ้นเหลืองจ้า มันเป็นขมิ้นสายพันธุ์ใหม่หรือจ๊าลุง....




(23) ส้มโอมือ สมุนไพรไร้เนื้อไร้เมล็ด กลิ่นดี ที่คนไข้ตัวร้อนต้องเมิน

ธัญวรัตน์ คงถาวร (เรียบเรียง)


ส้มโอมือเป็นพรรณไม้ที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีอินทรียวัตถุสูง ไม่ชอบแดดจัด นิยมนำมาใช้ทำเป็นยาดม เครื่องหอม หรือใช้ผสมในน้ำยาทำความสะอาด เพราะมีกลิ่นหอม

ในประเทศจีนและญี่ปุ่นจะนิยมนำไปวางไว้ในห้องนอนและห้องน้ำเพื่ออบกลิ่น ดับกลิ่นอีกทั้งยังเป็นผลไม้มงคลในพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา ผลไม่สามารถนำมารับประทานได้โดยตรง แต่อาจนำเปลือกมาใช้ผสมในอาหารได้

ลักษณะสมุนไพร :
ส้มโอมือเป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ 2-4 กิ่งอ่อนเป็นสีม่วงแดง มีหนามแข็งยาวขึ้นอยู่ทั่วไป ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายใบมน โคนใบมน สีเขียมเข้มและเป็น

ดอกออกเป็นกระจุกประมาณ 2-3 ดอก โดยจะออกตามวอกใบและกิ่ง ดอกเป็นสีขาว หลุดร่วงได้ง่าย กลีบเลี้ยงดอกอีก 5 กลีบ

ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรีขนาดใหญ่ ปลายผลแยกออกเป็นแฉกงอคล้ายนิ้วมือหรือคล้ายหนวด ผิวขรุขระเป็นมัน

ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอม ไม่มีเนื้อผลและเมล็ด

สรรพคุณทางยา :
1. ผล ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ ยาแก้เลือดออกตามไรฟัน ยากัดเสมหะ ช่วยละลายเสมหะ ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยแก้อาการไอ แก้ไอเย็น ไอหืดหอบ แก้อาการไอชื้น หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ยาแก้อาหารไม่ย่อย ยาแก้ลมขึ้นท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง ปวดท้อง ปวดกระเพาะ ช่วยแก้กระเพาะอักเสบเรื้อรัง ยาฟอกเลือด ประจำเดือนสตรี แก้ลมคั่งค้างในตับหรือกระเพาะอาหาร ยาแก้ปวดกระษัยลม

ให้นำผลแห้งให้ใช้ครั้งละ 3-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทานหรือใช้เข้ากับตำรายาอื่น

2. เปลือกผล บรรเทาอาการเป็นลม หน้ามืดตาลาย บำรุงหัวใจ กระตุ้นหัวใจ ทำให้เลือดลมดี ยาบำรุงตับ โดยนำเปลือกผลมาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน
ข้อควรระวังในการใช้ : ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอหรือผู้ที่มีไข้ตัวร้อน ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้

.


ที่มาข้อมูล
http://frynn.com/
http://thaiherbal.org/



ยังมีต่อตอนที่ 2 จ้า



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 17/09/2015 11:07 am    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน กินข้าวสินเหล็กกันดีกว่า...และ ฯลฯ จ้ ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน กินข้าวสินเหล็กกันดีกว่า...และ ฯลฯ จ้า


(24) เปิดตัวแบรนด์ข้าวไทย “ข้าวกล้องอินทรีย์สินเหล็ก เขาสมอคอน” ชูเอกลักษณ์ “ข้าวสินเหล็กพันธุ์แท้”
(ของกลุ่มเกษตรกรนาอินทรีย์ชุมชนบ้านเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี จ้าลุง)

โดย...นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน

คนไปเห่อกันแต่ข้าวไรซ์เบอร์รี่...
ข้าว Rice Burry สายพันธุ์มันไม่นิ่ง เก็บเมล็ดทำพันธุ์ต่อไม่ได้ ปลูกได้ครั้ง สองครั้ง จะกลายพันธุ์ เมล็ดข้าวจะมีสีดำกับขาวปนกัน กลายเป็นข้าวเมล็ดด่าง ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ในราคาแพงมาก จึงเป็นข้าวที่ผสมพันธุ์ขึ้นเพื่อขายเมล็ดพันธุ์ ….

โดยส่วนตัว เห็นว่าคุณค่าทางอาหารของข้าวสินเหล็กในการบริโภค สูงกว่าข้าวไรซ์เบอร์รี่

กลุ่มเกษตรกรนาอินทรีย์ชุมชนบ้านเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ด้วยการสนับสนุนจาก บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานแห่งเอเชีย ที่มุ่งมั่นพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน เปิดตัวแบรนด์ข้าวไทย

“ข้าวกล้องอินทรีย์สินเหล็ก เขาสมอคอน” ชูเอกลักษณ์ “ข้าวสินเหล็กพันธุ์แท้”
ปลอดสารเคมี ไฟเบอร์สูง 40% อุดมด้วยวิตามิน บี 1 และธาตุเหล็ก พร้อมสารอาหารสูงกว่าข้าวทั่วไป ถึง 7 เท่า แต่มีปริมาณน้ำตาลต่ำ ตอบโจทย์คนรักสุขภาพทุกช่วงวัย สั่งซื้อผ่านเฟซบุ๊กwww.facebook.com/sinleksamorkhon ได้ในราคาโปรโมชั่น น้ำหนัก 1 กิโลกรัม ราคา 120 บาท

ข้าวกล้องอินทรีย์สินเหล็ก เขาสมอคอน เป็นผลผลิตแห่งความมุ่งมั่นของเกษตรกรบ้านเขาสมอคอน 4 ครอบครัว ที่ได้รับโอกาสในการฟื้นฟูคุณภาพชีวิต และพัฒนาอาชีพที่มั่นคงหลังมหาอุทกภัย ปี 2554 ภายใต้โครงการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ชุมชนบ้านเขาสมอคอน โดย บมจ. บ้านปู และองค์การบริหารส่วนตำบลเขาสมอคอน โดยกลุ่มชาวนาที่เข้าร่วมในโครงการนาอินทรีย์ ข้าวสินเหล็ก บ้านเขาสมอคอน ได้เดินหน้าบนวิถีเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี เพื่อฟูมฟักข้าวสินเหล็กที่มีคุณประโยชน์ครบถ้วน ปราศจากสารเคมีตกค้าง

คุณอุดมลักษณ์ โอฬาร ผู้อำนวยการสายอาวุโส-องค์กรสัมพันธ์ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เล่าว่า “ความมุ่งหวังสูงสุดของบ้านปูฯ จากการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้โครงการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านเขาสมอคอน ที่บริษัทเข้าไปให้การสนับสนุนตั้งแต่ ปี 2554

คือ การส่งเสริมให้ชุมชนสามารถพัฒนาตนเองได้เกิดผลดี ทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็งต่อเนื่องในระยะยาว โดยที่ชาวบ้านในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในทุกกระบวนการพัฒนา เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา ถอดบทเรียน หาแนวทางแก้ไข และลงมือทำด้วยตนเอง

สำหรับโครงการนาอินทรีย์ ข้าวสินเหล็ก บ้านปูฯ รู้สึกภูมิใจที่กลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ มีความมุ่งมั่นใส่ใจทุกขั้นตอนการปลูกเพื่อคงไว้ซึ่งข้าวสินเหล็กที่มีคุณภาพ และเมื่อโครงการเดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 3 ก็มีพัฒนาการจนมีแบรนด์ข้าวสินเหล็กพันธุ์แท้เป็นของตนเอง”

”ชุมชนบ้านเขาสมอคอน คือ หนึ่งในตัวอย่างผลลัพธ์ของการนำ “บ้านปูสปิริต” หรือค่านิยมร่วมองค์กรของบ้านปูฯ ในด้าน “พลังร่วม” ซึ่งก็คือความร่วมแรงร่วมใจกันระหว่างชาวบ้าน ผู้บริหาร และพนักงานบ้านปูฯ และผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาชุมชนและด้านเกษตรอินทรีย์โดยทั้ง 3 ฝ่าย ร่วมกันวางแผนและลงพื้นที่ไปดูแลโครงการอย่างใกล้ชิดเป็นประจำทุกเดือน ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์อันก่อให้เกิดผลแห่งการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” คุณอุดมลักษณ์ กล่าวเสริม

ข้าวพันธุ์สินเหล็ก เป็นข้าวที่พัฒนาขึ้นภายใต้ความร่วมมือทางการวิจัยของศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ

เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ ระหว่างข้าวขาวดอกมะลิ 105 และข้าวเจ้าหอมนิล มีสีขาวและกลิ่นหอม รูปร่างเมล็ดเรียว ยาว
เป็นที่รู้กันว่าปลูกยาก ให้ผลผลิตต่อไร่น้อยกว่าข้าวชนิดอื่น และต้องใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวกลายพันธุ์

แต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก คือ มีเส้นใยอาหารสูง ป้องกันอาการท้องผูก และมะเร็งลำไส้ มีสารอาหารสูงกว่าข้าวทั่วไปถึง 7 เท่า โดยอุดมไปด้วยวิตามิน บี 1 และธาตุเหล็ก มีไตรกลีเซอไรด์ต่ำ ลดการสะสมของไขมันในเส้นเลือด และมีน้ำตาลต่ำ จึงเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

คุณสนอง สอาดเอี่ยม เกษตรกรผู้ปลูกข้าวอินทรีย์สินเหล็ก ในฐานะประธานกลุ่มนาอินทรีย์ บ้านเขาสมอคอน บอกว่า
“ตั้งแต่ปีแรกที่บ้านปูฯ และผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรอินทรีย์เข้ามาให้ความรู้และแนะนำพันธุ์ข้าวให้เลือกปลูก ผมและครอบครัวก็ตัดสินใจเปลี่ยนจากนาเคมีมาสู่นาอินทรีย์ทันที และได้ทดลองปลูกข้าวพันธุ์สินเหล็ก แม้จะต้องให้ความสำคัญในการดูแลเอาใจใส่ในรายละเอียดค่อนข้างมาก ขณะที่ได้ผลผลิตน้อยกว่าการปลูกข้าวพันธุ์อื่นๆ แต่คิดว่าเป็นสิ่งที่น่าทดลอง เพราะเห็นว่าข้าวพันธุ์สินเหล็กมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งยังช่วยให้ผมและครอบครัวลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในช่วงเพาะปลูกอีกด้วย นอกจากนี้ กลุ่มเกษตรกรนาอินทรีย์ เห็นว่าในปัจจุบัน คนไทยหันมาบริโภคข้าวกล้องเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น จึงผลิตข้าวกล้องสินเหล็กมาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่ใส่ใจรักสุขภาพ”

ปัจจุบัน กระบวนการปลูกข้าวอินทรีย์สินเหล็ก เขาสมอคอน ถือว่าประสบความสำเร็จ มีผลผลิตอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากเกษตรกรเอาใจใส่ทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่คัดเมล็ดพันธุ์ ทำดิน และปุ๋ยอินทรีย์ ปลูกต้นกล้า และประคบประหงม ดูแลต้นข้าวไม่ให้กลายพันธุ์ จนออกรวงเหลืองอร่าม ก่อนนำส่งโรงสีสำหรับข้าวกล้องอินทรีย์โดยเฉพาะ เพื่อให้ข้าวยังคงคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด

หลังจากที่ได้ผลผลิตพร้อมจำหน่ายแล้ว ก็ดำเนินการแพ็คลงบรรจุภัณฑ์สุญญากาศเพื่อการเก็บรักษาที่ดี และคงคุณค่าผลิตภัณฑ์ ไปจนจำหน่าย รับออเดอร์ และส่งผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้า ซึ่งการผลิตและดูแลอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอน โดยเกษตรกรสะท้อนผ่านโลโก้ของผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปมืออันอ่อนช้อย อุ้มประคองรวงข้าว โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรอินทรีย์ เป็นผู้ให้คำแนะนำและตรวจสอบคุณภาพอย่างใกล้ชิด

ทางด้าน คุณไพบูลย์ ศรีสวัสดิ์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 ตัวแทนชาวชุมชนบ้านเขาสมอคอน กล่าวว่า “จากการนำจุดแข็งของเกษตรกรแต่ละคนมาเสริมซึ่งกันและกัน ความร่วมแรงร่วมใจกัน ประกอบกับความอดทน และแรงสนับสนุนจากภาคเอกชน ทำให้วันนี้ชุมชนของเรามีแบรนด์ข้าวของตนเองออกสู่ตลาดได้อย่างภาคภูมิใจ

โดย “ข้าวกล้องอินทรีย์สินเหล็ก เขาสมอคอน” เป็นข้าวที่พวกเราปลูกแบบอินทรีย์อย่างแท้จริง และปลูกด้วยใจ เพื่อให้คนไทยมีข้าวกล้องสินเหล็กคุณภาพดีรับประทาน”

สำหรับการทำตลาด ชุมชนบ้านเขาสมอคอน ตั้งเป้าจำหน่าย 3,000 ถุง ภายในปี 2558 ผ่านโปรโมชั่น สื่อประชาสัมพันธ์ และการร่วมในอีเว้นต์ต่างๆ ที่ในระยะแรก บ้านปูฯ จะเข้ามาช่วยปูทางเพื่อสร้างการรับรู้ด้านแบรนด์และสินค้า สำหรับแผนในอนาคต จะส่งเสริมให้ชาวบ้านขยายช่องทางการจำหน่ายไปสู่ร้านค้าออนไลน์ ในอีก 2-3 ปี ข้างหน้า

ผู้ที่สนใจ สามารถสั่งซื้อข้าวกล้องอินทรีย์สินเหล็ก เขาสมอคอน ได้ที่
เฟซบุ๊ก www.facebook.com/sinleksamorkhon

นอกเหนือจากประโยชน์ด้านสุขภาพจากการบริโภคข้าวกล้องสินเหล็กพันธุ์แท้ ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของเกษตรกรที่ปลูกตามวิถีเกษตรอินทรีย์ และส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
--------------------------------------------------------------------


(25) ข้าวโพดสายรุ้ง……..สีสันสายรุ้งบนฝัก “ข้าวโพดอัญมณี”

ธัญวรัตน์ คงถาวร (เรียบเรียง)

หากจะเรียกว่าเป็นข้าวโพดสายพันธุ์ที่สวยที่สุดในโลกก็คงไม่ผิด สำหรับ ข้าวโพดอัญมณีแก้ว (Glass Gem Corn) ที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็เป็นต้องทึ่งกับความงดงามราวกับอัญมณีของมัน จนนึกว่าเป็นข้าวโพดปลอมที่ทำขึ้นจากแก้วหลากสี จนได้รับชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าเป็น ข้าวโพดสายรุ้ง เลยทีเดียว

สำหรับต้นกำเนิดของ ข้าวโพดอัญมณีแก้ว นั้นเกิดขึ้นเมื่อ นายคาร์ล บาร์นส์ เกษตรกรชาวเชอโรกี ซึ่งเป็นชนเผ่าอินเดียนแดงพื้นเมืองอเมริกัน จากรัฐโอคลาโฮมา สหรัฐฯ เริ่มสังเกตเห็นว่าบางครั้งข้าวโพดในไร่ของเขาจะมีสีที่ดูต่างไปจากปกติ เขาจึงได้เริ่มการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดขึ้น จนในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จและสามารถเพาะพันธุ์ ข้าวโพดอัญมณีแก้วได้

จากนั้น ในปี 2553 ก่อนที่นายคาร์ลจะสิ้นใจ เขาได้ฝากข้าวโพดอัญมณีแก้วที่เขาเคยเก็บไว้แก่ นายเกรก สโคน นักเพาะพันธุ์ข้าวโพดเพื่อไม่ให้สายพันธุ์ข้าวโพดที่เขาพัฒนาสูญหายไป ซึ่งความหวังของนายคาร์ลก็เป็นจริง อีกทั้งข้าวโพดอัญมณีแก้วก็ยังได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์จนมีสีสันที่ตางจากสายพันธุ์ดั้งเดิมออกมาหลากหลายสีอีกด้วย

การเพาะเมล็ดข้าวโพดสายรุ้ง
โดยการนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้ (ซึ่งไม่ควรเก็บไว้นานเกินไปจะทำให้อัตราการงอกไม่ดี) มาแช่ในน้ำอุ่นแล้วเอาผ้ามาคลุมไว้ พรมด้วยน้ำให้พอชุ่ม ๆ ซักประมาณ 2-3 วันก็จะเริ่มเกิดราก

เสร็จแล้วจึงนำเมล็ดที่เริ่มเกิดรากมาเพาะชำในถุงดำก่อน ให้ต้นเจริญเติบโตดีประมาณซัก 2 อาทิตย์จึงย้ายมาปลูกในแปลง ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 1 เมตร ปุ๋ยที่ใช้เป็นสูตร 15-15-15 และรดน้ำวันละครั้ง ข้าวโพดค่อนข้างจะขาดน้ำไม่ได้ ถ้าขาดน้ำเมล็ดจะลีบ ไม่เต่งตึงเท่าที่ควร ประมาณ 2 เดือนกว่า ฝักข้าวโพดก็จะเริ่มแก่ และสามารถแกะฝักออกมาได้

ส่วนรสชาดก็ไม่ค่อยอร่อยสู้ข้าวโพดในเมืองไทยเท่าไหร่ จะเน้นปลูกเพื่อความสวยงามมากกว่า ฝักที่แกะออกมาจากต้นใหม่ๆ จะมีสีสันสวยงามมาก แต่เมื่อทิ้งไว้ประมาณ 1 อาทิตย์สีก็จะค่อยๆซีดไป

ข้อมูล http://www.suanmeesuk.com/
----------------------------------------------------------------


(26) ฟักแม้ว

ธัญวรัตน์ คงถาวร (เรียบเรียง)

“ฟักแม้ว” ผักที่คนตั้งครรภ์ควรกิน ป้องกันโรคพิการในทารก
ฟักแม้ว มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะระแม้ว มะระหวาน มะเขือเครือมะเขือฝรั่ง มะระญี่ปุ่น ฟักญี่ปุ่น บ่าเขือเครือ ฟักม้ง แตงกะเหรี่ยง เป็นต้น ในภาษาอังกฤษเรียกว่า ชาโยเต้ (Chayote)

สรรพคุณของฟักแม้ว
ส่วนใหญ่แล้วสรรพคุณของฟักแม้วจะอยู่ที่ผลและใบ ซึ่งมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด ด้วยการใช้ผลและใบมาดองเป็นยาไว้กิน น้ำที่ได้จากการต้มใบและผล สามารถนำมาใช้ในการรักษาอาการเส้นเลือดแข็งตัวได้ รักษาโรคความดันโลหิตสูง สลายนิ่วในไต ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน

ยอดฟักแม้ว มีสรรพคุณช่วยในการขับถ่าย ทำให้ถ่ายได้สะดวกขึ้นจึงป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี หากนำใบและผลมาดองเป็นยา มีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ช่วยแก้อาการอักเสบ

ประโยชน์ของฟักแม้ว
1. ฟักแม้วเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้

2. ผลฟักแม้วมีโฟเลตสูง ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากสำหรับทารกในครรภ์ เพราะช่วยป้องกันการพิการของทารกแต่กำเนิด

3. ยอดอ่อนและผลอ่อนสามารถใช้รับประทานได้ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและกรดอะมิโนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด เช่นแคลเซียมที่มีส่วนช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง

4. ผลสามารถนำมาหั่นเป็นฝอยหรือสไลด์เป็นแผ่นใช้ผัดกับไข่ หรือใช้ผัดกับน้ำมัน หรือจะนำมาตำส้มตำใช้แทนมะละกอได้ เพราะมีเนื้อกรอบหวาน

5. ด้านการประกอบอาหาร ยอดอ่อนฟักแม้ว สามารถนำมาต้มกินกับน้ำพริก ใช้ทำต้มจืด แกงเลียง ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ผัดกับหมู ผัดน้ำมันหอย ลาบ ยำยอดฟักแม้ว แต่ส่วนใหญ่แล้วจะจะนำมาผัดน้ำมันหอย

6. รากฟักแม้ว ส่วนใหญ่แล้วจะประกอบด้วยแป้ง สามารถนำมาใช้ต้มหรือผัดเพื่อรับประทานได้ นอกจากนี้รากฟักแม้วยังสามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้

7. ปกติแล้วจะนิยมใช้ส่วนของผล ใบ และรากเพื่อประกอบอาหาร แต่ลำต้นและเมล็ดก็สามารถรับประทานได้เช่นกัน เพียงแต่ไม่เป็นที่นิยม

คุณค่าทางโภชนาการของผลฟักแม้ว ต่อ 100 กรัม
• พลังงาน 19 กิโลแคลอรี่
• คาร์โบไฮเดรต 4.51 กรัม
• เส้นใย 1.7 กรัม
• ไขมัน 0.13 กรัม
• โปรตีน 0.82 กรัม
• วิตามิน บี1 0.025 มิลลิกรัม 2%
• วิตามิน บี2 0.029 มิลลิกรัม. 2%
• วิตามิน บี3 0.47 มิลลิกรัม 3%
• วิตามิน บี5 0.249 มิลลิกรัม 5%
• วิตามิน บี6 0.076 มิลลิกรัม 6%
• วิตามิน บี9 93 ไมโครกรัม 23%
• วิตามิน ซี 7.7 มิลลิกรัม 9%
• วิตามิน อี 0.12 มิลลิกรัม 1%
• วิตามิน เค 4.1 ไมโครกรัม 4%
• ธาตุแคลเซียม 17 มิลลิกรัม 2%
• ธาตุเหล็ก 0.34 มิลลิกรัม 3%
• ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
• ธาตุฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม 3%
• ธาตุโพแทสเซียม 125 มิลลิกรัม 3%
• ธาตุสังกะสี 0.74 มิลลิกรัม 8%

ข้อมูล http://frynn.com/
--------------------------------------------------------------


(27) สร้างรายได้ด้วยการเลี้ยงปลาหมอนาในบ่อซีเมนต์

ธัญวรัตน์ คงถาวร (เรียบเรียง)

ปลาหมอเป็นปลาน้ำจืดที่สามารถพบเห็นกันได้ทั่วไปตามห้วยหนองคลองบึง แต่นับวันจะหาปลาหมอได้ยากขึ้นจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติ อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้ปริมาณปลาหมอในลดน้อยลง ทำให้ราคาของปลาหมอนั้นเพิ่มขึ้น จึงมีคนหันมาเลี้ยงปลาหมอในรูปแบบต่างๆ ในปัจจุบันการเลี้ยงปลาหมอในบ่อซีเมนต์นั้นเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะสามารถดูแลง่าย ไม่ยุ่งยาก ปลาหมอจัดเป็นปลาน้ำจืดที่มีความทนทาน เลี้ยงง่าย ใช้น้ำน้อย สามารถเลี้ยงได้ทั้งบ่อดินและบ่อขนาดต่าง ๆ รวมทั้งเลี้ยงในกระชัง ในแหล่งน้ำนิ่งและสามารถเลี้ยงในบ่อพลาสติกก็ได้

วิธีการเลี้ยงปลาหมอในบ่อซีเมนต์
การเตรียมบ่อสำหรับการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์นั้นควรจะมีบ่อไว้ 3 บ่อ เป็นบ่อสี่เหลี่ยมผืนผ้า
1. บ่อสำหรับอนุบาลลูกปลาหมอ ขนาด 6x7 เมตร
2. บ่อผสมพันธุ์ปลาหมอ ขนาด 6x7 เมตร
3. บ่อสำหรับเลี้ยงปลาหมอ ขนาด 6x7 เมตร

การคัดเลือก พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ปลาหมอ
แม่พันธุ์
1. ควรมีขนาดป้อมสั้น ยาวประมาณ 3 นิ้ว
2. ในการคัดแม่พันธุ์ปลาหมอ ควรคัดตอนเช้า หลังการถ่ายน้ำก่อนให้อาหาร
3. แม่พันธุ์ที่พร้อมจะมีลักษณะท้องบวมเป่ง แสดงว่ามีไข่ อวัยวะเพศมีสีแดงชมพู

พ่อพันธุ์
1. ควรมีลักษณะลำตัวยาว ว่ายน้ำปราดเปรียว มีขนาด 3 นิ้ว
2. ในการคัดพ่อพันธุ์ ควรคัดตอนเช้า หลังการถ่ายน้ำก่อนให้อาหารเช่นเดียวกับแม่พันธุ์
3. พ่อพันธุ์ที่พร้อมการผสมพันธุ์ บริเวณปลายหัวจะออกเป็นสีแดง เกล็ดนวลเงา ไม่เป็นแผล

ขั้นตอนการผสมพันธุ์
1. ต้องทำการผสมพันธุ์กันในช่วงฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม)
2. ในบ่อผสมพันธุ์ใส่น้ำประมาณ 50-60 เซนติเมตร และควรหาผักบุ้งใส่ในบ่อด้วย เพื่อที่จะได้เป็นที่กำบังและซ่อนตัวเวลาฟักไข่
3. นำแม่พันธุ์ปลาหมอ 100 ตัว ต่อพ่อพันธุ์ปลาหมอ 50 ตัว ลงในบ่อ (อัตราส่วน ปลาหมอตัวเมีย 1 ตัว ต่อ ตัวผู้ 2 ตัว)
4. ปล่อยทิ้งไว้ให้ผสมพันธุ์ 3 สัปดาห์
5. หลังจากผ่านไป 3 สัปดาห์แล้ว ให้แยกพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ออกจากลูกปลาหมอที่ยังเป็นลูกคอก

การดูแล
1. ต้องทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
2. ให้อาหารปลาหมอในช่วงเช้า ทุกวัน

การจับเพื่อจำหน่าย
1. หากเพาะพันธุ์เพื่อขายลูกปลา ขนาดประมาณปลายปากกา ก็สามารถจำหน่ายได้
2. หากเลี้ยงเพื่อขายตอนโต 5-7 ตัว ต่อ กิโลกรัม

ที่มาข้อมูล
http://nanasarakaset.blogspot.com/
------------------------------------------------------------------


(2Cool วิธีการปลูกพริกขี้หนู ให้ได้ผลดี ปลูกขายทำเป็นอาชีพได้
พริกขี้หนู และพริกชนิดต่างๆ เป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับคนไทยจำนวนมหาศาล เพราะว่าพริกเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหารต่างๆ ส่วนประกอบสำคัญในเครื่องเทศ เครื่องปรุงรส สรรพคุณทางยา ตลอดจนนำพริกไปใช้ประโยชน์ในทางอื่นๆด้วย ประเทศไทยสามารถปลูกพริกได้ทั่วประเทศ ได้เปรียบประเทศอื่นๆ ในเรื่องความหลากหลายของสายพันธุ์พริก อีกทั้งคนไทยยังนิยมทานพริก นอกจากนี้พริกยังเป็นสินค้าส่งออกที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ

โอกาสสร้างรายได้กับการปลูกพริกขาย
พริกขี้หนู และพริกชนิดต่างๆ สามารถปลูกได้ดีในประเทศ มีระยะเวลาให้ผลผลิตนานพอสมควร สำหรับคนที่ต้องการปลูกไว้บริโภคเองในบ้าน อาจจะปลูกพริกในกระถางหรือปลูกจำนวนไม่กี่ต้นก็เพียงพอต่อความต้องการแล้ว สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะปลูกพริกขาย

บางกอกทูเดย์ ได้รวบรวมข้อมูลการปลูกพริกขี้หนู มาให้ได้ทดลองปลูก หรือใช้เป็นแนวทางได้ แบบสรุปไม่ยาวจนเกินไป เพราะเรื่องการเกษตรจะให้รู้จริง ต้องทำจริง อีกทั้งในอนาคตพื้นที่การเกษตรก็แนวโน้มลดลงเรื่อยๆ แต่การจะทำเกษตรให้มีกำไรนั้นจะต้องมีการเตรียมตัววางแผนอย่างดี รวมถึงการศึกษาหาข้อมูลต่างอยู่ตลอดเวลาด้วย

พริกขี้หนู ชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ดีปลี ดีปลีขี้นก พริกขี้นก ปะแกว พริก พริกแด้ พริกแต้ พริกนก หมักเพ็ด หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Capsicum flutescens Linn. เป็นไม้พุ่มเตี้ย ต้นมีความสูงประมาณ 60 เซนติเมตร ใบแบนเรียบเป็นมัน ปลายใบแหลม มีดอกสีขาว ผลมีลักษณะกลมยาวปลายแหลมชี้ฟ้า ซึ่งจะต่างจากพริกชี้ฟ้าตรงที่ผลจะชี้ลงพื้นดิน ส่วนขนาดผลยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ผลดิบมีสีเขียว ผลแก่จะมีสีเหลือง สีส้ม สีแดง หรือแดงแก่ และในแต่ละผลจะมีเมล็ดเรียงรายอยู่จำนวนมาก

วิธีการปลูกพริกขี้หนู
พันธุ์พริกขี้หนู หาซื้อได้ไม่ยาก หากต้องการปลูกเชิงการค้าแล้ว ต้องเลือกพันธุ์ที่มีความต้องการสูง อีกทั้งยังเหมาะสมสำหรับพื้นที่เพาะปลูกนั้นๆด้วย ในขั้นตอนเลือกพันธุ์พริกขี้หนูนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะถ้าเลือกพันธุ์ที่ดี มีความต้องการสูง เหมาะสมกับื้นที่เพาะปลูก จะช่วยทำให้ลดต้นทุน และได้ผลผลิตสูงด้วย…เพราะว่า พันธุ์ คือหัวใจสำคัญของการทำเกษตรก็ว่าได้

ขั้นตอนการเตรียมดิน
เริ่มจากการเตรียมแปลงเพาะ ขุดหน้าดิน 15-20 เซนติเมตร (1 หน้าจอบ) เตรียมทำเป็นแปลงกว้าง 1 เมตร ผสมปุ๋ยคอกหรือ ปุ๋ยหมักคลุกเคล้าให้เข้ากับดินจากนั้นพรวนดินหรือตีดินให้ละเอียดและปรับหน้าดินให้เรียบเสมอกัน ก่อนหว่านเมล็ดให้ทั่วแปลง

หรือหากเลือกปลูกในกระบะเพาะ อาจใช้ดินร่วนผสมปุ๋ยคอก (อัตราส่วน 1:1) จากนั้นใช้แกลบหรือฟางข้าวกลบทับบางๆ ก่อนรดน้ำให้ชุ่ม

เมื่อต้นกล้าอายุประมาณ 25-30 วันจึงย้ายปลูกการเตรียมแปลงปลูกและย้ายกล้า ใช้จอบขุดหน้าดินลึก 15-20 เซนติเมตร ทำแปลงขนาดกว้าง 1 เมตร x ความยาวตามความเหมาะสมของพื้นที่ จากนั้นนำปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักหว่านให้ทั่วและคลุกเคล้ากับดิน ก่อนขุดหลุมปลูก โดยเว้นระยะห่างระหว่างต้น 30 เซนติเมตร ระหว่างแถว 70 -80 เซนติเมตร

วิธีปลูกพริกขี้หนู
รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยสูตร 15-15-15 หลุมละ 1/2 ช้อนชา ทับหน้าปุ๋ยเคมีด้วยปุ๋ยคอกหลุมละ 1 กะลามะพร้าว จากนั้นถอนแยกต้นกล้าอย่างระมัดระวัง โดยการย้ายต้นกล้าลงปลูกควรทำโดยทันทีและเป็นช่วงเย็น จากนั้นนำต้นกล้าลงหลุมปลูก หลุม ละ 1 ต้น จากนั้น รดน้ำตามให้ชุ่ม

วิธีการดูแลรักษา พริกขี้หนู เมื่อปลูกแล้ว
การให้น้ำพริกขี้หนู ควรให้น้ำอย่างพอเพียงและสม่ำเสมอ แต่อย่ารดให้แฉะเกินไปการให้น้ำควรให้ทุกวันหลังจากปลูกจนต้นกล้าตั้งตัวได้ประมาณ 5-6 สัปดาห์ จากนั้นค่อยลดปริมาณน้ำลง ซึ่งอาจจะรด 1 วัน หยุด 2 วัน ก็ได้ ทั้งนี้ต้องดูสภาพความชื้นของดินด้วย อย่าให้แฉะหรือ แห้งเกิน เพราะจะทำให้พริกชะงักการเจริญเติบโต

การใส่ปุ๋ย ให้บำรุงพริกด้วยการใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 อัตรา 1 ช้อนชา/ต้น ทุกๆ 15-20 วัน โดยโรยห่างโคนต้น 5 เซนติเมตร และรดน้ำตามทันที หรือ จะเลือกใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยหมักชีวภาพประมาณ 1-2 กำมือ/ต้น โรยรอบโคนต้นทุกๆ 20 วันก็ได้

การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ฉีดพ่นน้ำปุ๋ยหมักชีวภาพทุก 10-15 วันครั้ง จะช่วยบำรุงและป้องกันโรคพืช หรือศัตรูพืชได้อีกทาง

วิธีการเก็บเกี่ยว
พริกเป็นพืชที่มีอายุยืนและปลูกได้ผลดีตลอดปี มีอายุเก็บเกี่ยวได้หลัง ย้ายกล้าลงปลูก 60-90 วัน การเก็บเกี่ยวควรเก็บทุกๆ 5-7 วันโดยใช้วิธีเด็ดทีละผล อย่าเก็บทั้งช่อ เพราะผลแต่ละช่อแก่ไม่พร้อมกัน โดยพริกขี้หนูสามารถเก็บได้ยาวนานถึง 6 เดือน

ผลของพริกขี้หนู สรรพคุณและประโยชน์ ใช้ประกอบอาหารได้รสชาติเผ็ดร้อน

ส่วนยอดอ่อนนำมาลวกเป็นผักแกล้มน้ำพริกได้ หรือนำไปปรุงอาหารประเภทแกงจืด แกงเลียง มีสรรพคุณทางยาช่วยขับลม ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ตานซางในเด็ก

มีสาร capsaicin ใช้เป็นส่วนผสมในยาขับลมและขี้ผึ้งทาถูนวด ประโยชน์ของพริกขี้หนูมากขนาดนี้จึงทำให้ตลาดยังมีความต้องการต่อเนื่อง ใครสนใจอยากจะปลูกพริกขี้หนูขายเป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพหลักก็ลองลงมือทำ ลองปลูกลองขายกันได้เลย

ข้อมูล http://www.bangkoktoday.net/bird-pepper/
--------------------------------------------------------------------


(29) ผักบุ้งแก้วขาย เป็นพืชผสมในนาข้าว ทางเลือกเสริมรายได้ให้มันคงขึ้น

วิธีปลูกผักบุ้งแก้วขาย เป็นพืชผสมในนาข้าว:
ผักบุ้งแก้ว เป็นผักที่คนไทยนิยมนำมาทานสดหรือนำมาทำอาหาร รสชาติอร่อย อีกทั้งผักบุ้งแก้วยังชอบน้ำ จึงสามารถปลูกผักบุ้งแก้วผสมในนาข้าวได้ ถ้าปลูกในปริมาณที่มากพอก็สามารถเก็บขายได้ตลอด

ซึ่งในตลาดก็มีความต้องการมากพอสมควร จึงเป็นอีกช่องทางสร้างรายได้ของชาวนาให้มากขึ้น สม่ำเสมอขึ้น ลดความเสี่ยงจากต้นทุนและความผันผวนของราคาข้าวเป็นอย่างดี อีกทั้งผักบุ้งยังเป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็วด้วย

วิธีปลูกผักบุ้งแก้ว โดยแบ่งส่วนพื้นที่นาข้าว
1. ปรับดิน เริ่มต้นปลูกผักบุงแก่วด้วยการปรับดิน ไถดะ ไถแปร และไถคราด เป็นขั้นตอนตามลำดับ
2. คัดเลือกยอดผักบุ้งทำพันธุ์ โดยเลือกเฉพาะยอดที่ทอดยอดห่างและมีลำยอดเป็นสีขาว ความยาวประมาณ 50 เซนติเมตร

ส่วนการปลูกใช้วิธีเดียวกับการปักดำต้นข้าว โดยให้ความห่างระหว่างกอประมาณ 3 เมตร ในระยะเริ่มต้นควรควบคุมหอยเชอร์รี่ด้วยการปล่อยน้ำออกให้มีน้ำอยู่ในแปลงนาเพียงแค่ระดับเฉอะแฉะ เมื่อผักบุ้งมีอายุประมาณ 7 วัน เริ่มให้ปุ๋ยสูตร 16-8-8 หรือ 18-8-8 เพื่อเร่งการเจริญเติบโต

3. การบำรุงดูแล ในสัปดาห์ที่ 2 ให้หว่านปุ๋ยคอกไร่ละ 5-6 กระสอบให้ทั่วแปลงปลูก จากนั้นวันถัดมาให้ปล่อยน้ำเข้าแปลงปลูก ให้ระดับน้ำอยู่ประมาณหน้าแข้ง( 1 ฟุต) เพื่อให้ผักบุ้งเริ่มทอดยอด

4. การเก็บผักบุ้งขาย ประมาณสัปดาห์ที่ 3 ก็สามารถเด็ดยอดจำหน่ายได้

และไม่ควรใส่ปุ๋ยยูเรียเพราะจะทำให้ลำยอดของผักบุ้งเป็นสีเขียวเข้ม ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด

ส่วนเทคนิคสำคัญที่จะทำให้ผักบุ้งมีลำต้นขาวอวบและทอดยาวนั้น จะใช้ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพที่ทำขึ้นเองสาดในแปลงปลูกทุกอาทิตย์ ซึ่งปุ๋ยชีวภาrดังกล่าว นอกจากจะทำให้ได้ผักบุ้งที่มีลำยอดสมบูรณ์ อวบ เขียวนวล และใหญ่แล้ว ยังช่วยสร้างแพลนตอนในน้ำและไม่ทำให้น้ำในแปลงเน่าเสียอีกด้วย


ปลูกผักบุ้งแก้ว ตลาดของผักบุ้ง
ราคาของผักบุ้งจะสูงขึ้นในช่วงหน้าหนาวหรือช่วงที่ในตลาดมีผลผลิตน้อย การปลูกผักบุ้งในนาข้าว หรือปลูกผักบุ้งในน้ำ ถ้าบริหารจัดการที่ดีแล้วก็สามารถเก็บขายได้ตลอดเกือบทั้งปี

เป็นการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนมั่งคงมากขึ้น ดีกว่าที่เกษตรจะรอแค่ทำนาข้าวแล้วรอขาย อีกทั้งยังลดความเสี่ยงจากความผันผวนของนาข้าว

การขายผักบุ้ง เกษตรกรถ้าปลูกได้ไม่มากอาจจะต้องออกทำตลาดหรือขายปลีกเอง แต่ถ้าทำการปลูกผักบุงแก้วได้เยอะเพียงพอต่อการขายส่งได้ต่อเนื่องแล้วละก็…เชื่อแน่ว่าตลาดจะวิ่งเข้ามาเอง
----------------------------------------------------------------


(30) เทคนิคการใช้ต้นกล้วย ป้องกันปลาช็อคน้ำ ในช่วงหน้าฝน

ในช่วงนี้ ฝนตกชุก เกษตรกรผู้เลี้ยงปลากระชัง หรือเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในบ่อซีเมนต์ มักจะประสบปัญหาปลาช็อคน้ำหรือน็อคน้ำ เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อน และมีฝนตกต่อเนื่อง อากาศปิด ส่งผลทำให้ปลาตาย

แต่สำหรับคุณบุญชิด สมัตถะ ปราชญ์เกษตรกรบ้านท่าแจ้ง ตำบลหนองแวง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัด ชัยภูมิ ได้แนะนำวิธีการแก้ปัญหาปลาช็อคน้ำ ในช่วงที่อากาศปิด ซึ่งจะช่วยให้ปลาที่เลี้ยงรอดพ้นวิกฤติ ด้วยเทคนิคการใช้ต้นกล้วย ป้องกันปลาช็อคน้ำ ในช่วงหน้าฝน ด้วยวิธีการทำ ดังนี้

วิธีการทำ
เพียงนำต้นกล้วย 1 ตัน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 5-6 นิ้ว ตัดเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 30-40 ซม.จากนั้นให้ฉีกเป็นกาบกล้วย ใส่ลงในบ่อเลี้ยงปลา เทคนิคนี้จะช่วยป้องกันปัญหาปลาช็อคน้ำหรือน็อคน้ำได้

ประโยชน์
กาบกล้วยจะช่วยไม่ให้น้ำในบ่อมีกลิ่นเหม็น

แหล่งที่มาของข้อมูล : บุญชิด สมัตถะ. สัมภาษณ์, 1 เมษายน 2558.
เรียบเรียงโดย: อังศุมาลิน รัตนจิตร เจ้าหน้าที่ศูนย์ร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด จ.นครราชสีมา
-------------------------------------------------------------------


(31 ) น้ำมันเมล็ดชา..."น้ำมันมะกอกแห่งเอเชีย"
น้ำมันเมล็ดชาแม้จะไม่เป็นที่รู้จักมากนักในประเทศไทย แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงพบ ทรงทดลองใช้ และทรงสืบหาข้อมูลของน้ำมันเมล็ดชาด้วยพระองค์เอง

ทำให้ทรงพบว่าน้ำมันเมล็ดชาเป็นน้ำมันที่มีประโยชน์สูงต่อร่างกายในหลายด้าน จึงได้ทรงมีพระราชดำริให้มูลนิธิชัยพัฒนาและมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงดำเนินการศึกษาและทดลองปลูกต้นชาน้ำมันสายพันธุ์ Camellia oleifera ที่ได้รับการถวายมาจากสถาบันพฤษศาสตร์ของมณฑลยูนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน

และนำไปปลูกบนพื้นที่ทดลองบนดอยสูง เช่นที่บ้านปูนะ บ้านปางมะหัน จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากประเทศจีนในการส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกชาน้ำมันมาให้ความรู้และคำแนะนำในการปลูกร่วมกันหน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทยได้แก่ จุฬาลงกรณ์

มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กรมวิชาการเกษตร ศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมพืชและสวนพฤษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ จนทำให้เกิดเป็นแปลงปลูกที่ให้ผลผลิตของชาน้ำมันเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

ชาน้ำมันมีถิ่นกำเนิดในมณฑลทางใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ทางตอนเหนือของประเทศพม่า ลาว และเวียดนาม

ชาน้ำมัน คือ พืช สกุลชา (Camellia L.) วงศ์ Theaceae ที่สามารถนำเอาเมล็ดแห้งมาบีบสกัดน้ำมัน เพื่อใช้ในการบริโภค มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia oleifera Abel โดยเฉพาะทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีการบริโภคน้ำมันที่ได้จากเมล็ดชามาช้านาน

ชาน้ำมัน เป็นไม้พุ่มเหมือนกับชาใบ มีดอกสีขาวและเกสรสีเหลือง เมื่อแก่จะให้ผลสีน้ำตาลและเมื่อผลแตกออกจะมีเมล็ดอยู่ด้านใน ซึ่งมีลักษณะคล้ายเมล็ดเกาลัด ซึ่งเมล็ดส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ให้น้ำมัน และน้ำมันที่ได้จากเมล็ดชาจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง สามารถนำใช้การปรุงอาหาร เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางหรือยา

ประโยชน์เมล็ดชาน้ำมัน
มีองค์ประกอบของไขมันที่ดีต่อร่างกายไม่ด้อยไปกว่าน้ำมันมะกอก และไม่มีกรดไขมันทรานส์

น้ำมันเมล็ดชานั้นมีองค์ประกอบที่สำคัญทางเคมีคือ มีสัดส่วนของกรดไขมันชนิดต่างๆ ในปริมาณที่ไม่ด้อยไปกว่าน้ำมันมะกอก เช่นมีมีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ กรดไขมันไม่อิ่มในรูปของโอเมก้า 9 สูงถึง 88% โอเมก้า 6 ประมาณ 13-28% และมีกรดโอเมก้า 3 ประมาณ 1-3% ทั้งยังมีวิตามินเอ บี ดี และอี และมี สารแคททีซินซึ่งเป็นสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระ

ซึ่งคุณประโยชน์ทางด้านโภชนาการของน้ำมันเมล็ดนั้นช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรงมะเร็ง ลดระดับมันในเลือด ลดความดัน ป้องกันการอักเสบของเนื้อเยื่อ เป็นต้น

นอกจากการนำน้ำมันจากเมล็ดชามาใช้ในการบริโภคแล้ว น้ำมันจากเมล็ดชายังถูกนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางอีกหลากหลายชนิด ในประเทศญี่ปุ่นมีการนำน้ำมันจากเมล็ดชาสายพันธุ์ญี่ปุ่น (Camellia japonica) ไปใช้ในการหมักผมมาตั้งแต่โบราณที่รู้จักกันชื่อ “ทซึบากิ” (Tsubaki)

จากสรรพคุณที่มีอยู่มากมายของน้ำมันเมล็ดชานั้น สามารถเปรียบเทียบได้กับน้ำมันมะกอกที่ใช้กันมากในโลกตะวันตก ทำให้น้ำมันเมล็ดชาถูกขนานนามว่าเป็นเสมือน “น้ำมันมะกอกของทวีปเอเชีย”

ประโยชน์อื่นๆ
นอกจากจะใช้ในการบริโภคและประกอบอาหารแล้ว น้ำมันชายังสามารถนำไปผลิตเป็นเครื่องสำอางค์ บำรุงเส้นผม และผิวพรรณต่างๆ เช่น ครีมและโลชั่นบำรุงผิว ครีมกันแดด สบู่ ยาสระผม หรือผสมกับน้ำมันหอมระเหย

ส่วนกากเมล็ดชาที่เหลือจากการหีบน้ำมันแล้ว (กากเมล็ดชาที่ผ่านการนำน้ำมันออกแล้ว) สามารถนำไปใช้ในการผลิตน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ รวมถึงน้ำยากำจัดศัตรูพืช หอยเชอรี่ในนาข้าวอีกด้วย

ท่านที่สนใจ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันพืช มูลนิธิชัยพัฒนา โทร. 053-734-140-2

ที่มา http://www.teaoilcenter.org/
-------------------------------------------------------------------


(32) หัวปลีธรรมดา ๆ ที่ราคาไม่ธรรมดา



ขอบคุณ ข้อมูลจาก #svgroup , เกษตรอัจฉริยะ , Facebook และ อื่น ๆ จ้า
ขอบคุณจ้าลุง ที่ให้โอกาสหนูหริ่งน้อย....ที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้จ้า..
ขอบคุณพี่ทิดแดง ที่ช่วยชี้แนะในการนำเสนอจ้า...(หูชา จ้า)
ขอบคุณพี่ทิดบัติ ที่ช่วยเป็นกำลังใจจ้า.....
ขอบคุณพี่ตู่ ที่ช่วยหาแหล่งข้อมูลให้จ้า...

............... ยังมีต่อจ้า .............

.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
DangSalaya
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011
ตอบ: 1874

ตอบตอบ: 19/09/2015 12:26 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีครับลุง ไอ้หนูหริ่ง...



นำเสนอ เก่งแล้วนี่



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 19/09/2015 7:59 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน ทำน้ำยาเร่งรากใช้เอง ง่าย ๆ จ้า และ ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน ทำน้ำยาเร่งรากใช้เอง ง่าย ๆ จ้า และ ฯลฯ

เรื่องดี ๆ จากข้าง Web เก็บมาฝากจ้า

เนื่องจากหนูหริ่ง คัดลอกข้อมูลมาจากเว็บ ตามคำแนะนำจากพี่ทิดแดงและพี่ตู่ (เนื้อเรื่องมันแยะ
และยาวแบบนี้นี่เล่า พี่ทั้งสองคนถึงไม่ทำเอง ชิ่งต่อมาให้หนูหริ่งทำน่ะจ้า แต่ก็ขอบคุณพี่ทั้งสองจ้า
ที่ช่วยให้หนูหริ่งมีโอกาสได้อ่าน เพราะต้องแก้คำผิดไปด้วยจ้า......เรื่องยาวแบบนี้
จะมีใครเข้ามาอ่านหรือเปล่าไม่รู้ซีจ้า... )

.......บางข้อความ จะมีทั้งคำว่า คะ ค่ะ หรือครับ หรือผม ซึ่งไม่ใช่คำพูดของหนูหริ่งจ้า
เพราะหนูหริ่งต้องรักษาคำในต้นฉบับเดิมของท่านที่เขียนเอาไว้ อาจมีการแก้ไขบ้างในคำที่
เขียนผิดให้ถูกต้อง เช่นคำว่า คับ เป็น ครับ และ ฯลฯ เป็นต้นจ้า.....

ขอขอบคุณ รูป และบทความทุก ๆ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์....โมทนาสาธุจ้า




(1) น้ำยาเร่งราก ทำเอง ประหยัดค่าใช้จ่าย มีสูตรไม่มาก
- กะปิ ยี่ห้อใดก็ได้
- เครื่องดื่มชูกำลัง ยี่ห้อใดก็ได้
- น้ำเปล่า

กะปิเพียวๆ เพียงปลายนิ้ว เอามาพอกตรงกิ่งตอนแล้วพอกซ้ำด้วยขุยมะพร้าวชุ่มน้ำ
มัดให้แน่น เร่งรากได้

- เครื่องดื่มชูกำลัง ผสมน้ำอัตราส่วน 1 ต่อ 5 แช่ขุยมะพร้าวสำหรับพอกกิ่งตอนให้ชุ่ม
เร่งรากได้ดี

- กะปิ 1 เครื่องดื่มชูกำลัง 1 ผสมเข้ากัน ใช้เป็นหัวเชื้อ นำไปผสมกับน้ำอีกในอัตรา 1 ฝา
ต่อน้ำ 5 ลิตร หรือหัวเชื้อ 2 ฝา ต่อน้ำ 5 ลิตร ทำน้ำยาเร่งรากได้ดีมาก
นำน้ำที่ผสมฉีดพ่นกล้วยไม้ เร่งรากได้ดี แช่กิ่งชำ หน่อสำหรับเพาะ เร่งรากได้ดี

ข้อมูลเพิ่มเติม ที่ http://goo.gl/bBKiZI / ติดตามเพจ
https://www.facebook.com/kasetorganic



(2) อยากได้ยาสีฟันดีๆ ก็ทำเองสิจ๊า
พ่ออุ้ยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนมีการล้างป่าช้าของคนเฒ่าคนแก่ที่เป็นคนจีน สิ่งแรกที่เห็น
และประหลาดใจมากคือ โครงกระดูกคนโบราณที่เสียชีวิต มีฟันอยู่เต็มปากไปหมด?

แปลกมั้ยล่ะจ๊า แปรงสีฟันก็ไม่มี ยาสีฟันก็ไม่มี แต่ทำไมฟันแข็งแรงจัง!!!

พ่อครูหมอเมืองท่านนึงเล่าว่า คนโบราณชอบเอากิ่งของต้นข่อย หรือกิ่งของต้นฝรั่ง
ทุบปลายกิ่งให้แตกๆคล้ายไม้กวาดแล้วเอามาถูๆฟันทุกเช้า แล้วก็บ้วนด้วยน้ำต้มจาก
กานพลูถือว่าจบการแปรงฟัน

วันนี้หวนคิดถึงคำพูดของครูเลยว่าจะลองปรุงยาสีฟันที่ท่านเคยให้สูตรมา
ซึ่งดัดแปลงเล็กน้อยนะ ปีใหม่ว่างๆมาลองทำดูจ้า

สูตรยาสีฟันจากผักชีฝรั่ง
1. ผงผักชีฝรั่ง 1 ช้อนชา (หั่นผักชีฝรั่งสด ตากให้แห้งแล้วบด)
2. ผงแคลเซียมคาร์บอเนต 3 ช้อนชา
3. เกลือป่น 1 ช้อนชา
4. น้ำมันเปเปอร์มินท์ 15 หยด
5. ผงฟู 2 ช้อนชา

ผสมส่วนผสม 2 + 3 + 5 คนให้เข้ากันก่อน จึงค่อยๆใส่ 1 ลงไป

คนให้เข้ากัน แล้วหยอด 4 ลงไปทีหลัง คนให้เข้ากันอีก
บรรจุลงในกระปุกที่มีฝาปิด สามารถใช้ได้เลยจ้า

สรรพคุณของผักชีฝรั่งนั้น ช่วยให้ฟันแข็งแรง สมานแผลในปาก ช่วยในการฆ่าเชื้อ
แบคทีเรียในช่องปาก สามารถดับกลิ่นบุหรี่ กลิ่นคาวอาหารได้ดีสุดๆ ไม่ทำลาย
สารเคลือบฟันรุนแรง ไม่ทำลายแบคทีเรียที่ดีที่ป้องกันปากเหม็น !!!

Share ได้เลยจ้า ไม่หวงสูตร หากมีคนสนใจเยอะๆ จะแจกสูตรน้ำยาบ้วนปากให้
ส่วนผงต่างๆสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาใหญ่ๆมีขายครับ

ที่มา..สมุนไพรหมอศุภ



(3) ประดับบ้านด้วยแผ่น CD เก่า
แผ่นซีดีเก่าที่พังแล้ว สามารถนำมาดัดแปลงเป็นเครื่องประดับบ้านได้อย่างสวยงาม
แถมวิธีทำยังง่ายดาย ตามไปดูกันเลย

อุปกรณ์ที่ใช้
1. แผ่นซีดีเก่า
2. สีอะครีลิค
3. พู่กันระบายสี
4. ดินสอ
5. ไขควงปลายแหลม

วิธีทำ
1. ระบายสีให้ทั่วแผ่นซีดีด้านที่เป็นเงา แนะนำเป็นสีเข้มหรือสีดำ เพื่อภาพที่ออกมาจะได้คมชัด
2. ทิ้งให้สีแห้งสนิท แล้วใช้ดินสอวาดลวดลายตามใจชอบ
3. ใช้ไขควงปลายแหลมค่อยๆขูดสีออกเบาๆ ตามลายที่วาดไว้
( อย่าขูดแรงเพราะจะทำให้ด้านเงาของซีดีเป็นรอย และจะไม่ค่อยสะท้อนแสงเมื่อทำเสร็จ)
4. ใช้กาว 2 หน้า(แนะนำเป็นชนิดที่ลอกออกแล้วไม่ทิ้งคราบรอย) ติดแผ่นซีดีกับผนังห้อง

เพียงเท่านี้ บ้านคุณก็จะดูมีชีวิตชีวาขึ้นได้อย่างง่ายดาย

<Admin>ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆและภาพสวยๆจาก http://www.instructables.com/ <



(4) น้ำหมักชีวภาพ หรือ น้ำสกัดชีวภาพ อีกทางเลือกของเกษตรกร
การทำน้ำหมักชีวภาพ
จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก อาจพบเกือบทุกหนทุกแห่งในธรรมชาติ ในอากาศที่
เราหายใจเข้าไป ในอาหารที่เรากิน ที่ผิวหนังของร่างกาย ในทางเดินอาหาร ในปาก จมูก
หรือช่องเปิดต่างๆ ของร่างกาย แต่ยังเป็นความโชคดีของเราเพราะจุลินทรีย์ส่วนใหญ่มีคุณ
ประโยชน์ต่อสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลก ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม

จุลินทรีย์เป็นตัวการทำให้เกิดกระบวนการหมัก ผลผลิตที่ได้จากการหมักนั้น
ในที่นี้เราขอเรียกว่า “น้ำหมักชีวภาพ”
น้ำหมักชีวภาพ คือ การนำเอาพืช ผัก ผลไม้ สัตว์ชนิดต่าง ๆ มาหมักกับน้ำตาลทำให้
เกิดจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์จำนวนมาก ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้จะไปช่วยสลายธาตุอาหาร
ต่างๆ ที่อยู่ในพืช มีคุณค่าในแง่ของธาตุอาหาร


พืชเมื่อถูกย่อยสลายโดยกระบวนการย่อยสลายของแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์ สารต่างๆจะถูก
ปลดปล่อยออกมา เช่นโปรตีน กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ ธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง จุลธาตุ
ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต เอนไซม์ วิตามิน ซึ่งพืชสามารถนำไปใช้ในการเจริญเติบโตได้
อย่างมีประสิทธิภาพ น้ำหมักชีวภาพ มี 3 ประเภท คือ
1. น้ำหมักชีวภาพจากพืชสดสีเขียว (น้ำแม่)
2. น้ำหมักชีวภาพจากผลไม้สุก (น้ำพ่อ)
3. สารขับไล่แมลง (น้ำหมักจากพืชสมุนไพร)

น้ำหมักชีวภาพ หรือ น้ำสกัดชีวภาพ อีกทางเลือกของเกษตรกร
สำหรับใช้ในการป้องกัน กำจัดศัตรูพืชโดยไม่ต้องใช้สารเคมี

วิธีทำน้ำหมักชีวภาพ อย่างง่ายๆ ท่านสามารถทำเองได้ สบายมาก
น้ำหมักชีวภาพ มี 2 ประเภท คือ

1. น้ำหมักชีวภาพจากพืช ทำได้โดยการนำเศษพืชสด ผสมกับ
น้ำตาลทรายแดง หรือกากน้ำตาล อัตราส่วน 3 ต่อ 1 คือใช้ พืชผัก 3 ส่วน กากน้ำตาล 1 ส่วน
หมักรวมกันในถังปิดฝา หมักทิ้งไว้ประมาณ 3-7 วัน เราจะได้ของเหลวข้น ๆ สีน้ำตาล
ซึ่งเราเรียกว่า น้ำหมักชีวภาพจากพืช

2. น้ำหมักชีวภาพจากสัตว์ มีขั้นตอนทำคล้ายกับน้ำหมักจากพืช
แตกต่างกันตรงวัตถุดิบจากสัตว์ เช่น หัวปลา ก้างปลา หอยเชอรี่ เป็นต้น

เคล็ดลับในการทำน้ำหมักให้ได้ผลดี
1 . ควรเลือกใช้เศษพืชผัก ผลไม้ หรือเศษอาหารที่ยังไม่บูดเน่า สับหรือบดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ
ใส่ในภาชนะที่มีปากกว้าง เช่นถังพลาสติก หรือโอ่ง หากมีน้ำหมักชีวภาพอยู่แล้วให้เทผสม
ลงไปแล้วลดปริมาณกากน้ำตาลลง ปิดฝาภาชนะทิ้งไว้ จนได้เป็นน้ำหมักชีวภาพ จากนั้น
กรอกใส่ขวดปิดฝาให้สนิท รอการใช้งานต่อไป

2. ในระหว่างการหมัก ห้ามปิดฝาภาชนะจนแน่นสนิท เพราะอาจทำให้ระเบิดได้เนื่อง
จากระหว่าง การหมักจะเกิดก๊าชต่าง ๆ ขึ้น เช่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน เป็นต้น

3.ไม่ควรเลือกพืชจำพวกเปลือกส้ม ใช้ทำน้ำหมัก เพราะมีน้ำมันที่ผิวเปลือกจะทำให้
จุลินทรีย์ไม่ย่อยสลาย

วิธีทำน้ำหมักชีวภาพสูตรผสมน้ำ อย่างง่ายๆ ท่านสามารถทำเองได้ สบายมาก โดยนำ
ผลไม้หรือพืชผักหรือเศษอาหาร 3 ส่วน น้ำตาล 1 ส่วน น้ำ 10 ส่วน
ใส่รวมกัน ในภาชนะ (ขวด, ถัง) ที่มีฝาปิดสนิท อย่าให้อากาศเข้า
โดยเว้นที่ว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของขวด/ถัง หมั่นเปิดฝา คลายแก๊สออก และ
ปิดกลับให้สนิททันที วางไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแสงแดด


หมักไว้ 3 เดือน เราก็จะได้น้ำหมักชีวภาพ ซึ่งมีจุลินทรีย์ สารอินทรีย์ ธาตุอาหาร
ที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น ใช้ทำปุ๋ยสะอาด(แทนปุ๋ยเคมี)
ใช้ในการเพาะปลูกกสิกรรมธรรมชาติไร้สารพิษ ใช้ในการซักล้างทำความสะอาด
(แทนสบู่ ผงซักฟอก แชมพู น้ำยาล้างจาน) ใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ โถส้วม ท่อระบายน้ำ ฯลฯ

สูตร การทำน้ำหมักชีวภาพ 3 : 1 : 10
ผลไม้ : น้ำตาล : น้ำ หมักนาน 3 เดือน

การขยายน้ำหมักชีวภาพ น้ำหมักชีวภาพที่หมักได้ 3 เดือนแล้ว ใช้สายยางดูด
เฉพาะน้ำใสออกมา ใส่อีกภาชนะหนึ่ง ส่วนนี้เป็นหัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพ

นำน้ำหมักชีวภาพ 1 ส่วน น้ำตาล 1 ส่วน และ น้ำ 10 ส่วน ใส่รวมในภาชนะ (ขวด, ถัง)
ที่มีฝาปิดสนิท โดยเว้นที่ว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของขวด หมั่นเปิดฝา คลายแก๊สออก และปิดกลับ
ให้สนิททันที วางไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแสงแดด หมักไว้ 2 เดือน เราก็จะได้หัวเชื้อน้ำหมัก
ชีวภาพอายุ 5 เดือน

ขยายต่อตามวิธีข้างต้นทุก 2 เดือน เราก็จะได้หัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพที่มีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ
(7, 9, 10 เดือน,1, 2, 3,…ปี) ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ

สูตร การขยายน้ำหมักชีวภาพ 1 : 1 : 10 น้ำหมักชีวภาพ : น้ำตาล : น้ำ
หมักขยายต่อทุก 2 เดือน

การทำ น้ำหมักชีวภาพดับกลิ่น
เป็นการใช้เศษอาหาร พืชผัก ผลไม้ที่เหลือทิ้ง 3 ส่วน กากน้ำตาลหรือโมลาส 1 ส่วน
และน้ำ 10 ส่วน ใส่รวมกันในภาชนะ (ขวด, ถัง) ที่มีฝาปิดสนิท โดยเว้นที่ว่างไว้
ประมาณ 1 ใน 5 ของ ขวด/ถัง หมั่นเปิดฝาคลายแก๊สออกและปิดกลับให้สนิททันที
วางไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแสงแดด

หมักไว้ 3 เดือน เราจะได้น้ำหมักชีวภาพดับกลิ่น ใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ โถส้วม
ท่อระบายน้ำ กลิ่นปัสสาวะสุนัข ฯลฯ

การทำ น้ำหมักชีวภาพซักผ้า / ล้างจาน
เป็นการใช้ ผลไม้ เปลือกผลไม้ (ฝักส้มป่อย , มะคำดี ควาย , มะนาว ฯลฯ) 3 ส่วน
น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลอ้อย 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน ใส่รวมกันในภาชนะ (ขวด, ถัง)
ที่มีฝาปิดสนิท โดยเว้นที่ว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของขวด/ถัง หมั่นเปิดฝา คลายแก๊สออก
และปิดกลับให้สนิททันที วางไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแสงแดด

หมักไว้ 3 เดือน เราจะได้น้ำหมักชีวภาพซักผ้า / ล้างจาน (แม้ผ้ามีราขึ้นเป็นจุดดำๆ
แช่ผ้าทิ้งไว้ 1-2 วัน ก็ซักออกได้)

ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพ
ด้านการเกษตร
1. ช่วยปรับสภาพความเป็นกรด - ด่าง ในดินและน้ำ
2. ช่วยปรับสภาพโครงสร้างของดินให้ร่วนซุย อุ้มน้ำและอากาศได้ดียิ่งขึ้น
3. ช่วยย่อยสลายอินทรีย์วัตถุในดินให้เป็นธาตุอาหารแก่พืช พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้เลย
โดยไม่ต้องใช้พลังงานมากเหมือนการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์
4. ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชให้สมบูรณ์ แข็งแรงตามธรรมชาติ ต้านทานโรคและแมลง
5. ช่วยสร้างฮอร์โมนพืช ทำให้ผลผลิตสูง และคุณภาพของผลผลิตดีขึ้น
6. ช่วยให้ผลผลิตคงทน เก็บรักษาไว้ได้นาน

ด้านปศุสัตว์
1. ช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นจากฟาร์มสัตว์ ไก่ สุกร ได้ภายใน 24 ชม.
2. ช่วยกำจัดน้ำเสียจากฟาร์มได้ภายใน 1 - 2 สัปดาห์
3. ช่วยป้องกันโรคอหิวาห์และโรคระบาดต่างๆ ในสัตว์แทนยาปฏิชีวนะ และอื่นๆได้
4. ช่วยกำจัดแมลงวัน ด้วยการตัดวงจรชีวิตของหนอนแมลงวัน ไม่ให้เข้าดักแด้เกิดเป็นตัวแมลงวัน
5. ช่วยเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยง ทำให้สัตว์แข็งแรง มีความต้านทานโรค ให้ผลผลิตสูง
และอัตราการรอดสูง

ด้านการประมง
1. ช่วยควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำได้
2. ช่วยแก้ปัญหาโรคพยาธิในน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ

น้ำหมัก สูตรที่ 1 สำหรับพืชกินใบ
วัสดุประกอบด้วย
1) พืชสด และ
2) กากน้ำตาล อัตราส่วน 3 : 1

วิธีทำ
ใช้พืชที่มีลักษณะสด ใหม่ สมบูรณ์ อวบน้ำ โตเร็ว ไม่มีโรค ไม่เน่า ใช้ได้ทุกส่วน ๆ ละไม่มากนัก
จากพืชหลายๆ ชนิด ทั้งพืชที่กินได้และวัชพืช

นำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ หรือบดละเอียดให้ได้ปริมาณ 3 ก.ก. แล้วบรรจุเศษพืชที่ได้ลงในภาชนะ
และเติมกากน้ำตาลลงไป 1 ลิตร คนหรือเขย่าให้เข้ากัน ให้เศษพืชจมอยู่ในกากน้ำตาลตลอดเวลา
ปิดฝาภาชนะ เก็บไว้ในที่มืด อุณหภูมิห้องนาน 7 วัน สามารถนำไปใช้ได้

การปฏิบัติระหว่างการหมัก
เขย่าภาชนะที่หมักพร้อมกับเปิดฝา วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น เมื่อครบ 7 วัน ให้ดมกลิ่น
ถ้าหอมหวานแสดงว่า "ดี" สามารถนำไปได้ ถ้ากลิ่นบูดเปรี้ยวแสดงว่า "ไม่ดี"

ให้แก้ไขด้วยการเติมกากน้ำตาล หรือของที่ใส่ครั้งแรกแล้วหมักต่ออีก 3 วัน ถ้ามีกลิ่นหอม
หวานก็แสดงว่า "ดี" ถ้ามีกลิ่นบูดเปรี้ยวอีก ให้เติมน้ำตาลอีกแล้วหมักต่อไปจนกว่าจะมี
กลิ่นหอมหวาน เมื่อได้น้ำหมักที่ดีแล้วให้เก็บไว้ในที่มืดภายใต้อุณหภูมิห้อง เก็บได้นาน 6
เดือน - 1 ปี ระหว่างเก็บหากมีกลิ่นบูดเปรี้ยวให้เติมกากน้ำตาลลงไป

อัตราและวิธีการใช้น้ำหมักชีวภาพ
1) พืชผักสวนครัว พืชไร่ ไม้ผลยืนต้น ให้ทางใบ อัตราส่วน 15-20 ซี.ซี./ น้ำ 20 ลิตร
ทุกๆ 5-7 วัน ควบคู่กับให้ทางราก 30-50 ซี.ซี./ น้ำ 20 ลิตร ทุกๆ 15-20 วัน

2) เตรียมดินแปลกปลูก หรือหลุมปลูกไม้ผล อัตราส่วน 30-50 ซี.ซี./ น้ำ 20 ลิตร
ผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก

3) ใช้แทนสารเร่งปุ๋ยหมัก อัตราส่วน 75-100 ซี.ซี./ น้ำ 20 ลิตร พรมลงบนวัสดุทำปุ๋ยหมัก
4) กำจัดน้ำเสียโดย อัตราส่วน 75-100 ซี.ซี./น้ำ 20 ลิตร ราดให้ทั่วบริเวณน้ำเสีย
หรือในคอกปศุสัตว์

5) เพิ่มเปอร์เซ็นต์ความงอกของเมล็ดพันธุ์ อัตราส่วน 15-20 ซี.ซี./ น้ำ 20 ลิตร
แช่เมล็ดพันธุ์พอท่วมก่อนเพราะเป็นเวลา 12 ชั่วโมง

การต่อเชื้อน้ำหมักชีวภาพ ใช้หัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพ 1 ส่วน กากน้ำตาล 1 ส่วน
น้ำสะอาด 10 ส่วน ผสมให้เข้ากันดี ปิดฝาภาชนะเก็บไว้ในที่มืด ภายใต้อุณหภูมิห้อง
นาน 3 วัน ตรวจสอบกลิ่น ให้กลิ่นเหมือนตามครั้งแรก

เคล็ดลับกับน้ำหมักชีวภาพ
หลังการหมัก 3 วันแรก เปิดฝาออกดูถ้ามีแก๊สพุ่งออกมาแสดงว่า มีส่วนผสมดีพยายามเปิด
ฝาระบายแก๊สบ่อยๆ ถ้าไม่เปิดภาชนะที่หมักอาจระเบิดได้

กรณีถ้าไม่มีกากน้ำตาลสามารถใช้น้ำตาลทรายแดง(ชนิดผงละเอียด)ได้ โดยเพิ่มปริมาณ
น้ำตาลแดงเป็น 1 ส่วน : เศษพืช 1 ส่วน

การใช้น้ำหมักชีวภาพทางราก ควรใช้ควบคู่ไปกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเสมอ โดยการใส่ปุ๋ย
คอกปุ๋ยหมัก 6 เดือน/ครั้ง

น้ำหมักสูตร 1 นี้ เหมาะสำหรับพืชกินใบ เช่น ผักบุ้ง กวางตุ้ง ผักขม ผักเสี้ยน
หน่อไม้ฝรั่ง ยอดชะอม ยอดกระถิน ยอดมันเทศยอดมะม่วง ยอดมะยม ผักตำลึงและผล เถา
ขี้กาและผล เงาะป่าและผล ใบยอและผล ฯลฯ

น้ำหมักสูตรที่ 2 สำหรับพืชผักกินดอกผล
วัสดุประกอบด้วย
1) ผลไม้สุก (ฟักทองแก่, มะละกอทั้งเนื้อและเมล็ด กล้วยน้ำว้า บวบเหลี่ยม มะเขือเทศ)
2) พืชสด (ช่วงใบแก่อ้วนเอาทั้งปลายยอดและปลายราก) และ
2) กากน้ำตาล อัตราส่วน 2 : 1 : 1

วิธีทำและการปฏิบัติ
กระทำเช่นเดียวกับสูตรที่ 1 แต่ให้ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนด

อัตราและวิธีการใช้
1) สูตร 2 เหมาะสำหรับพืชผักที่ใช้กินดอกผล เช่น กะหล่ำดอก แตงโม แตงกวา แตงเทศ
แคนตาลูป ถั่วฝักยาว ถั่วแปบ ถั่วพี ถั่วเหลือง มะรุม น้ำเต้า กุ๋ยช่าย บวบต่างๆ มะเขือต่างๆ
ฟักทอง ฟักเขียว พริกต่างๆ

2) ใช้อัตราส่วน 0.5 - 20 ซี.ซี./น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทางใบทุก 5-7 วันต่อครั้ง
3) ใช้อัตราส่วน 30 - 50 ซี.ซี./น้ำ 20 ลิตร ราดทางดินสลับการฉีดทางใบ 5-7 วัน
ต่อครั้ง จะทำให้ดินร่วนซุย
4) สูตร 2 นี้ ใช้จนถึงระยะออกดอกติดผลก็ได้

สูตร 2 เหมาะสำหรับพืชผักกินดอก กินผล ตัวอย่างผลไม้สุก สูตร 2 สับปะรด แตงโม
กล้วย ละมุด มะเขือเทศ บวบ ขนุน มะม่วง ฝรั่ง มะละกอดิบและสุก มะระดิบและสุก
มะเฟือง มะกรูดผ่าซีก ฯลฯ

น้ำหมักสูตรที่ 3 สำหรับพืชผัก ผลไม้ พืชไร่ นาข้าว
วัสดุประกอบด้วย
1) พืชสด (เหมือนสูตร 1)
2) พืชสดและผลไม้สุก (เหมือนสูตร 2)
3) ปลาเป็นๆ หอยเชอรี่ ไข่หอยเชอรี่ กระดูกป่น
4) ตัวเสริม (ขี้เด็กทารก ขี้ไก่ค้างคอน ขี้นกปากห่าง ขี้เป็ดกินหอย ยาคูลท์
โยเกิร์ต กระทิงแดง ระลำเอียด) และ 5) กากน้ำตาล ผสมในอัตราส่วน 1 : 1 : 1 :
เล็กน้อย : พอท่วม

วิธีทำ
เตรียมวัสดุในการทำนำหมักสูตร 1 และ สูตร 2 ตามอัตราส่วนที่กำหนด นำปลาสด (ทั้งตัว)
หอยเชอรี่ ไข่หอยเชอรี่ มาบด โขลก สับให้ละเอียด เพื่อง่ายในการย่อยสลาย

บรรจุเศษพืช เศษปลา เศษหอยที่บด โขลก สับละเอียดแล้วลงภาชนะ (ควรเป็นโอ่งหรือ
ภาชนะพลาสติกไม่แนะนำให้ใช้โลหะ) แล้วเติมกากน้ำตาลลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน
พอขลุกขลิก

เติมน้ำมะพร้าวอ่อน คลุกเคล้าลงไปอีกเพื่อให้มีน้ำมากขึ้นพอท่วมเศษวัสดุ คนหรือเขย่าให้เข้ากัน
ให้เศษพืชจม อยู่ในกากน้ำตาลตลอดเวลา ปิดฝาภาชนะเก็บไว้ที่มืดอุณหภูมิห้องนาน 7 วัน
ก็สามารถนำไปใช้ได้

การปฏิบัติต่อปุ๋ยน้ำชีวภาพระหว่างการหมัก ปฏิบัติตามสูตร 2 จนถึงขั้นตอนสุดท้าย
น้ำหมักสูตรที่ 4 สำหรับไม้ผล
วัสดุ/อัตราส่วน ประกอบด้วย
1) พืชสด 5 ส่วน
2) ผลไม้ผล 1 ส่วน
3) ผลไม้สุก 1 ส่วน
4) ปลาน้ำจืด 1 ส่วน
5) ไข่หอยเชอรี่ 1 ส่วน และ
6) เหง้ากล้วย 1 ส่วน

วิธีทำ
เติมกากน้ำตาลพอท่วม เติมขี้ไก่ค้างคอน 2 ส่วน เติมน้ำมะพร้าวอ่อน / รำละเอียด /
อุจจาระเด็กทารกในปริมาณเล็กน้อย โดยห้ามนำไปฉีดผัก เพราะจะทำให้ผักกระด้าง

อีกสูตร
ใช้กากน้ำตาล 1 ส่วนต่อวัตถุดิบ 20 ส่วน ผลไม้ที่มีรสหวานไม่ต้องใส่เพราะความหวาน
เพียงพอแก่จุลินทรีย์แล้ว เติมน้ำมะพร้าวแทนน้ำเปล่า เพราะมีสารอาหารฯที่น้ำเปล่าไม่มี
เวลาเริ่มมีกลิ่นเติมกากน้ำตาล 1 ลิตร จุลินทรีย์อีกเล็กน้อย น้ำส้มสายชู 1 แก้ว

ขอบคุณที่มา
https://www.facebook.com/groups/561289680610451/permalink/607129976026421/



(5) แมลงศัตรูที่สำคัญ ของสวนมะนาว
1. หนอนชอนใบ
ลักษณะอาการ จะทำความเสียหายให้กับมะนาวในระยะแตก ใบอ่อน โดยจะชอนไชกัดกินอยู่
ระหว่างผิวใบด้านหน้าและหลังใบ จะมอง เห็นเป็นทางสีขาวคดเคี้ยวไปมา ใบหงิกงอ ขอบใบ
ม้วนเข้าหาเส้นกลางใบ และใบไม่เจริญเติบโต ต้นมะนาวจะแคระแกร็นและไม่ติดผล

การป้องกันกำจัด
หมั่นตรวจดูตามใบและยอดของมะนาว โดยเฉพาะระยะที่มะนาวเริ่มผลิใบอ่อน กรณีที่ระบาด
น้อยให้เด็ดใบเผาทำลาย หากพบมากใหัฉีดพ่น สารเคมีกำจัดแมลง ในอัตราที่ฉลากกำหนด
(กลุ่มคาร์บาริล มาลาไธออน หรือฟอร์โมไธออน)

2. หนอนกินใบ (หนอนแก้ว)
ลักษณะอาการ กัดกินใบอ่อนและยอดอ่อนของมะนาว การป้องกันกำจัด หมั่นตรวจตูตามใบ
อ่อนและยอดอ่อน เมื่อพบไข่และตัวหนอนก็จับทำลายเสีย ฉีดพ่นสารเคมีกำจัดแมลง(กลุ่ม
เมทามิโดฟอสที่มีชื่อทางการค้าว่า ทามารอน) ในอัตรา 20 - 30 ซีซี. หรือประมาณ 2
- 3 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้น

3. เพลื้ยไฟ
ลักษณะอาการ จะดูดกินน้ำเลี้ยงที่ยอดอ่อน ใบอ่อน และผลการทำลายจะรุนแรงในระยะผล
อ่อน นับแต่เริ่มติดผล ช่วงระยะการระบาด จะขี้นอยู่กับการแตกยอดอ่อน และระยะติดผล
ผลที่ถูกทำลายจะ ปรากฎรอยสีเทา เป็นวงบริเวณขั้วผล และก้นผลหรือเป็นขีดสีเทาตาม
ความยาวของผล

การป้องกันกำจัด เด็ดผลที่แคระแกร็น ถ้าพบการทำลายของเพลี้ย ให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมี
กำจัดแมลง ได้แก่ คาร์โบชัลแฟน เปอร์เมทริน

4. ไรแดง
ลักษณะอาการ ใบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหงิกงอ ไม่เจริญเติบโตและร่วงหล่น ผลมะนาวจะ
เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ในเวลาต่อมา ผิวผลจะกร้าน ผลแคระแกร็น
และร่วงในที่สุด

การป้องกันกำจัด ฉีดพ่นด้วยกำมะถันผงชนิดละลายน้ำในอัตรา 4 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 20
ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 10-15 วัน ในตอนเช้า หรือตอนเย็น เพื่อป้องกันอาการใบไหม้

ที่มา..ปุ๋ยมูลค้างคาว-เกษตรทำดี

ถ้าต้องการหลีกเลี่ยงกำจัดด้วยสารเคมี ยาฆ่าแมลง. ใช้สารอินทรีย์กำจัดดังนี้
น้ำส้มสายชูหมัก 1 ส่วน
เหล้าขาว (หรือเอทานอลที่เขาใช้แล้วราคาถูก) 2 ส่วน
กากน้ำตาล 0.25 ส่วน รวมกันหมักกับจุลินทรีย์เหง้ากล้วย (หรืออีเอ็มก็ได้)
หมัก 24 ชั่วโมงก็ใช้ได้

อัตราการใช้
ใช้ผสมน้ำอัตรา 1: 500 ( 40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร) ฉีดพ่นทุก 3 วัน ติดต่อกัน 3 ครั้ง
ครั้งต่อไปทุก 5-7 วัน/ครั้ง เท่านี้ก็แก้ได้ทุกอาการที่กล่าวมา ไม่ต้องใช้สารเคมีสังเคราะห์
ให้เป็นอันตรายต่อคนและพืชด้วย ได้ผลจริงเพราะผมใช้อยู่กับพืชทุกชนิด ผมบอกลาสาร
เคมีสังเคราะห์ไปแล้ว ครับ



(6) ดอกอัญชัน สูตร..ป้องกันผมหงอก- และ...ชะลอความแก่?
ลำต้นเหนือดิน ใบ ดอก และราก ของอัญชัน มีฤทธิ์กระตุ้นการเรียนรู้และความจำ ช่วย
คลายความเครียดและวิตกกังวล มีฤทธิ์ช่วยในการนอนหลับ ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไข้ แก้ปวด
และต้านการอักเสบ

รวมถึงการใช้ประโยชน์ในด้านเครื่องสำอางก็มีงานวิจัยที่สนับสนุนว่า สารสกัดเอทานอล
จากดอกอัญชันมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ยับยั้งการเจริญ
ของเส้นขน และมีฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขนของหนูแรท

นอกจากนี้ สารสกัดเมทานอลจากดอกอัญชันยังมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์
tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดสีเมลานิน และ
กระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์ melanocyte เมื่อทำการทดสอบในหลอดทดลอง

และในการทดสอบฤทธิ์ของอัญชันในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับบำรุงผิวพบว่า มีการนำ
สารสกัดน้ำและสารสกัดเอทานอลจากดอกอัญชันไปเป็นส่วนประกอบในเจลสำหรับทารอบ
ดวงตา ซึ่งจะได้ประโยชน์จากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่

เส้นผมของคุณจะดำเงางามยิ่งขึ้นและเส้นผมที่งอกขึ้นมาใหม่จะดำเงางามด้วยเช่นเดียวกัน
ลดปัญหารังแคให้กับหนังศีรษะได้เป็นอย่างดีและปัญหาของเส้นผมหลุดร่วงก่อนวัย

ดอกอัญชัน เป็นพืชสมุนไพรที่เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของการทำให้ผมดกดำมาช้านาน ด้วย
สารที่มีอยู่ในดอกอัญชัน ที่มีชื่อว่า สารแอนโทไซยานิน ที่มีอยู่ในดอกอัญชัน จึงทำให้ดอก
อัญชันมีสรรพคุณในการชะลอความแก่ให้กับเส้นผมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของ
การรักษาโรคและบำรุงร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย

ประโยชน์ของดอกอัญชัน
ช่วยป้องกันผมหงอก ทำให้ผมที่ขึ้นมาใหม่ดกดำเงางาม
ช่วยลดปัญหาผมหลุดร่วงก่อนวัย
ช่วยบำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น
ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกาย
ช่วยเพิ่มการไหลเวียนในหลอดเลือดเล็ก ๆ ของร่างกาย
ช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อหิน และโรคต้อกระจก

สูตรนวดบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ ด้วยดอกอัญชัน
ส่วนผสม
ดอกอัญชัน 10-15 ดอก
น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา

วิธีทำ
นำดอกอัญชันมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำมาบดให้ละเอียด นำมากรองเอาดอกอัญชัน
ออกให้เหลือแต่น้ำ นำน้ำที่ได้มาผสมกับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน แล้วนำมา
ชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะที่สระสะอาดแล้ว ทึ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออก
ด้วยน้ำสะอาดโดยไม่ต้องสระผมซ้ำ ใช้สูตรนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง หลังจากการสระผม

สูตรน้ำอัญชันชะลอความแก่ภายใน
ส่วนผสม
ดอกอัญชัน 10-15 ดอก
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
น้ำสะอาด 2 แก้ว

วิธีทำสูตรน้ำอัญชันชะลอความแก่ภายใน
นำดอกอัญชันมาล้างน้ำให้สะอาดจากนั้นต้มดอกอัญชันกับน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ ตั้งไฟ
ปานกลาง เมื่อเดือดและน้ำเปลี่ยนเป็นสีม่วงน้ำเงินแล้ว ปิดไฟยกลงจากเตา รอจนอุ่น จาก
นั้นนำมากรองเอาดอกอัญชันออกให้เหลือแต่น้ำ รินใส่แก้วเติมน้ำผึ้ง น้ำมะนาว คนให้เข้ากัน
อาจเติมน้ำแข็งเพื่อเพิ่มความเย็นชื่นใจ

ที่มา..พันศักดิ์ พ่อมดขาว ณ.พิจิตร เสลาหอม


(7) ชาตะไคร้สูตร หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี รายละเอียดตามในรูปจ้า.....




.


ยังมีต่อจ้า....



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 21/09/2015 7:27 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน เบกิ้งโซดา มีคุณค่ามหาศาล และ วิธีรัก ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน เบกิ้งโซดา มีคุณค่ามหาศาล และ วิธีรักษาแผลเบาหวาน ...ฯลฯ จ้า

เรื่องดี ๆ จากข้าง Web เก็บมาฝากจ้า
เนื่องจากหนูหริ่ง คัดลอกข้อมูลมาจากเว็บ บางข้อความ จะมีทั้งคำว่า คะ ค่ะ
หรือครับ หรือผม ซึ่งไม่ใช่คำพูดของหนูหริ่งจ้า เพราะหนูหริ่งรักษาคำในต้นฉบับเดิมของ
ท่านที่เขียนเอาไว้ อาจมีการแก้ไขบ้างในคำที่เขียนผิดให้ถูกต้อง เช่นคำว่า คับ เป็น ครับ
และ ฯลฯ เป็นต้นจ้า.....


ขอขอบคุณ รูป และบทความทุก ๆ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์....โมทนาสาธุจ้า




(8 ) ไม่น่าเชื่อ เบคกิ้งโซดา จะมีประโยชน์มากมายมหาศาลกว่าที่คิด ไปดูกันจ้า ว่าทำอะไรได้บ้าง....

หากมีอาการเจ็บคอ ให้ผสมเบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชาลงในน้ำเปล่า แล้วนำมาใช้กลั้วคอทุกๆ
4 ชั่วโมง ก็จะช่วยลดอาการเจ็บคอที่เกิดจากกรดได้

ใช้รักษาแผลในช่องปาก ให้ใช้เบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชาผสมลงในน้ำเปล่า แล้วนำมาใช้กลั้ว
คอทุกๆ 4 ชั่วโมง

ช่วยทำให้เรอ ด้วยการใช้ผงฟูนำมาผสมกับน้ำดื่ม จะช่วยทำให้เรอและแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ

เมื่อผสมกับน้ำจะได้โซเดียมไบคาร์บอเนตสามารถนำมารับประทานเพื่อช่วยในการลดกรดใน
กระเพาะอาหารได้(เหมือน อีโน)

ช่วยบรรเทาอาการของลมพิษ ด้วยการใช้ผงเบกกิ้งโซดานำมาผสมกับน้ำ 2 - 3 หยด (พอ
ให้ได้เป็นแป้งเปียก) แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นผื่นเพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองและแก้
อาการคัน

หากถูกแมลงกัดต่อย ก็ให้ใช้เบกกิ้งโวดาผสมกับน้ำ แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น ก็จะช่วย
บรรเทาอาการเจ็บปวดได้

ใช้บรรเทาอาการผิวไหม้แดด ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาผสมลงในน้ำอุ่นสำหรับอาบ แล้วนำมา
อาบก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนที่เกิดจากผิวไหม้แดดได้

หากเป็นฮ่องกงฟุต (อาการคันตามง่ามเท้าเพราะติดเชื้อรา) ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ
นำมาผสมกับน้ำให้พอเหนียว แล้วนำมาทาที่เท้า หลังจากนั้นให้ล้างเท้าและเช็ดให้แห้ง แล้ว
ปิดท้ายด้วยการนำแป้งข้าวโพดมาทาบริเวณที่คันอีกครั้งหนึ่ง จะช่วยลดอาการคันและ
อาการแสบร้อนตามง่ามนิ้วเท้าได้

ช่วยทำให้ผิวเนียนใส ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำข้าวโอ๊ต นมสด และน้ำผึ้งนำมาขัด
เบาๆ เพื่อผิวที่สะอาดใสขึ้น (จะขัดส่วนไหน ส่วนนั้นต้องเปียกน้ำก่อน ส่วนไหนบอบบางก็ให้
ขัดเบาๆ และให้ทำเป็นประจำนะครับ แต่ไม่ต้องถึงขนาดต้องทำทุกวันนะครับ))

ใช้ทำสครับขัดหน้าได้ดี
สูตรที่ 1 ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ, ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ, และนม
สด 2 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมรวมกันใช้ขัดผิวหน้าเบาๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าเย็นๆ จะช่วย
ทำให้หน้าใสได้

สูตรที่ 2 ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 3 ส่วน ผสมกับน้ำเปล่า 1 ส่วน โดยผสมกันให้ได้เปียกๆ แล้ว
นำมาขัดผิวหน้าเบาๆ จนสะอาด

ใช้ทำสครับขัดผิว
ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย, เกลือ 1/2 ถ้วย, น้ำมันทาผิว 2 ช้อนโต๊ะ, และมะนาว 1
ลูก แล้วนำมาผสมกัน ใช้ขัดผิวในระหว่างอาบน้ำ

ใช้ผลัดเซลล์ผิวใหม่ให้สดใสมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 3 ส่วน และน้ำ 1 ส่วน นำ
มาผสมกันใช้เช็ดถูบริเวณที่ต้องการ แล้วค่อยล้างออก

บางท่านใช้เบกกิ้งโซดาเพื่อกำจัดสิวเสี้ยน โดยใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำแล้วเอามาขัดเบาๆ
ที่จมูกไปเรื่อยๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยทำให้สิวเสี้ยนจางลงได้

ใช้ทำน้ำยาระงับกลิ่นปาก
สูตรที่ 1
ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 1 ถ้วย แล้วนำมาใช้บ้วนปากจะช่วยดับกลิ่น
ปากได้ ส่วน

สูตรที่ 2
ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะ ผสมในน้ำ 1 แก้ว จะช่วยดับกลิ่นกระเทียมได้ แต่ถ้าใช้
เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 1 แก้ว และผสมกับเกลือ 1 ช้อนโต๊ะก็ใช้เป็นน้ำยาบ้วน
ปากได้เช่นกัน

baking soda ช่วยทำให้ฟันขาว
ขจัดคราบชาหรือกาแฟ ลดหินปูน ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชาผสมกับน้ำมะนาว 1/2
ช้อนชา แล้วใช้แปรงสีฟันจุ่มลงไป นำมาใช้ขัดฟันเบาๆ แล้วบ้วนน้ำเปล่าจนสะอาด จะช่วย
กำจัดคราบชาหรือกาแฟได้ครับ แต่ห้ามทำเวลาป่วยนะครับ เนื่องจากมะนาวมีความเป็น
กรดสูงอาจไปทำลายเคลือบฟันได้

ใช้ทำสปาเท้า ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย, เกลือทะเล 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันหอม
ระเหยกลิ่นมินต์, และน้ำอุ่นใส่ในกะละมังสำหรับแช่เท้า เมื่อแช่เท้าแล้วจะทำให้รู้สึกสบายเท้า
ช่วยฆ่าเชื้อโรค ดับกลิ่นเท้า และความร้อนจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้าได้อีกด้วย

ช่วยทำให้หนังหุ้มเล็บนุ่มขึ้น ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาประมาณหนึ่งหยิบมือผสมลงในชามน้ำอุ่น
แล้วแช่มือไว้ในนั้นประมาณสองสามนาที ก่อนจะล้างน้ำให้สะอาด จะช่วยให้หนังหุ้มเล็บนุ่มขึ้นได้

ใช้ทำความสะอาดเส้นผม ด้วยการผสมเบกกิ้งโซดาหนึ่งช้อนชาเข้ากับแชมพูสระผมตามที่
คุณใช้ปกติ เพื่อช่วยขจัดสารตกค้างจากผลิตภัณฑ์แต่งผม (วิธีนี้จะได้ผลดีเป็นพิเศษกับผม
เส้นเล็ก)

ลองเปลี่ยนจากแชมพูมาใช้เบกกิ้งโซดาแทนดูสักครั้ง รับรองเลยว่าจะช่วยทำให้รังแคของคุณ
น้อยลงอย่างทันตาเห็น

ใช้หมักเนื้อหมูให้นุ่ม ให้ใส่เบกกิ้งโซดาเพียงเล็กน้อย (ใส่มากเกินไปจะมีกลิ่นของสารเคมี)
แล้วหมักหมูก็จะทำให้เนื้อนุ่มได้

ถ้าอยากได้ไข่เจียวฟูหอมอร่อยน่ารับประทาน ก็ให้ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปครึ่งช้อนต่อไข่ 3
ฟอง ก็จะได้ไข่เจียวที่ฟูน่ารับประทาน

การทำขนมปังให้ฟูน่ารับประทาน จะนิยมใช้ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนตมาใช้ในการทำ
ขนมปังแทนการใช้ยีสต์ เพราะเมื่อผงฟูผสมกับน้ำก็จะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่นเดียว
กับการใช้ยีสต์ แต่ผลเสียของผงฟูก็คือ หากใส่มากเกินไปก็จะทำให้มีรสเฝื่อนขม และการฟู
ของขนมปังก็จะหยาบกว่าการใช้ยีสต์ แต่มีข่อดีก็คือ ใช้ได้ง่ายกว่าและเก็บรักษาไว้ได้
นานกว่า

เค้กกล้วยหอมถ้าจะทำให้ฟูนุ่มน่ารับประทาน ก็ต้องใช้เบกกิ้งโซดาเป็นส่วนผสม

ใช้ดับไฟในกระทะ ในกรณีที่มีน้ำมันกระเด็นติดไฟในขณะทำอาหาร หรือว่าไฟติดกระทะ
หากเราใช้น้ำเทลงไปบนน้ำมันที่ร้อนๆ จะทำให้ไฟลุกมากยิ่งขึ้น (เนื่องจากน้ำมันกระจาย)
แต่ถ้าเราใช้เบกกิ้งโซดาเทลงไปตรงๆ เบกกิ้งโซดาเมื่อถูกความร้อนก็จะปล่อยคาร์บอน
ไดออกไซด์ออกมา จึงช่วยทำให้ไฟลดน้อยลงได้

ใช้ทำความสะอาดผักและผลไม้ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 4 ถ้วย
(รอให้ส่วนผสมเย็น) แล้วนำมาใช้ล้างผักผลไม้ โดยนำมาแช่ทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงล้างออกด้วย
น้ำเปล่าอีกครั้งหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยทำให้ผักผลไม้ดูสะอาดน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น

ใช้ทำเป็นน้ำยาล้างสารพิษจากผักผลไม้ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ
10 ลิตร แล้วนำผักผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที เสร็จแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำเปล่า
อีก 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษตกค้างจากผักได้ถึง 90% (หากล้างไม่สะอาด การได้รับ
เบกกิ้งโซดาในปริมาณมากจนเกินไปก็อาจทะให้ท้องเสียได้)

ใช้ทำเป็นน้ำยาขจัดคราบในกาน้ำชาที่เป็นโลหะ ด้วยการเติมน้ำลงในกาน้ำชา แล้วเติม
เบกกิ้งโซดาตามลงไป 2 ช้อนโต๊ะ และให้บีบน้ำมะนาวลงไปอีกครึ่งลูก แล้วนำไปต้ม
ประมาณ 15 นาที เสร็จแล้วนำมาขัดและล้างให้สะอาดอีกครั้งหนึ่ง

ใช้ล้างจานก็ได้ เพราะผงฟูสามารถขจัดกลิ่นและคราบมันได้ดี ด้วยการใช้ผงฟูเทแล้วใช้
ฟองน้ำขัดล้าง หรือจะผสมผงฟูกับน้ำแล้วเอาฟองน้ำจุ่มล้างจานก็ได้

ใช้ทำน้ำยาทำความสะอาดเตาไมโครเวฟ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น
อีก 1 ลิตร แล้วนำมาผ้ามาชุบแล้วเช็ดทำความสะอาดภายในเตาไมโครเวฟ คราบสกปรกก็
จะเช็ดออกได้อย่างง่ายดาย

ช่วยขจัดคราบไขมันที่ติดรอบท่อของอ่างล้างจาน (หากปล่อยไว้นานจะทำให้ท่ออุดตันได้) ก็
ให้ใช้เกลือแกงใส่ลงไปในท่อประมาณ 2-3 ช้อน จากนั้นให้นำเบกกิ้งโซดาไปต้มกับน้ำให้
เดือดแล้วเทลงไปในท่อ ไขมันที่อุดตันอยู่ก็จะหลุดออกมาหมด

ใช้ทำความสะอาดเขียง ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำแล้วนำมาใช้ทำความสะอาดเขียง
วิธีนี้จะช่วยขัดกลิ่นคาวบนเขียงได้

ใช้ขจัดรอยไหม้ตามกระทะหรือหม้อ ด้วยการเอาเครื่องครัวเหล่านั้นนั้นมาแช่ด้วยน้ำอุ่นที่
ผสมเบกกิ้งโซดาประมาณ 15 นาที แล้วค่อยล้างออก วิธีนี้จะช่วยทำให้รอยไหม้จางลงได้

ใช้แก้ปัญหาท่ออุดตันด้วยคราบไขมันในอ่างล้างจาน ด้วยการใช้เกลือนำมาโรยรอบๆ ขอบท่อ
จากนั้นให้นำน้ำยาเบกกิ้งโซดา 10 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำร้อน 1 ขวดลิตร แล้วค่อยๆ เทลงไป
เกลือและน้ำยาจะช่วยทำให้คราบไขมันหลุดออกได้โดยง่าย และให้ทำซ้ำอีกประมาณ 2-3 รอบ
แล้วตามด้วยน้ำเปล่าอีกครึ่งหนึ่ง

ใช้ทำเป็นครีมลบรอยขูดขีดบนเครื่องครัว ด้วยการละลายเบกกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะ ผสมกับ
น้ำ 1 ลิตร แล้วทำความสะอาดเครื่องครัวที่ทำมาจากสแตนเลส โครเมียม พลาสติก
ฟอร์ไมก้า (ยกเว้นอะลูมิเนียม) จะทำให้ริ้วรอยเลือนหายไป

ใช้เช็ดทำความสะอาดเตารีด ด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำผสมกับเบกกิ้งโซดาแล้วบิดให้พอหมาด
หลังจากนั้นนำไปเช็ดใต้เตารีดหรือเครื่องครัวที่ทำมาจากสแตนเลส หรือโครเมียม จะช่วยทำ
ความสะอาดได้หมดจดและไม่เกิดไม่เกิดรอยขูดขีด

ใช้ทำความสะอาดเครื่องปิ้งขนมปัง ด้วยการใช้ผงเบกกิ้งโซดาโรยบนผ้าเปียก แล้วเอามาเช็ด
ตรงตะแกรง ก็จะช่วยทำให้เครื่องปิ้งขนมปังของคุณกลับมาสะอาดได้เหมือนเดิม

ผงฟูมีอนุภาคเล็กเป็นรูปทรงผลึกที่อ่อนนุ่ม จึงนำมาใช้ในการขัดถูได้ดี อีกทั้งยังช่วยดูดกลิ่น
เหม็น ความชื้น ฆ่าเชื้อโรค ปรับค่าความเป็นกรดด่าง และไม่กัดกร่อนผิวภาชนะ จึง
สามารถนำมาใช้ทำบ้านเรือนได้อย่างดี เช่น

ใช้ทำความสะอาดหน้าต่างก็ให้ขจัดคราบสกปรกบนขอบและบานหน้าต่างด้วยฟองน้ำ
เปียกๆ ก่อนแล้วโรยด้วยผงฟูเล็กน้อย แล้วล้างด้วยฟองน้ำและเช็ดให้แห้ง

ถ้าใช้ล้างหน้าต่างบานเกล็ดก็ให้ใช้น้ำอุ่นที่ผสมกับผงฟู 3/4 ถ้วยตวง ราดน้ำให้เปียกทิ้งไว้
ประมาณ 30 นาที แล้วใช้แปรงขัดออก

ถ้าใช้ล้างหน้าต่างอลูมิเนียม ก็ให้ใช้แปรงเปียกๆ จิ้มลงในผงฟูแล้วเอามาขัดออก และใช้
ฟองน้ำหรือผ้านุ่มๆ ล้างให้สะอาด หรือ

ถ้าใช้ทำความสะอาดงานไม้ ฝาหนัง หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ก็ได้เช่นกัน (ใช้ผงฟูผสมกับน้ำ
ส้มสายชูและน้ำอุ่น) ถ้ามีรอยด่างเป็นวงหรือรอยจุกบนเฟอร์นิเจอร์ไม้ หากเกิดความร้อน
บางครั้งก็อาจขัดออกได้ด้วยการผสมกับยาสีฟันและผงฟูอย่างละเท่ากัน แล้วใช้ผ้านุ่มๆ เช็ด
ออกอย่างเบาๆ และยัง

ใช้ในผลิตภัณฑ์ขัดเงาได้อีกด้วยหากจำเป็น นอกจากนี้ยังใช้ขจัดคราบหยดน้ำบนพื้นไม้ได้
อีกด้วย ด้วยการใช้ผงฟูกับผ้าขี้ริ้วหมาดๆ แล้วเช็ดออก แต่จงจำไว้ว่าเครื่องเรือนที่ทำจากไม้
ไม่ควรทำให้เปียก

ใช้ทำความสะอาดพื้นผิวที่มีคราบสกปรก (สำหรับพื้นผิวแข็งๆ เช่น พื้นครัว พื้นห้องน้ำ
อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ) ให้ละลายเบกกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำอุ่น 4 ถ้วย แล้วนำ
มาเช็ดทำความสะอาด แล้วค่อยล้างออกอีกครั้งหนึ่ง

ในกรณีที่มีคราบสกปรกที่ทำความสะอาดได้ยาก ก็ให้ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำอุ่นในปริมาณ
ที่เท่ากันจนข้นเป็นแป้ง แล้วนำมาพอกทิ้งไว้บริเวณที่คราบสกปรกประมาณ 1 ชั่วโมง แล้ว
ค่อยเช็ดออก

หรือจะใช้ฟองน้ำเปียกๆ เช็ดผงฟูเพื่อใช้เช็ดคราบสีเทียนที่ติดบนผนัง ดินสอ ปากกา
มาร์คเกอร์ รวมทั้งคราบน้ำมันได้ด้วย โดยให้เช็ดถูเบาๆ

แต่ถ้าเป็นคราบน้ำหมึกที่ติดบนเสื่อน้ำมัน ก็ให้ใช้ผงฟูข้นๆ ป้ายบริเวณรอยหมึกทิ้งไว้จนแห้ง
สักครู่ก่อนจะเช็ดออก แล้วใช้ผงฟูใหม่ๆ ขัดออกอีกครั้งหนึ่ง

แต่ถ้าใช้เพื่อเช็ดถูคราบสกปรกที่เกิดจากรอยลากไปมาบนพื้นเสื่อน้ำมัน ก็ให้ใช้ผงฟูผสม
กับน้ำเปียกๆ ข้นๆ แล้วนำมาเช็ดถูบริเวณที่เป็นรอย

ใช้ทำความสะอาดคราบที่เกิดจากกรด (กรดจากแบตเตอรี่ ปัสสาวะ หรือคาบอาเจียน)
อย่างแรกให้ทำความสะอาดด้วยการใช้น้ำเย็นซะออกแรงๆ โดยทันทีถ้าเป็นไปได้ จากนั้นจึง
ทำให้เกิดสภาพความเป็นกลางโดยใช้ผงฟู

หากใช้ผงฟูสัก 1 ถ้วยตวง เทลงในโถส้วมหรือท่อน้ำทิ้งเป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง ก็จะช่วยคง
สภาพความเป็นกรดและด่างได้ เพราะสภาพความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมจะช่วยทำให้
แบคทีเรียแตกตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันการตกค้างและ
การอุดตันได้

ใช้ทำความสะอาดผนังที่มีคราบเขม่าควันดำ (ใช้เศษผ้าชื้นๆ และผงฟูละลายเข้มข้น นำมา
เช็ดถู) หรือใช้ทำความสะอาดเครื่องประดับลวดลายลูกไม้ประเภทต่างๆ

ใช้ทำความสะอาดแป้นพิมพ์ดีด ด้วยการใช้แปรงสีฟันขนอ่อนๆ ขัดโดยใช้ผงฟู 4 ช้อนโต๊ะที่
ละลายกับน้ำ 1 ถ้วยตวง จากนั้นให้ใช้กระดาษชำระเช็ดออก

การใช้ผงฟูอย่างสม่ำเสมอยังช่วยป้องกันไม่ให้แทงค์คอนกรีตหรือแทงค์ที่ทำจากโลหะผุกร่อน
ได้ง่ายอีกด้วย โดยเฉพาะในบริเวณของฝาแทงค์ที่ต้องสัมผัสกับไอระเหยที่ผุกร่อนได้ง่าย

เราสามารถใช้ผงฟูผสมกับน้ำเพียงเล็กน้อยให้เปียกข้น แล้วนำมาใช้อุดรูตามผนังที่มีรอยปูน
แตกร้าว เพื่อซ่อมแซมเป็นการชั่วคราวได้ เพราะถ้ามันแห้งแล้วจะดูกลมกลืนเข้าไปกับฝา
ผนังปูนพลาสเตอร์ขาว

ใช้ทำน้ำยาดับกลิ่นพรม ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย นำมาผสมกับแป้งข้าวโพด
1/2 ถ้วย แล้วหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไปประมาณ 15 หยด จากนั้นนำมาใส่
ขวดสเปรย์ใช้ก่อนนำมาใช้ฉีดบนพื้นพรมก่อนนอนทิ้งไว้จนเช้า จะช่วยทำให้กลิ่นพรม
สะอาดสดชื่นขึ้น หรืออีกวิธีให้โรยเบกกิ้งโซดาให้ทั่ว แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
แล้วค่อยดูดออกด้วยเครื่องดูดฝุ่น

ใช้ทำความสะอาดพรม ด้วยการใช้ผงฟูผสมกับน้ำอุ่น 1 แกลลอน หรือจะนำมาซักในถุงน้ำ
ก็ได้ แต่ถ้าจะทำความสะอาดเฉพาะบริเวณที่มีคราบสกปรกโดยการแปรงด้วยมือ ก็ให้โรยผง
ฟูเล็กน้อยลงบนคราบ ทิ้งไว้สักครู่ก่อนจะเช็ดออกด้วยฟองน้ำหรือผ้าโดยเฉพาะ

หากพรมเปื้อนคราบน้ำมัน ให้เทน้ำที่ผสมกับเบกกิ้งโซดาลงไปตรงบริเวณที่เป็นคราบ แล้ว
ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง คราบก็จะจางลง หลังจากนั้นให้ใช้น้ำผสมกับเบกกิ้งโซดา
เช็ดทำความสะอาดซ้ำอีกครึ่งหนึ่ง

หรือถ้าใช้ขจัดคราบไวน์หรือคราบสกปรกมันบนพรม ก็ให้ใช้ผงฟูโรยบางๆ ทันทีที่มีรอย
เปื้อน ทำซ้ำหรือค่อยๆ เติมผงฟูใหม่อีกครั้งถ้าจำเป็น แล้วทิ้งไว้สักพักจนกว่าผงฟูจะดูดซับ
คราบสกปรก แล้วค่อยใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออกให้หมด

ใช้ทำเป็นน้ำยาทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์ ด้วยการเทเบกกิ้งโซดา 1/2 กล่อง ลงในถัง
น้ำหลังชักโครกทิ้งไว้ 1 คืน แล้วจึงค่อยกดชักโครก จะช่วยทำให้ถังและชักโครกสะอาดและ
ปราศจากกลิ่นได้

หากรองเท้ามีกลิ่นเหม็นที่เกิดจากการหมักหมมมานาน ให้นำเบกกิ้งโซดามาโรยในรองเท้า
แล้วนำรองเท้าคู่นั้นมาใส่ในถุงพลาสติดรัดให้แน่น แล้วนำไปแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น
ประมาณ 1-2 คืน แล้วค่อยนำรองเท้าออกมาทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง

หลังจากนั้นนำรองเท้าไปสลัดผงเบกกิ้งโซดาออกให้หมดแล้วนำมาสวมใส่ได้เลย แต่ถ้ายังไม่
นำมาสวมใส่ทันทีก็ให้ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นก่อนจนกว่าจะนำมาสวมใส่ หรือจะใช้กระดาษ
หนังสือพิมพ์ที่ขยำเป็นก้อนๆ มาใส่ไว้ในรองเท้าอีกก็ได้ (หมึกของกระดาษหนังสือพิมพ์จะ
ช่วยดูดกลิ่นและยังทำให้รองเท้าอยู่ทรงอีกด้วย)

ช่วยแก้ปัญหากลิ่นในรถ และกลิ่นบุหรี่ในรถ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดานำมาโรยลงไปที่ก้นที่ใช้
เขี่ยบุหรี่ในรถ เบกกิ้งโซดาจะช่วยดับกลิ่นได้ แต่ก็ต้องนำมันออกมาทำความสะอาดด้วยการ
เทขี้เถ้าทิ้ง แล้วให้โรยผงเบกกิ้งโซดาไว้ที่ถาดเสมอๆ

ใช้ดับกลิ่นท่อและแก้ปัญหาท่อตัน ด้วยการเทเบกกิ้งโซดาลงไปในท่อประมาณ 1 ถ้วยก่อน
แล้วให้ใส่เกลือแกงประมาณ 1/4 ถ้วยลงไป แล้วตามด้วยน้ำร้อน จะทำให้ท่อไม่ตันและ
ปราศจากกลิ่น

ใช้ดับกลิ่นอับในตู้เย็น ตู้กับข้าว ตู้รองเท้า ห้องทาสีใหม่ หรือใช้ในโรงงาน เพื่อขจัดกลิ่นสี
กลิ่นสารระหาย กลิ่นน้ำยาต่างๆ ฯลฯ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดานำมาเปิดฝากล่องด้านบนออก
ให้หมดหรือเทใส่ถ้วย แล้วนำมาทิ้งไว้ด้านในสุดของตู้เย็น (เปลี่ยนทุกๆ 3 เดือน)

เบกกิ้งโซดาจะช่วยดูดกลิ่นอับในตู้เย็นได้ แต่ถ้าเป็นตู้กับข้าว ตู้รองเท้า ห้องทาสีใหม่ ฯลฯ
ก็ให้เทใส่จานหรือถาดหรือนำไปโปรยในบริเวณที่มีกลิ่นเหม็นอับ (ปิดห้อง ปิดตู้ให้สนิทด้วย
ละครับ) แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้มันดูดกลิ่นประมาณ 1-2 วัน


ใช้กำจัดกลิ่นเหม็นอับตกค้างบนไม้ถูพื้นหรือไม้กวาด ด้วยการนำไม้ถูพื้นมาแช่ในน้ำ 1 ถัง
ที่ละลายกับผงฟู 4 ช้อนชา แต่ให้แช่หลังจากที่ทำความสะอาดสิ่งสกปรกออกไปแล้ว หลัง
แช่เสร็จให้นำมาตากให้แห้ง

ใช้ดับกลิ่นแมว ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาเทลงไปใน Litter box หรือห้องน้ำของแมว ก่อนที่
จะใส่ Litter หลังจากนั้นทุกครั้งที่จะทำความสะอาด Litter box พอตักอึแมวไปแล้วก็ให้
เอาเบกกิ้งโซดาโรยนิดๆ ที่บ้านเพื่อเป็นการกลบกลิ่น

ใช้ดับกลิ่นอับของเสื้อผ้า ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาครึ่งถ้วยหรือประมาณ 8 ช้อนโต๊ะ นำมา
ผสมกับผงซักฟอกชนิดน้ำในปริมาณที่จะใช้ แทนที่เราจะใช้สารฟอกขาวชนิดคลอไรด์ 1
ถ้วยเต็มๆ แต่เราสามารถใช้เบกกิ้งโซดาเพียงครึ่งถ้วยเพื่อใช้แทนได้ แต่ถึงเบกกิ้งโซดาจะใช้
ซักเสื้อได้ แต่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่ากับผงซักฟอก เบกกิ้งโซดาจึงเป็นเพียงส่วนเสรมที่
นำมาใช้ทำให้ผ้าสะอาดมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ภาชนะหรือกระเป๋าเดินทางของคุณมีกลิ่น
เหม็นอับชื้นจากเชื้อรา ด้วยการโรยผงฟูลงบนภาชนะข้าวของเครื่องใช้ก่อนที่จะเก็บเข้าที่เข้า
ทางอย่างมิดชิด

หรือจะใช้โรยลงในโถส้วม อ่างล้างจาน อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ หรือโรยบนฝักบัวทิ้งไว้หาก
เราจะหยุดใช้ชั่วคราวในกรณีที่ไปพักร้อน

หรือจะใช้ขจัดกลิ่นเหม็นอับของผ้าห่ม ผ้านวม หลังจากที่เก็บไว้นานๆ ก็ให้โรยผงฟูลงบนผ้า
นั้นแล้วม้วนเก็บทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วค่อยสะบัดออก หรือจะนำมาใช้ขจัดกลิ่นตก
ค้างบนผ้าปูโต๊ะด้วยการนำมาผ้าปูโต๊ะมาแช่ในน้ำนะลายผงฟูก็ได้

ใช้ทำเป็นน้ำยาซักผ้าขาว
สูตรที่ 1
ให้ใส่ผงเบกกิ้งโซดา1/2 ถ้วยลงในเครื่องซักผ้าพร้อมกับน้ำยาซักผ้า วิธีนี้จะช่วยทำให้ผ้า
ขาวและสีสดขึ้นได้

ส่วนสูตรที่ 2
ให้ใช้ตอนซักผ้า โดยให้ใส่เบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วยลงไปในน้ำสุดท้ายที่กำลังจะล้างฟองออก
ก็จะช่วยทำให้ผ้ามีกลิ่นสะอาดยิ่งขึ้น

ใช้ล้างแปรงและหวี ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา นำมาผสมกับน้ำอุ่นในชามอ่างเล็กๆ
แล้วนำแปรงหรือหวีมาแช่ทิ้งไว้ แล้วนำมาล้างอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยทำให้คราบต่างๆ ที่ติด
อยู่ตามซอกหลุดออกมาได้โดยง่าย

ใช้ทำความสะอาดที่ดัดฟัน (Retainers) ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนชาผสมกับน้ำ
อุ่น 1 ถ้วยแล้วนำที่ดัดฟันมาแช่ทิ้งไว้สักพัก แล้วค่อยเอาแปรงขัดคราบออกอีกครั้งหนึ่ง

ใช้ปรับสภาพของสระว่ายน้ำหรือตู้ปลาให้มีความเป็นกลาง เนื่องจากการเติมคลอรีนมาก
เกินไปและทำให้สระว่ายน้ำมีความเป็นกรดมากเกินไป

หมายเหตุ : เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) กับผงฟู (Baking
Powder) แม้ว่าจะมีคุณสมบัติบางอย่างที่คล้ายกัน แต่บางครั้งมันก็เอามาใช้แทนกันไม่ได้นะจ๊า
อันนี้ก็ต้องดูให้ดีๆ ก่อนจ้า




(9) ทำน้ำหมักชีวภาพยับยั้งเชื่อรา ใช้เอง
จากผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการของสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร ของกรมวิชาการ
เกษตร โดยใช้น้ำหมักชีวภาพมากถึง 115 ชนิดด้วยกัน

น้ำหมักชีวภาพชนิดนี้ มีคุณสมบัติที่ยับยั้งเชื้อราได้ด้วย เพื่อยับยั้งการพัฒนาและการเจริญ
เติบโตของเชื้อรา Phytophthora palmivora ซึ่งเป็นสาเหตุของโรครากเน่า โคนเน่า
ของทุเรียน ลองกอง ส้ม ลำไย มะละกอ และโรคใบร่วงของยางพารา

สูตร น้ำหมักยับยั้งเชื้อรา Phytophthora palmivora
(1) น้ำหมักที่ได้จาก กล้วยน้ำว้าสุก และกากน้ำตาล อัตราส่วน 3 :1 ใช้น้ำหมัก
600 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร

(2) น้ำหมักที่ได้จากการหมัก ข่าแก่ + ตะไคร้หอม + สะเดา + ใบยูคาลิบตัสแก่ + ใบ
และผลมะกรูด + เปลือกสับปะรด +ผล มะเฟือง + ผลลูกยอแก่ โดยผสมวัสดุที่กล่าวข้าง
ต้น 3 ส่วนกับกากน้ำตาล 1 ส่วน ใช้น้ำหมักดังกล่าว 300 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร

(3) น้ำหมักชีวภาพที่ได้จากการหมัก ผักบุ้ง + หญ้าข้าวนก โดยผสมผักบุ้งกับหญ้าข้าว
นก 3 ส่วน หมักกับกากน้ำตาล 1 ส่วน เมื่อใช้น้ำหมักดังกล่าว 2000 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร

รวมน้ำหมัก 3 อย่าง 600 + 300 + 2000 = 2900 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร

สูตรน้ำหมักสมุนไพรยับยั้งเชื้อรา Collectotrichum gloeosporioides
การเจริญเติบโตของเชื้อรา Collectotrichum gloeosporioides ซึ่งเป็นสาเหตุของ
โรคแอนแทรคโนส (โรคกุ้งแห้ง) ของพริก ไม้ผล มะม่วง ทุเรียน ฝรั่ง มะละกอ หอมหัว
ใหญ่ กล้วยไม้ ผัก ไม้ดอกไม้ประดับ หลายชนิด พบว่าน้ำหมักชีวภาพที่สามารถยับยั้งการ
เจริญเติบโตของเชื้อราสาเหตุของโรคนี้ได้ 100 % คือ

1) ถั่วแขก 3 ส่วน หมักกับการน้ำตาล 1 ส่วน โดยใช้น้ำหมักที่ได้ 300 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร
2) กล้วยน้ำว้าสุก 3 ส่วนหมักกับกากน้ำตาล 1 ส่วน โดยใช้น้ำหมักที่ได้ 600 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร
3) ลูกตาเสือ 3 กก + หางไหล 5 กก + หนอนตายอยาก 5 กก + กากน้ำตาล 1.5 กก
โดยใช้น้ำหมักที่ได้ 30 ซีซีผสมกับน้ำ 20 ลิตร

(หนูหริ่ง หมายเหตุ) ลูกตาเสือ จะเป็นลูกยอหรือเปล่า ไม่แน่ใจจ้า เพราะลูกยอ
ภาษาเหนือเรียกว่า หน่วยมะตาเสือจ้า


4) ข่าแก่ + ตะไคร้หอม + สะเดา + ใบยูคาลิบตัสแก่ + ใบและผลมะกรูด + เปลือก
สับปะรด + ผลมะเฟือง + ผลลูกยอแก่ รวมๆ กัน 3 ส่วน หมักกับกากน้ำตาล 1 ส่วน
โดยใช้น้ำหมักที่ได้ 200 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร

5) ผักบุ้งและหญ้าข้าวนก 3 ส่วนหมักกับ กากน้ำตาล 1 ส่วน โดยใช้น้ำหมักที่ได้
2000 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร

6) ตะไครัหอม + หัวข่า + สาบเสือ รวมๆ กัน 3 ส่วน หมักกับกากน้ำตาล 1 ส่วน โดย
ใช้น้ำหมักที่ได้ 100 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร

รวมน้ำหมัก 6 อย่าง 300 + 600 + 30 + 200 + 2000 + 100 = 3230 ซีซี
ผสมน้ำ 20 ลิตร

การทดลองนี้ทำแค่ในห้องปฏิบัติการเบื้องต้น ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาไปอีก ไม่แน่ว่าใน
อนาคตอาจจะมีการผลิตน้ำหมักพวกนี้ ขายแทนสารเคมีที่ใช้ในการป้องกันกำจัดเชื้อราโรค
แอนแทรคโนส ซึ่งเป็นทางเลือกของการเกษตรแบบอินทรีย์อีกทางหนึ่ง ซึ่งเกษตรกรสามารถ
นำไปพัฒนาต่อยอดได้ เพราะการทำน้ำหมักชนิดต่างๆ ของเกษตรกรจะไม่ค่อยมีความแน่
นอนของสูตรที่ผสม และระยะเวลาการหมักก็ไม่แน่นอน

แต่อย่างไรก็ตามท่านที่สนใจจะลองนำไปใช้ก็จะได้มีแนวทางที่ค่อนข้างชัดเจน กับสูตรน้ำ
หมัก หรือการทำน้ำ em กันแล้วง่ายๆ มีประโยชน์มากมาย

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากเว็บ
Read more at: http://www.kasetorganic.com/
Copyright &copy; http://www.kasetorganic.com/



(10) ต้นน้ำนมราชสีห์...รักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน

อาการนอนแล้วรู้สึกว่าบ้านเอียงไปมา ถึงกับจะทำให้ตกเตียง
วิธีรับประทาน....
1 นำต้นน้ำนมราชสีห์ล้างให้สะอาด
2 ผึ่งแดดให้เหี่ยว แล้วเอามาตัดท่อนเล็กๆ
3 นำไปตากแดดจนแห้ง
4 นำไปคั่วจนเหลือง ทิ้งให้เย็นเก็บใส่ขวดหรือภาชนะที่อากาศเข้าไม่ได้
5 ใช้ประมาณ 1 ขยุ้มมือ ชงกับน้ำร้อนแบบชงชาดื่ม

ภายใน 1 สัปดาห์อาการจะดีขึ้น

ขอบคุณที่มา..ลุงเข่ง คีรีขันธ์



(11) กับดักแมลง...จากขวดพลาสติก…ทำเองได้...ประหยัดเงินในกระเป๋า...
พูดถึงเรื่องเอาขวดพลาสติกมาทำของใช้ต่างๆที่เป็นประโยชน์แล้วหลายเรื่อง วันนี้จะพูดถึง
การเอาขวดพลาสติกมาทำเป็นเครื่องมือกำจัด แมลงวัน ยุง กันหน่อย ทำง่ายๆไม่ต้องเสีย
เงินซื้อ แต่คงไม่ลดปัญหาเรื่องขยะเท่าไรนัก เพราะเมื่อดักแมลงจนเต็มแล้ว ก็ทิ้งไปเลย การ
นำกลับมาใช้ใหม่คงไม่คุ้มกับการล้างทำความสะอาด

วิธีทำ
เอาขวดน้ำอัดลม หรือขวดน้ำมาตัดส่วนบนของขวดออก แล้วเอาปากขวดใส่กลับลงไปใน
ขวดที่ตัดแล้ว เสร็จแล้วจะเอาเทปกาวหรือเทปใสหรือกาวมาทำให้ขวดทั้งสองส่วนติดกัน
ตามรูป ตรวจสอบให้ดีว่าให้ตัวขวดและปากขวดแนบกันสนิทอย่างให้มีช่องว่าง เพราะตัว
แมลงจะหนีออกมาได้ แต่อย่าลืมเปิดฝาจุกขวด จากนั้นก็หาเหยื่อมาใส่ลงไปในขวดเพื่อล่อ
แมลงมาลงไปในขวด เมื่อลงไปแล้วจะบินกลับขึ้นมาไม่ได้

ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- ถ้าจะดักแมลงวัน ให้ใช้ขวดพลาสติกใส ส่วนเหยื่อล่อให้ใช้ ไส้ปลา หัวปลาสดๆ ที่กลิ่น
คาวจัดๆ ใส่ลงไป แล้วเอาไปตั้งไว้บริเวณที่มีแมลงวันเเยอะๆ แมลงวันเมื่อลงไปแล้ว เห็นแสง
จากข้างนอกจะพยายามบินไปข้างขวด แทนที่จะบินกลับไปตามทางที่บินเข้ามา

- ถ้าจะดักยุงให้เอา ยีสต์ที่ผสมขนมปัง 1 ข้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำตาลทราย 10 ช้อนโต๊ะ แล้ว
เติมน้ำอุ่นๆ เทลงไปในกับดัก แต่อย่าให้ระดับน้ำสูงใกล้กับปากขวด จะทำให้ยุงบินกลับขึ้น
มาง่าย ยีสต์จะทำปฏิกิริยากับน้ำตาลทรายแล้วเกิดก๊าซ คล้ายกับที่คนหายใจออกมา จะล่อ
ให้ยุงบินมา สำหรับดักยุงควรใช้ขวดสีเขียวหรือสีชาจะทำให้ยุงชอบมากกว่าขวดใสๆ

ที่มา : travelandgetrich.wordpress.com/…/01/กับดักแมลงจากขวดพลาสติก/เกษตรกรก้าวหน้า



(12) ทำน้ำหมักจาวปลวกกัน...รับรองปลูกพืชแล้วงาม
ความรู้การทำน้ำหมักจาวปลวก
จาก อ.กมล พรหมมาก ซึ่งมีประโยชน์มากๆ

เชื้อ แบคทีเรียโปรโตซัว จากจาวปลวก มีประสิทธิภาพสูงกว่า พด.1 และดีกว่าการหมักพืช
จากกากน้ำตาล ช่วยลดต้นทุนได้มาก ได้มาฟรีๆ ถ้าเราใส่ใจตั้งใจที่จะลงมือทำ ไม่มีขายในท้องตลาด

...ขั้นตอนการบ่มเพาะเชื้อโปรโตซัว จากจาวปลวก
1. ไปขุดดินปลวกใหญ่ เอาเฉพาะจาวปลวก ประมาณครึ่ง ก.ก. เคาะๆให้ตัวปลวกออกให้
หมด(จาวปลวก คือ รังของปลวกสีขาวขุ่น คล้ายปะการังหรือมันสมอง)

2. นำจาวปลวกที่ได้มาบ่มเพาะเลี้ยงเชื้อให้แข็งแรง ด้วยการพ่นน้ำซาวข้าว พอให้ชื้นๆ
60% ใส่ในกระติกน้ำแข็ง ปิดฝา วางกลางแดด วันละ 4-5 ชม. นาน 2-3 วัน

3. เปิดดูกระติกจะเห็นการเดินเชื้อโปรโตซัวเป็นเส้นใยสีขาว คล้ายนุ่น หรือสำลี
4. นำเชื้อโปรโตซัวไปเลี้ยงขยายต่อ ด้วยการเอาข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้ว มาคลุกเคล้ากับเชื้อ
โปรโตซัวจาวปลวก ในอัตรา 1:1

5. เติมน้ำซาวข้าว ประมาณ 20 ลิตร ใส่แกลลอนหรือถังหมัก ปิดฝาทิ้งไว้ 7 วัน นำไปใช้
เป็นหัวเชื้อแช่ขยะเปียก หรือหมักหน่อกล้วย ดีกว่าการใช้กากน้ำตาล เพราะย่อยสลายเร็วมาก

6. ถ้านำไปแช่กับขยะเปียก ให้ใช้หัวเชื้อโปรโตซัว ประมาณ 1 ลิตร เอาน้ำซาวข้าวใส่ ขยะ
เปียก เปลือกผักผลไม้ น้ำล้างจาน เศษอาหาร ใช้ไม้กดขยะลงไปให้จมทุกวัน 3 วันขึ้นไปนำ
ขยะเปียกที่แช่โปรโตซัวแล้วไปใช้หมักดินกับหญ้า ใบไม้ได้

7. การนำขยะเปียกที่แช่เชื้อฯ แล้วไปใช้ อย่านำไปทั้งหมดถังหมักขยะ ให้เหลือไว้ 20%
ของถัง เพื่อจะได้เดินเชื้อ หรือต่อเชื้ออีก ในการนำขยะมาเติมในวันถัดไป เราก็ไม่ต้องไปเริ่ม
ต้นทำเชื้อโปรโตซัวอีกเลย เป็นวิธีการเดียวกับกระเพาะคนเรา ที่มีเชื้อจุลินทรีย์ในระบบทาง
เดินอาหารอยู่ตลอดเวลา ...

ผู้ค้นพบและจดสิทธิบัตรไว้ คือ อ.จักรภฤต บรรเจิดกิจ แห่งโรงเรียนชาวนาพิจิตร ที่ไม่มี
ขายในตลาดเพราะเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่อนุญาต อ.จักรภฤต มีความประสงค์ให้เกษตรกรทำ
ใช้เอง ไม่ต้องไปซื้อเป็นการเพิ่มทุนการผลิต เพราะทำได้ง่ายมากๆ ง่ายกว่าข้อมูลที่นำเสนอ
มาข้างบน

อาจารย์ได้แนะนำไว้ ดังนี้
นำข้าวสารมา 5 ก.ก.หุงให้แข็งๆหน่อย ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น เมื่อเย็นแล้ว
นำจาวปลวกมา 1 กำมือ คลุกกับข้าวสุกที่หุงไว้
จากนั้นนำไปใส่ถัง 200 ลิตร ที่สะอาด เติมน้ำสะอาดไปค่อนถัง (ต่ำกว่าปากถังคืบหนึ่ง)
คลุมด้วยถุงปุ๋ยรัดให้เรียบร้อย 7-10 วัน จะเห็นฟองขึ้นเต็มผิวน้ำในถัง ก็นำไปใช้ได้เลย ง่ายๆ

(รายละเอียดเพิ่มเติมให้เปิดยูทูบ พิมพ์คำว่า "จุลินทรีย์จาวปลวก" แล้วชมการบรรยาย
จากผู้คนพบ/เจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรง)



(13) ยาแผนโบราณ "ยาแก้ปวด" ตำรับยาสมุนไพรจากวัดโพธิ์ ท่าเตียน
ส่วนผสมตามตำรายาสมุนไพรวัดโพธิ์
ใบมันเทศ 3 กำมือ + น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ
นำใบมันเทศตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำส้มสายชู ใช้สำหรับทา และ พอกบริเวณที่ปวด
เช่น ปวดหัวเข่า ปวดข้อมือ ปวดตามข้อ ฯลฯ

ขอบคุณที่มา..วัดหนองรั้ว พระอธิการ นพดล กันตสีโล พุทธศรัทธาธรรม



(14) สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน
1. ตังกุย
มีผลช่วยในการดูแลสุขภาพของมดลูกผู้หญิงเราโดยตรงทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี
12 และมีกรดโฟลิกสูง ซึ่งช่วยบำรุงเลือดได้อย่างดี ถ้าหากทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการ
ปวดท้อง ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนของผู้หญิงได้อีกด้วย

2. ใบตำลึง
มีแมกนีเซียมและธาตุเหล็กที่ช่วยไม่ปวดเกร็งกล้ามเนื้อหรือลดอาการตะคริว จึงมีส่วนช่วยใน
การลดอาการปวดเกร็งช่วงท้องได้ด้วย นอกจากนี้แมกนีเซียมยังพบได้อีกในเนื้อสัตว์ และตับหมู

3.กระชาย
สรรพคุณ
1. บำรุงกระดูก(เพราะมีแคลเซียมสูง)
2. บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น
3. ปรับสมดุลของฮอร์โมน
4. ปรับสมดุลของความดันโลหิต(ความดันโลหิตที่สูงจะลดลง ความดันโลหิตที่ต่ำจะสูงขึ้น)
5. แก้โรคไต ทำให้ไตทำงานดีขึ้น
6. ป้องกันไทรอยด์เป็นพิษ
7. บำรุงมดลูก
8. แก้ปัญหาผมหงอก ผมร่วง
9. อาการกระเพราะปัสสาวะเกร็ง(กรณีนี้อาจใช้เม็ดบัวต้มกิน)
10. ควบคุมไม่ให้ต่อมลูกหมากโต
11. แก้ปัญหาใส้เลื่อน

ที่มา..https://www.facebook.com/media/set/…



(15) ตะไคร้แกง
สตรีที่ยังมีประจำเดือน อยู่ และมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงระหว่างช่วงดังกล่าวเป็นประจำ
ทำงานทำการอะไรแทบไม่ได้ ในทางสมุนไพรมีวิธีช่วยบรรเทาได้ คือ.....

ให้เอา ต้น “ตะไคร้แกง” แบบสดจำนวน 5 ต้น ล้างน้ำให้สะอาด ทุบให้แตกต้มกับน้ำ 1
ลิตร ใส่เกลือป่นลงไปเล็กน้อยจนเดือด ดื่มขณะปวดท้องตอนมีประจำเดือนครั้งละ 1 แก้ว
3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น จะบรรเทาอาการปวดให้ลดลงและไม่ปวดได้ในที่สุด

ตะไคร้แกง หรือ CYMBOPOGON CITRATUS (DC.EXNEES) STAPF. อยู่ใน
วงศ์ GRAMINAE สรรพคุณเฉพาะทั้งต้นเป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ
และแก้อหิวาตกโรค หัว รักษาเกลื้อน คั่วพอเหลืองชงน้ำร้อนดื่มแก้นิ่ว ท้องอืดเฟ้อ ใบสด
ช่วยลดความดันโลหิต ราก แก้ท้องเสีย เป็นยาแก้ไข้เหนือ ต้น ขับลม เบื่ออาหาร แก้ผม
แตกปลาย

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก “นายเกษตร”



(16) วิธีไล่หนู!! รวมวิธีกําจัดหนู สารพัดเทคนิคง่ายๆ
วิธีกําจัดหนูให้หมดไปจากบ้านของคุณ

เลี้ยงแมวไว้เป็นเพื่อนของคุณสิ
แมวกับหนูเรารู้ๆ กันอยู่แล้วนะคะว่าเค้าไม่ค่อยจะถูกกันซักเท่าไหร่ การที่คุณเลี้ยงเจ้าแมว
เหมียวไว้ในบ้าน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยดูแลสอดส่องไม่ให้หนูเข้ามาเพ่นพ่านในบ้านคุณ
ได้ และหนูก็ไม่ค่อยอยากจะเข้าไปในบ้านที่มีแมวอยู่ด้วยสิ เพียงแค่ได้กลิ่นก็วิ่งหนีแล้วหล่ะ

ไล่หนูด้วยลูกเหม็น
ให้เอาลูกเหม็นไปวางไว้ตามทางเดินของหนู ตามขอบผนัง ใต้เพดาน หรือมุมอับข้างตู้ พื้นที่
เหล่านี้หนูมักจะใช้เป็นทางเดิน ให้เอาลูกเหม็นไปวางไว้ในพื้นที่เหล่านี้เลยนะครับ เมื่อหนู
เดินมาเจอ มันจะไม่อยากเข้าใกล้เลยหล่ะครับ และมันจะไม่อยากจะมาผ่านอีก เพราะฤทธิ์
ของลูกเหม็นนี่เอง

ใช้ประทัดจุดไล่หนูให้ออกไปจากบ้าน (จุดในกรุงเทพฯ คงสนุกละจ้า)
นิสัยของหนูอีกอย่าง ก็คือ มันจะตกใจเวลาเสียงดัง มันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ถ้าสถานที่ใดมี
เสียงดังมากๆ จนมันตกใจ วิธีนี้ให้เอาประทัดจุดใกล้ๆ กับบริเวณที่หนูทำรังอยู่ จะทำให้หนู
ย้ายไปอยู่ที่อื่นครับ แต่หากจะจุดประทัด ต้องดูความเหมาะสมด้วยนะครับ และต้องใช้ความ
ระมัดระวังเป็นพิเศษ

สูตรเด็ด!! วิธีไล่หนูด้วยทรายจากที่ปัสสาวะแมว
ถ้าบ้านคุณไม่เลี้ยงแมว ก็ให้ไปขอทรายจากกระบะที่ปัสสาวะแมว ของบ้านคนที่เค้าเลี้ยงแมว
ได้เลยนะครับ บางทีอาจจะให้กันฟรีๆ นี่แหล่ะครับ ในทรายนั้นจะมีกลิ่นปัสสาวะของแมวอยู่
คละคลุ้ง ซึ่งหนูจะไม่กล้าเข้ามาใกล้แน่นอน เพราะกลิ่นของแมวมีอยู่เต็ม ทรายนี้เมื่อได้มา
แล้วให้ห่อด้วยผ้าเศษ มัดให้แน่นแล้วเอาขึ้นไปวางไว้บนฝ้าเพดานได้เลย ต่อจากนี้คุณจะไม่
ได้ยินเสียงหนูวิ่งบนเพดานให้รำคาญอีกต่อไป…(นอนดมกลิ่นฉี่แมวไปด้วย
หลับฝันดีนะจ๊า)


กำจัดหนูด้วยการใช้กรงดักหนู
ให้คุณซื้อกรงดักหนูที่มีขายทั่วไป แล้วเอามาใส่เหยื่อ ซึ่งเหยื่อเราอาจจะใช้ หัวปลาปิ้ง ปูปิ้ง
ถั่วลิสง มาใช้เป็นเหยื่อล่อ แล้วเอากรงไปวางดักไว้ตามมุมอับของห้อง ข้างๆ กำแพง หลังตู้
หรือบริเวณห้องเก็บของ ซึ่งบริเวณดังกล่าวมักจะมีหนูเข้ามาอยู่อาศัยและใช้เป็นทางเดินกัน
มากมาย เมื่อเราได้หนูที่ติดกับดักแล้ว ก็เอาไปปล่อยในพื้นที่ ที่ใกลจากบ้านคน อาจจะเป็น
ชายป่า หรือพื้นที่โล่งกว้างก็ได้ครับ...(หนูนาที่ย่างขายตามข้างทางนั่น
แหละจ้า ชัวร์ ใช่เลยจ้า)


ส่วนผสมที่ลงตัว สำหรับการไล่หนู น้ำมันสะระแหน่ + น้ำมันระกำ

ให้คุณเอาน้ำมันสะระแหน่มา 9 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันระกำอีก 1 ช้อนโต๊ะ มาผสมให้เข้ากัน
แล้วหาฝาเครื่องดื่มต่างๆ มาหลายๆ อัน เราจะหยอดส่วนผสมนี้ลงใส่ในฝา แล้วเอาไปวาง
ตามทางเดินของหนู เพียงเท่านี้กลิ่นของน้ำมันสะระแหน่ และน้ำมันระกำก็จะทำให้หนูเหม็น
จนไม่กล้าเข้ามาเดินผ่านทางนั้นอีกเลย

ทำความสะอาดบ้านให้บ่อย อย่าปล่อยให้บ้านรก
การที่คุณไม่ได้จัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในบ้านให้เป็นระเบียบ นั่นเป็น
สัญญาณว่าหนูจะเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นควรจะจัดบ้าให้สะอาด เพื่อไม่ให้
หนูสามารถซ่อนตัวหรืออยู่อาศัยได้นั่นเอง

วิธีไล่หนูในบ้านด้วยน้ำมันก๊าด
ให้เอาฝาเครื่องดื่มชูกำลัง เช่น ฝาบาว ฝาหลาม ฝาทิงแดง หรืออื่นๆ มาเตรียมไว้หลายๆ
ฝา แล้วไปซื้อน้ำมันก๊าดมาแบ่งใส่ฝาเหล่านั้น ฝานึงก็ใส่ซักครึ่งนึงก็พอครับ เพียงให้มีกลิ่น
เท่านั้นเอง แล้วเอาไปวางตามทางเดินของหนูได้เลย กลิ่นของน้ำมันก๊าดเป็นอะไรที่หนูไม่
ชอบเลยหล่ะ แล้วมันจะอพยพหนีออกจากบ้านคุณไป

ใช้สเปรย์ไล่หนู ” ลีโอแรท “
สเปรย์ลีโอแรท เราสามารถซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรไล่หนูที่ปลอดภัย
ต่อมนุษย์ ให้คุณใช้มาฉีดพ่นตามผนัง มุมอับ และฝ้าเพดาน ฤทธิ์ของน้ำยาชนิดนี้จะไม่ทำ
ให้หนูมากวนใจคุณ เพราะหนูไม่ชอบสมุนไพรและส่วนผสมต่างๆ เหล่านี้ ลีโอแรท ขนาด
320 CC ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 330 บาทครับ

ปิดทางเข้าของหนู และตัดแต่งกิ่งไม้ที่โน้มเข้าหาตัวบ้าน
ตามซอกหลังคากระเบื้องของเรา มักจะมีช่องเล็กๆ สำหรับระบายอากาศ ให้อากาศถ่ายเท
สะดวก แต่นั่นคือช่องทางที่หนูจะเข้าบ้านคุณอย่างง่ายดาย ช่องเหล่านั้นถ้าเป็นไปได้ให้อุด
ด้วยซิลิโคนเพื่อปิดไปเลย หรือถ้าไม่อยากปิดก็ให้หาตาข่ายเหล็กมาปิดปากช่องเอาไว้ เพื่อ
ป้องกันหนูที่จะเข้ามาตามทางเหล่านั้น และบ้านใครที่ปลูกต้นไม้เยอะ ก็ให้แต่งกิ่งดีดี อย่าให้
กิ่งยื่นเข้ามาใกล้ตัวบ้าน เพราะกลางคืนหนูจะวิ่งผ่านกิ่งไม้เข้าสู่ตัวบ้านนั่นเอง

ใช้น้ำมันหอมระเลยไล่หนู
ให้คุณเอากระป๋องแป้งเก่าๆ หรือขวดน้ำอัดลมเล็กๆ มาตัดครึ่งบนออกไปให้เหลือแต่ฐาน
แล้วเอาปลายกรรไกรแทงทะลุด้านข้างของกระป๋อง ให้เป็นรูซัก 5-6 รู แล้วเอาสำลีมาชุบ
น้ำมันหอมระเหยอะไรก็ได้ที่ซื้อได้ง่ายๆ (หาซื้อได้ตามตลาดนัด) จากนั้นก็เอามาใส่ไว้ใน
กระป๋อง เอาไปวางตามจุดที่เราพบเจอหนู หรือได้ยินเสียงหนูวิ่งผ่านบ่อยๆ หนูจะไม่ชอบกลิ่
ระเหยรุนแรง วิธีนี้ได้ผลดีเลยหล่ะครับ

สารพัดวิธีกําจัดหนูที่คุณได้อ่านไปเหล่านี้ สามารถนำไปใช้ได้จริงหมดเลยนะครับ ถ้าอยาก
ให้บ้านของคุณสะอาด ปราศจากโรคภัยต่างๆ ที่มีหนูเป็นพาหะ ก็จงนำเอาวิธีไล่หนูเหล่านี้
ไปใช้กันได้เลย แต่ละวิธีรับรองว่าคุณจะไม่รู้สึกบาปอย่างแน่นอน

คนรักสมุนไพร โดย นายหลินจือ



(17) กากชา กากกาแฟบด มีประโยชน์กว่าที่คิด
1. บำรุงดอกไม้ในสวน
คาเฟอีนมีฤิทธิ์เป็นกรด ซึ่งสามารถนำมาบำรุงต้นไม้ ดอกไม้ที่ชอบดินที่เป็นกรด มากกว่า
ดินที่เป็นด่าง เช่น บลูเบอร์รี่, ชวนชม และดอกพุด เป็นต้น วิธีการก็แค่โรยกากกาแฟสดให้
ทั่วโคนต้น หรือถ้ามีกากกาแฟในปริมาณมาก จะนำมาคลุกเค้ากับดินปลูกต้นไม้ เพื่อปรับ
สมดุลค่าให้ดินมีความเป็นกรดมากขึ้นก็ได้ค่ะ

2. ไล่มด
บ้านไหนที่มีปัญหามดเดินกันเป็นสาย และไม่อยากใจร้ายกำจัดมดด้วยวิธีที่รุนแรง เราก็มีตัว
เลือกที่ดีกว่าในจัดการกับเจ้ามดตัวนิดตัวน้อยแสนกวนใจ ด้วยการใช้กากกาแฟโรยให้ทั่ว
บริเวณที่มีมดชุม แค่นี้เจ้ามดทั้งหลายก็ไม่กล้ามาเดินเล่นในบ้านอีกแล้วล่ะ

3. กำจัดหอยทาก
ถ้าหอยทากและตัวอ่อนของแมลงต่าง ๆ เริ่มบุกรุกพื้นที่ในสวนของคุณเป็นกองทัพ ให้ใช้วิธี
เดียวกับการไล่มดกำจัดพวกสัตว์เหล่านี้ไปให้ไกล ด้วยการโรยกากกาแฟให้ทั่วบริเวณที่เกิดเหตุ
ต่อไปนี้ก็หมดปัญหาหอยทากกวนใจแล้วจ้า

4. ดับเตาถ่าน
ปาร์ตี้บาร์บีคิวเพิ่งผ่านพ้นไป คราวนี้ก็ต้องจัดการทำความสะอาดพื้นที่ให้เรียบร้อย แต่ก่อน
จะทำความสะอาดเตาปิ้งบาร์บีคิว ให้ใช้กากกาแฟที่ยังเปียกชื้นอยู่ โรยลงไปในเตาถ่านให้ทั่ว
กากกาแฟเหล่านี้จะช่วยดับไฟ และลดปริมาณการฟุ้งกระจายของควันไฟได้ค่ะ

5. ย้อมสีซีเปีย
ถ้าอยากจะทำการ์ดสวย ๆ สักใบ หรือต้องการจะห่อของขวัญแสนเก๋ให้เพื่อน ลองแช่กาก
กาแฟในน้ำร้อน แล้วนำกระดาษหรือผ้าจุ่มย้อมสีดูสิ ทิ้งไว้สักพักก็จะได้กระดาษและผ้าสีซี
เปียสไตล์วินเทจแล้วล่ะ

6. ป้องกันแมวก่อกวน
แมวเหมียวจอมซนชอบไปขุดกระถางต้นไม้ และกระถางดอกไม้จนเละเทะ อย่างนี้ต้องจัดการ
ด้วยกากกาแฟผสมกับเปลือกส้ม คลุกให้เข้ากันแล้วก็นำไปโรยที่โคนต้นไม้ได้เลย วิธีนี้นอก
จากจะป้องกันน้องเหมียวมาเล่นซนบริเวณต้นไม้แล้ว ส่วนผสมเหล่านี้ยังเป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้ได้
อีกด้วย

7. เพิ่มผลผลิตแครอท
สำหรับไร่แครอท หรือใครที่อยากจะทำสวนแครอทก่อนที่จะนำเมล็ดไปลงแปลงปลูก อยากให้
ลองผสมกากกาแฟสดแห้งลงไปในเมล็ดพันธุ์แครอทสักหน่อย เพราะสารอาหารในกากกาแฟ
จะช่วยบำรุงเมล็ดพันธุ์แครอทให้มีความสมบูรณ์ เป็นอาหารชั้นดีของดิน อีกทั้งยังสามารถ
ป้องกันศัตรูพืชได้อีกหลายชนิดเลยทีเดียว

8. บรรเทาอาการแพ้ ผื่นคัน และผิวไหม้แดด
ใบชามีฤทธิ์ในการรักษาและบรรเทาแผลแมลงสัตว์กัดต่อย อาการระคายเคืองจาการแพ้
ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งผิวไหม้เกรียมจากแดดก็เอาอยู่ วิธีการรักษาก็ไม่ยุ่งยาก แค่ผสมใบชา
หรือถุงชาที่ชงแล้ว ลงไปในอ่างอาบน้ำ แล้วก็ลงไปนอนแช่ตามปกติ อาการคันและระคาย
เคืองต่าง ๆ ก็จะดีขึ้นเป็นลำดับค่ะ

9. เพิ่มไนโตรเจนให้ดิน
ใบชาเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อดินและพืชมาก โดยเฉพาะชาเขียวที่อุดมไปด้วยไนโตรเจน
ซึ่งเป็นธาตุอาหารสำคัญของทั้งดินและพืช อีกทั้งยังสามารถไล่แมลงและศัตรูพืชได้อีกด้วย
ดังนั้นหากคุณดื่มชาเขียวสดเป็นประจำอยู่แล้ว ก็น่าจะนำใบชาชงแล้วมาโรยใต้โคนต้น หรือ
จะผสมลงในฝักบัวแล้วรดน้ำตามปกติก็ได้จ้า

10. คงความชุ่มชื้นให้ต้นไม้ในกระถาง
ก่อนจะลงดินในกระถางต้นไม้ ให้รองก้นกระถางด้วยถุงชาที่ผ่านการชงมาแล้วก่อน เพื่อให้ถุง
ชาช่วยดูดซับน้ำที่รดลงไป รวมทั้งรากพืชก็จะได้ดูดสารอาหารในถุงชาไปบำรุงต้นไม้ได้ด้วย
จากนั้นก็ค่อยเติมดินและปลูกต้นไม้ตามปกติ

11. ดับกลิ่นไม่พึงประสงค์จากสัตว์เลี้ยง
บ้านน้องเหมียวและน้องหมาอาจจะมีกลิ่นสาบ และกลิ่นสิ่งปฏิกูลของเขากันบ้าง แต่เราก็
สามารถกำจัดกลิ่นเหม็น ๆ เหล่านี้ได้เหมือนกัน ด้วยการใช้ใบชาอบแห้งโรยให้ทั่วบริเวณที่
สัตว์เลี้ยงชอบนอน เพื่อให้ใบชาช่วยดูดกลิ่นไม่พึงประสงค์ให้หมดไป

12. ลดกลิ่นอับในพรม
บ้านที่ปูพรมคงไม่พ้นต้องเจอกับปัญหากลิ่นอับในพรมแน่ ๆ และถ้าอยากจะกำจัดกลิ่นอับให้
หมดไป ก็โรยใบชาบดลงไปให้ทั่วผืนพรม ทิ้งไว้สัก 10 นาที จากนั้นก็ใช้เครื่องดูดฝุ่นทำ
ความสะอาดพรมให้เกลี้ยง ใบชาจะช่วยลดทั้งกลิ่นอับบนผืนพรม และดับกลิ่นฝุ่นในเครื่องดูด
ฝุ่นอีกด้วย

13. เพิ่มกลิ่นหอมสดชื่นให้เครื่องนอน
เราอาจจะเคยเห็นว่ามีหมอนใบชา ที่ช่วยให้เรานอนหลับสบายขึ้น แต่ก็มีหลายคนที่ซักผ้าปู
ที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่มด้วยน้ำชา เพราะเขารู้ดีว่าใบชาสามารถกำจัดกลิ่นอับได้
อย่างหมดจด แถมยังช่วยเพิ่มกลิ่นหอมสดชื่นให้เครื่องนอนได้อย่างดีเลยล่ะ

14. ดับกลิ่นอาหารในตู้เย็น
นอกจากถ่านและเบกกิ้งโซดา จะสามารดับกลิ่นอาหารในตู้เย็นแล้ว ก็ยังมีใบชา และถุงชาที่
ชงแล้วอีกอย่าง ที่คนนิยมใช้เป็นตัวช่วยดูดกลิ่นอาหารและกลิ่นอับในตู้เย็นให้อยู่หมัด

วิธีทำก็ไม่ยาก แค่นำใบชาไปวางแอบไว้ในมุมหนึ่งของตู้เย็น หรือถ้าเป็นใบชาก็หาถ้วย
เล็ก ๆ มาใส่ก่อนจะนำไปวางแค่นี้ก็เรียบร้อย

15. ล้างกลิ่นอาหารที่ติดมือและเขียง
เวลาเข้าครัวทีไรมักจะได้กลิ่นอาหารติดมืออกมาทุกที หนำซ้ำกลิ่นเหล่านี้ยังติดทน ล้างยังไง
ก็ไม่หายไปง่าย ๆ ด้วย แต่ครั้งต่อไปให้ลองล้างมือด้วยใบชาเขียวดู เท่านี้ปัญหากลิ่นอาหาร
ติดมือก็จะหายไปแล้วจ้า

ส่วนกลิ่นอาหารที่ติดอยู่บนเขียง หรือเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร ก็แค่ใช้ใบชาชงแล้วมาขัดถู
เขียงและพื้นเคาน์เตอร์ให้ทั่ว แล้วค่อยล้างด้วยวิธีปกติอีกครั้งจนสะอาด

เห็นไหมคะว่ากากกาแฟสด และใบชาที่ชงแล้วมีประโยชน์มากกว่าขยะแค่ไหน เราสามารถ
ใช้ประโยชน์จากเขาได้อีกตั้งหลายอย่าง ดังนั้นครั้งต่อไปที่ชงกาแฟสด และชา ก็อย่าลืมเก็บ
กากชากาแฟเอาไว้ด้วยนะ

Cr: http://home.kapook.com/view74210.html



(18 ) ฟักข้าว
ฟักข้าวอุดมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และสรรพคุณทางยา มีสารต้านอนุมูล
อิสระสูง ช่วยต้านมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด มะเร็งตับ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับ
ร่างกาย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ บำรุงผิว ปกป้องผิวจากแสงแดด ขับเสมหะ รักษาตับ
อักเสบ

มีเบตาแคโรทีนสูง ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเบตาแคโรทีนให้เป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงสายตา
ป้องกันโรคที่เกี่ยวกับดวงตา เช่น ต้อกระจก ประสาทตาเสื่อม ตาบอดกลางคืน

อุดมด้วยไลโคฟีน ซึ่งต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โรคเบาหวานได้
ป้องกันโรคหัวใจ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มีผลให้หัวใจขาดเลือด ป้องกันและยับยั้งการเกิดลิ่มเลือด
ป้องกันเส้นเลือดในสมองแตก ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต

ผลอ่อน ยอดฟักข้าว ช่วยลดน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยโรคเบาหวานได้

เมล็ด บำรุงปอด แก้ฝีในปอด แก้ท่อน้ำดีอุดตัน ขับปัสสาวะ แต่มีข้อห้ามว่า เมล็ดฟักข้าว
ดิบมีพิษ ต้องนำมาคั่ว หรือต้มให้สุกก่อนนำมาบริโภค

เมล็ดแก่คั่วแห้งบดให้ละเอียด ผสมน้ำมันหรือน้ำส้มสายชูเล็กน้อย ใช้ทาแก้ปวด อักเสบ ฟกช้ำ
รักษากลากเกลื้อน ผดผื่นคันได้

ใบ แก้ร้อนใน แก้ริดสีดวง ถอนพิษอักเสบ นำใบมาตำพอกช่วยแก้อาการปวดหลัง กระดูกเดาะ แก้ฝี แก้หูดได้

ราก ขับเสมหะ ถอนพิษไข้ แก้อาการปวดตามข้อ ผดผื่นคันได้
เนื่อเยื่อเมล็ดฟักข้าวในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม มีใยอาหาร 1.03 กรัม โปรตีน
0.94 กรัม วิตามินซี 0.04 มก. เบตาแคโรทีน 91 มก. แคลเซียม 23 มก. ธาตุเหล็ก
0.34 มก. น้ำตาล 1.8 กรัม
รักษาสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และอย่าลืมออกกำลังกายค่ะ

ขอขอบคุณ แหล่งที่มาสมุนไพรริมรั้ว



(19) สูตรน้ำหมักบำรุงนาข้าว
วัตถุดิบ
กล้วยสุก 5 กิโลกรัม ,มะละกอ 5 กิโลกรัม,ฟักทอง 5 กิโลกรัม สับผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ
ผสมกับกากน้ำตาล 10 ลิตร หัวเชื้อ 5 ลิตร พด.2 1 ซอง ละลายน้ำ 150 ลิตร
หมักนาน 3 เดือน

อัตราส่วนในการใช้ น้ำหมัก 1 ขวดลิโพต่อน้ำ 20 ลิตร จะช่วยเร่งการเจริญเติบโต
(หมายเหตุ - ใช้ขวดทิงแดง บาวแดง และอื่น ๆ ไม่ได้เหรอจ๊า - หนูหริ่ง)

ขอขอบคุณ แหล่งที่มา : http://wisdomking.or.th/



(20) สูตร..วิธีรักษาแผลเบาหวาน
1. น้ำมันมะพร้าว 1000 ซีซี หรือ 1 ลิตร
2. ไข่แดงของไข่เป็ดเบอร์ 0 4 - 6 ฟอง (ต้องเบอร์ 0 ด้วยเหรอจ๊า ไข่แฝดได้ป่ะจ๊า)
3. เนื้อลูกหมากสดแก่ๆ 2 ลูก
4. สารส้มสตุ 1 หัวแม่โป้ง

* ใช้ผ้าขาวบาง ปูบนชามแกง
* เอาไข่แดงที่แยกเรียบร้อยแล้ว ใส่ลงบนผ้าขาวบาง แล้วตีให้เป็นเนื้อเดียวกันเบาๆ
* ทุบเนื้อหมาก ให้แตกๆ ใส่ลงไปในผ้าขาวบางที่มีไข่ตีแล้ว
* ใส่สารส้มสตุ ลงไป แล้วผูกผ้าขาวบางให้เรียบร้อย
* เอาน้ำมันมะพร้าวตั้งไฟอ่อนๆ
* เอาผ้าขาวบาง หย่อนลงไป
* รอจนน้ำมันมะพร้าวเดือดปุดๆ แล้วมีน้ำมันไข่แดงออกมา
* สังเกตว่าจะเริ่มมีฟอง ก็ใช้ได้
* น้ำมันยาที่ได้จะมีสีเหลืองๆ อมส้ม
* เอาน้ำมันที่ได้ กรอกใส่ขวดไว้เป็นยาใส่แผล

ข้อดีของการใส่แผลด้วยยาจากน้ำมันมะพร้าวผสมไข่แดง คือ...ไม่ต้องล้างและคว้านแผล
ดังนั้น แผลจะค่อยๆดูดน้ำมันยา เข้าไปหล่อเลี้ยงและฟื้นฟูแผล

ตัวที่ประสานแผลคือหมาก
สารส้มจะมีฤทธิ์ช่วยดูดหนอง
ไข่แดง คือ เลซิตินที่ทำให้เซลส์ประสาทงอกขึ้นมาและดึง
ออกซิเจนเข้าแผลได้มากยิ่งขึ้นแผลจะตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วไม่เป็นแผลเป็น

การดูแลผู้ป่วยมีแผลเบาหวาน โดยไม่ต้องไปปลูกถ่ายสเตมเซลส์ ก็ลองวิธีนี้ดูนะครับ
รักษาดีกว่าแผนปัจจุบัน ที่ต้องขูดแผล ล้างแผลทุกวันค่ะ..
วิธีนี้ล้างครั้งแรก แล้วหยอดยาได้ตลอด แผลจะค่อยๆตื้นขึ้น


ที่มา..วัดหนองรั้ว พระอธิการ นพดล กันตสีโล พุทธศรัทธาธรรม



(21)

ยังมีต่อจ้า....


.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 30/09/2015 2:57 am    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน แปรรูปผลิตผลทางการเกษตร ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน แปรรูปผลิตผลทางการเกษตร

สูตรอาหารอร่อยทำกินเองได้ง่าย ๆ (หร่อยป่าวไม่รู้จ้า)
เรื่องดี ๆ จากข้าง Web เก็บมาฝากจ้า
ก่อนจะนำเสนอเรื่องนี้ หนูหริ่งได้คุยกับพี่ทิดแดงแล้ว แกบอกว่า....

ดี ๆๆ ลงไปเลย เพราะเป็นการนำผลิตผลทางการเกษตรมาแปรรูป....
เผื่อสมาชิกบางคนที่เบื่อทำเกษตรไม่รวยซักที อ่านแล้วเกิดปิ๊ง อาจจะเลิกทำเกษตร
นำอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งไปทำขาย หรือเอาพืชผลทางการเกษตรของตัวเองมา
แปรรูปขาย อาจจะรวยได้.....


คิดว่าลุงคงไม่ว่านะจ๊า ถ้าจะว่าก็ว่าคนแนะนำก็แล้วกันจ้า.....
และขอบอก พี่ทิดแดงน่ะ ฝีมือทำอาหารอร่อยหลายอย่างนะจ๊า ถามพี่ตู่ดูได้เลย


และ....บางข้อความ จะมีทั้งคำว่า คะ ค่ะ หรือครับ หรือผม ซึ่งไม่ใช่คำพูดของหนูหริ่งจ้า
เพราะหนูหริ่งพยายามรักษาข้อความในต้นฉบับเดิมของท่านที่เขียนเอาไว้ อาจมีการแก้ไขบ้าง
ในคำที่เขียนผิดให้ถูกต้อง เช่นคำว่า คับ เป็น ครับ และ ฯลฯ เป็นต้นจ้า.....

ขอขอบคุณ รูป และบทความทุก ๆ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์....โมทนาสาธุจ้า



(1) ไก่อบทำกินเองไม่ยาก (แต่อร่อยหรือปล่าว ไม่รู้จ้า)
ไก่อบมาแล้วจ้า เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียวร้อนๆ แจ่วรสเด็ดๆ แถมตำส้มตำด้วย อร่อยจ้า

"สะโพกไก่อบ"

สะโพกไก่ติดน่อง 4 ชิ้น หรือมากคน ก็ซื้อมากกว่านี้
กระเทียมไทยแกะเปลือก 3 หัว
รากผักชี 5 ราก
พริกไทยขาวเม็ด 2 ช้อนชา.
ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ.
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา.
น้ำตาลทราย 1 – 2 ช้อนโต๊ะ.
เกลือป่น 1 ช้อนชา.
ผงปรุงรสไก่ 2 ช้อนชา.
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ.

1. ล้างทำความสะอาดไก่ พักให้สะเด็ดน้ำแล้วใส่ชามผสม เตรียมไว้
2. โขลกรากผักชี กระเทียมและพริกไทยให้ละเอียด ใส่ในชามไก่ ตามด้วยเครื่องปรุงทั้งหมดลงไป
นวดเคล้าให้เครื่องเข้าเนื้อ หมักไว้ 2 ชม.
3. นำไก่วางบนตระแกรงที่รองด้วยถาดอบ(วาง Foil บนถาดอบด้วยนะจะได้ทำความสะอาดง่าย)

นำไก่เข้าอบ โดยวางหนังไก่อยู่ด้านล่าง อบด้านละประมาณ 25 นาที หรือจนสุกเหลือง
(ทาน้ำหมักที่เหลือตอนกลับด้านไก่ด้วย) นำออกจากเตาอบ หั่นชิ้น เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียว
และนำจิ้มตามชอบจ้า

"น้ำจิ้มแจ่ว"
หอมเล็กซอย 1 หัว
ต้นหอมซอย 1 ต้น
พริกป่น 1 ชต.
ข้าวคั่ว 1 ชต.
น้ำมะนาว 1-2 ชช.
น้ำปลา 3 ชต.
น้ำตาลปี๊ป 1/2 ชต.
น้ำมะขามเปียก 1 ชต.

ผสมน้ำปลา น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊ปและน้ำมะนาว เข้าด้วยกัน แล้วใส่พริกป่น
ข้าวคั่ว หอมเล็กและต้นหอม คนเบาๆ พอเข้ากัน

หมายเหตุ
1.วอร์มเตาอบ 200 องศา ไฟบน-ล่าง วอร์มก่อนนำไก่เข้าอบซักประมาณ 20 นาที
2.ใครไม่มีเตาอบก็นำไก่ไปย่างบนเตาถ่านก็ได้จ้า



(2) "กล้วยหอมทอด"
แป้งแพนเค้กสำเร็จรูป 200 กรัม
นมสดแช่เย็น 150 กรัม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
กล้วยหอมสุกหั่น (เราหั่นเป็น 3 ท่อน)
น้ำตาลไอซิ่ง สำหรับโรยหน้า
น้ำผึ้งสำหรับราด
น้ำมันพืชสำหรับทอด

1.นำแป้งแพนเค้กใสาชามผสม ทำให้เป็นหลุมตรงกาลง ตอกไข่ลงไปแล้วใช้ตะกร้อมือตีพอเข้ากัน
2.เทนมสดแช่เย็นลงไป ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 2 ชม.
3.ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไป พอร้อนได้ที่ให้ลดไฟลงอ่อน นำกล้วยที่หั่นลงไปชุบในแป้งที่ผสมไว้
แล้วนำลงทอดจนสุกเหลืองกรอบ ตักขึ้นให้พักสะเด็ดน้ำมัน หั่นชิ้นพอคำ ตักใส่จาน
โรยน้ำตาลไอซิ่งและเสิร์ฟพร้อมน้ำผึ้งจ้า

source : เมนูอร่อยอาหารเวียดนาม
Coe's Kitchen



(3) ผัดไทกุ้งสด
ส่วนผสม
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก
กุ้งสด
ใบกุ่ยช่าย
ถั่วงอก
ถั่วฝักยาว
มะนาว
ไข่ไก่
น้ำมัน
น้ำปลา
น้ำส้มสายชู
น้าตาล
พริกป่น
ถั่วป่น
หัวไชโป๊เค็ม
กุ้งแห้ง
เต้าหู้แข็ง

วิธีทำ
1 ใส่น้ำมัน, เต้าหู้แข็ง และกุ้งสดตามลำดับ
2 พอกุ้งสุกก็ใส่เส้นเล็กที่เตรียมไว้
3 ใส่น้ำเปล่า 1 กระบวย
4 แล้วก็ใส่เครื่องปรุงทั้งหลายเลยคะ เริ่มจาก น้ำปลา น้ำส้มสายชู น้ำตาล พริกป่น หัวไชโป๊เค็ม
กุ้งแห้ง และ ถั่วฝักยาว ตามลำดับ
5 ผัดเส้นกับเครื่องทั้งหมดให้เข้ากันจนน้ำเริ่มแห้งเกือบหมด เอาเส้นมารอไว้ขอบกระทะ
แล้วตอกไข่ลงไป 1 ฟอง
6 เกลี่ยไข่แดงกับไข่ขาวให้เข้ากันพอให้ดูสวยงาม พอไข่เริ่มสุก ก็เอาเส้นลงไปผัดกับไข่ให้เข้ากัน
ถ้าชอบถั่วป่นก็ใส่ตอนนี้เลย
7 จัดใส่จานพร้อมถั่วงอกดิบและมะนาวฝาน ใครมีหัวปลีก็ทานแกล้มได้เลย



(4) "ไก่วิงแซ่บ" งานมิลเลอร์ KFC ก๊อบปี้เกรด AAA
วัตถุดิบส่วนผสมที่ต้องเตรียม
1. ไก่สดน่องปีกเล็ก 30 ชิ้น
2. เกลือ (ครึ่งช้อนชาก็พอเดี๋ยวเค็ม)
3. ผงลาบ ยี่ห้อ รสดี
4. แป้งโกกิ
5. น้ำมันสำหรับทอด 1 ขวด
6. ไข่ไก่ 2 ฟอง

วิธีการทำ
เอาไก่สดไปล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่ในน้ำเกลือ ตามสูตรเค้าให้แช่ไว้ประมาณ 24 ชม.
เสร็จแล้วก็ล้างน้ำเกลืออก เอาขึ้นมาพักไว้รอสะเด็ดน้ำ
ใช้แป้งโกกิ ครึ่งถุง เอาไก่ที่ผึ่งไว้เมื่อกี้ ลงไปคลุกบางๆ เคาะๆออก
ตอกไข่ 2 ฟองตีใส่ถ้วย
เอาแป้งโกกิที่เหลือเทลงแป้งตะกี้ แล้วใส่ผงลาบลงไป 1 ซอง และคลุกแป้งให้เข้ากัน
เอาไก่ที่พักไว้ ไปชุบไข่ก่อน แล้วเอามาคลุกลงไปในแป้งจ้า
เอาน้ำมันเทใส่หม้อ น้ำมันจะได้ท่วมๆไก่ เทน้ำมันลงไป ประมาณครึ่งขวด แล้วเอาไก่ลง
ทอด ราวๆ 5 - 7 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดไก่ หรือดูพอเหลืองๆ เป็นอันใช้ได้ เสร็จแล้วเอาผง
ลาบอีกถุงนึง ฉีกแล้วโรยเลยจ้า ใช้โรยแค่ครึ่งถุงพอจ้า เสร็จแล้วก็ใส่จานเสริฟได้เลย



(5) "ไก่ทอดกรอบ"
เครื่องปรุง
1.สะโพกไก่
2.เกลือ พริกไทย แป้งอเนกประสงค์ ผงปรุงรส ไข่ไก่
3.น้ำมันพืชสำหรับทอด

วิธีทำ
1. ล้างไก่ให้สะอาดแช่ในน้ำเกลือ (เกลือและน้ำใช้กะปริมาณเอาจ้า เพราะสูตรก็ไม่ได้ระบุ
ไว้คะว่าใส่ปริมาณเท่าไหร่) ประมาณ 20 นาที เมื่อครบเวลาเอาไก่ขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ
2. เตรียมแป้ง พริกไทยป่น เกลือ ผงปรุงรส คลุกเคล้าให้เข้ากัน
3. นำไก่ลงคลุกแป้งให้ทั่ว ชุบไข่ไก่ จากนั้นชุบแป้งอีกครั้ง กดๆ แล้วสะบัด แล้วกด
แล้วสะบัด ทำจนให้แป้งติดกับไก่
4. ระหว่างเตรียมไก่ให้ใช้หม้อแทนกระทะสำหรับทอดใช้น้ำมันให้ท่วมไก่ ตอนแรกให้ใช้ไฟ
แรงพอใส่ไก่ลง ให้เบาเป็นไฟกลางเกือบเบา ทิ้งไว้ 15- 20 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของไก่จ้า
ทอดให้เหลืองทั้งสองด้าน

หมายเหตุ ทอดแบบนี้ ไก่เนื้อข้างในฉ่ำ ข้างนอกกรอบๆ

ขอบคุณที่มา..ริดาร์ อริต์ตา



(6) มะละกอ สารพัดตำรับยาไทยใกล้ตัว
รู้ไหมว่ามะละกอที่เรานิยมชมชอบรับประทานนั้น มีประโยชน์ใช้สอยมากมาย ทุกส่วนของ
มะละกอเป็นยาที่นำมาใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพของเราในชีวิตประจำวันได้ คนไทยผูกพัน
กับมะละกอมานานกว่า 200 ปี จนเรานึกว่าเป็นพืชท้องถิ่นในบ้านเราไปแล้ว และยังมีส้มตำ
มะละกอเมนูของความอร่อยตอกย้ำความเชื่อนี้ และคนไทยแทบทุกบ้านจะปลูกมะละกอไว้เป็น
อาหาร จนกลายเป็นพืชริมรั้วที่เจนตาอีกตัวหนึ่ง

เพื่อให้คนไทยได้นำทุกส่วนของมะละกอไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า จึงได้รวบรวม
ประโยชน์ใช้สอยจากมะละกอมาไว้ให้ท่านได้ศึกษาเรียนรู้ตามการใช้แบบภูมิปัญญาชาวบ้าน

เมื่อมีอาการปวดตามข้อและหลัง รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำป้องกันและบำบัดโรคปวด
ข้อปวดหลังได้

ปวดข้อ : ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง ใช้รากมะละกอตัวผู้ แช่เหล้าขาวให้ท่วมยาไว้ 7 วัน และ
กรองเอาน้ำใช้ทาแก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อนแรง

ลดอาการปวดบวม : ให้เอาใบมะละกอสดย่างไฟหรือลวกกับน้ำร้อนใช้ประคบบริเวณที่ปวด
หรือตำพอหยาบห่อด้วยผ้าขาวบางทำเป็นลูกประคบ

แก้เคล็ดขัดยอก : ใช้รากมะละกอสดตำให้แหลกผสมเหล้าโรงพอก

โดนตะปูตำเป็นแผล : ให้เอาผิวลูกมะละกอดิบตำพอกแผล เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง

แผลน้ำร้อนลวก : ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปื่อย ตำพอกที่แผล

แผลพุพอง : ใช้ใบมะละกอแห้งกรอบบดเป็นผง ผสมกับน้ำกะทิพอเหนียวข้นใช้พอกหรือทา
ที่แผล วันละ 2-3 ครั้ง

แก้ผดผื่นคัน : ใช้ใบมะละกอ 1 ใบ น้ำมะนาว 2 ผล เกลือ 1 ช้อนชา ตำรวมกันให้
ละเอียดเอาทั้งน้ำและเนื้อทาแผลบ่อย ๆ

กลากเกลื้อน : ฮ่องกงฟุตหรือเท้าเปื่อย ใช้ยางของลูกมะละกอดิบทาวันละ 3 ครั้งฆ่าเชื้อราได้

โดนหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน : ให้บ่งปากแผลเปิดออก เอายางมะละกอดิบใส่หนาม
จะหลุดออก

เท้าบวม : เอาใบมะละกอสดตำให้แหลกผสมกับเหล้าขาวใช้พอกเท้าที่บวมลดอาการบวมลงได้

คัน : เพราะพิษของหอยคัน ซึ่งจะเป็นตุ่มคัน ให้ใช้ยางมะละกอดิบทาเช้า-เย็นจนหาย

ไข้เปลี่ยนฤดู : ใช้ใบมะละกอสด 1 กำมือ ตำพอแหลกผสมเหล้าขาว 3 ช้อนแกง
คั้นเอาน้ำรับประทาน

อาการไข้ขึ้นสูง : ใช้เนื้อมะละกอดิบ ต้มให้สุกจนเปื่อย ใช้พอกที่ศีรษะเวลาไข้ขึ้นสูง
ดื่มน้ำต้มมะละกอตาม ช่วยให้ไข้ลดลงได้ดี

ไข้หวัด : ก็ต้องส้มตำมะละกอเพิ่มความเผ็ดอีกหน่อยไล่หวัดดีทีเดียว


โรคในระบบทางเดินหายใจ : ใช้ดอกมะละกอสดหรือแห้งต้มใส่น้ำตาลพอหวาน
กรองเอาน้ำรับประทานครั้งละ 1 แก้ว

หิดระยะเริ่มแรก : ใช้ใบมะละกอต้มน้ำดื่ม อาการหิดจะหายไป

ร้อนใน : ใช้รากมะละกอ 1 คืบ ต้มกับน้ำซาวข้าวรับประทานครั้งละ 1 ถ้วยกาแฟ

โรคริดสีดวงทวาร : ท้องผูก ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย ท้องผูก เสียดท้อง เบาหวาน
รับประทานมะละกอสุกจนนิ่มหลังอาหารเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง จะค่อย ๆ หายไปเอง

นิ่ว : ใช้รากมะละกอตัวผู้ 1 กำมือ ต้มเอาน้ำดื่มแทนน้ำชา จะช่วยขับนิ่วออกมา

ขับพยาธิ : ใช้เม็ดมะละกอแห้งคั่วบดเป็นผง ละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนขนาดลูกมะเขือพวง
รับประทานเช้า-เย็นครั้งละ 2-3 เม็ด หรือใช้ยางมะละกอสด 1 ช้อนแกง ไข่ไก่ 1 ฟอง
ผสมกันแล้วทอดให้สุกรับประทานตอนท้องว่างในเวลาเช้า

ลูกอัณฑะโต : ใช้ลูกมะละกอดิบเผาไฟให้ร้อนจัด ห่อด้วยผ้าหนา ๆ ใช้นาบคลึงบนหน้า
ท้องบริเวณหัวเหน่า เมื่อความร้อนของมะละกอลดลงให้ผ่าครึ่งตามความยาวเอาเมล็ดออก
แล้วใช้ประกบที่ลูกอัณฑะจนมะละกอเย็น ทำวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3 วันจะหาย

เลิกบุหรี่ : ใช้ใบมะละกอแก่ ๆ หั่นเป็นฝอย มากน้อยตามต้องการ นำไปตากแห้ง
แล้วใช้ผสมยาเส้นมวนเป็นบุหรี่สูบ จะช่วยให้เลิกบุหรี่ได้

ปวดประสาท : ใช้ใบมะละกอสดย่างไฟหรือจุ่มน้ำร้อนใช้ประคบบริเวณที่ปวด

ขับประจำเดือน : ใช้เมล็ดแก่ ๆ คั่วให้กรอบแล้วบดเป็นผง 2 ช้อนชาผสมกับเหล้าขาว 3 ช้อนโต๊ะ
รับประทานเช้า เที่ยง เย็น ช่วยขับเลือดประจำเดือนเสียและอาการปวดท้องจะหายไป

ลบรอยด่างดำ : ที่ไม่พึงปรารถนาบนผิวหนังและใบหน้า ใช้มะละกอสดตำพอกบ่อย ๆ
หรือน้ำคั้นจากมะละกอสุกใช้ทาลบรอยฝ้าแดด ฝ้าลมให้จางหาย หรือใช้ยางจากลูกมะละกอ
สดทาเป็นประจำวันละ 2-3 ครั้งจนหาย

แก้หูด : ให้สะกิดหัวหูดให้เปิดแล้วเอายางมะละกอทาวันละ 2-3 ครั้งจนหาย

ลบรอยส้นเท้าแตก : ใช้ยางจากลูกสดทาจนหาย

สิว : ก็ใช้ยาแต้มที่หัวสิว หรือรับประทานมะละกอสุกเป็นประจำ แก้อาการท้องผูกช่วยใน
การระบาย ซึ่งสาว ๆ ที่ลดความอ้วนมักนิยมทาน และทานเป็นประจำจะช่วยบำรุงผิวพรรณ
ให้สวย บ้างก็ใช้เนื้อที่สุกพอกหน้าเพื่อลดจุดด่างดำและผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
มะละกอสุกมีคุณค่าทางโภชนาการที่สำคัญ เช่น มีเส้นใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย มี
วิตามิน เอ บำรุงสายตา มีธาตุเหล็กบำรุงเลือด มีแคลเซียมบำรุงกระดูก มีสารเพคตินที่
เคลือบกระเพาะอาหาร ปัจจุบันมีการสกัดสารสำคัญจากมะละกอสุกไปใช้ทำเครื่องสำอาง
และส่วนผสมในเครื่องสำอาง ๆ มากมาย

ล้างลำไส้ : ขจัดไขมันในผนังลำไส้ ให้ทำชามะละกอดื่มเป็นประจำ โดยเอามะละกอดิบปอก
เปลือกล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้น ๆ ต้มจนน้ำเดือด อาจปรุงแต่งรสด้วยใบเตยหรือเก๊กฮวย
ตามชอบ แล้วกรองเอาแต่น้ำ แล้วเอาน้ำร้อนนั้นไปชงกับใบชา แช่ไม่เกิน 3 นาที กรองเอา
น้ำเก็บไว้ดื่ม และควรงดอาหารประเภทผัดทอดหรือของมัน ช่วยให้ลำไส้สะอาดดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น

วันนี้ถ้าเราเห็นมะละกอ หรือต้นมะละกอ เราคงไม่ได้นึกถึงส้มตำมะละกอเพียงอย่างเดียวแล้ว
แต่ยังมองเห็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาหารและยารักษาโรคที่ใกล้ตัวและราคาเยาอีกด้วย

ใครมีที่ว่างบริเวณรอบบ้าน อย่าปล่อยให้ว่างเปล่า ปลูกมะละกอไว้ใช้สอยเพียงหนึ่งต้นแต่ให้
ผลเกินคุ้มค่า

ขอบคุณที่มา..วัดหนองรั้ว พระอธิการ นพดล กันตสีโล




(7) เนื้อต้มแซ่บ
ส่วนผสม เนื้อน่องลายตุ๋น
เนื้อวัวส่วนน่องลาย 500 กรัม
น้ำเปล่า 6 ถ้วยตวง

ส่วนผสม เนื้อต้มจิ๋ว
เนื้อน่องลายตุ๋นจนเปื่อย 150 กรัม (หั่นเต๋า)
น้ำซุปเนื้อ 3 ถ้วยตวง
มะม่วงดิบ (หั่นเต๋า) 150 กรัม
มันเทศ (หั่นเต๋า) 150 กรัม
น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 1/2 ถ้วยตวง
ใบกะเพรา 20 กรัม
ใบโหระพา 20 กรัม
พริกขี้หนูบุบพอแตก 10-15 เม็ด

วิธีทำเนื้อน่องลายตุ๋น
นำเนื้อวัวใส่หม้อ เติมน้ำเปล่า ยกขึ้นตั้งไฟต้มพอเดือด ช้อนฟองออกให้หมด เบาไฟลงเคี่ยว
จนเนื้อวัวนุ่ม (ถ้าน้ำแห้งให้เติมน้ำเปล่าลงไปเพิ่ม) จากนั้นตักขึ้นพักให้เย็นสนิทจึงหั่นป็นชิ้น
สี่เหลี่ยมลูกเต๋า เตรียมไว้

วิธีทำเนื้อต้มจิ๋ว
1. ใส่น้ำซุปเนื้อและเนื้อวัวลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟต้มพอเดือด
2. ใส่มันเทศและมะม่วงดิบลงไป ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียกและน้ำปลา ต้มต่อพอเดือดสักครู่
3. ใส่หอมแดง ใบกะเพรา และใบโหระพา คนพอเข้ากัน รอเดือดอีกครั้งปิดไฟ ใส่พริกขี้หนู
ตักใส่ภาชนะ จัดเสิร์ฟ

เห็น เนื้อต้มจิ๋วเปรี้ยวแซ่บแบบไทยโบราณอย่างนี้แล้วก็น้ำลายจะไหลให้ได้เลย มะม่วงที่บ้าน
ใครเริ่มออกผลให้เห็นแล้วก็เตรียมปีนไปเด็ดมาทำเนื้อต้มจิ๋ว กันเลยดีกว่า

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
- See more at: http://recipe-4-regions-thailand.blogspot.com/2015/03/blog-post_60.html#sthash.X3W9Ngeh.dpuf



(8 ) คอหมูแดดเดียว สูตรเนื้อนุ่ม เมนูอร่อยสู้แดดแรง ๆ
วัตถุดิบ
คอหมู 500 กรัม (คอหมูไม่ใช่สันคอหมูนะ คอหมูที่เขาใช้ทำคอหมูย่าง บางที่ใช้สันคอ
แต่สูตรนี้เน้นนุ่ม ๆ หนึบ ๆ ถ้าไม่ชอบมัน ๆ ให้แล่เอาส่วนมัน ๆ ออกมา เนื้อส่วนนี้จะเห็น
มันแทรกในชั้นเนื้อ ทำให้นุ่มและไขมันนำพารสเครื่องปรุงแทรกเข้าชัดเจนมาก)

สับปะรด (จะใช้ฉ่ำ ๆ หรือจะเอากรอบ ๆ ก็เอามาเถอะ)
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทย 1/2 ช้อนชา
น้ำมันสำหรับทอด

วิธีทำ
หั่นคอหมูเป็นเส้นยาวประมาณ 1 เซนติเมตร หรือตามชอบ

เคล็ดไม่ลับ :
1. อย่าหั่นหมูบางมาก เพราะถ้าบางเวลาทอดจะแห้งแข็งสภาพเป็นจิ้งจกแห้งตาย
2. หั่นตัดขวางลายเส้นเนื้อหมู อย่าหั่นตามลายเส้นเนื้อ เพราะถ้าหั่นตามเส้น หมูจะเหนียว

ขั้นตอนการหมักหมูแดดเดียว
ใส่เครื่องปรุงทั้งหมดลงไป (น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว น้ำมันงา ซอสปรุงรส พริกไทย
และน้ำสับปะรด) แล้วขยำให้เข้ากัน

เคล็ดไม่ลับ :
1. เครื่องปรุงทั้งหมด อนุญาตให้สลับใส่เครื่องปรุงไหนก่อนหลังก็ได้ไม่มีผลต่อรสชาติ
2. นำสับปะรดมาบีบคั้นน้ำใส่ลงไปสัก 2 ช้อนโต๊ะ
3. สูตรนี้น้ำสับปะรดช่วยให้หมูนุ่มสุด ๆ ผิวหนังที่นวดก็น่าจะนุ่มได้เหมือนกัน ซอสหอย
นางรม ซอสปรุงรส หัวซีอิ๊วขาว หางซีอิ๊วขาว น้ำมันงา และพริกไทย ใช้ซีอิ๊วขาวตราเด็ก
อ้วนก็ได้ ที่ใช้ซีอิ๊วขาวอันนี้เพราะกลิ่นหอมมาก รสชาติละมุนไม่เค็มจัดและมีรสหวานอ่อน ๆ
บอกเลยว่าอร่อย ได้มาจากข้าวมันไก่ร้านดังที่หาดใหญ่ ใช้หางซีอิ๊วกับน้ำมันงาสองตัวนี้ราด
ไก่ต้มมา ติดใจเลย อยากกินไก่ต้มมันทุกวัน

หมายเหตุ :
ส่วนสำคัญอีกอย่าง คือ การชิมรสชาติหากจะให้พอดีตามรสที่ชอบ บางทีตามสูตรนี้อาจไม่
ใช่รสโปรดของคุณ ให้บรรจงเอาเครื่องปรุงรสทุกอย่างผสมใส่ถ้วยแล้วแตะลิ้นชิมก่อน ถ้า
ชอบรสไหน รสอะไรขาดไปเติมเลย หากคนติดหวานใส่น้ำตาลทรายหรือซีอิ๊วดำก็ได้ แต่ถ้า
ใส่หมักหมูไปแล้ว เอานิ้วที่ขยำ ๆ แตะ ๆ ลิ้นดูหน่อยว่ารสโอเคไหม อย่าให้เค็มมากเพราะ
เมื่อเอาไปตากแดดแล้วทอด เนื้อหมูจะแห้ง ทำให้เค็มกว่าเดิม

วิธีตากหมูแดดเดียว
วางหมูที่คลุกแล้วกระจาย ๆ ชิ้นหมูจัดให้สวยงามลงบนถาด อย่าให้เนื้อหมูซ้อนกัน
ภาพออกมามันดูไม่งาม รักษาระยะห่างกันไว้สักนิดจะได้แห้งกันไว

นำถาดหมูที่ได้ไปตากแดด
ถ้าแดดดี ประมาณ 4 - 5 ชั่วโมงกำลังได้ที่
ถ้าแดดอ่อน แขวนลืมไว้ได้เลย เย็น ๆ เก็บทีเดียว
ถ้าแดดอ่อนจัดมาก ตอนเย็นเนื้อหมูยังชุ่ม ๆ
ถ้าเริ่มแขวนกลางคืน แนะนำให้นำไปตากตอนเช้าของอีกวัน จบนะ !!

แต่... ถ้าแถวบ้านไม่มีแดดส่อง หรืออยากกินหมูแดดเดียววันฝนตก หรือสถานที่ตากแถว
บ้านไม่อำนวย มีก่อสร้าง มีนกบินไปมา หมาแมวมารบกวน หมูแดดเดียวจะอุดมไปด้วยฝุ่น
และสิ่งไม่พึงปรารถนา ให้แก้ปัญหานี้ด้วย "เตาอบ" จ้า

เอาชิ้นหมูเรียงบนถาดให้เรียบร้อย ใช้กติกาเดิม อย่าทับกัน อย่าซ้อนกัน

อบใช้ไฟบนกับลมร้อน (ให้สภาพเหมือนอากาศบ้านเราตอนเดินไปข้างนอก) ที่อุณหภูมิ
70-120 องศาเซลเซียส เปิดวอร์มเตาได้ที่ก่อนแล้วยัดเข้าไปได้เลย เลือกเวลาตามความ
เหมาะสม ดูให้น้ำในเนื้อหมูระเหย จนชิ้นเนื้อเริ่มแห้ง

พอครบเวลาแล้วไม่ว่าจะตากแดดหรือตากเตาได้ที่แล้วถ้ายังไม่กิน ให้เก็บเข้ากล่องถนอม
อาหาร แล้วยัดตู้เย็นไปนอนหนาวรอได้เลย อารมณ์ดีวันไหนอยากกิน ค่อยแบ่งออกมาทอด
เก็บกินได้ยาว ๆ

วิธีทอดหมูแดดเดียว
ตั้งกระทะ กะน้ำมันให้ท่วมชิ้นหมู (ถ้าทอดไม่เยอะใช้หม้อใบเล็กใส่น้ำมันทอดแทนกระทะ
ประหยัดน้ำมันได้เยอะ

นำไปตั้งไฟกลางค่อนไปทางอ่อน รอจนน้ำมันร้อน
ทอดหมูดูให้พอเหลืองไม่ต้องออกดำมาก ยิ่งทอดนาน หมูยิ่งแข็ง ยิ่งดำไม่น่าทาน ปกติจะ
ทอดประมาณสีน้ำตาล ๆ จนผิวเริ่มแห้ง แล้วช้อนขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันไว้ ให้ความร้อนทำงาน
ต่ออีกสัก2 - 3 นาที สีจะเข้มขึ้นเล็กน้อย

เท่านี้ก็ได้ "คอหมูแดดเดียว" ที่รสชาติเข้าเนื้อ แถมชิ้นหมูแห้งแต่ข้างในนุ่มชุ่มฉ่ำ
พร้อมเสิร์ฟกับข้าวเหนียวนุ่ม ๆ แล้ว

"ขอให้มีความสุขกับอาหารที่มาจากแดดร้อนของเมืองไทยจ้า"

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม



(9) ปลาช่อนลุยสวน...น่ากินมาก
ส่วนผสม ปลาช่อนลุยสวน
1.ปลาช่อน 1 ตัว
2.พริกขี้หนูบด 1 ช้อนโต๊ะ
3.น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
4.น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
5.น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
6.ผักชีฝรั่งหั่นฝอย 2 ช้อนโต้ะ
7.ผักชีหั่นฝอย 2 ช้อนโต้ะ
8.ใบสาระแหน่ 2 ช้อนโต้ะ
9.ตะไคร้หั่น 2 ช้อนโต๊ะ
10.หอมแดงซอย 4 ช้อนโต๊ะ
11.มะนาวหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าพร้อมเปลือก 3 ช้อนโต๊ะ
12.น้ำมันพืช 4 ถ้วยตวง

วิธีทำ ปลาช่อนลุยสวน
1. ตั้งน้ำมันให้ร้อน นำปลาช่อนลงไปทอดปลาให้เหลือง นำปลามาสะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จาน
2. ทำน้ำยำ โดย ผสมน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาล หอมแดงหั่น ตะไคร้หั่น ผักชีหั่น
ผักชีฝรั่งหั่น เปลือกมะนาวหั่นเป็นลูกเต๋าและพริกขี้หนู ผสมให้เข้ากัน
3. ราดน้ำยำลงบนจานปลาช่อนลุยสวนที่จัดไว้แล้ว


(10) ตำนาน "ไข่ลูกเขย"...
ว่าที่พ่อตา กับ ว่าที่ลูกเขย ดวลกันทำกับข้าวเอาใจสาว ฝ่ายนึงลูกสาวตัว
ฝ่ายนึง ก็แฟนตัว ซึ่ง ทั้ง 2 ต่างรู้ดีว่า สาวเจ้า ชอบไข่เจียวมาก ถึงมากที่สุด

ฝ่ายผู้เป็นพ่อ ก็เลยจัดการ เจียวไข่ แต่ มีตีลูกกัน ไม่ให้ลูกเขยทำแข่ง
เลยเอาไข่ที่เหลือไปต้มจนสุกหมด

ฝ่ายลูกเขย ตั้งท่าจะทำไข่เจียว เต็มที่ กะพิชิตใจสาวด้วยไข่เจียวสูตรพิเศษ
ตั้งกระทะรอ ควันฉุย ซอยหอมกะจะใส่ไข่เจียวเต็มเขียง แต่ ณ บัดนั้น
หนุ่มเจ้า ตอกไข่ กะจะเจียวให้ฟู ๆ กลับกลายเป็นไข่ที่เหลืออยู่ เป็นไข่ต้มเสียสิ้น
เอาแล้วตรู ทำยังไงดีเนี่ย

ด้วยไหวพริบอันฉลาด แกม โง่ นิด ๆ เลยทอดมันทั้ง ๆ ต้มนี่แหละฟะ
หอม เหิม ใส่ลง แม่มให้หมดปรากฏผลออกมา น่าตาดี ใช้ได้
คล้าย ๆ ปลาทอด เลยจัดการทำน้ำเปลี้ยวหวานราดซะเลย
ยกออกมา เสริฟ ท่านพ่อยังข่มเอาซะ ว่า ไงล่ะ ไข่(เจียว) ลูกเขย คนเก่ง
หน้าตาเป็นยังไงหนอขอชิมหน่อยซิ สุดท้ายไข่ลูกเขยหมดก่อนไข่พ่อตาซะอีก

ที่มา: บทความดีๆจาก http://bit.ly/bookbotkham
Ref | fb.com (Forward Line)



(11) 9 เทคนิคกันมอดมากินข้าวสาร
ปกติผมกินข้าวอินทรีย์ ปัญหาที่ตามมาก็คือมอดตัวร้ายมาแย่งเรากินซะงั้น ครั้นจะไปซื้อ
ข้างบรรจุถุงแถมสารรมข้าวทั้งเมธิลโบรไมด์ (Methylbromide) และฟอสฟีน
(phosphine)แล้วจะทำอย่างไรดี มีปัญหาก็ต้องหาคำตอบแบบง่ายๆใกล้ตัวตามหลักของ
ฟาร์มสุขสวนกระแส ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้

1.นำข้าวที่มอดขึ้นมาตากแดดความร้อนและแสงแดดจะทำให้มอดหนีไปเอง
2.ใช้ช้อนสแตนเลส หรือ ของที่ทำจากเหล็ก ใส่ลงไปในถังใส่ข้าวเลย เท่านี้มอดก็ไม่มารบกวน
3.ใช้กระดองปู ล้างแล้วตากให้แห้งใส่ถังข้าวไม่มีมอดเช่นกัน
4.ใช้ถังไม้สักเก็บข้าวสาร ปลวกยังไม่กล้าแล้วมอดจะกล้าเหรอ
5.เอาข้าวสารใส่ตู้เย็น เพราะมอดไม่สามารถเจริญเติบโตที่อุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศา มันหนาว
6.ใช้พริกแห้ง 1 กำมือใส่ในผ้าขาวบาง แล้วไว้ในถังข้าวสงสัยมันจะเผ็ดมอดคงไม่กินเผ็ด
ต้องหมั่นเปลี่ยนเมื่อกลิ่นหมด
7.ใส่ใบมะกรูด มอดก็จะหนีไปเองแต่ต้องหมั่นเปลี่ยนเมื่อกลิ่นหมด
8.ไม้เกี๊ยะ เป็นไม้ที่ใช้จุดฟืน มากจากต้นเกี๊ยะ หรือเรียกว่า สนเขาหรือสนสามใบ ทางภาค
เหนือให้ในการจุดฟืน เอามาใส่ในถังข้าวสารมอดก็ไม่กล้ามาตอแย
9.สุดท้ายแปลกสุดใช้กระดองเต่า แปลกแต่จริงภูมิปัญญาโบราณ

สะดวกแบบไหนก็ลองดูส่วนผมช้อนแสตนเลสครับใกล้มือสุด ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ฟาร์มสุข สวนกระแส farmsuk Suangrasae



แค่นี้พอจ้า เลือกซักอย่างทำขาย ขอให้รวยจ้า


.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 05/10/2015 9:38 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน น้ำมะนาวโซดา 10 สูตร ล้างพิษ จ้า ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน น้ำมะนาวโซดา 10 สูตร ล้างพิษ จ้า

ข้อคิดดี ๆ เก็บมาฝากจ้า

ขอบคุณ ข้อมูลจาก Wanchai Karnwitayee จ้า




(1) รวมฮิต 10 สูตรน้ำมะนาวโซดา เครื่องดื่มล้างพิษ สุดสดชื่น
ถ้าพูดถึงเครื่องดื่มล้างพิษ เชื่อเลยว่า คนที่รักสุขภาพหลาย ๆ คนน่าจะคิดถึง น้ำมะนาวโซดา เป็นอันดับต้น ๆ ยิ่งในตอนนี้ มะนาวโซดา หรือมะนาวผสมโซดา กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตเลยทีเดียว เพราะมีความเชื่อว่า น้ำมะนาวผสมโซดา จะช่วยรักษามะเร็งได้ แต่ก็มีแพทย์ออกมาเตือนแล้วว่า น้ำมะนาวผสมโซดาไม่ได้ช่วยรักษามะเร็งแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระที่เป็นตัวก่อเซลล์มะเร็งได้เท่านั้นเอง

แต่ถึงแม้น้ำมะนาวโซดาแก้วนี้ จะไม่ได้ช่วยรักษาโรคมะเร็งอย่างที่หลายคนคาดหวังไว้ได้ แต่น้ำมะนาวโซดา สามาถช่วยล้างพิษ หรือดีท็อกซ์ได้นะจ๊ะ แต่ก็ต้องระวังให้มากหน่อยสำหรับผู้ที่เป็นโรคกะเพาะ หรือผู้ป่วยโรคทางเดินอาหาร เพราะมะนาวและโซดามีฤทธิ์เป็นกรด อาจจะเข้าไปกัดกระเพาะเข้าได้ ควรจะดื่มในปริมาณที่พอเหมาะพอควรนะคะ

1. น้ำมะนาวโซดา
ก่อนที่จะไปสนุกกับเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีน้ำมะนาวโซดาเป็นส่วนผสม ลองมาดูน้ำมะนาวโซดาแบบพื้นฐานกันก่อนเลย ว่าที่เขาฮิตดื่มกันเนี่ยมีส่วนผสมอะไรบ้าง

ส่วนผสม
น้ำตาลทราย
น้ำ
น้ำมะนาวคั้น
โซดา
น้ำแข็ง

วิธีทำ
1. ทำน้ำเชื่อม โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้
2. ใส่น้ำแข็งลงในแก้ว ตามด้วยน้ำเชื่อม น้ำมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน เติมน้ำแข็ง พร้อมดื่ม

2. น้ำผึ้งมะนาวโซดา
น้ำผึ้งมะนาวโซดา น่าจะเป็นเครื่องดื่มที่คุ้นเคย สำหรับคนที่ไม่สามารถดื่มโซดาเพียว ๆ ได้น่าจะเหมาะ มีขายให้เราได้ซื้อมาดื่มกันอยู่บ่อย ๆ รสชาติหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ ชุ่มคอดีเหลือเกิน แต่ใครที่อยากจะลองทำเองเพื่อให้มั่นใจว่า น้ำผึ้งที่ผสมลงไปนั้น แท้ 100% ก็ลงมือกันเลย

ส่วนผสม
น้ำผึ้ง
น้ำมะนาว
โซดา
น้ำแข็ง
ฝานมะนาวเป็นชิ้นบาง และใบสะระแหน่ สำหรับแต่งปากถ้วย

วิธีทำ
ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ตามด้วยโซดาแช่เย็นจัด แต่งด้วยมะนาวฝาน และใบสะระแหน่ พร้อมดื่ม


3. แตงโมมะนาวโซดา

เครื่องดื่มแก้วนี้จับแตงโมเนื้อหวานฉ่ำเข้ามาผสมกับมะนาวและโซดา เพิ่มหวานสดชื่นขึ้นอีกเป็นกอง แถมแตงโมมะนาวโซดาแก้วนี้ยังสามารถทำเป็นค็อกเทลได้ด้วยนะคะ แค่เติมวอดก้าลงไปอีกสักหน่อยก็ฟินแล้ว


ส่วนผสม

แตงโมแกะเม็ด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4 ถ้วย

โซดาแช่เย็นจัด 2 ถ้วย

น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

น้ำ 1/4 ถ้วย

น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย (จากมะนาว 2 ลูก)

เปลือกมะนาว 1 ลูก


วิธีทำ

1. ใส่น้ำตาลทราย น้ำ น้ำมะนาวคั้น และเปลือกมะนาวลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น

2. ใส่เนื้อแตงโมลงปั่นในเครื่องปั่น ปั่นจนละเอียด เทใส่เหยือก เติมน้ำเชื่อมมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เทใส่แก้ว เติมน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ


4. ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา

เอาใจคนที่ชอบเครื่องดื่มแบบเปรี้ยวจี๊ด คงจะต้องยกให้ ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา แก้วนี้เลย แถมสีสันยังสดใส เหมาะจะทำเป็นเครื่องดื่มต้อนรับหน้าร้อนสุด ๆ


ส่วนผสม

ราสป์เบอร์รีสด 450 กรัม

น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

มะนาว 2 ลูก

น้ำ 1/3 ถ้วย

โซดา


วิธีทำ

1. ทำน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รี โดยใส่ราสป์เบอร์รีสด และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมให้เข้ากันพอนิ่ม จากนั้นขูดผิวมะนาวใส่ลงไป ตามด้วยน้ำมะนาว ใช้ช้อนค่อย ๆ บดเนื้อราสป์เบอร์รีจนละเอียด เติมน้ำลงไป เคี่ยวส่วนผสมประมาณ 5 - 7 นาที จนส่วนผสมใส และเหนียว ยกลงกรองผ่านตะแกรง เอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้

2. ใส่โซดาลงในแก้ว ประมาณ 3/4 แก้ว เติมน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รีลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ



5. เลมอนมินต์ม็อกเทล

เครื่องดื่มแก้วนี้น่าจะสร้างความสดชื่นได้ดีทีเดียว ที่นอกจากจะได้รสชาติเปรี้ยวซ่าจากเลมอนและโซดาแล้ว ยังได้กลิ่นมินต์หอมจาก ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ใช้มะนาวโดยตรง แต่คุณประโยชน์ไม่แพ้กันแน่ ๆ


ส่วนผสม

เลมอนเหลือง 1 ลูก

ใบสะระแหน่ (เด็ดเป็นใบ)

น้ำเชื่อม

น้ำแข็ง

โซดา


วิธีทำ

1. หั่นเลมอนเหลืองเป็นชิ้น ๆ บีบน้ำเลมอนลงในอ่างผสมพร้อมเปลือก ตามด้วยใส่ใบสะระแหน่ลงไป จากนั้นใช้ไม้ บดส่วนผสมให้เข้ากัน

2. เทส่วนผสมเฉพาะของเหลวลงในเชคเกอร์ ใส่น้ำแข็งตามลงไปแล้วเขย่าให้เข้ากัน เทส่วนผสมใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ ประมาณ 1/2 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเกือบเต็ม ใส่เลมอนเหลืองฝานเป็นชิ้นบางลงในแก้ว แต่งใบสะระแหน่ให้สวยงาม พร้อมดื่ม



6. เกรปฟรุตมะนาวโซดา

เครื่องดื่มแก้วนี้สีสันสดใส รสชาติเปรี้ยวจี๊ดถึงใจ แถมยังหอมกลิ่นจากเกรปฟรุต มะนาว และเลมอนด้วย ที่นอกจากจะสดชื่นแล้ว ยังผ่อนคลายเบา ๆ อีกด้วยนะจ๊ะ


ส่วนผสม

เกรปฟรุต 3 ลูก

เลมอน 2 ลูก

มะนาว 1 ลูก

โซดากลิ่นมะนาว 4 ถ้วย


วิธีทำ

1. คั้นน้ำเกรปฟรุต น้ำเลมอน และน้ำมะนาว จากนั้นเทใส่แก้ว คนผสมให้เข้ากัน นำเข้าแช่เย็น เตรียมไว้

2. ใส่น้ำผลไม้ลงในแก้ว ตามด้วยโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ



7. น้ำขิงมะนาวโซดา

น้ำขิงมะนาวโซดาแก้วนี้ เป็นเครื่องดื่มล้างพิษที่จะช่วยเรียกคืนความสดชื่นให้กับร่างกายที่หนักแอลกอฮอล์ ยิ่งถ้าใครชอบกินขิง รสชาติเผ็ดร้อนอยู่แล้วก็น่าจะถูกอกถูกใจไม่น้อยเลยล่ะ


ส่วนผสม

ขิงขูดละเอียด 3/4 ถ้วย (หรือประมาณ 4 ออนซ์)

น้ำมะนาว 1 ถ้วย

น้ำ 1 ถ้วย

น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

น้ำแข็ง

โซดาแช่เย็นจัด


วิธีทำ

1. ทำน้ำเชื่อมโดย นำกระทะขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใส่น้ำตาลทรายและน้ำ คนผสมจนน้ำตาลทรายละลายเป็นน้ำเชื่อม หรือนานประมาณ 2 นาที ยกลงจากเตา

2. ใส่ขิงขูดลงในน้ำเชื่อมร้อน ๆ คนผสมให้เข้ากัน พักทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนขิงเข้ากันดีกับน้ำเชื่อม

3. หลังจากครบเวลา เติมน้ำมะนาว คนผสมให้เข้ากัน ยกลงกรองผ่านกระชอนหรือตะแกรงเอาเฉพาะน้ำ จากนั้นเทน้ำขิงมะนาวใส่แก้วที่มีน้ำแข็งประมาณ 2/3 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเต็มแก้ว พร้อมดื่ม



8. เชอร์รีมะนาวโซดา

เชอร์รีมะนาวโซดาแก้วนี้อาจจะสะดวกสำหรับคนที่หาซื้อผลเชอร์รีสด ๆ ไม่ได้ แถมยังใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลอีกด้วย ดีต่อสุขภาพจริง ๆ


ส่วนผสม

น้ำเชอร์รี 100% 1/3 ถ้วย

น้ำมะนาว 1/4 ช้อนชา

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล 1 ซอง

โซดา

น้ำแข็ง


วิธีทำ

ผสมน้ำเชอร์รี น้ำมะนาว และน้ำตาลเทียม คนผสมให้เข้ากัน เทลงแก้ว ตามด้วยน้ำแข็ง และโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ



9. น้ำอ้อยมะนาวโซดา

ใครจะไปเชื่อว่า น้ำอ้อยบ้าน ๆ เนี่ย จะสามารถมาผสมรวมกับน้ำมะนาวและโซดา ออกมาเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ว่าแต่รสชาติจะเป็นอย่างไร ก็ต้องลองกันสักหน่อยแล้ว เป็นสูตรเด็ดมาจากนิตยสาร Health & Cuisine


ส่วนผสม

น้ำอ้อยคั้นสด 3 ถ้วย

เลมอนหั่นซีก 2 ซีก

โซดา 1/2 ถ้วย

น้ำแข็งตามชอบ


วิธีทำ

บีบเลมอนใส่ลงในน้ำอ้อย คนผสมห้เข้ากัน ใส่น้ำแข็งและเปลือกเลมอนที่เหลือลงแก้ว รินน้ำอ้อยลงไป ตามด้วยโซดา พร้อมเสิร์ฟ



10. ชามะนาวโซดา(อาจใช้ชาเขียวแทนชาธรรมดาได้)

เอาใจคนที่ชอบดื่มชามะนาวด้วยการเติมโซดาลงไปให้สดชื่นยิ่งขึ้น แถมยังได้กลิ่นมินต์หอม ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย


ส่วนผสม

น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย

น้ำ 2/3 ถ้วย

ใบสะระแหน่ เด็ดเป็นใบ 1 ถ้วย

ชาสำเร็จรูปสำหรับชงดื่ม ตามชอบ 8 ซอง

น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย

โซดา

น้ำแข็ง


วิธีทำ

1. ทำน้ำเชื่อมกลิ่นมินต์ โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ใส่ใบสะระแหน่ คนผสมจนเป็นน้ำเชื่อม และมีกลิ่นมินต์ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น กรองเอาใบสะระแหน่ออก เตรียมไว้

2. ใส่น้ำร้อนจัดลงในถ้วย ใส่ชาสำเร็จรูปลงในถ้วย รอจนชาเปลี่ยนสี ประมาณ 3 นาที

3. ผสมน้ำเชื่อมกับน้ำชา และน้ำมะนาว ใส่มะนาวฝานบาง และใบสะระแหน่เล็กน้อย คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นเติมโซดาลงไป ชิมรสตามชอบ เทใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ


(Green Smoothie)(Orange Juice)(Lemonade)(Iced Tea)


ทำชิมทั้ง 10 สูตร ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 6 โมงเเย็น ชั่วโมงละสูตร....ล้างพิษดีจังเลยจ้า....หนูหริ่งขอไปห้องน้ำ ไล่พิษออกก่อนอ่ะจ้า....



.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 06/10/2015 3:52 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน สมุนไพรหลายหลากจ้า ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน สมุนไพรหลายหลากจ้า

เก็บของดี ๆ มาฝากจ้า

ขอบคุณ ข้อมูลจาก Wanchai Karnwitayee จ้า


(1)

(2)
(1 - 2) กินหอมแดงเป็นประจำ ป้องกันโรคหัวใจ

หอมแดงเป็นพืชขนาดเล็กลำต้นเหนือใต้ดินสูง 15-50 ซม. มีกาบใบซึ่งมีลักษณะพอง สะสมอาหารเป็นกระเปาะคล้ายหัว สีแดงถึงสีน้ำตาลเหลือง ขยี้กลิ่นฉุนและระคายเคืองตา ทำให้น้ำตาลไหล เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-4 ซม. ใบเสียเขียวเป็นเส้นกลมภายในกลวง ปลายเรียวแหลม ดอกออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกก็เป็นคล้ายใบ ยาวประมาณ 20-30 ซม. ดอกย่อยมีจำนวนมาก สีขาวออกม่วง ๆ มี 6 กลีบ มีเกสรตัวผู้หกอัน ผลอยู่รวมกันเป็นกระจุกกลม เมล็ดสีดำ

สรรพคุณทางยา :
หัวหอม มีรสฉุน ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ช่วยย่อยและเจริญอาหาร แก้บวมน้ำ แก้อาการอักเสบต่าง ๆ ขับพยาธิ ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เมล็ด แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้กินเนื้อสัตว์เป็นพิษ ร่างกายซุบผอม (ใช้เมล็ดแห้ง 5-10 กรัมต้มน้ำดื่ม) ตำรายาไทยใช้หัวหอมแดง ผสมรวมกับเหง้าเปราะหอมสุมหัวเด็ก แก้หวัดคัดจมูก และกินเป็นยาขับลม หอมแดงมีสารเคอร์ซิติน และสารฟลาโวนอยด์ (quercetin และ flavonoid glycosides) อาจป้องกันโรคมะเร็งได้

นอกจากนี้ หอมแดงยังมีคุณสมบัติ เป็นยารักษาโรค ใช้ลดไข้และรักษาแผลได้ โดยเอาหัวหอมแดงมาซอยเป็นแว่นๆ ผสมกับน้ำมันมะพร้าวและเกลือ ต้มให้เดือด แล้วนำมาพอกแผล

นอกจากนั้นหอมแดง ยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และยับยั้งเส้นเลือดอุดตัน ด้วยการบริโภคสด หรือประกอบอาหาร หรือบริโภคชนิดผง

นักวิจัยมหาวิทยาลัยในฮ่องกง พบประโยชน์ของหอมแดง ซึ่งเป็นเครื่องปรุงอาหาร ทั้งในเอเชีย และเมดิเตอร์เรเนียนว่า ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ โดยช่วยกำจัดไขมันเลว ซึ่งเป็นตัวการทำให้หัวใจวายและอัมพฤกษ์ อัมพาตออกจากร่างกาย และรักษาไขมันดีไว้ เป็นการป้องกันโรคหัวใจ

หัวหน้าคณะนักวิจัย เชิน ยู เชน กล่าวว่า “แม้ว่าจะมีการวิจัยหัวหอมอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังคงไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับยีนของมนุษย์ และมีบทบาทเกี่ยวกับการเผาผลาญอาหารในร่างกายอย่างไร การศึกษาครั้งนี้นับเป็นการศึกษาความเกี่ยวพันของหอมแดงกับหน้าที่ทาง ชีววิทยาหนแรก”

นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษา โดยการป้อนหนูที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่มีคอเลสเทอรอลสูง แล้วให้กินหอมแดงที่ทุบแล้ว พบว่าหลังจากทำมา 2 เดือน ระดับคอเลสเทอรอลเลวลดลงโดยเฉพาะร้อยละ 20 โดยที่ระดับคอเลสเทอรอลดีไม่เปลี่ยนแปลง
หัวหน้านักวิจัยกล่าวในที่สุดว่า “ผลของการศึกษาได้สนับสนุนข้ออ้างที่ว่า การกินหัวหอมประจำจะช่วยลดอันตรายของโรคหัวใจชนิดเส้นเลือดมาเลี้ยงหัวใจอุดตันได้”

ขอขอบคุณ : ข้อมูลบางส่วนจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ข้อมูลภาพจากอินเตอร์เน็ต



(3) คาเวียร์

หรือบางทีจะเรียก ไข่ปลาคาเวียร์ (caviar) เป็นไข่ปลาที่ผ่านการปรุงรสโดยไข่มาจากปลาหลากหลายประเภท โดยส่วนมากนิยมนำมาจากไข่ปลาสเตอร์เจียน

คาเวียร์ได้มีการโฆษณาและได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก

คำว่า คาเวียร์มาจากภาษาเปอร์เซีย ว่า (Khag-avar) ซึ่งมีความหมายว่า "ไข่ปลาที่ปรุงรส" โดยในแถบเปอร์เซียจะใช้ปลาสเตอร์เจียน

ในปัจจุบัน คาเวียร์ที่มีชื่อเสียง จะมาจากฝั่งทะเลแคสเปียน ในแถบอาเซอร์ไบจัน อิหร่าน และ รัสเซีย

คาเวียร์มีหลายประเภทและหลายสี โดย....
คาเวียร์สีทอง ที่มาจากปลาสเตอร์เลต (sterlet, ชื่อวิทยาศาสตร์: Acipenser ruthenus) เป็นคาเวียร์ที่หายาก นิยมรับประทานกันในหมู่กษัตริย์ โดยในปัจจุบันคาเวียร์ชนิดนี้แทบจะหาไม่ได้เนื่องจากมีการล่ามากจนเกินไป และทำให้เกิดการสูญพันธุ์

ปลาสเตอร์เจียน (อังกฤษ: Sturgeon) ปลากระดูกแข็งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาฉลามปากเป็ดหรืออันดับปลาสเตอร์เจียน (Acipenseriformes) อาศัยได้อยู่ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และทะเล เมื่อยังเล็กจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด ทะเลสาบหรือตามปากแม่น้ำ แต่เมื่อโตขึ้นจะว่ายอพยพสลงสู่ทะเลใหญ่ และเมื่อถึงฤดูวางไข่ก็จะว่ายกลับมาวางไข่ในแหล่งน้ำจืด

สเตอร์เจียน เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า ไข่ปลาคาเวียร์ (Caviar) ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

สเตอร์เจียน มีรูปร่างคล้ายปลาฉลาม มีหนามแหลมสั้น ๆ บริเวณหลังและเส้นข้างลำตัว (Llateral line) มีหนวดทั้งหมด 2 คู่อยู่บริเวณปลายจมูก ปลายหัวแหลม ปากอยู่ใต้ลำตัว หากินตามพื้นน้ำโดยอาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ สเตอร์เจียนจะพบแต่เฉพาะซีกโลกทางเหนือซึ่งเป็นเขตหนาวเท่านั้น ได้แก่ ทวีปเอเชียตอนเหนือ ทวีปยุโรปตอนเหนือ ทวีปอเมริกาเหนือตอนเหนือ สถานะปัจจุบันของปลาชนิดนี้ในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์เต็มที แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในบางชนิด

สเตอร์เจียน มีทั้งหมด 27 ชนิด ใน 3 สกุล โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือ สเตอร์เจียนขาว (Huso huso) พบในรัสเซีย สามารถโตเต็มที่ได้ถึง 5 เมตร หนักกว่า 900 กิโลกรัม และมีอายุยืนยาวถึง 210 ปี นับเป็นปลาที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก เท่าที่มีการบันทึกมา และเป็นชนิดที่ให้ไข่รสชาติดีที่สุดและแพงที่สุดด้วย ส่วนชนิดที่เล็กที่สุดคือ สเตอร์เจียนแคระ (Pseudoscaphirhynchus hermanni) ที่โตเต็มที่มีขนาดไม่ถึง 1 ฟุตเสียด้วยซ้ำ

นอกจากนี้แล้ว สเตอร์เจียนยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย

คาเวียร์ เป็นไข่ปลาที่ผ่านการปรุงรสโดยไข่มาจากปลาหลากหลายประเภท โดยส่วนมากนิยมนำมาจากไข่ปลาสเตอร์เจียน คาเวียร์ได้มีการโฆษณาและได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก
ข้อมูลโภชนาการ



(4) ประโยชน์ดีๆ ของขึ้นฉ่าย

(คำว่า ขึ้นฉ่าย – ทั้งในรูป และในบทความ เขียนผิดนะจ๊า ตามปทานุกรมฉบับราชบัณฑิตย์ฯ ต้องเขียนว่า คึ่นไฉ่ หรือ คึ่นฉ่าย จ้า)

สุขภาพดีไม่มีขาย แต่ถ้ากินขึ้นฉ่าย (คึ่นฉ่าย) เป็นประจำ สุขภาพของคุณจะเป๊ะเว่อร์จนน่าอิจฉา

1. ความดันโลหิต ลดลงน้ำต้มขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย) 1 แก้วจะปรับความดันโลหิตให้ลดลงภายใน 1 ชั่วโมง และออกฤทธิ์อยู่นานถึง 5 ชั่วโมง ถ้าคุณความดันสูงแล้วดื่มน้ำขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย)ก่อนออกจากบ้านทุกวัน โอกาสเสี่ยงที่จะไปหน้ามืดใจสั่นหรือหัวใจวายนอกบ้านก็จะน้อยลงมากถึงมากที่สุด

2. สบายท้อง เวลากินอาหารมื้อหนักอย่าลืมตบท้ายด้วยขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย) 2 - 3 ก้าน เพราะน้ำมันระเหยในขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย)มีสรรพคุณในการขับลมในกระเพาะอาหาร จะช่วยให้คุณไม่เกิดอาการท้องอืด หรือจุกเสียดแน่นท้องจนออกไปชิลเอาท์ต่อไม่ไหว

3. ไม่ต้องห่วงโรคหวัด เพราะขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย)หอบวิตามินซีมามาแบบจัดหนัก โรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ซึ่งเป็นคู่อริกับวิตามินซีก็เลยไม่กล้าแผลงฤทธิ์ แถมยังมีผลข้างเคียงช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง ป้องกันอาการเลือดออกตามไรฟันและเลือดกำเดาไหลได้อีกด้วย

4. ต่อต้านมะเร็ง พีนอลิคซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย)มีสรรพคุณในการล้างสารพิษ ฟอกเลือดให้สะอาดทำให้หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง ป้องกันมะเร็งและเนื้องอก นอกจากนี้ยังช่วยขับปัสสาวะ ทำให้สารพิษต่างๆ ไม่ตกค้างในร่างกาย

5. ไม่อ้วนก่อนมีประจำเดือน ตำราจีนบอกว่าขึ้นฉ่าย(คึ่นฉ่าย)เป็นยาเย็นที่สามารถลดอาการบวมน้ำก่อนมีประจำเดือน สาวๆ ที่อยากให้รูปร่างดีตลอดเวลา นี่ล่ะตัวช่วยของคุณ



(5)ใบยอ. สมุนไพร ชะลอ ความเสื่อมของร่างกาย

ใบยอ มีวิตามินเอ 40,000 กว่ายูนิตสากลต่อ 100 กรัม มีคุณสมบัติในการบำรุงสายตา บำรุงหัวใจ ลดไข้

คั้นน้ำทาแก้โรคเก๊าท์ ปวดตามข้อเล็กๆ ของนิ้วมือ นิ้วเท้า แก้กระษัย หรือคั้นน้ำสระผมฆ่าเหา ใช้ใบปรุงเป็นอาหาร ประโยชน์ต่อสุขภาพ สมุนไพรใบยอ รับประทานเป็นยาเพื่อลดความร้อนในร่างกายได้ ส่วนผลมีรสเผ็ดร้อน แก้ท้องร่วง ช่วยขับลมในลำไส้

ชื่อท้องถิ่น : ยอบ้าน ตาเสือ มะตาเสือ แยใหญ่
ชื่ออังกฤษ: Indian mulberry;
ชื่อวิทยาศาสตร์: Morinda citrifolia L. (สมภพ ประธานธุรารักษ์,2539)

สมุนไพรยอบ้าน มีประโยชน์มากมายทางด้านสุขภาพ และสามารถหาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้สะดวก เพราะมีขึ้นอยู่ทั่วทุกสภาพดิน และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่ ราก เปลือก ใบ ผล ซึ่งทั้งหมดนี้จะอุดมไปด้วย สารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้ง วิตามินซี โปตัสเซียม วืตามินเอที่ค่อนข้างสูง มีสารแอนตี้ออกซิแดนท็ซึ่งสารเหล่านี้มีความสำคัญ และให้ประโยชน์แก่สุขภาพทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรที่สามารถป้องการเกิดมะเร็งได้ด้วย เหมือนกับการทานผักผลไม้ทั้งหลาย ส่วนใบยังทำเป็นชาสมุนไพรไว้ดื่มได้อีกด้วย

ใบยอ 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 73 กิโลแคลอรี่มีเส้นใย 4 กรัม มีแคลเซียม 469 มิลลิกรัม เหล็ก 1.4 มิลลิกรัม วิตามินเอ 43333 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.30 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.19 มิลลิกรัม ไนอาซิน 7.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 3 มิลลิกรัม

ประโยชน์ทางการแพทย์ ของสมุนไพร ใบยอ ดังนี้
1. สร้างเสริมปฏิกิริยาชีวเคมีในเซลล์ให้ดีขึ้น ฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมโทรม ซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลาย เพิ่มพลังในเซลล์ ทำให้มีกำลังและขจัดสารพิษในเซลล์
2. ช่วยสังเคราะห์สารโปรตีนในร่างกาย ทำให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายดีขึ้น และเป็นผลดีต่อต่อมต่างๆ ในร่างกายทำให้ทำงานดีขึ้น
3. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของร่างกาย และต่อต้านมะเร็ง
4. ลดระดับน้ำตาลในคนไข้เบาหวาน
5. ลดความดันโลหิตสูง
6. ต่อต้านเซลล์มะเร็ง และเสริมภูมิต้านทานโรคโดยการกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อต้านเซลล์มะเร็งและเชื้อโรคต่างๆ
7. ลดและบรรเทาการอักเสบของเซลล์ ลดและบรรเทาโรคภูมิแพ้
8. มีวิตามิน แร่ธาตุ อะมิโนแอซิด ช่วยเสริมอาหารและเพิ่มพลังงานในร่างกาย
9. ระงับความเจ็บปวด และบรรเทาอาหารปวดซ้ำ
10. ช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว
11. ป้องกันและลดอาการของโรคภูมิแพ้

ถึงแม้การศึกษาในเชิงวิทยาศาสตร์ เนื้อหาผลที่มีต่อสุขภาพของลูกยอเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและยังไม่พบข้อ พิสูจน์อย่างแน่ชัดก็ตาม แต่การใช้ลูกยอเป็นยาพื้นบ้านชาวโพลีนิเชียน พบคุณสมบัติทางยาของลูกยอซึ่งนำมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานกว่า 2000 ปี แล้ว ชาวจีน อินเดีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฯลฯ ใช้ยอ (ใบ ดอก ผล เปลือก ราก) ในการรักษาโรคต่างๆ เช่น ตา โรคผิวหนัง เหงือก โรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ แก้ท้องผูก ปวดท้อง โรคปวดเอว โรคขัดหรือท้องร่วง เป็นต้น

การใช้ประโยชน์ใบยอ :
(ก) ใบสด ใช้ห่อเนื้อ ใช้ทำอาหาร เช่น ห่อหมก ใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ หรือเลี้ยงตัวหนอนไหม แก้แผลพุพอง รักษาอาการปวดศีรษะ หรือไข้

(ข) ใบทำยาพอก รักษาโรคมาลาเรีย แก้ไข้ แก้ปวด รักษาวัณโรค อาการเคล็ดยอก แผลถลอกลึกๆ อาการปวดในข้อ แก้ไข้ แก้พิษจากการถูกปลาหินต่อย แก้กระดูกแตก กล้ามเนื้อแพลง

(ค) น้ำสกัดใบยอ รักษาความดันโลหิตสูง เลือดออกที่เกิดจากกระดูกร้าว แก้ปวดท้อง เบาหวาน เบื้ออาหาร ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่องท้องบวม ไส้เลื่อน อาการขาดวิตามินเอ เป็นที่น่าสังเกตว่า ลูกยอมีปริมาณคาร์โบไฮเดรต เส้นใย และโพแทสเซียมสูง แต่มีไขมันค่อนข้างต่ำ

การใช้ประโยชน์ ยอสมัยใหม่ :
ปัจจุบันมีการนำลูกยอมาใช้ในทางแพทย์ทางเลือก (complementary alternative medicine, CAM) กันอย่างแพร่หลายในการรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคติดสุราหรือยาเสพติด อาการแพ้ โรคข้ออักเสบ โรคหอบหืด โรคสมอง แผลพุพอง มะเร็ง โรคเส้นโลหิตหล่อเลี้ยงหัวใจ อาการแพ้สารเคมี โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร โรคเซลล์เจริญเติบโตนอกมดลูก (endometriosis) โรคเก๊าท์ โรคความดันโลหิตสูง ภูมิคุ้มกันต่ำ อาการอักเสบต่างๆ อาการปวดบวม อาการอ่อนเพลียจากการนั่งเครื่องบินนานๆ โรคเส้นโลหิตตีบ อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ โปลิโอ โรคปวดในข้อ ไซนัส และใช้เป็นยารักษาสัตว์

ในปัจจุบันลูกยอกลายเป็นยาทางเลือกที่ได้รับความนิยมสูงมาก ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากคุณสมบัติของลูกยอในทางการรักษาแบบพื้นบ้านสืบมา บวกเข้ากับประสบการณ์ที่สั่งสมสืบทอดกันมา และผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ยังถือว่าเป็นเบื้องต้นสรรพคุณของลูกยอหรือน้ำลูกยอได้ขยายออกไปสู่การรักษาโรคต่างๆ เช่น ในเว็บไซด์เกี่ยวกับลูกยอของอินเดียกล่าวว่า ลูกยอช่วยลดพิษในร่างกาย ทำให้เซลล์อ่อนเยาว์ลง

ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ลดอาการปวด ดูดซึมอาหารและยาได้ดีขึ้น ควบคุมน้ำหนัก ทำให้นอนหลับสบาย ทำให้เลือดบริสุทธิ์ ควบคุมการทำงานของเซลล์ให้ดีขึ้น ซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมโทรม เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายรักษาตัวเองได้ดีขึ้น ลดความเครียด ทำให้จิตใจสงบและเยือกเย็น ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ทำให้ตื่นตัว มีความจำและสมาธิดี ช่วยรักษาผิว ผม และหนังศีรษะ ลดโอกาสของการเป็นโรคที่เกี่ยวกับสูงวัย เช่น โรคเส้นโลหิตตีบ โรคหัวใจ เบาหวาน และอัมพฤกษ์

นับว่าเป็นข้อมูลสมุนไพรไทยที่น่าสนใจและน่าจับตามากตัวหนึ่งเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
1. เว็บไซต์ prc.ac.th/lannagardrn
2. เว็บไซต์ 108 พรรณไม้
3. เว็บไซต์ th.wikipedia.org
4. เว็บไซต์ charpa.co.th
5. http://herbbasics.org/blog/ใบ



(6) 10 ลำนำ ทำลายไต - ไตเสื่อม

หมายถึงโรคที่ทำให้มีการสูญเสียเนื้อไตและมีการเสื่อมของการทำงานของไตอย่างช้าๆ อาจจะใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี เมื่อไตเสื่อมมากก็จะเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น บวม ซีดเป็นต้น

ในการประเมินจะเป็นโรคไตหรือไม่แพทย์จะสั่งตรวจเลือดเพื่อหาค่า
Creatinine เพือประเมินการทำงานของไต
ตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจว่ามีโปรตีน หรือเม็ดเลือดแดงหรือตะกอนหรือไม่
ตรวจทางรังสีเพือดูโครงสร้างของไต

เมื่อได้ผลตรวจจึงมาประเมินว่าเป็นโรคไตหรือไม่โดยพิจารณาจากลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งในสองข้อต่อไปนี้

ผู้ป่วยมีภาวะไตผิดปกตินานติดต่อกันเกิน 3 เดือนทั้งนี้ผู้ป่วยอาจจะมีอัตรากรองของไต(glomerular filtration rate, GFR)ผิดปกติหรือไม่ก็ได้ ภาวะไตผิดปกติหมายถึงลักษณะตามข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

ตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจปัสสาวะอย่างน้อยสองครั้งในระยะ 3 เดือนดังต่อไปนี้
ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ

ถ้าเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้วตรวจพบไข่ขาวในปริมาณเล็กน้อย microalbuminuria (อยู่ระหว่าง 30-200 microgram/day)

หากผู้ป่วยไม่ได้เป็นเบาหวานและตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะมากกว่า 500 mg/วัน
ตรวจพบเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ hematuria
ตรวจพบความผิดปกติทางรังสีวิทยา
ตรวจพบความผิดปกติทางโครงสร้างหรือพยาธิสภาพ

ผู้ที่มี GFR น้อยกว่า 60 mL/min/1.73m2ติดต่อกันเกิน 3 เดือนโดยที่อาจจะตรวจพบหรือไม่พบร่องรอยโรคก็ได้

จากนิยามจะเห็นได้ว่าการเป็นโรคไตเรื้อรังตามข้อ 1 พบว่าการทำงานของอาจจะปกติหรือผิดปกติก็ได้ สิ่งผิดปกติที่พบคือการตรวจปัสสาวะพบความผิดปกติ หากความผิดนั้นแก้ไขได้ก็จะไม่เป็นโรคไตเรื้อรัง สำหรับโรคไตตามข้อ2ไตได้ทำงานลดลงแล้วจะต้องรักษาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคไต

ข้อมูล — กับ ถั่วดาวอินคา แม่เมาะลำปาง



(7) วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้ ไม่แท้..มาดูกันว่าทำอย่างไรบ้าง..

น้ำผึ้งเป็นอาหารยอดนิยมชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากมายและด้วยความนิยมอย่างสูงและมีราคาแพงนี่เองจึงทำให้มีผู้ทำน้ำผึ้งปลอมหรือน้ำผึ้งผสมออกมาขายมากมาย จนผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการซื้อน้ำผึ้ง ยิ่งผู้ซื้อที่ขาดความรู้ในวิธีการทดสอบน้ำผึ้งด้วยแล้ว แทบจะเลิกกินน้ำผึ้งกันไปเลย วันนี้เราได้รวบรวมวิธีการทดสอบน้ำผึ้งแท้และวิธีดูน้ำผึ้งแท้มาให้ท่านได้ใช้งานกันแล้ว

น้ำผึ้งแท้ได้มาจากน้ำหวานจากเกสรดอกไม้

วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้ มีวิธีทำอย่างไรบ้าง ?
มีวิธีการทดสอบกันมากมายหลายวิธี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับท่านว่าสามารถทดสอบวิธีไหนได้บ้าง ดังนี้…

1. วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้โดยการติดไฟ :
วิธีทดสอบนี้ทำได้โดยนำไม่ขีดไฟมาจุ่มลงในน้ำผึ้ง แล้วเอามาขีดกับข้างกล่อง (ข้างกลัก) ไม้ขีด ถ้าสามารถขีดติดไฟได้ แสดงว่าเป็นน้ำผึ้งแท้ แต่ถ้าขีดไม่ติด หัวไม้ขีดไฟเปื่อยยุ่ยแสดงว่าเป็นน้ำผึ้งปลอม หรือน้ำผึ้งผสมน้ำตาล

2. การทดสอบน้ำผึ้งแท้โดยการหยดบนกระดาษทิชชู่ :
วิธีเช็คน้ำผึ้งด้วยวิธีนี้ ทำได้โดยการนำน้ำผึ้งที่ต้องการทดสอบหยดลงบนกระดาษทิชชู่ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้เมื่อหยดแล้วน้ำผึ้งนั้นจะคงรูปอยู่บนผิวทิชชู่ ไม่ซึมลงไปในเยื่อกระดาษ แต่ถ้าเป็นน้ำผึ้งปลอมหรือผสม น้ำผึ้งจะซึมลงกระดาษทิชชู่ทันทีที่หยดลงไป

3. วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้ด้วยปูนแดง :
วิธีนี้เป็นการทดสอบน้ำผึ้งด้วยด้วยปูนแดงหรือปูนกินหมาก วิธีการก็คือ เทน้ำผึ้งลงในฝ่ามือจากนั้นเทปูนแดงตามลงไป จากนั้นคนให้เข้ากัน ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะรู้สึกร้อนที่ฝ่ามือทันที แต่ถ้าเป็นของปลอมจะไม่รู้สึกอะไรเลย

4. การทดสอบน้ำผึ้งด้วยการดม :
วิธีตรวจสอบน้ำผึ้งแท้แบบนี้จะใช้วิธีการดม ซึ่งน้ำผึ้งแท้จะมีกลิ่นเฉพาะตัว คือมีกลิ่นหอมของน้ำหวานดอกไม้ผสมกับกลิ่นของรวงและไขมันผึ้งชัดเจนในขณะที่น้ำผึ้งผสมหรือน้ำผึ้งปลอมจะมีกลิ่นน้อยมากหรือไม่มีเลย

5. วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้โดยการแช่ตู้เย็น :
วิธีการดูน้ำผึ้งแท้แบบนี้ทดสอบได้ง่ายมาก เพียงนำน้ำผึ้งไปใส่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะไม่จับตัวแข็งเป็นก้อน แต่จะมีรูปร่างลักษณะเหมือนเดิมทุกประการ ในขณะที่ของปลอมจะจับตัวแข็งเหมือนนำน้ำหรือน้ำเชื่อมไปแช่นั่นเอง

6. การทดสอบน้ำผึ้งโดยการเก็บ :
น้ำผึ้งแท้นั้นเมื่อถูกเก็บไว้นานๆจะมีสีคล้ำขึ้น แต่รสชาติและลักษณะอื่นจะยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ในขณะที่ของปลอมจะเกิดการแยกชั้นของน้ำผึ้งและน้ำตาลอย่างชัดเจน กลิ่น สีและรสชาติก็เปลี่ยนไปด้วย การทดสอบน้ำผึ้งแท้วิธีนี้ทำได้ง่ายมาก

7. วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้โดยการเขย่า :
วิธีนี้นิยมใช้ทดสอบน้ำผึ้งที่ใส่ขวดขาย ให้จับขวดให้แน่นและเขย่าอย่างแรงหลายๆครั้ง ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้ซึ่งมีความหนืดสูง จะเกิดฟองอากาศขนาดใหญ่และไม่เกิดการแยกชั้นของของเหลวในขวด ในขณะที่น้ำผึ้งผสมหรือน้ำผึ้งปลอมจะเกิดฟองอากาศขนาดเล็กและเกิดการแยกชั้นของน้ำผึ้งและน้ำตาล

8. การทดสอบน้ำผึ้งแท้โดยการชิม :
วิธีการตรวจสอบน้ำผึ้งแบบนี้จะเห็นผลชัดเจนเวลาเราเหนื่อยหรืออ่อนเพลีย ให้กินน้ำผึ้งประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ เมื่อผ่านไปประมาณ 20 นาที ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้ เราจะรู้สึกสดชื่น กระชุ่มกระชวย มีแรง หายอ่อนเพลีย แต่ถ้าเป็นของปลอมเราจะไม่รู้สึกเช่นนี้เลย

9. วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้โดยการหยดลงในน้ำเย็น :
วิธีดูน้ำผึ้งแท้แบบนี้ทำได้ไม่ยาก เพียงนำน้ำเย็นจากตู้เย็นมาใส่แก้ว จากนั้นหยดน้ำผึ้งลงไป ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้ หยดน้ำผึ้งนั้นจะจับตัวเป็นหยดและตกลงไปยังก้นแก้วก่อนจะค่อยๆลอยกลับขึ้นมา แต่ถ้าเป็นน้ำผึ้งผสมหรือน้ำผึ้งปลอม เมื่อหยดลงในน้ำเย็นก็จะเกิดการแตกตัวหรือแตกกระจายในน้ำทันที

10. การทดสอบน้ำผึ้งแท้ด้วยลักษณะทางกายภาพ :
วิธีการดูน้ำผึ้งแท้วิธีนี้ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ น้ำผึ้งแท้จะมีสีใส มีความหนืดสูง ไหลช้าไม่ว่าจะอากาศร้อนหรือหนาว มีสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม

11. วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้ด้วยห้องทดลอง :
วิธีนี้ชาวบ้านอย่างเราๆคงไม่ได้ใช้ แต่จะใช้กับหน่วยงานของรัฐที่ให้การรับรองน้ำผึ้งแท้ วิธีนี้จะใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบของน้ำผึ้งโดยละเอียด ซึ่งจะทราบผลได้ 100% ว่าเป็นน้ำผึ้งแท้หรือไม่

วิธีการทดสอบน้ำผึ้งแท้ที่แม่นยำและน่าเชื่อถือที่สุดก็คือการวิเคราะห์ผลจากห้องทดลอง แต่สำหรับผู้ที่ไม่รู้จะทดสอบน้ำผึ้งแท้อย่างไร อาจจะเพราะไม่มีอุปกรณ์หรือไม่มีเวลาทดสอบ ก็ให้เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือเลือกซื้อน้ำผึ้งแท้ยี่ห้อต่างๆที่มีขายตามท้องตลาด จะมั่นใจได้มากกว่าการซื้อน้ำผึ้งที่มีขายกันตามข้างทางครับ

ที่มา: http://www.เกร็ดความรู้.net/



(8 ) ยารุ (ยาล้างพิษ ) แบบคนโบราณ - หมอชีวกฯ

ในทางการแพทย์แผนไทยนั้น การจะจ่ายยาสมุนไพรให้ผู้ป่วยคนหนึ่งนั้น หมอต้องหาสาเหตุที่มาของโรคหรืออาการแสดงนั้นๆด้วยความรอบคอบ และนึกถึงความสำคัญของผู้ป่วยให้มาก การจ่ายยาในสมัยก่อน หมอจะจ่ายยาล้างของเสียในร่างกายหรือที่เรียกกันว่า "ยารุ"

นั่นคือ รุเอาตะกรัน ตะกอนของเสียต่างๆออกจากโรคหลักและร่างกายก่อนทำการรักษา ต่อไป ถ้ายังนึกไม่ออกก็ให้เทียบ เส้นโลหิต น้ำเหลือง หรือลำไส้ เป็นท่อน้ำประปา น้ำต้องไหลผ่านท่อทุกวันทำให้เกิดตะกรันสะสมในท่อเกิดขึ้น ยิ่งนานวันตะกรันของเสียยิ่งเยอะ สะสมมากๆเข้าอาจทำให้ท่ออุดตัน หรือระบบการใหลเวียนทำได้ไม่ดี ถ้าหากเราจ่ายยาไปโดยที่เราไม่ได้รุออกก่อนนั้นถามว่าได้มั้ย ตอบว่าได้ แต่ลองเปรียบเทียบกันดูหากเราใส่น้ำลงไปในท่อที่มีตะกรันเยอะๆกับท่อที่สะอาด อันไหนน้ำจะไหลดีกว่ากัน

คนโบราณเค้าฉลาดหลักแหลมมากเรื่องการใช้ยา เพราะอะไรนั่นหรือ ก็เพราะคนโบราณเค้าจะทดลองยากับตัวเองนั้นๆก่อนจ่ายให้กับผู้ป่วย เค้าจึงรู้เรื่องการใช้ยาดี

จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการ "ล้อม" คือรักษาอาการของโรคหลัก ย้ำว่ารักษาอาการตาม จากนั้นจึงรักษาตัวของโรคหลัก โดยดูว่าธาตุใดกำเริบ หย่อน พิการ ก็รักษาตามโรคนั้นๆไป จากนั้นจึงบำรุงธาตุดิน(อวัยวะ)ที่พร่องไปให้ปรกติดังเดิม จะได้ขั้นตอนเป็น รุ-ล้อม-รักษา-บำรุง-ป้องกัน เพราะฉะนั้นคนไข้จึงควรทำความสะอาด หลอดเลือด ลำไส้ ให้สะอาด ไม่ใช่ด้วยการดีท๊อก แต่เป็นการเลือกทานอาหารที่มีคุณสมบัติเป็นกากใย หรือ มีสรรพคุณในการฟอกโลหิตให้สะอาด

สุดทัายนี้ ยาไทย ไม่ใช่แค่ไอ จ่ายยาไอ ปวดหัวจ่ายยาแก้ปวดหัว แต่จ่ายยาแบบรักษาคนไม่ใช่รักษาอาการ

ขอนอบน้อม ครูแพทย์ไทยทุกท่าน



(9) น้ำยาอุทัย

ได้จากสมุนไพรที่มีสรรพคุณคลายร้อน กลายเป็นที่นิยมกันมากขึ้น และหนึ่งในสมุนไพรที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกแนะนำว่าสามารถบรรเทาและป้องกันโรคฮีสโตรกหรือโรคลมแดดได้ นั่นก็คือ “น้ำยาอุทัย” เครื่องดื่มสมุนไพรคลายร้อน

น้ำยาอุทัยเป็นสิ่งที่คนรุ่นเก่าก่อนมักจะนำมาใช้ผสมน้ำดื่ม เพื่อแก้ดับกระหายคลายร้อน เนื่องจากเป็นยาที่มีส่วนผสมสมุนไพรหลากหลายชนิด และเป็น 1 ใน 10 ขนานยาแผนโบราณของไทยที่โอสถสภาและโอสถศาลาของรัฐบาลผลิตในระยะแรก ๆ

ในสมัยรัชการที่ 1 นั้นเป็นสมัยที่เริ่มมีการจัดตั้งหน่วยงานแพทย์แผนไทยขึ้น โดยมีการจัดตั้งกรมพระโอสถขึ้นเป็นครั้งแรก และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นคลังยาของราชการและที่ทำการของแพทย์ โดยเปิดเป็นร้านขายยาขึ้นชื่อว่า “โอสถศาลา” จนต่อมาปี พ.ศ. 2445 รัฐบาลได้ขยายโอสถสภาใหม่อีกแห่ง เรียกว่า “โอสถศาลาของรัฐบาล” โดยให้เภสัชกรชาวเยอรมันดำเนินการผลิตและจำหน่ายยาให้แก่หน่วยงานราชการ จนในปี พ.ศ. 2445 เดียวกันนี้เอง ได้มีการจัดตั้ง “โอสถสภา” ขึ้นเพื่อผลิตยาสำหรับประชาชนทั่วไป หลังจากนั้นโอสถสภาและโอสถศาลาของรัฐบาลก็ได้ร่วมกันผลิตยาฝรั่งขึ้น แต่ระยะแรกยังไม่เป็นที่นิยมของประชาชน จึงได้ผลิตยาไทยขึ้น 10 ขนาน และหนึ่งในนั้นก็คือ “ยาอุทัย”

สูตรของยาอุทัยนี้ได้ปรากฏอยู่ในตำราแพทย์หลายเล่ม และยังมีปรากฏอยู่ที่เสาระเบียงของวัดโพธิ์ด้วย โดยได้กล่าวถึงยาชนิดหนึ่งชื่อ “ทิพย์สำราญ” ซึ่งมีสรรพคุณคล้ายกับกับยาอุทัย นอกจากนี้ยังพบยาอีกขนาดหนึ่งชื่อ “ยาจักรทิพย์” ซึ่งมีสรรพคุณแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ซึ่งทั้งยาทิพย์สำราญและยาจักรทิพย์ต่างก็มีสูตรยาคล้ายกับยาอุทัยในปัจจุบันมาก

น้ำยาอุทัย คือสารสกัดจากธรรมชาติที่เมื่อนำมาหยดน้ำดื่มแล้ว แสนสดชื่นเย็นรื่นในอก วันนี้ลองมาดูสรรพคุณของเกสรดอกไม้ที่ผสมอยู่ในน้ำยาอุทัยทิพย์กันบ้างดีกว่าว่ามีสรรพคุณอะไรกันบ้าง

- ฝาง สีแดง ๆ น้ำยาอุทัยฯ มาจากเนื้อไม้ฝาก ช่วยบำรุงหัวใจ และบำรุงเลือด
- ดอกพิกุล ช่วยแก้ไข บำรุงหัวใจ แก้เจ็บคอและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ดอกมะลิ ให้รสเย็น ช่วยบำรุงหัวใจและเป็นยาชูกำลังชั้นดี
- หญ้าฝรั่น ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงกำลังและแก้ไขได้
- ดอกสารภี เป็นยาหอมบำรุงหัวใจ ชูกำลัง แก้โลหิตพิการ ช่วยให้เจริญอาหาร
- ดอกบุนนาค บำรุงธาตุ ขับลม บำรุงเลือด หัวใจ แก้ไข้ แก้ลมหาวเรอ แก้ตามัว
- ดอกคำฝอย บำรุงหัวใจและระบบประสาท ป้องกันการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด
- ดอกเก๊กฮวย แก้ร้อนใน บำรุงหัวใจ
- เกสรบัวหลวง ช่วยให้สดชื่นขึ้น แก้หน้ามืด
- อบเชย บำรุงธาตุ ขับลม แก้อ่อนเพลีย
- กฤษณา ช่วยรักษาอาการท้องเสีย อาเจียน บำรุงเลือด
- จันทน์แดง ช่วยบำรุงเลือด
- โกฐหัวบัว โกฐเขมา โกฐสอ โกฐเชียง เหล่านี้ช่วยขับลม บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แก้ไข้และอาการไอ

นอกจากนี้แล้วน้ำยาอุทัยทิพย์หรือน้ำยาอุทัยหมอมีต่างก็ประกอบไปด้วยเกสรดอกไม้ที่มีประโยชน์ทั้งห้าชนิดด้วยได้แก่ ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี และเกสรบัวหลวง นอกเหนือจากสมุนไพรข้างต้น

ว่าแล้วหน้าร้อนที่ร้อนจนอกแทบแตกแบบนี้ หาน้ำยาอุทัยมาเหยาะดื่มแก้ร้อนใจชื่นใจกันดีกว่า..


(10) "น้ำมันมะกอก" แก้นอนกรน

นอนกรน เป็นเรื่องธรรมชาติ! แต่บ่อยครั้ง...ธรรมชาติก็เป็นเรื่องที่โหดร้าย
ฟี้เล็กๆ ยังพอรับได้ แต่ถ้ามาเป็นหวูดรถไฟ น่าคิดว่าจะทนไปได้นานสักแค่ไหน
จริงๆ แล้วมีกลวิธีง่ายๆ ในการขจัดเสียงกรน โดยไม่ต้องใช้หมอน

ก่อนอื่นต้องเข้าใจที่มาของการกรนเสียก่อน
โดยปกติ เวลาคนเรานอนหลับ กล้ามเนื้อที่ลิ้นและที่โคนลิ้นจะคลายตัวลงไปด้วย ทำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก เกิดคล้ายการกระพือบริเวณที่โคนลิ้น เป็นที่มาของเสียงกรน

แต่วันไหนที่ทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วนอนหลับสนิทมากๆ "ลิ้น" ที่ว่าจะตกลงไปมาก ทำให้ยิ่งกรนหนักขึ้น ยิ่งเป็นคนอ้วน เสียงยิ่งดังสนั่น

วิธีแก้แบบปัจจุบันทันด่วน...เพียงแค่ให้เจ้าตัวนอนในท่าตะแคง หรือเกือบๆ คว่ำ ช่วยลดเสียงกรนลงได้

ส่วนวิธีแก้แบบระยะยาว "น้ำมันมะกอก" ช่วยได้ โดยใช้น้ำมันมะกอกชนิดสำหรับทำอาหาร (จะให้ดีควรเลือกแบบ Extra virgin olive oil) กิน 4-5 หยดก่อนนอน ที่สำคัญควรทำควบคู่กับการคุมน้ำหนักตัว

......คอลัมน์ เครื่องแนม
ขอบคุณข้อมูลและภาพ
http://campus.sanook.com/1376101/



(11) สูตรน้ำแตงกวา

(แสนง่าย) ช่วยดูแลสุขภาพจากด้านใน :
ดื่มน้ำเปล่าหรือจิบน้ำระหว่างวันบ่อย ๆ มีประโยชน์ต่อผิวหลายคนอาจจะพอทราบกันบ้างแล้ว วันนี้เรามีเมนู "น้ำแตงกวา" ที่นอกจากจะเพิ่มความสดชื่นได้ดีแล้วยังแถมมีประโยชน์มากมายมาบอกอีกด้วย ฟังดูแล้วอาจจะแปลก ๆ สำหรับคนที่ไม่เคยดื่มน้ำแตงกวา เพราะถ้าพูดถึงแตงกวาก็จะนึกถึงว่าต้องฝานบาง ๆ มาพอกหน้าก่อนนอน หรือไม่ก็หั่นจิ้มน้ำพริกโน่น แต่เดี๋ยวก่อนวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องน้ำแตงกวาที่นอกจากจะใช้พอกหน้าเพื่อฟื้นฟูความเหนื่อยล้าของผิวหน้าแล้วเนี่ย ยังมีประโยชน์อื่น ๆ ที่เราคาดไม่ถึงอีกด้วยนะ

ด้วยสรรพคุณเบื้องต้นของแตงกวาที่ช่วยแก้กระหาย ลดความร้อนในร่างกาย และช่วยให้ร่างกายสดชื่น จึงเหมาะมากที่จะทำน้ำแตงกวาทาน เพียงแค่ฝานแตงกวาบาง ๆ ใส่ลงไปในเหยือกน้ำแล้วแช่ตู้เย็นทิ้งไว้สักคืน วิธีแสนง่ายเหมาะมากกับแม่บ้านยุคใหม่ที่แทบไม่ต้องเตรียมอะไรเลย ว่าแต่ทำไมเราถึงเชียร์ให้กินน้ำแตงกวา? ว่าแล้วก็ไปดูประโยชน์ของแตงกวากัน!!

- แตงกวาอุดมไปด้วยสารซิลิกาที่เป็นแร่ธาตุเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ
กระดูกอ่อน เส้นเอ็น และกระดูก
- มีสารอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ วิตามินซี กรดคาเฟอิก กรดทั้ง 2 นี้ป้องกันการสะสมน้ำเกินความจำเป็นในร่างกาย
- ช่วยขับปัสสาวะได้ดี แตงกวาอุดมไปด้วยน้ำสามารถช่วยกระตุ้นและกำจัดของเสียในร่างกาย และช่วยสลายนิ่วในไต
- ธาตุแมกนีเซียมช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และระบบการไหลเวียนโลหิต
- ธาตุโพแทสเซียมและแมงกานีสในเปลือกแตงกวาช่วยควบคุมความดันเลือดและความสมดุลของสารอาหารในร่างกาย
- แตงกวามีปริมาณน้ำสูงถึงร้อยละ 95 ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกาย กระตุ้นการย่อยอาหาร
- แตงกวามีแคลอรี่ต่ำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักลองหันมาดื่มน้ำแตงกวา แล้วคุณจะได้ไม่ต้องมานั่งนับว่าวันนี้จะวิ่งเผาผลาญแคลอรี่เท่าไหร่อีกด้วย

ทำน้ำแตงกวามันง่ายมาก แค่ฝานแตงกวาและใส่ลงไปในเหยือกน้ำแช่ตู้เย็นทิ้งไว้คืนเดียว แค่นั้น

ที่สำคัญน้ำแตงกวาที่ทำเองเนี่ยให้ประโยชน์แถมเป็นเครื่องดื่มราคาแสนจะถูกซะจริงๆ แล้วเราจะรออะไร ไปหาซื้อแตงกวามาทำเป็นเครื่องดื่มแสนอร่อยที่บ้านกันเถอะ

ที่มา :thetaylor-house.com, frynn.com,wikipedia.org
http://mcot-web.mcot.net/9ent/view.php?id=54d094a4be047009ad8b458f


.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 09/10/2015 10:15 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – ข้าว 5 สายพันธุ์ ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า

สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – ข้าว 5 สายพันธุ์

(5.1 – 3.6) เก็บของดี ๆ มาฝากจ้า

ขอบคุณ ข้อมูลจาก SV Group จ้า



(1) เคล็ดไม่ลับ..ฉบับ เอส.วี.

วันนี้แอดมินขอเสนอข้อแตกต่างของข้าว 5 สายพันธุ์ค่ะ
ประเทศไทยเราเป็นถิ่นที่ปลูกข้าวมาช้านานและยังมีพันธุ์ข้าวมากกว่า 5,000 สายพันธุ์ จากการศึกษาคุณค่าทางโภชนาของข้าวพื้นบ้านหลายชนิดพบว่า มีคุณค่ามากมาย และสามารถป้องกันโรคต่างๆ ได้เช่น

ข้าวหอมมะลิและข้าวหอมมะลิแดง ช่วยลดอัตราการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด สมอง และหัวใจ
ส่วนข้าวหอมนิล ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง เป็นต้น

แอดมินจึงนำข้อแตกต่างนี้มาให้ท่านได้อ่าน เพิ่มความรู้ด้วยค่ะ เผื่อท่านที่ยังไม่เคยทราบ
- ข้าวหอมมะลิและข้าวหอมมะลิแดงลักษณะต้นคล้ายกัน เมื่อแกะเมล็ดออกจากเปลือก เมล็ดข้าวหอมมะลิแดงจะมีสีแดงใส ส่วนข้าวหอมมะลิมีสีขาว
- ข้าวหอมนิล กาบใบมีสีม่วงเรื่อ รวงสีม่วง เมล็ดสีแดงคล้ำ
- ข้าวลืมผัว ใบกว้างกว่า สีเขียว ใบธงตั้งขึ้นรวงใหญ่เมล็ดอ้วน ดูคล้ายเปลือกเมล็ดสีเหลือง เมื่อแกะออกด้านในเปลือกมีสีม่วงเมล็ดสีม่วงคล้ำ
- ข้าวเหนียวธัญญสิรินทร์ ต้นเตี้ยแข็งตั้งตรงรวงสั้นเมล็ดคล้ายกับข้าวหอมมะลิ แต่เมล็ดด้านในสีขาวขุ่น

เท่านี้เราก็จะมีพื้นฐานการแยกข้าวแต่ละพันธุ์แล้ว
อย่างไรก็ตามใครที่รู้แล้ว อย่าลืมบอกต่อๆกันนะคะ ทานข้าวให้อร่อยกันนะคะเพื่อนๆ

เครดิต:คุณพักตร์วิภา ปัญญาพรวิจิตร์ เจ้าของบีบีฟาร์ม ฟาร์มอินทรีย์เน้นสุขภาพจังหวัดแพร่

หมายเหตุ ข้อมูลมีน้อยจัง…อ่านแล้วไม่ได้อรรถรสเลย กราบรบกวนลุง กรุณาเพิ่มเติมข้อมูลด้วยจ้า


.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 13/10/2015 6:57 pm    ชื่อกระทู้: สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – ปลูกกล้วยกลับหัว ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีจ้าลุง และเพื่อนสมาชิกทุกคนจ้า


สิ่งละอันพันละน้อย ตอน – ปลูกกล้วยกลับหัว



(5.1- 3.7) เก็บของดี ๆ และรวมความคิดที่หลากหลาย มาฝากจ้า


เนื่องจากหนูหริ่ง คัดลอกข้อมูลมาจากเว็บ...บางข้อความ จะมีทั้งคำว่า คะ ค่ะ ครับ หรือ ผม ซึ่งไม่ใช่คำพูดของหนูหริ่งจ้า เพราะหนูหริ่งต้องรักษาคำในต้นฉบับเดิมของท่านที่เขียนเอาไว้ อาจมีการแก้ไขบ้างในคำที่เขียนผิดให้ถูกต้อง เช่นคำว่า คับ เป็น ครับ และ ฯลฯ เป็นต้นจ้า.....

ขอขอบคุณ รูป และบทความทุก ๆ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์....โมทนาสาธุจ้า

ขอบคุณ ข้อมูลจาก SV Group จ้า





(1) การปลูกกล้วยกลับหัว


วันนี้ เรามาเรียนรู้การปลูกกล้วยกลับหัว หรือหัวกลับกันดีกว่าค่ะ

ถ้าปลูกกล้วยโดยนำหน่อหรือโคนลงดินเหมือนที่ปลูกอยู่ทั่วไปได้ต้นกล้วย 1 ต้นเมื่อออกลูกจะได้เครือหนึ่งประมาณ 7 - 8 หวี

แต่ถ้าปลูกเอาปลายลงดิน เอาเหง้าขึ้นข้างบน จะได้ต้นกล้วย 3 - 4 ต้น ได้กล้วย 3 - 4 เครือ แต่ละเครือจะได้กล้วยถึง 10 หวี วิธีนี้สามารถใช้ได้กับกล้วยทุกชนิด หลายท่านสงสัยว่าแล้วต้นไม่ตายหรือ

ไม่ตายหรอกจ้า “ประมาณ 15 วัน มันจะรีบขึ้นมาอย่างน้อย 3 - 4 ต้นพร้อมกันเลย พอกล้วยขึ้นมาแล้ว มันจะหาวิธีรอด โดยการแตกหน่อเพิ่ม 2 - 3 หน่อ จากนั้นให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมัก รดน้ำตามปกติ”

ทั้งนี้ต้นกล้วยที่ได้จะมีความสูง ไม่เกิน 150 เซนติเมตร และจะออกเครือเร็วกว่ากล้วยที่ปลูกด้วยการนำหน่อลงดิน ที่สำคัญขนาดของลูกจะใหญ่ขึ้น

ขอให้เพื่อนๆ สนุกกับการปลูกกล้วยวิธีนี้กันคะ

(ความเห็น)

- ลองทำแล้วแต่ก็ออกมาหน่อเดียว
ลองต่อไปจ้า


- เหง้าที่เอามาปลูก อายุกีปีคะ

- แล้วต้องใช้เหง้าที่มีอายุเท่าไหร่จึงจะใช้ได้คะ


(ตอบ) -1 - 3 ปี หรือเลือกหาต้นใหญ่ๆ ต้นที่เราคิดว่ามันมีตาอยู่ที่ โคน ลำตันก็ประมาณสัก ขาอ่อนเรานี่แหละ ตัดกลางต้นให้ห่างจากปลายโคนประมาณหนึ่งฟุต ตอนปลูกก็ขุดหลุมฟุตกว่าๆ พอให้ฝังได้มิดต้น ฝังให้ดินพูนๆสักหน่อย อย่าลืมกลับหัว ด้วยล่ะกันนะคะ

ฝังดินให้มิดต้นเลยหรือครับ ไม่ต้องให้ต้นโผล่ใช่มั้ยครับ!

(ตอบ) ใช่คะให้มิดเลย

ปกติกล้วยเริ่มออกผลประมาณ 9 -11 เดือน หลังจากให้ผลผลิตกล้วยต้นนั้นๆก็ตายหมดอายุ กล้วยอยู่ถึง 1-3 ปีพันธุ์ไรอ่ะ ... ?

กล้วยพอออกเครือแล้วเสร็จสรรพแล้วต้นแม่มันก็เน่าตายนี่ครับอายุไขไม่ถึง1ปี เหง้ามันจะมีได้ไงครับ มันเน่าไปหมดแล้วและหน่อก็แทบไม่มีจะแตกแล้วเพราะมันแตกหน่อไปแล้วก่อนที่มันจะออกลูก


(ตอบ) กล้วยที่ปลูก หลังจากเก็บผลผลิตมักจะตัดต้นเพื่อให้แตกหน่อใหม่และออกผลผลิตต่อไป หรือเอาเหง้า มาปลูกใหม่ได้ค่ะ ถ้าทำวิธีแรกอายุของกล้วยจะ2ปีคะ
(กล้วยที่ออกเครือแล้ว มันจะแตกหน่อใหม่ไปแล้ว ต้นส่วนบนมันจะเน่า แต่เหง้ามันยังอยู่ใต้ดินจ้า ลองขุดขึ้นมาดูซีจ๊า )





(2) @ K.- Kannikar …. นี่น่ะค่ะที่ปลูกแบบเดิมๆ ยังไม่แตกหน่อ่ใหม่เลย

บำรุงดีๆ ผลผลิต เก็บขายไม่ทันแน่คะ

Kannikar ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวจะไปขุดเอาเหง้าเก่าที่แก่ต้นและเก็บลูกไปแล้วไปปลูกแบบที่คุณบอกลองดูค่ะ ดีที่ไม่ต้องไปหาซื้อหน่ออ่อนใหม่ประหยัดด้วยค่ะ





(3) (กิ่งฟ้า ขันหล้า) นี่แหล่ะจ้า เดือนเศษๆผลงานจ้า. รอต่อไปอีกจ้าจะได้กี่หน่อ. ปลูก 1 สิงหาคม 2558 ในรูปภาพถ่ายเมื่อ 11 กันยายน 2558 จ้า

โทด(ขอโทษ)นะครับต้องเอาดินกลบหน่อมั๊ยครับ

(ตอบ).... กลบจ้า ให้มิดหน่อมิดรากจ้า. แล้วใช้ไม้หรือเหล็กเก่าๆปักไว้ก็ดีจ้า. คนเห็นจะได้รู้ว่ามีอะไรอยู่จ้า




(4)



(5)


(4 – 5) (กิ่งฟ้า ขันหล้า)…. ขุดหลุม 30 - 50 ซม. จ้า


แล้วต้องขุดหลุมลึกขนาดไหนคะแล้วต้องฝังหน่อกล้วยจนมิดเลยรึป่าว

ขุดหลุมลึกประมาณ 1 ฟุต หน่อกล้วยตีกลับของเราตัดประมาณ 25 ซม.นะคะ กลบหลุมให้มิด รดน้ำให้ชุ่มเลยคะ





(6) กิ่งฟ้า - ปลูก 1 สิงหาคม 2558 จ้า จับปลายลงดิน อาเหง้าขึ้นบน ง่ายๆ ไม่ได้ใส่ปุ๋ยใดๆ และไม่ได้รดน้ำ กว่าจะงอกเลยรอนานกว่าปกติจ้า




(7)



(8 )

(7 – 8 ) 18 กันยาผ่านไป 1 เดือน 18 วันจ้า ยังได้หน่อเดียวจ้า




(9)



(10)



(11)

(9 – 11) 1 เดือน 28 วันจ้า




(12)



(13)



(14)



(15)



(16)



(17)



(18 )



(19)



(20)

(12 - 20) ปลูกแบบดั้งเดิม ปุ๋ยและน้ำไม่รด รอฝนอย่างเดียวต้นสูง 3. เมตรขึ้นไปอย่างน้อยจ้า

- โอเคเดี๋ยวปลูกดู


กิ่งฟ้า ขันหล้า ....เชิญจ้า ไม่ลอง ไม่รู้จ้า เดาไม่ออกจ้า. ตอนนี้รู้แล้วว่า. เดือนกว่าๆได้หน่อ. เดี๋ยวจะลองรดน้ำใส่ปุ๋ย ดูซิว่าจะได้กินลูกนานไหมจ๊ะ



(21)



(22)

(21 – 22) @(มณฑล) ...ปลูกธรรมดาก็ได้หลายหวี สูงไม่เกิน 3 เมตร

ดินบ้านคุณ ดินบ้านฉัน น้ำบ้านคุณ น้ำบ้านฉัน อากาศบ้านคุณ อากาศบ้านฉัน ไม่เหมือนกันจ้า





(23) @(รุ่ง) ปลูกธรรมดาแต่ขุดลุมลึก...ได้อย่างทีเห็นคับ(ครับ)


ความสูงของมันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดไหมครับ. ผมชอบที่ว่าไม่เกิน 1.50 ม. นี่แหละ เพราะที่ปลูกทุกวันนี้สูง 2.50/3.00 ม. มันเก็บยากตอนสุก

อาจมีสูงต่ำบ้างแต่ไม่มากกว่านี้คะ
หน่อชุดแรกอาจจะต่ำ แต่หน่อชุดต่อไปสูงตามสายพันธุ์


คือต้นที่เราปลูกกลับหัวเขาจะตายใช่ไหมคัฟ(ครับ) แล้วเหง้าเขาจะแตกหน่อขึ้นมาแทน

ใช่คะ และด้วยเหง้าเก่ากล้วยได้ดูดสารอาหารไว้เยอะอยู่แล้วจึงทำให้กล้วยโตไวขึ้นคะ


จบการปลูกกล้วยกลับหัวแค่นี้จ้า....

มันมีเรื่องการขยายพันธุ์กล้วยให้ได้จำนวนมาก โดยการผ่าหน่อ พี่ทิดแดงเคยนำเสนอไว้แล้วจ้า ในเกษตรสัญจร 9 ลองค้นหาดูนะจ้า คลิก แล้ว เปิดไปที่ บทที่ 3 ตอนที่ 5 วันที่ 9 /10 /2013 – การขยายพันธุ์กล้วยโดยวิธีการผ่าหน่อจ้า

http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=3800&postdays=0&postorder=asc&start=0

การผ่าหน่อกล้วย 1 เหง้า จะได้ต้น 5 – 8 ต้น เอาแค่เหง้าละ 5 ต้นพอแล้วจ้า ถ้า 100 เหง้า ก็ได้ต้นกล้วย 500 ต้น ปลูกกันเป็นหลายไร่แล้วละจ้า....

นอกจากนี้ก็มีวีการขยายพันธุ์กล้วยโดยวิธีการปั่นตา อยู่ในกระทู้เดียวกันนี่แหละจ้า อยู่ในบทที่ 3 ตอนที่ 4 วันที่ 3 /10 /2013 นะจ้า



และอยากจะบอกฝากพี่ทิดว่า รูปบางรูปที่พี่ทิดเอาลงไว้ มันหายไปหลายรูปเลยจ้า ถ้าว่าง กรุณาซ่อมแซมด้วยก็ดีจ้า


.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
hans
สาวดาม
สาวดาม


เข้าร่วมเมื่อ: 28/04/2013
ตอบ: 146

ตอบตอบ: 15/10/2015 8:19 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

.
.
สวัสดีค่ะ ลุงคิม ทิดแดง หนูหริ่ งและสมาชิกทุกๆๆ ท่าน

หนูหริ่งเก่งจังเลย

ป้าห่านจ้า

.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
cherm
สาวดาม
สาวดาม


เข้าร่วมเมื่อ: 17/11/2011
ตอบ: 237

ตอบตอบ: 19/10/2015 11:31 am    ชื่อกระทู้: ตามอ่านอยู้จร้า ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สวัสดีค่ะลุงคิม
สวัสดีค่ะ ทิดแดง และ สมช ทุกท่านค่ะ

ยัยเฉิ่ม ตามอ่านอยู่นะค่ะ หนูหริ่ง


ยัยเฉิ่ม เจ้าค่ะ
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
noo-ring
สาวดอง
สาวดอง


เข้าร่วมเมื่อ: 24/06/2013
ตอบ: 64

ตอบตอบ: 19/10/2015 7:44 pm    ชื่อกระทู้: หนูหริ่งไม่ได้เก่งจ้า ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

hans บันทึก:
.
.
สวัสดีค่ะ ลุงคิม ทิดแดง หนูหริ่ งและสมาชิกทุกๆๆ ท่าน

หนูหริ่งเก่งจังเลย

ป้าห่านจ้า

.


สวัสดีจ้าลุง ป้าห่านจ้า.....


โปรดเข้าใจด้วยว่า หนูหริ่งไม่ได้เก่งเลยจ้า....ที่นำเสนอได้นี้

(1) โดนพี่ทิดแดงบังคับให้ช่วยทำจ้า โดย มีพี่ทิดแดง พี่ทิดบัติ พี่ตู่ หาข้อมูลส่งมาให้จ้า แล้วให้หนูหริ่งเรียบเรียงเสียงประสานให้ดูดีขึ้นน่ะจ้า

(2) ข้อมูลส่วนใหญ่ คัดลอกจากเน็ต หนูหริ่งแก้คำที่เขียน หรือคำสกดผิดเท่านั้นเองจ้า


.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
ไปที่หน้า 1, 2  ถัดไป
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©