-
++kasetloongkim.com++
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ
MySite.com :: ดูกระทู้ - วันนี้ที่ ไร่กล้อมแกล้ม 20 มิ.ย.
 คำถามถามบ่อยของกระดานข่าวคำถามถามบ่อยของกระดานข่าว   ค้นหาค้นหา   กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มผู้ใช้งาน   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว   เข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณเข้าระบบเพื่อตรวจข่าวสารส่วนตัวของคุณ   เข้าระบบเข้าระบบ 

วันนี้ที่ ไร่กล้อมแกล้ม 20 มิ.ย.

 
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร
ดูกระทู้ก่อนนี้ :: ดูกระทู้ถัดไป  
ผู้ส่ง ข้อความ
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/06/2011 7:05 am    ชื่อกระทู้: วันนี้ที่ ไร่กล้อมแกล้ม 20 มิ.ย. ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

แป้นสีทอง สวนสามพราน....



1. แป้นสีทองสดใหม่จากสวน "วินัย โรจนยินดี (081)299-0745 ชมรมสีสันชีวิตไทย สาขาสามพราน นครปฐม
เอามาฝาก เอามาให้ดู เพื่อพิสูจน์เรื่อง คุณภาพคู่ตลาด ... สืบเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ประมาณ 1 อาทิตย์ มี สมช.
รายการวิทยุ ภาคค่ำ ฝากข้อความในมือถือ (1188 เรียก 081-913-4986) 2 วันติดต่อกัน ด้วยข้อความสั้นๆ
แต่เป็นข้อความเดียวกันว่า

"วันนี้ฝรั่งขายไม่ออก พ่อค้าให้ราคาถูกมาก...."

ลุงคิมไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไร เพราะรายละเอียดข้อมูลในข้อความที่ฝากมีน้อยมาก ก็เลยตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้
แบบให้กำลังใจ หรือจะเป็นแบบกำปั้นทุบดิน แบบนี้เด็กก็ตอบได้ ว่า....

"ช่วงนี้ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง กำลังออกสู่ตลาดกันโครมๆ ถ้าไม้ 4 ตัวนี้ออกมาละก็ ทุกอย่างต้องชิดซ้ายกัน
เป็นแถว แม้แต่มะม่วง ชมพู่ ยังจอดเลย.....

เพราะฉนั้นต้องอดทน ทนไปอีกหน่อย ไม่เกินเดือนนี้ ราชาแห่งผลไม้ทั้ง 4 ตัวนี้หมด นั่นแหละโอกาสก็จะเป็นของ
เรา ว่าแต่ว่า วันที่ราชาแห่งผลไม้หมดไปจากตลาดแล้ว ฝรั่งของเราจะมีออกสู่ตลาดเข้าไปแทนที่ได้ไหม เท่านั้น.....

อันที่จริง ฝรั่งทุกสายพันธุ์ไม่มีฤดูกาล ออกได้ทั้งปี ตลอดปี อยู่แล้ว เมื่อตอนเปิดตาดอกของผลผลิตรุ่นนี้ น่าจะวาง
แผนหน่อยนะว่า ผลที่ออกมาจะเก็บเกี่ยวได้ตรงพอดีกับ 4 ราชาแห่งผลไม้ตัวนี้ไหม ถ้าตรงกันก็เลื่อนวันเปิดตาดอกฝรั่ง
ออกไปซักเดือน -เดือนครึ่ง แค่นี้ก็หลบตลาดได้แล้ว....

อืมมมม....อันที่จริง ฝรั่งก็ไม่ใช่ผลไม้ที่จะไร้คนนิยมซะทีเดียวนะ สังเกตุตามซาเล้ง แผงหน้าห้าง แม้แต่ใน
ห้าง ก็ยังเห็นมีทั้งฝรั่งสด ฝรั่งดอง ฝรั่งแช่บ๊วย วางขาย แล้วก็มีขายกันตลอดทั้งปีด้วย....

น่าจะเกิดจากปัญหาการตลาดไหม โดยเฉพาะคุณภาพของรสชาดกับสีผิว หรือเป็นปัญาหาสายสัมพันธ์ระหว่าง
คนปลูกกับคนรับซื้อหรือเปล่า ถ้ายังไงๆ แจ้งรายละเอียดมากกว่านี้หน่อยก็จะดีนะ....."




2. คุณวินัยฯ เล่าให้ฟังว่า ได้ฟังข่าวจากรายการวิทยุแล้วก็ให้สงสัยๆว่า ทำไมจึงขายไม่ออก ในขณะที่ของคุณวินัยฯ เอง
แป้นสีทอง 4 ไร่ ข้างบ้านไม่พอส่ง .... เรื่องไซส์ที่ว่าใหญ่เกินขนาดตลาดน่ะ ตัดไปได้เลย วันนี้ฝรั่งส่งห้างยิ่งใหญ่ยิ่งดี
ไซส์ 8 ขีดถึง 1 กิโลขึ้น ราคาหน้าสวน โลละ 8 บาท....ไซส์ 6 ขีด โลละ 6 บาท....ไซส์ 4 ขีดลงมาเหมาจ่าย
กิโลละ 4 บาท....มีข้อแม้ ผิวต้องสวย เกลี้ยงเกลา ด้วยนะ เพราะฉนั้นต้องพิถีพิถันเรื่องฉีดยากับห่อผลมากๆหน่อย....
ว่าจริงๆ ราคาหน้าสวนขนาดนี้ ถ้าทำตามแนวเรา อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของฝรั่ง ปุ๋ย/ฮอร์โมน /ยา
ซื้อครึ่งนึง ทำเองครึ่งนึง แพงหน่อยก็ค่าแรงห่อผลเท่านั้น อันนี้ต้องพยายามทำเองมากๆ ทำทั้งกลางวันกลางคืนกันเลย
เนื้อที่แค่ 4 ไร่ สวนยกร่องน้ำหล่อ ก็อยู่ได้สบายแล้ว ..... ไซส์นี้ ขนาดกิโลขึ้น แบบนี้ ขอบอกว่า วันนี้ไม่พอส่ง.....




5. ขั้นตอนการห่อผล คุณวินัยฯ เล่าให้ฟงว่า.....ใช้สารสกัดสมุนไพรสูตรรวมมิตร สูตรข้างทางบวกกับสูตรในครัว ธรรมดาๆ
นี่แหละ อัตราใช้ก็ให้เข้มข้นขึ้นเท่าตัว ผสมน้ำเรียบร้อยเล้วเพิ่มสารเคมีเชื้อราเข้าไปด้วย อัตราใช้สารเคมีก็เอาแค่ 1 ใน 4
ที่เขากำหนดให้ใช้ที่ข้างขวดเท่านั้น แค่นี้ก็พอแล้ว....ก่อนลงมือห่อ จะต้องเก็บเศษเปลือกแห้งตามผลก่อน แล้วใช้ฟ๊อกกี้
(กระบอกฉีดน้ำรีดผ้า) ฉีดยาใส่ผลก่อน ฉีดโชกๆ ให้เปียกทั่วทั้งผลจริงๆ ถึงจะห่อด้วยถุงก๊อบแก๊บ แล้วห่อตามด้วยกระดาษ
อีกรอบ ห่อแล้วก็ต้องตรวจความเรียบร้อยอีก คราวนี้สำหรับป้องกันแมงวันทอง ....

ก็เคยมีนะ คนงานบางคนบอกยุ่งยาก อันนี้เราต้องไม่ยอม ต้องพูดกันให้รู้เรื่องจริงๆว่า เราต้องการแบบี้ ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องจ้าง
เพราะสวนนี้จ่ายค่าแรงแพงกว่าสวนอื่นอยู่แล้ว

ที่สำคัญอย่างมากๆก็คือ อย่าไว้ใจคนงานมากนัก หลังจากคนงานทำแล้วเราต้องตามตรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง ตรวจละเอียด
ทุกผล เพราะทุกผลคือ เงิน ทั้งนั้น




6. ฝรั่งแป้นสีทองที่สวน วันนี้อายุต้นขึ้นปีที่ 6 แล้ว ยังเขียวปร๋อ ออกดอกติดลูกตลอดปีไม่เคยหยุด ตั้งแต่ปลูกมา
สวนอื่นก็ดูเอาะเถอะ อายุต้นแค่ขึ้นปีที่ 4 เท่านั้น โทรม โทรม โทรม จนต้องโคนทิ้งปลูกใหม่แล้ว

อันนี้ชัดเจนเลยว่า อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมาะสมของฝรั่ง เป็นแนวทางที่ถูกต้องที่สุด.....ที่นี่ทางดินแน้น
มากเรื่องอินทรีย์วัตถุ เรียกว่าใส่กันทุก 4 เดือนก็ว่าได้ ส่วนปุ๋ยเคมีทางดินไม่ว่าจะเป็นสูตรไหน ให้น้อยมากๆ คิดดู
ปุ๋ย 1 กระสอบ เนื้อที่ 4 ไร่ ใช้ไม่หมด แต่จะเน้นปุ๋ยทางใบ พวกแม็กเนเซียม. สังกะสี. แคลเซียม โบรอน. ธาตุ
รอง. ธาตุเสริม. อันนี้ต้องทุก 10 วันเป๊ะๆ อย่าให้ขาด

คนกลางที่มารับที่สวน เจ้านี้ซื้อขายเป็นเจ้าประจำกันมาหลายปีแล้ว เขาบอกว่า ลูกค้าที่มาซื้อไปกินแล้วติดใจใน
รสชาด เคยมาซื้อแล้วต้องมาซื้ออีก แล้วก็ต้องเอาไซส์ใหญ่ๆด้วย แพงเท่าไหร่ก็เอา ว่ายังงั้น


สรุปแนวทางบำรุงฝรั่งสวนนี้ :
- ลด ปุ๋ยเคมี .............. เพิ่ม ปุ๋ยอินทรีย์ และสารปรับปรุงบำรุงดิน
- ลด ธาตุหลัก ............ เพิ่ม ธาตุรอง ธาตุเสริม ฮอร์โมน และอื่นๆ

- อินทรีย์นำ เคมีเสริม ตามความเหมะสมของฝรั่งสามพราน สวนยกร่องน้ำหล่อ
- คุณภาพนำการตลาด - การตลาดนำการผลิต


*****************************************************


แป้นสีทอง ไร่กล้อมแกล้ม...



แป้นสีทอง เมื่อก่อนใช้ยูเรก้า 3:1:2 ทางใบอย่างเดียว 7-10 วัน/ครั้ง ไม่มีการให้ปุ๋ยเคมีเดี่ยวๆแต่ให้ระเบิด
เถิดเทิง 30-10-10 ทางราก เดือนละครั้ง ผลผลิตที่ได้ไซส์ 8 ขีด - 1 กก. คุณภาพ เนื้อแน่น กรอบ รสจัด
จ้านดีมากๆ ทั้งๆที่ไม่ได้ให้ปุ๋ยสูตรเร่งหวานทั้งทางรากทางใบก่อนเก็บ .....

มารุ่นนี้ ราวกลาง ก.พ. ปรับมาใช้ยูเรก้า 4:1:2 ทางใบ ควบคู่กับให้ทางรากด้วยระเบิดเถิดเทิง 3:1:2 ปรากฏ
ว่าได้ไซส์ใหญ่ 1.2-1.8 กก. แต่คุณภาพเนื้อหลวม เปลือกเหนียว รสจืดชืด ไม่อร่อย จึงแก้ไขด้วยการให้ปุ๋ย
สูตรเร่งหวานทางใบ 2 รอบ ห่างกันรอบละ 5 วัน ปรากฏว่าคุณภาพผลที่เคยด้อยกลับดีขึ้นมาได้ แสดงว่า....

- ยูเรก้า 3:1:2 + TE ได้ RATIO ที่สมดุลซึ่งกันและกันดีแล้ว แม้จะให้ทางใบอย่างเดียวโดยไม่มีการให้ทาง
รากเลย คุณภาพก็ยังดีได้ กรณีนี้ หากต้องการได้ไซส์ผลที่ใหญ่ขึ้น น่าจะ (เน้นย้ำ....น่าจะ) เสริมให้ทางราก
ด้วย 3:1:2

- เมื่อใช้ยูเรก้า 4:1:2 เพื่อต้องการไซส์ใหญ่โดยเฉพาะก็จะต้องเพิ่มด้วยการให้ปุ๋ยทางใบสูตรเร่งหวาน หรือให้สูตร
เร่งหวานควบคู่ทั้งทางใบและทางรากก่อนเก็บเกี่ยวก็ได้

หมายเหตุ : งานนี้เพื่อทดสอบและหาข้อมูลระหว่าง 3:1:2 กับ 4:1:2 เท่านั้น สำหรับเกษตรกรทั่วไปแนะนำ
ให้ใช้ 3:1:2 จะดีกว่า



.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 23/07/2011 7:17 am, แก้ไขทั้งหมด 30 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/06/2011 7:07 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มะนาวแม่ไก่ไข่ดก....





มะนาวต้นนี้ ใครให้มา....ให้มาตั้งแต่เมื่อไหร่....ใคร (คนงาน) รับคำสั่งให้ไปปลูก....ใครสั่งให้ปลูกไว้ที่โคน
มะพร้าวริมแปลงข้าวโพด.... จำไม่ได้ทั้งนั้น

มาเห็นก็ต่อเมื่อต้นข้าวโพดในแปลงเริ่มโต ระหว่างตรวจแปลงข้าวโพดอยู่นั้น พลันเหลือบไปเห็นมะนาวต้นนี้เข้าพอดี
.... โอ๊ะ โอ๋ ต้นสูงเลยหัวเข่านิดเดียว มีกิ่งประมาณ 4-5 กิ่ง โตก็ไม่โต ตายก็ไม่ตาย สภาพต้นก็ธรรมดาๆ ไม่บ้าใบ
กิ่งแตกใหม่มีไม่มากผิดกับไม้หน้าฝนทั่วๆไป ที่แปลกมากจนผิดสังเกตุ ก็คือ ไม่มีร่องรอยของโรคประจำมะนาวเลย

ยกกิ่งแหวกดูในทรงพุ่ม คราวนี้ต้อง โอ๋ โอ๊ะ ที่ปลายกิ่งทุกกิ่งมีลูกติดเป็นพวงกองอยู่บนพื้นดิน ตั้งแต่ 2 ลูก 3 ลูกกับ
5-7 ลูกอย่างในภาพ พวงขนาด 5 ลูก มีซัก 4-5 พวงเห็นจะได้ ที่เหลือเป็นพวง 3 ลูก 2 ลูก บ่งบอกชัดว่ามะนาว
สายพันธุ์นี้ถนัดติดผลเป็นพวง ทุกผลไม่มีร่องรอยของแคงเคอร์แม้น้อย

โคนต้นมีผลแก่จัดร่วงอยู่ เปลือกออกเหลืองแล้ว หยิบขึ้นมาพบว่า เปลือกบาง ต่อมน้ำมันใส เนื้อนุ่มแสดงว่าน้ำ
เยอะแน่ ดมพิสูจน์กลิ่นก็ไม่ค่อยจัดนัก

ให้แม่ครัวพิสูจน์อีกคน แล้วจึงรู้ว่าน้ำมาก กลิ่นหอมใช้ได้ รสเปรี้ยวแบบชาววัง ไม่ใช่เปรี้ยวไม่เอาประเทศ หรือเปรี้ยวโด่เด่


สรุป : มะนาวต้นนี้ชื่อพันธุ์ "แม่ไก่ไข่ดก" กับสั่งให้ตอนกิ่ง เอามาให้หมดทั้งต้นเลย ตัดแล้วเหลือแต่ตอเดี๋ยวก็แตกกิ่ง
กระโดงให้ตอนใหม่ได้อีก ตั้งใจจะปลูกในกระถางแล้วเอาไว้ "แจก" กัน ประมาณนั้น




นิสัยติดผลเป็นพวง ผลไหนแก่ก่อนเก็บก่อน แก่ทีหลังเก็บตามหลัง คงไม่ยากเกินไป ตราบที่มีผลให้เก็บ
อั้ยที่ไม่มีผลให้เก็บต่างหาก ยุ่งยากแท้จริง....

-----------------------------------------------------------------------------------------------------



มะนาวน้ำหอมทูลเกล้า



สายพันธุ์นี้ผลใหญ่ขนาดส้มเขียวหวานเบอร์ใหญ่ ไร้เมล็ด 100% ตัวกุ้งสีขาวเหมือนมะนาวทั่วไป เปลือกบาง
รสเปรี้ยวพอดีๆ ออกดอกติดผลตลอดปีแบบไม่มีรุ่น น้ำมากแต่ไม่หอมเหมือนพันธุ์แป้น นิยมนำไปทำน้ำมะนาว

ติดผลเป็นพวงได้ ในภาพอายุผลประมาณ 50% นั่นคือ ขนาดผลยังใหญ่ต่อได้อีก ทนทานต่อโรคหนอนชอนใบ
แคงเคอร์ 99.99%



อายุผล 50% ใหญ่เท่า 4 นิ้วมือเรียงกันแบบนี้ ถ้าแก่ 100% คงเต็มฝ่ามือแน่ จำได้
ที่เชียงใหม่ มีอยู่เจ้านึง ปลูกน้ำหอมทูลเกล้าล้วนๆ 10 ไร่ แล้วเอาไปทำน้ำมะนาวขาย
สร้างความร่ำรวยได้เหมือนกัน

มะนาวเป็นไม้ผลที่ต้องการและตอบสนองต่อ แม็กเนเซียม. สังกะสี. แคลเซียม
โบรอน. ดีมาก การบำรุงด้วยสูตร UN นอกจากช่วยให้ต้นได้รับสารอาหารตัวหลัก
แล้วยังได้สารอาหารตัวเสริม (ธาตุรอง) ตัวเสริม (ฮอร์โมน) และอื่นๆ อย่างเพียง
พออีกด้วย

น้ำตาลทางด่วน (กลูโคส น้ำตาลอินทรีย์โมเลกุลเดี่ยว) เป็นสารอาหารอีกตัวหนึ่งที่
ส่งเสริมกระบวนการออกดอกของมะนาวได้ดี



หมายเหตุ :
มะนาวสายพันธุ์ที่ต้านทานต่อโรค ใบแก้ว ยางไหล หนอนชอนใบ หนอนแก้ว แคงเคอร์
ได้ดีที่สุด คือ น้ำหอมทูลเกล้า ด่านเกวียน และตาฮิติ

มะนาวทีมีกลิ้นและรสชาดดีที่สุด คือ แป้น (แป้นรำไพ แป้นทวาย แป้นกระเดาน
ทั้ง 3 ชื่อนี้ คือตัวเดียวกัน)

และมะนาวที่มีน้ำกลิ่นยหอมที่สุด เหมาะสำหรับทำน้ำจิ้งกุ้งเผา ปลาเผา คือ มะนาวไข่

มะนาวหลายสายพันธุ์ที่เกิดใหม่ (ผสมสายพันธุ์ขึ้นมาใหม่) เกือบทุกสายพันธุ์ นิยม
ใช้มะนาวแป้น หรือมะนาวไข่ ผสมกับน้ำหอมทูนเกล้า หรือตาฮิติ หรือด่านเกวียน
โดยจะยึดใครเป็นพันธุ์พ่อ หรือพันธุ์แม่ก็สุดแท้ ด้วยวัตถุประสงค์ คือ ต้องการข้อดี
ประจำสายพันธุ์มาเป้นสายพันธุ์ใหม่นั่นเอง






.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 24/06/2011 6:50 pm, แก้ไขทั้งหมด 16 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/06/2011 7:10 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

สมช. (ไม่ใช่ สภาความมั่นคงแห่งชาติ นะ) มาเยือน...



27.


28.


29.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 21/06/2011 7:21 am, แก้ไขทั้งหมด 1 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/06/2011 7:13 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เครื่องหยอดเมล็ดข้าว....(เครื่องต้นแบบ)



11.


12.


13.


14.


15.


16.


17.


18


19.


20. คุณศักด์ชัย บวรโชคชัย (080) 603-0448



21.


*******************************************************************





เครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าว ลดต้นทำนาไร่ละ 1,250บาท
จากการที่กรมการข้าวได้มอบหมายให้ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพิษณุโลก จ.พิษณุโลก ให้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวปีละ 5,500 ตัน
เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์หลักให้แก่เกษตรกร

ทำให้ ประมาณ แย้มชู นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ และ ประพันธ์ พงษ์ภู่ นายช่างไฟฟ้าชำนาญงาน ประจำศูนย์
ได้ค้นคิดและวิจัยพัฒนาเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวนาน้ำตม ราคาประหยัดจนประสบผลสำเร็จใช้เงินทุนเพียง 305 หมื่นบาท
แต่มีสรรพคุณสามารถช่วยเกษตรกรลดต้นทุนได้ไร่ละ1,250 บาท ล่าสุดคว้ารางวัลนะเลิศหาสุดยอดผลงานเทคโนโลยีเพื่อ
ส่งเสริมการเกษตรอีกด้วย


กว่าเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวจะประสบผลสำเร็จต้องบอกว่า ลองผิดลองถูก 2-3 ปี และเพิ่งประดิษฐ์สำเร็จและทดลองจนไ
ด้ผลที่พอใจเมื่อประมาณ 3-4 เดือนที่ผ่านมา โดยมีเพื่อนร่วมงานคือ ประพันธ์ เป็นผู้คิดค้นและพัฒนา ใช้งบประมาณในการ
ประดิษฐ์ 3.5 หมื่นบาท จากการนำไปทดลองใช้ในแปลงนาทดลองของเกษตรกรที่ อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พบว่าสามารถ
ช่วยเกษตรกรลดต้นทุนได้ประมาณ 1,250 บาทต่อไร่ ปัจจุบันเกษตรกรจะมีต้นทุนในการปลูกข้าวเฉลี่ยประมาณ 4,000-
5,000 บาทต่อไร่ และต้องใช้เมล็ดพันธุ์ 25-30 กิโลกรัมต่อไร่

"พอเราทดลองใช้เครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าว พบว่าต้นทุนในการปลูกข้าวเหลือประมาณ 3,000 กว่าบาทต่อไร่ และ
จะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวเหลือเพียง 6-10 กิโลกรัมต่อไร่เท่านั้น ขณะที่ผลผลิตที่ได้มีปริมาณเท่าเดิม คือ 700 กิโลกรัมต่อ
ไร่ เกษตรกรจะมีต้นทุนลดลงจากการใช้เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และยาฆ่าแมลงในปริมาณต่อไร่ที่ลดน้อยลง แต่คุณภาพข้าวที่ได้ดีขึ้น"
นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ กล่าวอย่างมั่นใจ

หลังจากผลงานประสบผลสำเร็จแล้ว จึงนำไปประกวด “เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการเกษตร” ในงาน "ถนนเทคโนโลยี 2554"
จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ที่จัดขึ้นมาเป็นปีที่ 9 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันที่
11-12 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา จนได้รับรางวัลชนะเลิศหาสุดยอดผลงานเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการเกษตร โดยปี
นี้มีผู้ส่งใบสมัครเข้าร่วมประกวดผลงานกว่า 1,000 ราย

ประมาณ บอกอีกว่า ที่ผ่านมาเกษตรกรประสบปัญหาในด้านของเมล็ดพันธุ์ข้าว ทางกรมการข้าวได้มอบหมายให้ศูนย์เมล็ด
พันธ์ข้าวพิษณุโลกผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวปีละประมาณ 5,500 ตัน ทางศูนย์จึงคิดประดิษฐ์และพัฒนาเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์
ข้าวนาน้ำตมขึ้นมา เพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพได้ปริมาณที่เพียงพอ โดยเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวนา
น้ำตมที่ว่านี้มีโครงสร้างของเครื่องประกอบด้วยต้นฐานรองรับ

สำหรับการรองรับกลไกเมล็ดพันธุ์ใช้วัสดุที่เป็นเหล็ก ขณะที่ตัวกลไกหยอดเมล็ดพันธุ์ใช้วัสดุท่อพลาสติกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว
นำมาตัดเป็นท่อนยาว 13 ซม. เจาะเป็นรูครึ่งวงกลมจำนวน 12 รู จากนั้นนำสเตนเลสทำเป็นรูปกล่อง โดยท่อนพลาสติกจะหมุน
แล้วตักเมล็ดพันธุ์ข้าวจากกล่องสเตนเลส ลงแปลงปลูก ระบบขับเคลื่อน ประกอบไปด้วยวงล้อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 110 ซม.
มีเพลาติดกับล้อและโซ่พร้อมสเตอร์ทำหน้าที่เป็นต้นกำลังให้ส่วนของกลไกการหยอดเมล็ดทำงาน โดยมีระบบบังคับการทำงาน
ด้วยวิธีการล็อกแผ่นเหล็กสองแผ่นเข้าหากัน มีสลักบังคับให้ส่วนกลไกหยอดเมล็ดทำงาน หรือหยุดทำงานได้ จุดเด่นสามารถใช้
เครื่องร่วมกับรถไถเดินตามด้วย

สำหรับเกษตรกรที่สนใจผลงานเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว
พิษณุโลก โทร.0-5531-1018 หรืออีเมล : psl_rsc@ricethailand.go.th


http://www.phtnet.org/news54/view-news.asp?nID=269


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 16/11/2013 6:56 pm, แก้ไขทั้งหมด 6 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/06/2011 10:38 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มะม่วง แก้วลืมคอน - มันขุนศรี - มันศาลายา ระยะชิดพิเศษ...

นักชิมส่วนใหญ่บอกว่า สุดยอดมะม่วงกินดิบ-สุกปากตะกร้อ แท้จริง คือ มันขุนศรี มันศาลายา แกล้วลืมคอน

ทั้งสามเกลอนี้เป็นมะม่วงพันธุ์เบา โดยเฉพาะแก้วลืมคอนชอบติดผลเป็นพวง สวยงามน่าปลูกไว้ในบ้าน ออก
ดอกติดผลได้ทั้งปีแบบไม่มีรุ่น ขนาดผลใหญ่ 3-5 ขีด แต่ถ้าบำรุงด้วยสูตรขยายขนาด หยุดเมล็ดสร้างเนื้อ
ทั้งทางรากทางใบ สามารถโตขึ้นได้อีก 15-25% ของมาตรฐานสายพันธุ์ ไซส์นี้ไม่ต้องกลัวขายไม่ออก เพราะ
ใหญ่กว่าเป็นต่ออยู่แล้ว




หลักการและเหตุผล :
มะม่วงเป็นไม้ผลประเภทออกดอกติดผลจากยอดหรือกิ่งที่แตกใหม่ในปีนั้นเท่านั้น กรณีกิ่งเก่า อายุข้ามปี
หรือข้ามฤดูกาล จะต้องให้แตกยอดใหม่จากยอดเก่านั้นเสียก่อน แล้วยอดใหม่ที่แตกใหม่นี้จะเป็นยอด
ที่ออกดอก

มะม่วงจะแตกใบอ่อนได้ดีและได้ใบที่สมบูรณ์ ต้นต้องมีการสะสมฮอร์โมนกลุ่มอ๊อกซิน อย่างเพียงพอไว้
ในต้นก่อน การที่ต้นจะสะสมสารอาหารได้ดีนั้นก็ต้องมีใบสังเคราะห์อาหาร แล้วพัฒนาตายอดไว้ที่
ปลายกิ่ง.....

ระหว่างที่ต้นกำลังมีผลผลิตอยู่ ต้นต้องใช้พลังงานและสารอาหารจำนวนมากสำหรับเลี้ยงผล จนบางต้น
ถึงกับเกิดอาการต้นโทรม ถ้าต้นเกิดอาการโทรมมากๆ รุ่นปีการผลิตหน้าอาจจะไม่ออกดอกติดผลก็ได้
ที่เรียกว่า "ออกปีเว้นปี" นั่นแหละ

หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วลงมือตัดแต่งกิ่งทันทีเลยนั้น เท่ากับเป็นการตัดทิ้งใบไปด้วย แบบนี้ทำ
ให้ต้นไม่มีใบ หรือมีใบจำนวนน้อยในการสังเคราะห์สารอาหาร เมื่อบำรุงด้วยสูตรเรียกใบอ่อน บำรุงต้น
ฟื้นฟูสภาพต้นและเรียกความสมบูรณ์กลับคืนมา ก็จะทำให้ต้นแตกใบอ่อนชุดใหม่ช้ากว่าปกติ

แต่หากหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จ แล้วบำรุงด้วยสูตรเรียกใบอ่อนฯ ทันที เมื่อต้นได้รับสารอาหารแล้ว
มีใบช่วยสังเคราะห์สารอาหาร แบบนี้จะทำให้ต้นแตกใบอ่อนเร็วกว่าปกติ

เพราะฉนั้น....ก่อนตัดแต่งกิ่งประจำปี จึงควรพิจารณา 2 แนวทางปฏิบัติ คือ
1) บำรุงก่อนตัด หรือ
2) ตัดแล้วบำรุง

********************************************************************





1. หลังเก็บเกี่ยว หรือหลังจากผลผลิตผลสุดท้ายหลุดจากต้น ควรเร่งบำรุงทางใบด้วยด้วย 25-5-5.
แม็กเนเซียม. สังกะสี. จิ๊บเบอเรลลิน. อะมิโนโปรตีน. คู่กับทางรากด้วย 30-10-10. ปุ๋ยอินทรีย์.
ยิบซั่ม. กระดูกป่น. มูลสัตว์. เศษพืชแห้ง. คลุมใคนต้น ให้น้ำวันเว้นวัน เพื่อเรียกใบอ่อนชุดใหม่
บำรุงต้น ฟื้นฟูสภาพต้น เรียกความสมบูรณ์กลับคืนมา และสร้างความพร้อมสำหรับรุ่นปีการผลิตต่อไป

หมายเหตุ :
- ลงมือปฏิบัติทันที่ ณ วันรุ่งขึ้น หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จ
- การให้ทางใบด้วย 25-5-5 ควบคู่กับให้ทางรากด้วย 25-7-7 ทำให้ได้ใบใหญ่ หนา คุณภาพดี
- การให้แม็กเนเซียม และอมิโนโปรตีน ทำให้ได้ใบหนา เขียวเข้ม
- การให้สังกะสี ทำให้กระบวนการสังเคราะห์น้ำตาลในต้นดี
- การให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง (สูตรในเว้บ/อินทรีย์ + เคมี)) ช่วยให้ลดต้นทุนค่า
ปุ๋ยอินทรีย์ กระดูกป่น ยิบซั่ม แม็กเนเซียม สังกะสี อมิโนโปรตีน และจุลินทรีย์ เพราะในน้ำหมักฯ
ได้ใส่ไว้ก่อนแล้ว


**** ตุ่มตาที่เห็นในภาพ คือ ผลจากการบำรุงด้วยสูตรเรียกใบอ่อนหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต บ่งบอกว่า
ในต้นมีสารอาหารกลุ่มอ๊อกซินสะสมไว้มากแล้ว จนกระทั่งต้นทำท่าจะแตกใบอ่อนชุดใหม่ซ้อนต่อ
จากยอดเดิม

**** การลงมือตัดแต่งกิ่ง ณ ช่วงนี้ ต้นจะแทงยอดใหม่ที่ปลายกิ่งใต้รอยตัดได้เร็ว เพราะสารอาหารที่
สะสมไว้ในต้นมีเพียบแล้วนั่นเอง

สรุป : บำรุงก่อนตัด ดีกว่า ตัดก่อนบำรุง




2. ลักษณะยอดแบบนี้ ถ้าเป็นยอดอั้นตาใบ เมื่อเอาไปขยายพันธุ์แบบ "เสียบยอด" จะช่วยให้เปอร์เซ็นต์เสียบติด
เป็นยอดใหม่สูง แต่ถ้าเป็นยอดอั้นตาดอก เมื่อเอาไปเสียบ เสียบติดแล้วก็จะออกดอก เมื่อดอกพัฒนาเป็นผล
กระทั่งเก็บเกี่ยวผลไปแล้ว ยอดเดิมที่เสียบไว้ก็จะพัฒนาเป็นกิ่งต่อไป แบบนี้เท่ากับได้ 2 เด้ง นั่นเอง....



*******************************************************************





3. แก้วลืมคอน ระยะชิดพิเศษ ระยะห่างระหว่างต้น 1.75 x 1.75 ม. วันนี้อายุต้น 4 ปี ให้ผลผลิตมาตั้งแต่ปีแรกที่ปลูก
ไม่เคยตัดแต่งกิ่งเลยตั้งแต่เริ่มปลูก การโตของต้นดูเมื่อดูจากภายนอกเหมือนไม่โต เพราะขนาดสูงต้นกับขนาดกว้าง
ทรงพุ่มน้อยกว่ามะม่วงทั่วๆไป แต่ถ้าดูโคนต้นบริเวณคอดินก็จะเห็นชัดว่าโตปกติ ทั้งนี้เกิดจากการบำรุงด้วยสูตรสร้าง
ดอกบำรุงผล (สูตร UN) มากกว่าสูตรบำรุงต้นนั่นเอง

ถึงวันนี้ ทรงพุ่มเริ่มชนกัน กิ่งในทรงพุ่มมากเกินจึงจำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเพื่อปรับทรงพุ่มและเพื่อผลผลิตรุ่นต่อไป

สังเกตุต้นที่มีกับดักแมลงวันทองแขวนอยู่ว่า ก่อรนตัดแต่งกิ่ง กับ หลังตัดแต่งกิ่ง ต่างกันอย่างไรบ้าง




4. จับภาพเดี่ยวๆ ให้เห็นชัดๆ ถึงสภาพความทึบของทรุงพุ่ม




5. เทคนิคตัดแต่งกิ่งปกติ :
ให้ตัดทิ้ง กิ่งกระโดง กิ่งคดกิ่งงอ กิ่งไขว้ กิ่งชี้เข้าใน กิ่งชี้ลง กิ่งน้ำค้าง กิ่งหางหนู
กิ่งเป็นโรค กิ่งที่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมต่อการออกดอกติดผล....กิ่งประเภทนี้
ควรตัดชิดกิ่งประธานเพื่อป้องกันการเกิดใหม่ หรือเกิดใหม่ได้แต่ก็จะไม่มากเท่าเดิม

เทคนิคตัดแต่งกิ่งควบคุมทรงพุ่ม :
- ตัดแต่งเพื่อควบคุมความสูง หลังจากตัดแต่งกิ่งปกติเพื่อเปิดทรงพุ่มแล้ว ให้ตัดกิ่ง
ที่เป็นยอดประธาน (ผ่ากบาล) โดยตัดต่ำกว่าความสูงที่ต้องการจริงหลังการแตก
ยอดใหม่ 50 ซม. ทั้งนี้ธรรมชาติของไม้ทุกชนิด เมื่อกิ่งถูกตัดออกไปแล้วจะแตก
ใหม่เสมอ ในมะม่วงก็เช่นเดียวกัน เมื่อยอดแตกใหม่ยาวได้ราว 50 ซม.ก็จะออก
ดอกติดผล นั่นคือ ได้ความสูงต้นตามต้องการพอดี

- ตัดแต่งเพื่อควบคุมความกว้าง หลังจากตัดแต่งกิ่งปกติเพื่อเปิดทรงพุ่มแล้ว ให้ตัด
กิ่งชี้ออกข้าง โดยตัด ณ จุดที่ประมาณว่า หลังจากตัดแล้วแตกยอดใหม่ยาว 30
ซม.จะออกดอกติดผลที่ปลายยอดใหม่นั้น กับทั้งปลายยอดที่ออกดอกติดผลห่าง
จากต้นข้างเคียง 30 ซม.ด้วย ..... หมายความว่า ระหว่างต้นข้างเคียงกัน ให้ตัด
ครั้งแรกห่างกัน 80 ซม.- 1 ม. เมื่อยอดใหม่ของทั้งสองต้นยาวออกมาต้นละ 30
ซม.แล้ว จะยังเหลือเนื้อที่ระหว่างต้นราว 30-50 ซม. นั่นเอง .... กิ่งชี้ออกข้างที่
ถูกตัดปลายออกแล้ว ส่วนที่เหลือหรือโคนกิ่งจะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับยอดที่แตก
ใหม่ โคนกิ่งที่เหลือไว้นี้เปรียบเสมือน "โจรแขนด้วน" ซึ่งจะสามารถรับน้ำหนักผลที่
เกิดใหม่ได้ดี


***************************************************




6. เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ อีกต้น....ภาพบน ก่อนตัดแต่ง....ภาพล่าง หลังตัดแต่ง



***************************************************





7. ต้นนี้ คือ "มันขุนศรี" อายุต้นและให้ผลผลิตมาแล้วเหมือนกับต้นอื่นๆในโซนเดียว
กัน แต่ที่แปลกคือ โครงสร้างต้นต่างจากต้นอื่นโดยสิ้นเชิง ลักษณะของต้นนี้เหมือน
มะม่วงที่ปลูกจากเพาะเมล็ด สังเกตุที่ลำเปล้าเหยียดยาวสูงชลูด รูปลักษณ์ใบก็ต่าง
กับเขา แต่ผลที่ออกมา ทั้งรูปทรง ขนาด เนื้อ เมล็ด รสชาด ทุกอย่าง คือ "มันขุน
ศรี" ชัดๆ เลยเลี้ยงไว้เพื่อเอาคำตอบสุดท้ายว่า เจ้าคือใครกันแน่...




8. กิ่งตรงกลางทรงพุ่ม ชี้ตรงเด่ขึ้นฟ้า นั่นแหละ "กิ่งยอดประธาน" เมื่อตัดออกแล้วเขา
ก็ยังจะแตกยอดใหม่เป็นปกติ ยอดที่เกิดใหม่จากกิ่งยอดประธานนี้ไม่ควรเอาไว้
แตกออกมาแล้วก็ให้เด็ดทิ้งไปเลย หรือจะเก็บๆไว้ดูเล่นซัก 1 กิ่งก็คงไม่กระไรนัก
เพราะนิสัยมะม่วงนั้นชอบออกดอกติดผลจากกิ่งชี้ขึ้น 45 องศา มากกว่ากิ่งชี้ตั้งฉาก




9. การตัดแต่งกิ่งแบบนี้ ภาษาชาวสวนเรียกว่า "ทำสาว" ต้นมะม่วงอายุมากๆ (เกิน
10 ปี) มักให้ผลผลิตไม่ค่อยดีเหมือนแรกๆ ให้แก้ไขด้วยการตัดแต่งกิ่ง ปรับทรง
พุ่มแบบ "ทำสาว" แล้วต้นจะกลับมาให้ผลผลิตดีดังเดิมเหมือนเมื่อครั้งต้นยังสาว
ได้ ผลดก คุณภาพดี

บำรุงก่อนแล้วตัด ตัดเถอะ ไม่ตายหรอก ถ้าจะให้ดี แนะนำให้ทำช่วงหน้าฝน หลัง
จากตัดแล้วเขาจะแตกยอดใหม่เอง คราวนี้จะเห็นยอดเต็มทรงพุ่มแน่นตึ๊บเลย ก็ให้
คัดเลือกยอดที่เหมาะสมต่อการออกดอกติดผลไว้ซัก 1-2 ยอดต่อ 1 ปลายกิ่งที่
ตัด นอกนั้นตัดทิ้งให้หมด แค่นี้ก็ได้มะม่วงทรงพุ่มใหม่ดีกว่าครั้งแรกเมื่อปลูกใหม่ๆ
ด้วยซ้ำ....


***************************************************






10. วิวาทะ แม่ยาย V.S. ลูกเขย

ลูกเขย : แม่....มะม่วงเนี่ย แม่ปลูกไว้ทำร่ม หรือจะเอาลูกมัน
แม่ยาย : (มองหน้า ทำคิ้วขมวด) เอ๊ะ ไอ้นี่พูดแปลก....เอาทั้งร่มทั้งลูกซิวะ

ลูกเขย : คงไม่ได้นะแม่ แม่ต้องเลือกเอาอย่างเดียว
แม่ยาย : เอ็งหมายความว่าไงวะ ข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย

ลูกเขย : เหมือนแม่มีลูกสาวคนเดียว แล้วจะเอาลูกเขยสองคนน่ะ มันไม่ได้
แม่ยาย : แล้วมันเกี่ยวกับมะม่วงตรงไหนวะ

ลูกเขย : ไม่เกี่ยวก็เหมือนเกี่ยวนั่นแหละแม่ มะม่วงน่ะ ถ้าใบมากมันไม่ออกลูก
แม่ยาย : เฮ้ย ใบไม่เกี่ยวกับลูกโว้ย ใบมากๆ แสดงว่าต้นงามดี ต้นงามๆเดี๋ยวก็มีลูก

ลูกเขย : ไม่ใช่นะแม่ ใบมากเขาเรียกว่าบ้าใบ มันไม่ออกลูกหรอก
แม่ยาย : (จ้องหน้าลูกเขย) ใบกับลูก มันเกี่ยวกันที่ไหน ใบก็ใบ ลูกก็ลูกซิวะ

ลูกเขย : เกี่ยวซี่แม่ เกี่ยวมากด้วย มะม่วงน่ะ ใบน้อยลูกจะมาก ใบมากลูกจะน้อย แม่ไม่รู้เหรอ
แม่ยาย : (เหลือบสายตามองบนยอดมะม่วง) ไม่จริง ข้าไม่เชื่อ แล้วเอ็งจะทำยังไง

ลูกเขย : ตัดใบทิ้งซี่แม่ เขาเรียกว่าตัดแต่งกิ่งไง
แม่ยาย : เฮ่ย เฮ่ย เฮ่ย อย่านะโว้ย ข้าปลูกของข้ามา เอ็งขืนตัดกิ่งมะม่วงข้า เอ็งมีหวังคอขาด

ลูกเขย : (ยื้มจืดๆ) มองหน้าลูกสาวแม่ยาย แล้วเดินเข้าบ้านไป




11.


12. แปลงขนาดกว้าง 8 ม. ยาว 15 ม. (120 ตร.ม. หรือ 30 ตร.ว.) ปลูกมะม่วงลง
ไป 68 ต้น เก็บผลมาแล้ว 3 ปี ด้วยเทคนิคตัดแต่งกิ่งทำสาวแบบ "โจรแขนด้วน"
แบบนี้ น่าจะอยู่ได้สบายๆ 10 ปี เอาเป็นว่า รอให้โคนต้นใหญ่ขนาดคนโอบแล้วค่อย
ว่ากันใหม่จะดีกว่า





13. มองต่างมุม ลูก V.S. ใบ

สมช. : ผมมาที่มื่อ 2 ปีที่แล้ว เห็นมะม่วงต้นนี้สูงเลยเอวหน่อยเดียว
ลุงคิม : ใช่ครับ นั้นอายุต้นขึ้นปีที่ 2

สมช. : ถ้างั้น อายุต้นปีนี้ก็เป็นปีที่ 4
ลุงคิม : ถูกต้อง แก้วลืมคอนนี่ อายุปีแรกก็ให้ผลผลิตแล้ว

สมช. : นั่นไม่ใช่ประเด็น ที่ผมสงสัยก็คือ ผมว่ามันไม่โตนะ ของผมสูง 4-5 เมตรแล้ว
ลุงคิม : ข้อนั้น ผมไม่รู้หรอกนะ แต่ของที่นี่ คุณดูที่คอดินซี่ ขนาดน่องผู้ใหญ่แล้ว ว่าไม่โตเหรอ

สมช. : (ก้มสายตามองโคนต้นคอดดิน ทำท่างงๆ) จริงสินะ ลุงทำไง
ลุงคิม : (หัวเราะก่อน) ผมขู่วันไว้ มึงสูงกูตัด แล้วส่งเข้าโรงเรียนวิวัฒน์พลเมือง

สมช. : (ผละจากต้นนี้ สำรวจโคนต้นคอดินต้นอื่น) ต้นเตี้ยๆ ทรงพุ่มแค่เมตรกว่าๆ ต้นนึงจะได้ลูกซักกี่ลูก
ลุงคิม : เมื่อปีที่แล้ว ต้นนึงได้ประมาณ 20-30 ลูก เกรด เอ. ทั้งนั้น แปลงนี้ 60 กว่าต้น พอแล้ว

สมช. : แต่ต้นใหญ่ๆ มันได้ต้นละเป็นร้อยนะครับ
ลุงคิม : จริง ไม่เถียง แต่ถามหน่อยว่าได้เกรด เอ ซักกี่ลูก ปัญหาแรงงานอีกเท่าไหร่

สมช. : (กวาดสายสำรวจทั่วแปลง) ของผมมันได้ครึ่งทิ้งครึ่ง ลูกสูงๆ ขึ้นไปห่อผลก็ไม่ได้ เสียหายทั้งนั้น
ลุงคิม : คิดดู แปลงนี้แค่ 30 ตร.ว. ได้ 60 ต้น ถ้าปลูกต้นใหญ่ปกติได้แค่ 2-3 ต้น

สมช. : แล้วต่อไป ถ้าต้นพวกนี้โตขึ้น โตขึ้น มันจะไม่เบียดกันหรอครับ
ลุงคิม : เบียดก็ตัดทิ้งซี่ ต้นเว้นต้น โน่นแหละอีก 10 ปี ตอนนี้ตีกินไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ

สมช. : ลุงเอาสูตรนี้มาจากไหนครับ
ลุงคิม : ไต้หวันทำ เห็นในหนังสารคดี ทีวี.

สมช. : ผมว่าแบบนี้ก็ดีนะ ใช้เนื้อที่ไม่มาก
ลุงคิม : เราปลูกเอาผลผลิต ไม่ใช่ปลูกทำร่มเงานั่งเล่น เนื้อที่แค่นี้จะเสียหายซักเท่าไหร่เชียว ว่ามั้ย

สมช. : จริงครับ
ลุงคิม : มะม่วงออกลูกที่ปลายกิ่ง โคนกิ่งอยู่นี่ ปลายกิ่งอยู่โน่น ห่างไปตั้ง 5 วา แล้วอั้ยช่วง 5 วาเนี่ย
เท่ากับเสียเนื้อที่ไหม บางลูกก็อยู่บนยอดโน่น ต้องแหงนคอมอง เหมือนหมามองเครื่องบิน ทำอะไรได้น่ะ....




14. วันนี้จำภาพมะม่วงต้นนี้ไว้ดีๆ อีก 3 เดือนข้างหน้า จะเอาภาพเตรียมตัดแต่งกิ่งรอบ
สอง ก่อนตัดแต่งกับหลังตัดแต่ง มาเปรียบเทียบให้ดู จากนั้นปลายปีรอดูผลผลงาน
จะเป็น ดอกหรือใบ เดี๋ยวก็รู้....





15. สรุป :
หลักจากตัดแต่งกิ่งแบบทำสาวไปแล้ว เขาจะแตกยอดใหม่ทั้งที่ข้อใต้รอยตัด จาก
ตุ่มตามท้องกิ่งชี้ข้าง หรือแม้แต่ที่ลำต้น ..... ยอดที่แตกใหม่ตามท้องกิ่ง หรือตาม
ลำต้นให้เด็ดทิ้งทั้งหมด เพราะกิ่งพวกนี้ไม้ออกดอกติดผล .... ส่วนยอดใหม่ปลาย
กิ่งใต้รอยตัด มักแตกออกมาครั้งละ 4-5 ยอด แล้วแต่ความสมบูรณ์ของต้น เรียก
ว่า "ฉัตร" ก็ให้เลือกเก็บไว้ 2 ยอดด้านบน ส่วน 2-3 ยอดด้านล่างให้เด็ดทิ้งทั้ง
หมด เพราะนิสัยมะม่วงออกดอกติดผลเฉพาะกิ่งใหม่ด้านบนเท่านั้น .... เทคนิคการ
เลือกตัดทิ้งกิ่งใหม่ที่ไม่เหมาะสมต่อการออกดอกติดผลทิ้งไปแบบนี้ นอกจากจะช่วย
ให้กิ่งที่คงไว้ได้รับน้ำเลี้ยงจากต้นเต็มที่แล้ว ยังช่วยให้ทรงพุ่มโปร่ง แสงแดดและ
อากาศผ่านสดวกดีอีกด้วย

เมื่อยอดที่คงไว้ออกดอกติดผล กระทั่งเก็บเกี่ยวผลผลิตไปแล้ว ก็ให้ตัดซ้ำรอยตัด
เดิม แล้วบำรุงเรียกยอดใหม่ บำรุงเอาดอกเอาผลใหม่ เก็บผลแล้วก็ยังคงตัดซ้ำที่
เดิมอีก ทำซ้ำอย่างนี้ได้อย่างน้อย 4-5 รอบ จนกระทั่งต้นโตคับแปลงจึงตัด
ออก "ต้นเว้นต้น" รวมอายุต้นตั้งแต่เริ่มปลูกถึงคราวตัดทิ้งต้นเว้นต้น รวมได้ราว
10 ปี ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม สำหรับการปลูกระยะชิดพิเศษ 1.75 x 1.75



*******************************************************************








มะม่วงแม่ลูกดก....


16. มะม่วง "แม่ลูกดก" หรือชื่อเดิมว่า "ทะวายใหญ่" เป็นมะม่วงสายพันธุ์เก่าแก่ พันธุ์
แท้มีจำหน่ายที่ "สวนลุงช้างพันธุ่ไม้" (081)701-3762 ใกล้อนามัยพระพิมล อ.
ไทรน้อย จ.นนทบุรี นอกจากแม่ลูกดกแล้วยังมี พราห์มขายเมีย, น้ำตาลปากกระ
บอก, ยายกล่ำ, สุดยอดมะม่วงกินสุก นักชิมบอกว่า กับข้าวเหนียวมูลละก็เหนือ
กว่าอกร่อง น้ำดอกไม้




17. มะม่วงสายพันธุ์แรกของไร่กล้อมแกล้ม วันนี้อายุต้นขึ้นปีที่ 5 ให้ผลผลิตมาแล้ว
ตั้งแต่อายุต้น 6 เดือน ออกตลอดปีแบบกระปิดกระปอย ทั้งปีทั้งชาติ ทรงต้นสูง-
กว้าง ประมาณ 2 ม. แต่โคนต้นคอดินใหญ่กว่าน่องผู้ใหญ่ ยังไม่เคยตัดแต่งกิ่งใดๆ
ทั้งใน ทั้งนอกทรงพุ่ม ทรงพุ่มทึบขนาดนี้ไม่ยักกะบ้าใบเหมือนมะม่วงอื่นๆ โรค
แมลงอะไรก็ไม่ค่อยรบกวนซะอีก




18. เล่นง่ายๆ ตามแบบฉบับคนขึ้เกียจ ไม่ต้องบำรุงตาม 8 ขั้นตอนไม้ผล ไม่เคยให้ปุ๋ย
ทางราก ทั้งปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมี ตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ไร่กล้อมแกล้มจนถึงวันนี้ให้ทาง
ใบด้วย UN อย่างเดียวแท้ๆ สังเกตุดู กิ่งไหนเก็บลูกไปแล้วก็จะแตกใบอ่อนใหม่
พอใบอ่อนเริ่มเพสลาดเท่านั้นเป็นออกดอกเลย




19. ปลูกระยะชิดปกติ 1 ไร่ลงได้ 400 ต้น คิดดู ถ้าปลูก 3 ไร่ จะได้ 1,200 ต้นแล้ว
ติดสปริงเกอร์ แบ่งเป็น 3 โซน หริอจะเอา 5 ไร่ ก็จะได้ 2,000 ต้น แบ่งเป็น 5
โซน สบายๆ ใช้แรงงาน 2 คน ผัว-เมีย หรือ 3 คน ผัว-เมีย-น้องเมีย ถึงจะสม
ศักดิ์ศรีชื่อ "แม่ลูกดก" ไง

ลงไปเลยระยะชิด 400 ต้น/ไร่ กินเปล่าไม่ต้องตัดแต่งกิ่งไปก่อน 3 ปี จากนั้นตัด
แต่งแบบทำสาวทุก 2 ปี อยู่ได้อีกไม่น้อยกว่า 10 ปี .... สบายกว่ากันเยอะเลย
อยู่เฉยๆ ดีกว่า...




20. เป็นมะม่วงกินดิบ รสชาดใช้ได้ดีเชียวแหละ สมช.เรา คุณนกขุนทองและเพื่อนชิม
แล้วบอก ยอมรับๆ

ทำมะม่วงน้ำปลาหวานซี่ มะม่วงน้ำปลาหวานต้องเปรี้ยวนิดๆ เก็บมาแล้วปอกเปลือก
หั่นเป็นชิ้นๆ ชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ปนกัน คนซื้อไม่รู้ว่าลูกไหนเล็กหรือลูกไหนใหญ่ มีน้ำ
ปลาหวานรสเด็ดๆ 1 ถุง ใส่โฟมให้ดูสวยงาม ขายปลีก 20 บาท หน้าโรงงาน หรือ
ขายส่งซาเล้ง 12 บาท วันละ 100 โฟม เป็นเงินเท่าไหร่แล้ว ได้ตลอดปีด้วย

หรือทำมะม่วงดอง ขายส่ง กก.ละ 15 บาท ขายปลีก 20 บาท จากมะม่วงดองทำ
เป็นมะม่วงแช่อิ่มน้ำผึ้ง มูลค่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก




21. ระยะ "ดอก-ผลเล็ก-ผลขนาดไข่ไก่" โดยหลักการให้บำรุงด้วย "แม็กเนเซียม-
สังกะสี-อมิโนโปรตีน-แคลเซียม โบรอน" เป็นหลักจะช่วยให้ติดผลดี ป้องกันผล
แตกผลร่วง ผลสมบูรณ์ แต่ที่ไร่กล้อมแกล้ม บำรุงด้วยสูตร UN สูตรเดียวยืนพื้น
ไม่ว่าจะมีดอกไม่มีดอก มีผลไม่มีผล ก็สูตรนี้นี่แหละ แล้วก็ไม่ได้ให้แบบสม่ำเสมอ
ทุก 7 วัน 10 วัน หรือ 15 วัน ด้วย เรียกว่า "ให้เมื่อขยัน" ประมาณนั้นนั่นแหละ
มันก็ออกของมันได้ อย่างที่เห็นๆ นี่ไง




.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 21/07/2011 9:33 pm, แก้ไขทั้งหมด 77 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/06/2011 10:50 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ตรวจวัดอุณหภูมิในกองปุ๋ยอินทรีย์



อุณหภูมิปกติ กลางแจ้ง เวลา 10 โมงเช้า แดดออก ตรวจได้ 32 องศาเซลเซียส



-------------------------------------------------------------------



อุณหภูมิในกอง ความลึก 30-40 ซม. จับเวลา 5 นาที วัดได้ 42 องศาเซลเซียส



หมายเหตุ :
แม้เจตนาจะทำ "ดินปลูกไม้กระถาง" แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้เป็น "ดินรองก้นหลุมปลูก" ได้ เพราะส่วนผสมทุกอย่าง
เป็น "อินทรีย์วัตถุ + จุลินทรีย์" ที่ผ่านกระบวนการหมักอย่างถูกต้องมาแล้ว

ปุ๋ยอินทรีย์กองนี้ กว้าง 4 ตร.ม. สูง 1.5 ม. อัดแน่นด้วยน้ำหนักคนเหยียบ คลุมด้วยพลาสติกพอเหลือช่องให้อากาศ
เข้าออกได้บ้างเล็กน้อย อายุกองวันนี้ประมาณ 15 วัน เป็นกองกลางแจ้ง ได้ความร้อนจากแสงแดดยามมีแดด แต่ใน
ความเป็นจริง ปุ๋ยอินทรีย์กองนี้โดนฝนทุกวันเว้นวัน หรือวันเว้น 2 วัน มาตลอด

โดยหลักการแล้ว .... อุณหภูมิ 40-45 องศา เป็นระดับที่จุลินทรีย์เจริญดีที่สุด .... อุณหภูมิ 60 องศา เป็นระดับ
ที่จุลินทรีย์ไตรโคเดอร์มาเจริญดีที่สุด .... และ อุณหภูมิ 70 องศา จุลินทรีย์ทุกชนิด "ตาย" .... เมิ้ด อ้อด ร่อด

เมื่ออุณหภูมิในกองขึ้นถึง 50 องศา จะเริ่มเกิดไอหรือควัน เพื่อป้องกันอุณหภูมิขึ้นสูงถึงระดับ 70 องศา จึงต้อง "กลับกอง"
เพื่อระบายความร้อนภายในกอง .... กรณีที่อุณหภูมิในกองต่ำกว่า 50 องศา หรือยังไม่เกิดไอหรือควัน กลับกองก็ได้
ไม่กลับก็ได้ แต่กลับดีกว่าไม่กลับ .... ปุ๋ยอินทรีย์กองนี้ไม่ใด้กลับกอง แต่ใช้วิธี "เติม" น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง
ใช้ครั้งแรกที่เริ่มทำ 10 ล. กับให้ครั้งที่ 2 อีก 5 ล. ต่อจากครั้งแรก 10 วัน .... เทคนิคการตรวจสอบโดยวัดอุณหภูมิ
40-50 องศา กับความชื้น 50-60% ก็พอจะการันตรีคุณภาพ ประสิทธิภาพได้.....

หมายเหตุ :
ในน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงมีส่วนผสมที่เป็นอินทรีย์ คือ ปลาทะเล กากน้ำตาล เลือด ไขกระดูก นม มูลค้างคาว
น้ำมะพร้าว หมักนานข้ามปี กับส่วนผสมที่เป็นเคมี คือ แม็กเนเซียม สังกะสี อมิโนโปรตีน เอ็นเอเอ บี-1 เมื่อส่วน
ผสม 2 ประเภทรวมกันจึงเป็น "ปุ๋ยน้ำชีวภาพ" เนื่องจากมีเปอร์เซ็นต์เนื้อปุ๋ยตามหลักวิชาการ

**** เทคนิคการหมักนานข้ามปี ทำให้ได้สารอาหารพืชต่างๆ ดังนี้
- หมักนาน 3 เดือน ได้ธาตุหลัก
- หมักนาน 6 เดือน ได้ธาตุรอง
- หมักนาน 9 เดือน ได้ธาตุเสริม ฮอร์โมน (อมิโนโปรตีน ฟลาโวนอยด์
ควินนอยด์ โพลิตินอล ไซโตไคนิน ฮิวมัส ไอบีเอ ท็อกซิอก บาซิลลัส)


ก่อนใช้งานจริง เติมเพิ่ม N-P-K สูตรที่ตรงกับ ชนิด/ระยะพัฒนาการ ของพืช ถึงขั้นนี้เรียกว่า "อินทรีย์นำ เคมีเสริม
ตามความเหมาะสมของพืช" อย่างแท้จริง




.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 23/06/2011 1:23 pm, แก้ไขทั้งหมด 17 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/06/2011 10:53 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)



ความมุ่งหมายต้องการให้สังเกตุ แล้วเปรียบเทียบจำนวนแมลงวันทองบนแผ่นพื้นราบ
กับบนแผ่นตั้ง ว่ามีจำนวนพอๆกัน แล้วพิจารณาต่ออีก ถ้าไม่มีแผ่นตั้งเสียแล้ว
แมลงวันทองจำนวนนี้ก็คงลอยนวล สบายแมลงวันทองไป







แผ่นใหญ่อันนี้ใช้งานมาแล้ว 2 อาทิตย์ เปลี่ยนกลิ่นล้อวันละ 2 ครั้ง เช้า 7 โมง
กับ 5 โมงเย็น เพราะสังเกตุเห็นว่า แมลงวันทองมาชุกชุมมากช่วงเวลานี้





กับดักอันนี้ใช้งานมาแล้วประมาณ 1 เดือน สภาพกาวยังเหนียวเหมือนเดิม
เปลี่ยนกลิ่นล่อใหม่ทีไร เป็นต้องมีแมลงวันทองเข้าติดกับทุกครั้ง ซิเอ้า





.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 22/06/2011 9:27 pm, แก้ไขทั้งหมด 11 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/06/2011 10:59 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)



วันนี้ยังเหลือฝรั่ง (แป้นสีทอง - สาลี่ทอง) ที่เป็นเหยื่อล่อแมลงวันทอง (มะม่วง-น่อยหน่า หมดไปแล้ว)
เลยสั่งกวดขันถุงห่อ ต้องหมั่นตรวจซ่อม เพราะบ่อยครั้งหลังฝนตกแล้ว ถุงห่อที่เป็นกระดาษขาดหลุดลุ่ย
ออกมาได้

ถุงห่ออย่างเดียวไม่พอ ต้องเสริมด้วย "กับดักกาวเหนียว" อีกชั้นนึง....กับดักแบบใหม่ พื้นราบเป็นแผ่น
ขนาดใหญ่ แล้วมีแผ่นตั้งขนาดประมาณฝ่ามือ ยาวสุดขอบแผ่นใหญ่ วางไว้ใกล้ๆแปลงฝรั่งนั่นแหละ
แค่ 2 วัน เท่านั้นมีแมลงวันทองเข้ามาใช้บริการไม่ใช่น้อย นี่ขนาดทำต่อเนื่องมาแล้วตลอดทั้งเดือน
แล้วนะเนี่ย แสดงว่าปริมาณยังไม่ลด ก็คงต้องทำต่อไป เพื่อหาคำตอบสุดท้ายให้ได้







.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 23/06/2011 4:42 pm, แก้ไขทั้งหมด 3 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/06/2011 11:02 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)



เปรียบเทียบระหว่าง "ลั่นทมลูกศร กับ ลั่นลมลูกผสม" จะพบว่า เจ้าลั่นทมลูกศรเนี่ย
ออกดอกได้ตลอดปี ส่วนเจ้าลั่นทมลูกผสม ดอกสีขาวอมเหลืองแซมแดง ก็ดูสวยดีแหละ
แต่ขอโทษ...ออกดอกยากชมัด

คิดจะเล่นลั่นทมจริงๆ เอาลั่นทมไทย ที่บางคนเรียกดว่า ลั่นทมวัด บางคนก็เรียก
"ขาวพวง" ก็ว่ากันไป นั่นแหละดีที่สุด เพราะมีดอกให้ดูทั้งปี

คำว่า "ลั่นทม" เป็นภาษาเขมร แปลว่า "ยิ่งใหญ่ อลังการ" นะคร้าบบบ...



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 22/06/2011 8:48 pm, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/06/2011 11:07 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)



หมดอีกละ ทั้ง 3 สูตรเลย ..... วันสองวันนี้ต้องปรุงใหม่อีกแล้ว....



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 29/06/2011 6:50 am, แก้ไขทั้งหมด 2 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 21/06/2011 11:11 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ระบบน้ำหยดภูมิปัญญาชาวบ้าน
















ออกแบบ ผลิต จำหน่าย โดย "ป้าพรพรรณ" (089)814-7944 ชมรมสีสันชีวิตไทย
สาขาตลาดนัดธนบุรี (สนามหลวง 2) .... จดทะเบียนลิขสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว





.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 25/06/2011 4:45 pm, แก้ไขทั้งหมด 5 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 25/06/2011 4:48 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เพาะเมล็ดทุเรียน



ธรรมชาติของทุเรียนชอบดินดำร่วน เนื้อหนา 1.5-2 ม. ในเนื้อดินมีอินทรีย์วัตถุมากๆ น้ำใต้ดินลึก ถ้าเป็นดิน
ที่เกิดจาก "น้ำไหลทรายมูล" เหมือนย่านนนทบุรี ธนบุรี จะเป็นดินที่เหมาะสมมาก

ดินที่ไร่กล้อมแกล้มเป็นดินเหนียวปนทราย เหนียวจัด ไม่อุ้มน้ำ แถมน้ำใต้ดินตื้นอีกต่างหาก ไม้ผลประเภททุเรียน
(รวมถึงเงาะ มังคุด ลิ้นจี่ ด้วย) หลังจากปลูกลงไปแล้ว เมื่อรากเจริญยาวไปถึงน้ำใต้ดินจะเกิดอาการยอดไหม้
เหี่ยวแห้ง แล้วลามไปที่กิ่ง ทำให้ต้นไม่โต แม้จะพยายามให้ทั้งปุ๋ยทางใบ ทางราก ปุ๋ยอินทรีย์ และจุลินทรีย์
อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องแล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

จากการสังเกตุ เงาะ ลิ้นจี่ ที่ปลูกโดยเพาะเมล็ดซึ่งเตรียมไว้สำหรับทำต้นเสริมรากให้แก่ต้นพันธุ์ดี เนื่องต้นเพาะ
เมล็ดมีรากแก้ว การเจริญเติบโตดีมากๆ อายุต้น 4 ปี สูง 2-5 ม. ส่วนต้นพันธุดีสูงแค่หัวเข่า หรือไม่ก็ตายไป
แล้ว จึงทำให้รู้ว่า ระบบรากแก้วตามธรรมชาติเท่านั้นที่จะสามารถช่วยให้ไม้ประเภทนี้สู้กับสภาพดินแบบนี้ได้

เมื่อต้นกล้าทุเรียนมีรากแก้วเจริญเติบโตแล้ว น่าจะใช้ระยะเวลาราว 8 เดือน - 1 ปี ขั้นตอนต่อไปก็จะเอา
"ชะนี - หมอนทอง" มาเทียบ จากนั้นราว 2-3 ปี ชะนีกับหมอนทองก็คงให้ผลผลิต

การขยายพันธุ์ไม้แบบ "ทาบ/เสียบ กับ เทียบ" ไม่เหมือนกัน

เทคนิคเพราะเมล็ดทุเรียน (หมายรวมถึงเงาะ มังคุด ลิ้นจี่ ลำไย ลองกอง มะยง ขนุน ด้วย) ให้งอกดี ต้อง
มีคุณสมบัติ....
- เมล็ดสมบูรณ์ สดใหม่ จากผลแก่คาต้น หรือผลแก่จัดจนร่วงลงมาเอง
- จากต้นแม่ที่มีอายุยาวนาน
- จากผลที่ไม่มีโรคและแมลงรบกวน
- ได้ผลมาแล้ว แกะเมล็ดออกจากเนื้อ อย่าให้เมล็ดช้ำ ไม่ต้องล้างน้ำ
- นำเมล็ดลงเพาะทันที ให้เมล็ดลึกจากผิวดินเพาะครึ่ง ซม. หรือวางบนผิวดินเพาะแล้วปิดด้วยขุยมะพร้าวเปียก
ชุ่ม กับคลุมทับด้วยเศษหญ้าแห้งอีกขั้นหนึ่งก็ได้

หมายเหตุ :
- แกะเมล็ดออกจากเนื้อแล้วเก็บไว้นานเพียงชั่วข้ามคืนเดียวก็อาจทำให้เปอร์เซ็นต์งอกลดลงหรือไม่งอกได้
(ไม่มีระยะพักตัว)
- ถ้าต้องการเก็บเมล็ดไว้นานๆ ให้เก็บไว้ในผล โดยยังไม่ผ่าผล และยังไม่แกะเมล็ดออกจากเนื้อ อาจอยู่ได้
นาน 7-10 วัน
- เมล็ดที่จะนำมาเพาะที่ดีที่สุด คือ เมล็ดพันธุ์พื้นเมืองหรือไม้ป่า เพราะมีระบบรากดี แข็งแรง หาอาหารเก่ง







สัตว์เลี้ยงประจำไร่กล้อมแกล้ม (ไม่มีเงินเดือน) ที่ชอบประพฤติตัวเป็นศัตรูของต้นกล้าทุเรียน คือ "หนูพุก (ตัว
ขนาดน่องผู้ใหญ่ เนื้อมาก) กับหนูหริ่ง (ตัวเท่านิ้วโป้มือ เนื้อน้อย)" พอต้นกล้าในเรือนเพาะชำโตหรือสูงได้ราว
คืบมือ เจ้าสัตว์นี้จะเข้าไปกัดกินยอด ทำให้กล้าต้นนั้นเสียหาย ตายไปเลย ที่น่าสงสัยอย่างหนึ่งก็คือ มักกัด
กินเฉพาะกล้าทุเรียนเท่านั้น กล้าไม้อย่างอื่นมันไม่ยักกะสนใจ

แนวทางแก้ปัญหา คือ เมื่อต้นกล้าเริ่มโต เริ่มสูง เริ่มมีใบ ก็เอากระถางเพาะกล้ามาวางบนโต๊ะ พร้อมกับป้องกัน
มันใต่ขาโต๊ะขึ้นไปได้โดยใช้กาวเหนียวดักแมลงทาขาโต๊ะนี่แหละ

หนูพุกชอบขุดรูอยู่ในสวน ใต้ดินมีโพรงใหญ่ 1 โพรง อยู่กันทั้งครอบครัว บนดินมีทางเข้าออกหลายรู ให้ใช้น้ำ
หมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง เทลงไปในรู รูไหนก็ได้ เดี๋ยวก็ไปรวมกันที่โพรงใต้ดินนั้นเอง หนูไม่ชอบกลิ่นน้ำหมัก
จึงยกพวกหนีไปอยู่ที่อื่นๆ ก็ตามไปรังควาญมันอีก กระทั่งมันหนีไปอยู่บ้านอื่น ก็ปล่อยมันไป รอบๆไร่กล้อม
แกล้มมากไปด้วยนาข้าว แหล่งอาหารอันโอชะของหนูและเชียวแหละ

ส่วนหนูหริ่งชอบอยู่ในนาข้าว โดยเฉพาะบริเวณคันนา โคนไม้บนคันนา ชอบกินข้าวเปลือกเป็นที่สุด แต่ยามไม่มี
ข้าวเปลือกมันก็มากินยอดต้นกล้าทุเรียนแทน





ทากาวเหนียวสีเหลืองเสร็จ แค่ 3-4 ชม. หนูยังไม่มาเพราะเป็นกลางวัน ปรากฏว่า
แมลงวันบ้านเข้ามาใช้บริการซะแล้ว ในจำนวนนี้มีแมลงวันทองด้วย 2-3 ตัว แสดง
ว่า ทั้งแมลงวันบ้าน แมลงวันทอง พิสวาทสีเหลืองโดยเฉพาะ

กาวดักแมลงวันบ้านสีเขียว อาจจะมีกลิ่นล่อผสมอยู่ด้วยหรือไม่ อันนี้ไม่รู้ แต่กาวเหลือง
เป็นกาวเปล่าๆ ไม่มีกลิ่นล่อ ทั้งแมลงวันบ้าน แมลงวันทอง (ยูจินอล) ก็เขามาเกาะได้.....
นี่คือ ธรรมาติที่มนุษย์ยังไม่รู้




ต้นกล้าทุเรียนเจริญทางรากก่อนทางต้น เมื่อต้นโตสูงได้ราว 1 คืบมือ ใบแรกเริ่มแผ่กาง พบว่า รากส่วนแรก
แทงทะลุออกนอกกระถางเพาะชำแล้ว กรณีนี้แนะนำให้นำลงปลูกในแปลงจริงได้เลย ขืนปล่อยไว้นาน
ในกระถางเพาะชำ ระบบรากโดยเฉพาะรากแก้วจะแก่แล้ววนอยู่รอบๆด้านในกระถาง เมื่อนำไปปลูก
ในแปลงจริง รากจะวนอยู่ในหลุมปลูก ต้องใช้ระยะเวลาอีกนานกว่ารากแก้วจะเหยียดตรงชี้ดิ่งลงดินได้

ต้นกล้าทุเรียนที่เพาะไว้สำหรับทำ "ต้นตอทาบกิ่ง" นั้น ไม่ได้เพาะเมล็ดในกระถางแต่เพาะลงในแปลงเพาะ
เมล็ดโดยเฉพาะ ใช้ขุยมะพร้าวเป็นวัสดุเพาะ ปูบนพื้นหนา 20-30 ซม.เป็นอย่างน้อย เมื่อส่วนลำต้นกล้า
บริเวณที่จะใช้ทาบ โตประมาณนิ้วมือก็จะถอนกล้าต้นนั้นขึ้นมา แล้วตัดแต่งรากแก้ว รากฝอยออกทิ้ง ให้เหลือ
แค่พอสำหรับใส่ลงถุงตุ้มทาบกิ่ง (ขนาดประมาณกำปั้นมือ) ได้ และยกขึ้นทาบได้สะดวกเท่านั้น

รากแก้วของต้นไม้ทุกชนิดเกิดได้ครั้งเดียว เมื่อรากแก้วที่เกิดมากับต้นครั้งแรกถูกตัดออกไปแล้วก็จะไม่
มีรากแก้วอีก หรือส่วนตอของรากแก้วที่เหลือจะไม่เจริญยาวเป็นรากแก้วใหม่ได้อีกครั้ง แต่ที่ตอของราก
แก้วที่เหลือจะเกิดรากแขนง รากฝอย ออกมาแทน (เทคนิคตัดแต่งรากแบบนี้ ทำกับไม้ผลประเภทกิ่งทาบทุก
ชนิด) นั่นคือ กิ่งพันธุ์ทุเรียนที่มาจาก "ทาบกิ่ง" จะไม่มีรากแก้วนั่นเอง .... กรณีไม้ยืนต้นบางชนิด เมื่อ
อายุมากขึ้น (10-20 ปีขึ้นไป) มีระบบรากเจริญยาวไปได้ไกลๆ และมีขนาดใหญ่ให้เห็นนั้น นั่นคือราก
แขนงที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งรากแขนงของไม้ยืนต้นบางชนิดอาจจะเจริญยาวดิ่งลงลึกได้พอๆกับรากแก้วก็
เป็นได้




.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 26/06/2011 1:52 pm, แก้ไขทั้งหมด 14 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 25/06/2011 4:50 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

เงาะโรงเรียนกล้อมแกล้ม...


เงาะ ทุเรียน มังคุด ลองกอง ไม้ 4 อย่างนี้เหมือนเป็นฝาแฝดกัน เพราะสามารถปลูกในแปลงเดียวกัน ในแถว
เดียวกัน หรือปลูกเคียงกันได้ กับทั้งให้ผลผลิตในฤดูกาลเดียวกันอีกด้วย กรณีศึกษาของ "ป๊ะหลน" แห่ง
จังหวัดพัทลุง ปลูกไม้ผล 4 อย่างนี้ลงในหลุมเดียวกัน เรียกว่า "เกษตรธาตุสี่" ตั้งแต่เริ่มปลูกถึงวันนี้รวมระยะ
เวลากว่า 20-30 ปี ไม้ทั้ง 4 อยู่ด้วยกันได้ เจริญเติบโตดีเหมือนปกติ ให้ผลผลิตสม่ำเสมอทุกปีเมื่อถึงฤดูกาล
เพราะฉนั้น จากแนวคิดว่าที่เขาจะเย่งสารอาหารกันจึงเป็นแนวคิดที่ไม่น่าจะถูกต้อง....ดุจไม้ในป่าใหญ่ ที่ไม้
ใหญ่น้อยสารพัดขึ้นแซมแทรกเบียดเสียดกัน เขาอยู่ด้วยกันได้ ต่างเจริญเติบโตสูงสู่ฟ้า ออกดอกติดผลแพร่พันธุ์
ไม่หยุด ตั้งแต่ครั้งอดีตที่นานนับไม่ได้ จวบจนปัจจุบัน กับจะก้าวไปข้างหน้าสู่อนาคตอีกยาวนานได้ ไม่เห็นปัญปัญา
เรื่องแย่งสารอาหารกันเลย

ดินที่ไร่กล้อมแกล้ม แค่เหยียบเท้าลงไปสัมผัสก็รู้ว่าโหลยโท่ยสุดๆ จนได้รับฉายาว่า "ดินปราบเซียน" เกินพลัง
ธรรมชาติที่ไม้ยอดนิยมอย่างเงาะจะรับได้ เนื้อดินเหนียวแน่น ไม่อุ้มน้ำ น้ำอากาศไม่ผ่าน ไม่มีอินทรีย์วัตถุ ไม่มี
สารอาหารพืช ไร้จุลินทรีย์ ครั้นจะปรับโครงสร้างเนื้อดินด้วยเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ โดยการไถดินลึกๆ
ด้วย "ริปเปอร์" แล้วใส่สารปรับปรุงบำรุงดินลงๆไป เทียบอัตราส่วนอินทรีย์วัตถุกับเนื้อดิน 1-2 ต่อ 4 คงไม่ได้
เพราะต้นทุนค่าใช่จ่ายสูงมากๆ จึงเหลือทางเลือกสุดท้าย นั่นคือ ซื้อด้วยเวลา ให้ธรรมชาติเขาปรับตัวเอง หรือ
ใช้เทคโนโลยีธรรมชาติเข้ามาแก้ไข นั่นเอง

เงาะโรงเรียนกิ่งทาบ 20 ต้น ที่ไร่กล้อมแกล้มวันนี้อายุต้น 4 ปี ต้นสูงแค่เลยหัวเข่าเล็กน้อย กิ่งเล็กเรียวเป็นหาง
หนู ไม่ตายแต่ไม่โต เหมือนกันทั้งหมด ส่วนเงาะโรงเรียนเพาะเมล็ดที่เตรียมไว้เป็นต้นเสริมรากอยู่ที่โคนต้นพันธุ์
ดีกลับโตเอา โตเอา อายุต้นเท่ากันได้ความสูง 3-4 ม.แล้ว ทั้งๆที่บำรุงอย่างเดียวกัน จะว่าบำรุงดีก็ดีเหมือนๆ
กัน บำรุงไม่ดีก็ไม่ดีเหมือนๆกัน แต่อัตราการโตทำไมจึงต่างกันมาก

อาการปลูกแล้วไม่โตของเงาะ ทุเรียน มังคุด ลิ้นจี่ ทับทิม ส้มเขียวหวาน ส้มโชกุน พิจารณาลักษณะอาการแล้ว
ฟันธงได้ว่าล้วนแต่เกิดจากปัญหาเดียวกันทั้งสิ้น นั่นคือ "ดิน" ..... ทั้งนี้ดินดี ปลูกอะไรลงไปเท่ากับประสบความ
สำเร็จแล้วกว่าครึ่ง

จากงานวิจัยของ รศ.ดร. สุมิตรา ภู่วโรดม แห่ง สจล. เรื่อง "ความจำเป็นของธาตุสังกะสีต่อไม้ผลภาคตะวันออก"
ผนวกกับข้อมูลทางวิชาการจากหลากหลายแหล่ง ยืนยันตรงกันว่า "ธาตุสังกะสี" มีผลต่อการเจริญเติบโตต่อพืช
อย่างมาก ไม่ต่างหรือมีความจำเป็นเท่าๆกันกับจากธาตุอื่นๆ

การที่ไม้ผลแต่ละต้นที่ไม่แม้เหมาะสมกับดินแบบนี้แต่สามารถยืนต้นอยู่ได้ น่าจะ (เน้นย้ำ....น่าจะ) เป็นเพราะ
สารอาหารทางใบอย่างแท้จริง เพราะตลอดอายุต้นตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงวันนี้ ได้ให้สารอาหารแบบเต็มสูตร (ครบ
ทุกตัว) เป็นประจำและสม่ำเสมอ ทุก 20-30 วัน

แม้ต้นจะได้รับสารอาหารจากทางใบอย่างถูกต้อง สม่ำเสมอ แต่ไม่ได้รับจากทางรากเลย ต้นก็ไม่อาจเจริญเติบโต
อย่างสมบูรณ์แบบได้ ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยวิธีการเดียวเท่านั้น คือ "วิเคราะห์ดิน" เพื่อให้รู้ว่า ธาตุอาหารตัวใด ขาด/เกิน,
โครงสร้างดิน เหมาะสม/ไม่เหมาะสม, ปัจจัยพื้นฐานเพื่อการเจริญเติบโต ปัจจัยเสริม/ปัจจัยต้าน และอื่นๆที่จำเป็น
ทุกคำถามนี้ต้องหาคำตอบในห้อง LAB เท่านั้น

ค่าใช้จ่ายสำหรับการวิเคราะห์ปริมาณและชนิดธาตุอาหารพืชในดิน .... ธาตุหลัก 3ตัวๆ ละเป็นร้อย .... ธาตุรอง 3 ตัวๆ
ละเป็นพัน .... ธาตุเสริม 10 ตัวๆ ละเป็นหมื่น .... เบ็ดเสร็จงานนี้ใช้งบเกินแสน





ใบแก่เงาะโรงเรียนต้นเพาะเมล็ด ก่อนหน้านี้ขนาดเล็กกว่านี้ราว 1 ใน 4 หลังจากได้ให้ทางใบด้วย "สังกะสี
อมิโน คีเลต" เพียง 2 รอบ ห่างกันรอบละ 10 วัน ควบคู่กับทางรากด้วย "ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10"
เดือนละ 1 ครั้ง ปรากฏว่า ใบเดิมสีเขียวเข้ม เนื้อใบหนา เส้นใบนูนเด่นชัด หูใบอวบอ้วน ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนใบที่แตกใหม่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึง 1 ใน 4 ..... (เสียดาย ไม่มีภาพใบช่วงนั้นให้ดูเปรียบเทียบ เพราะ
คาดไม่เชื่อในมหัศจรรย์ของธาตุสังกะสี)

ที่แปลกอย่างมากๆก็คือ ต้นเงาะพันธุ์ดีที่อยู่คู่กัน การตอบสนองไม่ค่อยดีนัก ทั้งๆที่ได้รับสารอาหารตัว
เดียวกันทั้งทางใบและทางราก





ก่อนหน้าที่จะมีการให้ธาตุสังกะสี เนื้อใบจะเป็นสี "เขียวอมเทา" หลังจากต้นได้รับธาตุสังกะสีไปแล้วจะเป็นสี
เขียวเข้ม นั่นเป็นการให้ช่วงหน้าแล้ง

ภาพนี้สีใบเริ่มปรากฎสี "เขียวอมเทา" เริ่มๆ จะเกิดขึ้นอีก ทั้งๆที่ยังให้ธาตุกะสีอย่างเดิม เนื่องจากช่วงนี้เป็นหน้า
ฝนๆ ตกบ่อยมากๆ แนววิเคราะห์ น่าจะมาจาก N จากน้ำฝน กับธาตุสังกะสีที่ให้ เกิดอาการเสริมหรือต้านกันหรือไม่





เปรียบให้เห็นจะๆ ขนาดใบเท่ากัน แต่สีใบต่างกัน บ่งบอกถึงอาการ ขาด/เกิน ธาตุอาหารตัวใดตัวหนึ่งนั่นเอง





ผลขนาดไข่ไก่เบอร์รอง สีสด เปลือกบาง เนื้อหนา แห้งกรอบ หวานจัด เมล็ดเล็ก สเป็คเงาะโรงเรียนเด๊ะ
หลายคนชิมแล้วติดใจ สงสัย เงาะพันธุ์อะไร ?





จากเงาะโรงเรียนสุราษฎร์ธานี เพาะเมล็ดแล้วกลายพันธุ์ (ธรรมชาติ) มาเป็น
เงาะโรงเรียนกล้อมแกล้ม.... ซะดีไหม ?

เลี้ยงมา 4 ปี เริ่มให้ผลผลิตตั้งแต่ปีที่แล้ว นั่นคือ เงาะเพาะเมล็ดอายุต้น 3 ปีก็ให้
ผลผลิตแล้ว นี่ขนาดดินปราบเซียนนะ ถ้าดินดีๆเหมือนที่อื่น มิระเบิดระเบ้อกันยก
ใหญ่รึ

จำได้ว่ารุ่นเมื่อปีที่แล้วขนาดผลเล็กกว่านี้ หรือขนาดผลปีนี้โตกว่าปีที่แล้ว...ฮึ
เหมือนกันเนาะ

ตั้งแต่ปลูกมาให้แต่ "ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10" ทางราก 1-2 เดือน/ครั้ง กับ
ให้ "ไบโออิ" ทางใบ เดือนละครั้งเป็นการเลี้ยงต้นไว้เท่านั้น ช่วงอายุต้น 1-3 ปี
แรกใบยังไม่มีอาการสี "เขียวอมเทา" เพียงแต่ขนาดเล็กกว่าปกติเท่านั้น ครั้นได้มา
ให้ธาตุสังกะสีเท่านั้นแหละ ขนาดใบจึงดูดีขึ้น แล้ววันนี้ทำท่าจะกลับไปสู่อาการเดิม
อีก เพราะฝนหรือเปล่ายังไม่รู้

การบำรุงต้นไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น จนต้นคงอั้นไม่ไหว ดอกเลยทะลักออกมาเองมั้ง
ช่วงที่ดอกออกมาก็ไม่ได้ให้ "เอ็นเอเอ" ซึ่งถือว่าจำเป็นอย่างมากสำหรับดอกเงาะ
จึงไม่แปลกที่ได้ผลผลิตประมาณ 10% ของปริมาณดอกที่ออกมาทั้งหมด





.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 26/06/2011 4:33 pm, แก้ไขทั้งหมด 23 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 25/06/2011 4:57 pm    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ค้นพบ วัตถุโบราณ ชิ้นนี้ในลังเก็บของ ....

บุคคลในภาพเป็น สมช.ที่มาเรียนที่ไร่กล้อมแกล้ม กลุ่มไหน เมื่อไหร่ จำไม่ได้แล้ว จำได้แต่เพียงเป็นรุ่นแรกๆ เท่านั้น.....

สังเกตุด้านหลังภาพ บนเนินยังไม่มีต้นไม้ซักกะต้น เพราะยังไม่ได้ปลูก.....

ศาลาพักร้อน 4 หลัง สั่งซื้อแบบสำเร็จรูปย่านพุทธมณฑล ราคา 100,000 ถ้วน ขนส่ง พร้อมยกขึ้นตั้งให้เสร็จ....

ตอนมาตั้งใหม่ๆ มีฝรั่งมาถามขอซิ้อ นึกว่าที้นี่โชว์ศาลาสำหรับขาย ประมาณนั้น.....

บางคนบอกว่า 4 หลัง ราคา 100,000 แพงเกินไป ทำจริงๆแค่หลังละ 10,000 ก็ได้ รวม 4 หลังก็แค่ 40,000
เผื่อบานปลายก็คงไม่เกิน 50,000....

ลุงคิมว่า ต้องจ้างช่างอย่างน้อย 5 คน ค่าอาหาร ค่าเหล้า ไปหาซื้อไม้ อุปกรณ์ตกแต่ง ทุกอย่าง ค่าน้ำมันรถ
ค่าขนส่ง เผลอๆ 100,000 ไม่อยู่นะ แล้วค่ามะเร็งกินอารมย์อีกล่ะ....



---------------------------------------------------------------------------------------------------


ภาพลำดับเหตุการณ์....

ภาพล่าง : ก่อนเท้าก้าวแรกลงเหยียบแผ่นดินไร่กล้อมแกล้ม "มรดกเจ้าคุณตา" เป็นทุ่งนาเปล่าๆ เนื้อที่ 18 ไร่ ได้ข้าว
ไม่ถึง 10 เกวียน เพราะสภาพโครงสร้างดินไม่เหมาะสม ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่า ไม่เหมาะสมอย่างไร ..... การตัดสินใจ
ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความมั่นใจในหลักวิชาการ ครั้นหลังจากได้ลงมือปฏิบัติแล้ว จึงรู้ชัดว่าสถานการณ์แบบนี้ ประสบ
การณ์ต่างหากที่สำคัญและจำเป็นกว่าวิชาการ ..... เป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ เป็นก้าวที่ถอยหลังไม่ได้
อย่างเด็ดขาด

ภาพบน : ปรับพื้นที่อันดับแรก คือ สร้าง "แหล่งน้ำ" แนวคิดตอนนั้น ตั้งใจและต้องการขายดินหรือให้ฟรี ให้บริษัทบ้าน
จัดสรรแล้วเราได้สระน้ำฟรีก็เอา บังเอิญย่านนั้นไม่มีการสร้างบ้านจัดสรร จึงต้องบริหารดินที่ขุดขึ้นมาจากสระน้ำเอง
โดยเอามาถมที่ทำเนิน (ที่เห็น) กับถมที่ต่ำ 2-3 จุด เบ็ดเสร็จใช้งบไปราว 100,000 ใช้เวลาราว 1 เดือน ......... ทน





1. ก่อนตัดสินใจปักหลัก ณ พื้นที่แห่งนี้ คำถามแรก คือ "น้ำอยู่ไหน ?" ตรวจสอบแล้วพบว่า ห่างไปราว 300 ม.
หลังหมู่บ้าน มีคลองส่งน้ำขนาดกว้าง 80 ม.จากเขื่อนศรีนครินทร์ มีน้ำตลอดปี น้ำจากคลองใหญ่ส่งผ่านลำรางไส้ไก่
เข้ามาผ่านตลอดความกว้างหน้าแปลง.....ทางด้านเหนือ 500 ม.มีบ่อบาดาลของชาวบ้าน น้ำใสสะอาดขนาดดื่ม
ได้ตลอดปี....ทางด้านใต้ 1 กม. เป็นบ่อบาดาลทำประปาชุมชน....ไร่กล้อมแกล้ม อยู่บนแนวของบ่อบาดาลทั้ง 2
แหล่ง นั่นหมายความว่า ไต้พื้นดินบริเวณนี้มีสายน้ำบาดาลอย่างแน่นอน



จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ตอนนั้นเคยเตรียมพื้นที่ไว้ท้ายไร่ราว 50 ตร.ว. เอาดินในบ่อไปถมไว้เรียบร้อย กะว่า
จะสร้างโรงนอน 2 โรง ผู้หญิง 1 โรง ผู้ชาย 1 โรง จุได้โรงละ 20 คน ทำเตียงนอน 2 ชั้น มีห้องน้ำแยกกันชาย
กับหญิง สำหรับคนที่มาเรียนได้พัก

ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการที่เคยสัญจรตะลอนๆไปสอนเกษตรกรทั่วประเทศ การสอนก็เป็นการสอนแบบพูดให้ฟัง อ่าน
ตัวหนังสือ ดูรูปจาก OVER HEAD เท่านั้น ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ที่ต้องการสอนให้เกษตกรสามารถทำเองได้ แต่การ
เรียนแบบ LEARNING BY READING & LISENING แบบนี้มันไม่ได้ผล น่าจะปรับแก้เป็น LEARNING BY
DOING โดยให้แต่ละคนลงมือทำกับมือตัวเองเลย

เคยมีแนวความคิดที่จะขนเครื่องมือ อุปกรณ์การสอน ไปสอนถึงพื้นที่ แต่ไม่สดวกเพราะไม่มียานพาหนะขนาดใหญ่
ในการขนย้าย กอร์ปกับ การไปสอนแต่ละที่ไม่เคยเก็บเงินใดๆจากคนที่มาฟัง กับทั้งไม่มีหน่วยงานใดมาสนับสนุน
ค่าน้ำมันรถ ค่าอาหาร ค่าที่พัก ทุกอย่างทำด้วยงบประมาณส่วนตัวแท้ๆ

กับในโรงปุ๋ยอินทรีย์ปัจจุบัน ตอนนั้นทำที่นั่งแบบอัฒจรรย์ 4 ชั้น ความจุ 50 คน มีจอฉายเครื่อง OVER HEAD
3 จอ ที่หน้าห้องบรรยาย 2 ข้างอัฒจรรย์มีถังหมักปุ๋ยน้ำชีวภาพ ถังหมักจุลินทรีย์ ถังหมักสารสกัดสมุนไพร สำหรับ
การสอนแบบปฏิบัติด้วยมือกันเลย

ปีแรกที่ไร่กล้อมแกล้มมีกลุ่มเกษตรมาเรียนเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง ทุกกลุ่มมาแบบสายๆ (10 โมงเช้า) เริ่มเรียน
ตกบ่ายๆ (บ่าย 2 โมง) ก็กลับ การสอนแบบให้ทำกับมือก็ไม่มีใครสนใจทำ ทุกคนทุกกลุ่มขอแค่ฟังกับดูเท่านั้น
แม้แต่อัฒจรรย์ที่เตรียมไว้ มีพัดลมเพดานเรียบร้อยก็ไม่ใครสนใจนั่ง พอใจยืนข้างอัฒจรรย์หรือไม่ก็ยืนเกาะถัง
ฟังมากกว่า

ฉนี้แล้ว แนวคิดสร้างโรงนอนท้ายไร่จึงยกเลิก ไม่ต้องสร้าง อัฒจรรย์ที่สร้างแล้วก็รื้อทิ้ง เอาพื้นที่มาวางถังหมักแทน
ส่วนจอฉาย OVER HEAD ยังคงอยู่อย่างเดิม เก็บไว้เป็นอนุสรณ์




.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 29/06/2011 6:51 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ปุ๋ยทางใบ UREGA (เคมี) สูตรขยายขนาด หยุดเมล็ด สร้างเนื้อ

ปุ๋ยทางใบ TAIPE (อินทรีย์-เคมี) สูตรสะสมตาดอก (ไม้หนัก) และเปิดตาดอก (ไม้เบา)

ปุ๋ยทางใบ BIOI (เคมี) สูตรบำรุงต้น ป้องกันต้นโทรม เพิ่มความสมบูรณ์แข็งแรง







จำได้ LOT ที่แล้ว ปรุงเมื่อ 19 MAY ฝีมือฝึกงานของลูกๆ นศ.สจล. ตลอดระยะ
เวลา 2 เดือน อยู่ที่ไร่กล้อมแกล้มแต่ละคนได้ฝึกทำ LOT ใหญ่ขนาด 200 ล. คน
ละ 2 ครั้ง กับ LOT เล็กขนาด 10 ล. อีก 2-3 ครั้ง

LOT ที่ลูกๆ นศ.ฝึกทำกันนั้นหมดแล้ว ด้วยเวลาผ่านไปเพียง 2 เดือน ส่วน LOT ที่
เห็นนี้คนแก่ที่เป็นลุงทำเองกับมือ (คนงาน) สูตรละ 200 ล.

ทำเสร็จ 27 JUNE พอรุ่งขึ้น 28 JUNE ออร์เดอร์มาแล้ว จากลาดหลุมแก้ว
BIOI 60 ล., ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 อีก 40 ล., UREGA 40 ล.,
TAIPE 40 ล. บอกว่าเอาๆไปใช้เอง กำหนดส่งของถึงบ้านวัน ศุกร์-เสาร์-
อาทิตย์ แล้วแต่สดวกคนส่ง






ต้นพืชไม่รู้จักชื่อ UREGA ไม่รู้จักโฆษณา ไม่รู้จักราคา ต้นไม้รู้จักแต่ 21-7-14
+ CHYTOSAN + AMINO PROTINE + ฯลฯ ที่ทำให้ขนาดผลใหญ่ขึ้น เนื้อ
มาก เมล็ดเล็ก รสชาดดี เท่านั้น






ต้นพืชไม่รู้จักชื่อ TAIPE ไม่รู้จักโฆษณา ไม่รู้จักราคา ต้นไม้รู้จักแต่ 0-52-34
+ 13-0-46 + Zn + AMINO PROTINE + ฯลฯ ที่ทำให้พืชประเภทหรือสาย
พันธุ์เบาออกดอกง่าย ออกดอกได้เลย แต่ในพืชประเภทออกดอกยาก ต้องมีปัจจัย
ทางธรรมชาติช่วยเสริมจึงจะออกดอกได้ ก็ต้องให้ เสริมหรือสลับ ด้วยสูตรเปิด
ตาดอกเฉพาะพืชสำหรับการเปิดตาดอก ก็จะช่วยให้ออกดอกง่ายขึ้น






ต้นพืชไม่รู้จักชื่อ BIOI ไม่รู้จักโฆษณา ไม่รู้จักราคา แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าสูตรนี้ผู้คิดค้น
คนแรก คือ สวพ.พลิ้ว จันทบุรี แม้แต่ลุงคิมเอามาต่อยอดก็ไม่รู้ซะอีก เพราะต้นไม้
รู้จักแต่ Mg. Zn. UREA. AMINO PROTINE. Ca.B. ที่ช่วยให้ต้นไม่โทรม
เมื่อต้นไม่โทรมก็จะช่วยให้มีพลังเลี้ยงผลผลิตให้มีคุณภาพดีสำหรับคน นอกจากนี้
ยังเกิดภูมิต้านทานภายในต้นสู้กับโรคและแมลงได้อีกด้วย



.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 29/06/2011 12:15 pm, แก้ไขทั้งหมด 9 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 29/06/2011 6:58 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ปุ๋ยอินทรีย์ ปลูกไม้กระถาง รองก้นหลุม




อายุกองครบ 1 เดือน ได้ฝนมากกว่าแดด แต่อุณหภูมิในกองคงที่ 42 องศา มาโดย
ตลอด แต่เหมือนความชื้นจะลดลงหลายเปอร์เซ้นต์......แนวคิด คือ เพิ่มสารอาหาร
พืช โดยการใส่เติมครั้งที่ 2 ด้วยปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (อินทรีย์ + เคมี) กับ
เพิ่มสารอาหาร (แหล่งพลังงาน) สำหรับจุลินทรีย์

สีน้ำตาลอมแดงที่เห็นบนกองปุ๋ยนั่นคือ ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิงราดลงไปก่อน
แล้วตามด้วยน้ำเปล่าเพื่ออาศัยน้ำพาปุ๋ยน้ำชีวภาพเข้าไปกองเอง

วิธีการที่ถูกต้องจริงๆ ควรกลับกองพลิกไปพลิกมาพร้อมกับค่อยๆพรมด้วยปุ๋ยน้ำ
ชีวภาพ เพื่อให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพกระจายทั่วกอง แต่เพราะความขี้เกียจแล้วอ้างว่าไม่มี
เวลา ไม่มีแรงงาน เลยเอาง่ายเข้าว่า ซึ่งก็คงจะได้ผลบ้าง อย่างซักระดับหนึ่ง...ว่ามั้ย





เทคนิคตรวจวัดความชื้นแบบภูมิปัญญาพื้นบ้าน ใช้มือกำเนื้อปุ๋ยอินทรีย์ขึ้นมา
แล้วออกแรงขยุ้มหรือกำแน่นๆ ขณะกำมือถ้ามีน้ำไหลย้อยออกมาที่ง่ามนิ้วมือ
แสดงว่า ความชื้นมากเกิน แก้ไขโดยการเติมอินทรีย์วัตถุเข้าไปอีก แต่ถ้ากำมือแล้ว
แรงๆแล้วไม่มีน้ำไหลย้อยออกมาที่ง่ามนิ้วมือเลย ให้แบมือ ถ้าแบมือแล้วเนื้อ
อินทรีย์วัตถุยังจับตัวเป็นก้อนดี แสดงว่า ความชื้นพอดี ไม่ต้องทำอะไรต่อ แต่ถ้ากำ
แน่นแล้วแบมือออก ก้อนอินทรีย์วัตถุแตกตัวกระจาย แสดงว่าความชื้นน้อย ให้เติม
น้ำเพื่อเพิ่มความชื้น

กรณีปุ๋ยอินทรีย์กองนี้ ตรวจแล้วพบว่า ความชื้นน้อยกว่าเกณท์กำหนด จึงเติม น้ำ +
ปุ๋ยน้ำชีวภาพ เติมน้ำจากข้างบน เติมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีน้ำไหลเยิ้มออกมาที่ตีน
กอง รอบกอง นั่นแสดงว่าน้ำกระจายทั่วกองแล้ว





ใช้ไม้แทงนำร่อง (รู) เพื่อให้น้ำเข้าไปถึงก้นกองเร็วๆ กับเป็นการเติมอากาศไปในตัว
ด้วย ทั้งนี้ปุ๋ยอินทรีย์แห้งแบบกองมีจุลินทรีย์ประเภทต้องการอากาศ มากกว่า
ประเภทไม่ต้องการอากาศ

เทคนิคการเติมอากาศเข้าไปในกองแบบภูมิปัญญาพื้นบ้าน คือ ใช้ท่อ พีวีซี.ขนาด
2 นิ้ว หรือกระบอกไม้ไผ่ขนาดยิ่งใหญ่ยิ่งดี ทะลวงข้อในปล้องออก แล้วเจาะรูที่
ข้างกระบอกหลายๆรู ยิ่งมากรูยิ่งดี แล้วแทงท่อ พีวีซี. หรือกระบอกไม้ไผ่นี้ลงไปใน
กอง จนถึงพื้นที่ก้นกอง ซึ่งอากาศจะผ่านเข้าทางด้านปากท่อ แล้วผ่านรูข้างท่อที่
เจาะไว้เข้าไปในกองปุ๋ยเอง

อินทรีย์วัตถุประเภทเศษซากพืชที่มีคุณสมบัติเร่งกระบวนการจุลินทรีย์ดีที่สุดได้แก่
รำละเอียด ข้าวฟ่าง ฝักบัว มูลม้า

การใส่ 46-0-0 เพื่อให้ไนโตรเจนแก่จุลินทรีย์ ได้ผลน้อยกว่า 21-0-0 เพราะ
46-0-0 อยู่ได้ไม่นาน (ไม่เกิน 3 วัน) ก็ระเหยหายไปในอากาศ แต่ 21-0-0 อยู่
ได้นานจนกว่าตัวมันจะลายลายตัวเองหมด





.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 29/06/2011 4:25 pm, แก้ไขทั้งหมด 5 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 29/06/2011 7:01 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

ปุ๋ยน้ำชีวภาพ สูตรระเบิดเถิดเทิง ก่อนใช้งานขั้นสุดท้าย

เรียกว่า "ปุ๋ย" ได้เต็มปาก เพราะใส่ปุ๋ยเคมีเป็นส่วนผสมเสริมลงไปด้วย เช่น
Mg. Zn. TE. SEAWEED. HUMIG. AMINO. NAA. B-1. และ N-P-K.





เติมอมิโนโปรตีน วัตถุดิบตัวนี้ซื้อแบบขายส่ง จากบริษัทมาตรฐานอเมริกา ที่ปกติ
จำหน่ายทั่วโลกอยู่แล้ว

บริษัทนี้ไม่ขายปลีกแต่ขายส่งอย่างเดียว โดยการสั่งซื้อครั้งละ 100 ล.(+)/1 ผลิต
ภัณท์ เป็นอย่างต่ำ แล้วก็ต้องสั่งซื้อผลิตภัณท์อย่างน้อย 2 ตัวด้วย นั่นคือ ต้องสั่ง
ซื้อแต่ละครั้ง รวม 200 ล. ขึ้นไป

เมื่อบริษัทเอเย่นต์ซื้อไปแล้วจะแยกบรรจุเป็นขนาด 1 ล. หรือ 1 แกลลอน (5
ล.) ภายใต้ชื่อ BRAND ของเอเย่นต์เอง โฆษณาเอง แล้วจำหน่ายแบบขายปลีก
หรือขายส่งอีกครั้ง ในราคาที่สูงขึ้น 300-700% จากราคาต้นทุน เพราะฉนั้น ใครที่
คิดจะทำเองแล้วซื้อส่วนผสมตัวนี้แบบขายปลีกผ่านเอเย่นต์ มีหวังเจ๊ง เพราะต้นทุน
จะสูงมากๆ นั่นเอง

แนวทางแก้ปัญหา คือ "รวมกลุ่ม" สั่งซื้อแล้วเอามาแบ่งกันเท่านั้น ปัญหาจริงๆไม่
ใช่มีเพียงเท่านี้ ใช่ว่าใครมีเงินแล้วจะสั่งซื้อได้ทันทีก็หาไม่ เพราะบริษัทต้องรักษา
ผลประโยชน์ให้แก่เอเย่นต์เจ้าประจำของเขา จึงมักไม่ยอมขายให้แก่ลูกค้าทั่วๆไป



เล่าสู่ฟัง :

ทุกครั้งที่มีการเรียนการสอนที่ไร่กล้อมแกล้ม โดยเป้าหมายของการสอน คือ ให้ทุก
คนกลับไปแล้วทำเองที่บ้านให้ได้ ลุงคิมจึงเล่าถึงปัญหานี้ให้ทุกคนได้รับรู้ พร้อมทั้ง
แนะนำว่า เมื่อต้องการใช้ส่วนผสมตัวไหน แต่สั่งซื้อตรงจากบริษัทแม่ไม่ได้ ก็ให้สั่ง
มาที่ลุงคิม บอกมาว่าจะเอาตัวไหน ตัวละกี่ลิตร หรือเอาตามที่จะใช้จริงในแต่ละครั้ง
ที่ทำเองก็ว่ามา โดยบอกลุงคิมล่วงหน้าว่าให้ "ลุงคิมสั่งเผื่อ" ด้วย ส่วนเรื่องเงิน ลุง
คิมก็จะคิดราคาตามที่สั่งซื้อมาจริงๆเท่านั้น ไม่+กำไร ไม่+ค่าน้ำมันรถ ไม่+ค่า
โสหุ้ยใดๆ ทั้งสิ้น ..... เมื่อหาซื้อวัสดุสวนผสมไม่ได้ ก็พูดว่า "สูตรของลุงคิมไม่มี
ใครทำซักกะคน...." อืมม์ พูดแบบนี้มันมีเลสนัยที่น่าสงสัยๆ อยู่นะ....

กรณีแรก.....ไม่มีใครทำเพราะทำไม่ได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสม.... อันนี้ คนพูด
ต้องหาคำตอบให้กับตัวเอง

กับกรณีที่สอง....ไม่มีใครทำเพราะมันไม่ได้ผล.... อันนี้ลุงคิมตอบเอง ถ้ามันใช้ไม่
ได้ผลจริงๆ แล้วเขาสั่งซื้อไปทำไม ซื้อแต่ละครั้งไม่ใช่แค่ 1-2-3 ล. แต่ซื้อแบบ
แกลลอน 5 ล. ครั้งละ 2-3 แกลลอน ก็มีนะที่สั่งซื้อครั้งละเป็น 100 ล. ไม่ใช่สั่ง
ซื้อครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่ 2-3-4 แล้วก็หลายรายด้วย

ลุงคิมพูดเสมอว่า....
- จงอย่าเชื่ออะไรทันทีทันใดโดยไม่มีเงื่อนไข แม้แต่ลุงคิมก็ไม่ให้เชื่อ
- และจงอย่าไม่เชื่ออะไรชนิดหัวชนฝา ก.ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้
- แต่จงเชื่อคนในกระจก

การที่จะวิเคราะห์อะไรให้รู้ว่า "ถูกต้อง/ไม่ถูกต้อง-ใช่/ไม่ใช่-ดี/ไม่ดี" ได้นั้น จำ
เป็นต้องมีข้อมูล "วิชาการ ประสบการณ์" เป็นพื้นฐานมากๆ เพราะฉนั้นจงถามคนใน
กระจกซิว่ามีข้อมูลอะไรบ้างหรือไม่

การทำปุ๋ย ทำฮอร์โมน ทำอะไรต่อมิอะไร การทำไม่ยาก แต่การใช้ยากกว่า เหมือน
กันทุกยี่ห้อ....หลักการเลือก ได้ผลเท่ากันดูที่ราคา-ราคาเท่ากันดูที่ผล ใช่หรือไม่

ในโลกนี้ไม่มีปุ๋ยวิเศษที่ใช้แล้วต้องได้ผล 100%....ของดีใช้ไม่เป็น ใช้ไม่ถูกต้อง
ใช้ไม่ตรงกับพืช ก็ไม่ได้ผล ความถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง วัดผลที่พืช ไม่ใช่วัดที่คน

ในเมื่อสูตรของลุงคิม ยี่ห้อของลุงคิม ใช้ไม่ได้ผล ก็ไปใช้สูตรของคนอื่น ยี่ห้ออื่นซะ
ก็สิ้นเรื่อง บางทีก็อยากถามเหมือนกันว่าแล้วสูตรของใครได้ผล ยี่ห้ออะไรได้ผล
บอกกันหน่อยได้ไหม ? เท่านี้แหละ

ในเมื่อพืชไม่รู้จักยี่ห้อ ไม่รู้จักโฆษณา พืชรู้จักแต่สารอาหารที่อยู่ในปุ๋ยเท่านั้น

ในโลกนี้มีใครบ้างๆ ไง่ถึงขนาดเอาสูตรที่ตัวเองทำขาย บอกคนอื่นทั้งๆที่ไม่ได้ถามชื่อ .......................... รู้ไหม มันเจ็บ







เครื่องปั่นแบบโมลิเน็กซ์ยักษ์ ขนาด 1.5 แรงม้า ในถังผสม 200 ล. ดึงส่วนผสมที่
อยู่ก้นถังขึ้นมาข้างบน พร้อมๆกับส่งส่วนผสมที่อยู่ด้านบนลงไปด้านล่างได้โดยง่าย
ทำให้ส่วนผสมทุกตัวในถังผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียว งานแบบนี้ไม่สามารถทำด้วยมือ
โดยใช้ไม้พาย (พายเรือ) แทนได้ เพราะนอกจากน้ำหนักของส่วนผสม ณ ความลึก
ของถังขนาด 200 ล. กับรอบความเร็วที่สม่ำเสมอ ไม่อาจทำได้ด้วยมือคนอย่างแน่
นอน.....แบบนี้เรียกว่า เครื่องมือ "มาตรฐานโรงงาน" ชัดเจน






ถังขนาดจุ 500 ล. จำนวน 3 ถัง จำได้ว่า LOT ที่แล้ว 3 ถังเหมือนกัน ทำเมื่อครั้ง
ลูกๆ สจล. ไปฝึกงาน ให้ฝึกทำกับมือ LOT นั้นหมดไปแล้ว ที่เห็น LOT นี้ทำใหม่
เมื่อมี ORDER สั่งซื้อเข้ามาจึงจะผสม NPK สูตรที่ตรงกับพืชให้อีกครั้ง






ปรุงในถัง 200 ล.ก่อน เรียบร้อยแล้วจึงดูดเข้าไปรวมเก็บในถังใหญ่ .... พร้อมใช้ พร้อมแจก พร้อมขาย





.


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kimzagass เมื่อ 29/06/2011 2:37 pm, แก้ไขทั้งหมด 17 ครั้ง
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 29/06/2011 7:05 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

มะละกอต้นเตี้ย




อิทธิฤทธิ์ของ "ดินปราบเซียน" แค่ขุดหลุมปลูกต้นไม้ ต้องการลึกแค่หน้าจอบเดียว ต้องใช้ "อีเตอร์" ถึงจะสู้ได้






กิ่ง (ลำต้น) มะละกอที่ลูกๆ สจล.ตอนไว้ เดือนเดียวออกรากดีแล้ว ขุยมะพร้าวใน
ตุ้มตอนเริ่มแห้งแล้งถึงเวลาตัดลงมาปลูกในแปลงจริงได้ ปลูกปุ๊บออกลูกปั๊บ ลำต้น
คอดินใหญ่ขนาดน่องผู้ใหญ่ ต้นสูงแค่ระดับอก

อันที่จริงช่วงตัดมาจากต้นแม่ใหม่ๆแล้วนำลงปลูกเลยแบบนี้ ระบบรากยังไม่ทำงาน
แต่ใบจะคายน้ำตลอดเวลา ดังนี้จึงควรเด็ดลูกกับใบแก่ที่ติดมาออกทิ้งให้หมด เหลือ
แต่ใบอ่อนที่ปลายยอดไว้ซัก 2-3-4 ใบก็พอ พร้อมกันนั้นถ้ามีร่มบังแดดด้วยจะเป็น
การดียิ่ง จะช่วยให้แตกยอดใหม่เร็วขึ้น


เทคนิคบำรุงมะละกอ เล่นง่ายๆ ให้ "ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 " ทาง
รากเดือนละครั้ง กับให้ "UN" (TAIPE + BIOI + UREGA) 20 วัน/ครั้ง ก็พอ

ที่โคนต้นใส่ "ขี้วัว + ขี้ไก่แกลบ + ยิบซั่ม" ใบไม้ใบหญ้าคลุมหนาๆ ให้น้ำพอหน้า
ดินชื้น ส่วนการป้องกันโรคไวรัวใบด่างวงแหวนก็ให้ใช้ "น้ำพริกแกงเผ็ด" ฉีดพ่น
ประจำๆ ทุก 7 วัน ก็เหลือเฟอแล้ว
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
kimzagass
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 12/07/2009
ตอบ: 11558

ตอบตอบ: 04/07/2011 5:42 am    ชื่อกระทู้: ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

"ดู" งาน .... สิ่งที่ได้ คือ "เห็น" ..... แค่ห็น "ทำ" ไม่ได้หรอก



3.




จากส่วนลึกของใจที่แท้จริง ต้องการให้เกษตรกรที่มีอาชีพเพาะปลูกพืช ทำ "ปุ๋ย - ฮอร์โมน - สารกำจัดศัตรูพืช"
สำหรับใช้เองเป็น.....การทำใช้เองหมายถึง ประหยัดต้นทุนสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปแล้ว 50-80% ของต้นทุน
เมื่อต้นทุนลดย่อมหมายถึง "กำไร" เพิ่มขึ้น ทั้งๆที่ขายในราคาเดิม แต่หากขายได้ราคามากขึ้น นั่นก็คือ ถูกหวย

นอกจากต้นทุนที่ลดลงแล้ว ประโยชน์ที่ตามมาอีก คือ ผลผลิตเพิ่ม ทั้งคุณภาพและปริมาณ





ปุ๋ยสูตรที่โชว์ "ยูเรก้า - ไบโออิ - ไทเป - แคลเซียม โบรอน - ระเบิดเถิดเทิง 30-10-10 - สารสกัดเปลือก
มังคุด - สารสกัดสมุนไพรสูตรข้างทาง" แบบพร้อมใช้แล้ว





ข้างโหลแก้วเขียนรายการส่วนผสมครบถ้วน ใครอยากได้สูตรก็จดเอา ไม่หวงไม่ห้าม แต่อยากรู้ว่า ได้รายการ
ส่วนผสมไปแล้ว จะทำเองได้เหรอ....แบบนี้ รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์




อธิบายว่า เศษซากพืช คือ อินทรีย์วัตถุ....อินทรีย์วัตถุ ก็คือ อินทรีย์วัตถุ ล้ำเลิศ
เพียงใดก็คือ อินทรีย์วัตถุ ต้นไม้ต้นพืชไม่อาจเอาไปกินได้ ถ้าไม่มี "จุลินทรีย์"
เป็นตัวเปลี่ยนรูปอินทรีย์วัตถุเหล่านั้น จากของแข็งเป็นของเหลว จากโมเลกุลขนาด
ใหญ่เป็นโมเลกุลขนาดเล็กเสียก่อน นั่นแหละพืชจึงจะเอาไปกินได้

ในอินทรีย์วัตถุต้องประกอบด้วย เศษซากพืช เศษซากสัตว์ แหล่งอาหารหรือ
พลังงานสำหรับจุลินทรีย์ แม้ทุกอย่างที่กล่าวจะครบถ้วนกระบวนความ จุลินทรีย์ก็
ไม่อาจทำงานได้ จำเป็นต้องมี อากาศ และอุณหภูมิ เข้ามาเกี่ยวด้วย



6.


7.


8.


9.


10.




12.



14.
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
DangSalaya
หาวด้า
หาวด้า


เข้าร่วมเมื่อ: 23/06/2011
ตอบ: 1874

ตอบตอบ: 19/09/2013 7:45 pm    ชื่อกระทู้: ปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่ง ...เครื่องหยอดเมล็ดข้าว Return ตอบกระทู้ด้วยเครื่องหมายคำพูด(quote)

kimzagass บันทึก:
เครื่องหยอดเมล็ดข้าว....(เครื่องต้นแบบ)



11.


12.


13.


14.


15.


16.


17.


18


19.


20. คุณศักด์ชัย บวรโชคชัย (080) 603-0448



21.


สมาชิกหลังไมค์ที่อยากทราบรายละเอียด เครื่องหยอดเมล็ดข้าว....

ความเห็นส่วนตัว เครื่องนี้น่าจะ WOTK ที่สุด (ถ้ามีการพัฒนา)


(แดง ศาลายา)
*******************************************************************





เครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าว ลดต้นทำนาไร่ละ 1,250บาท
จากการที่กรมการข้าวได้มอบหมายให้ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพิษณุโลก จ.พิษณุโลก ให้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวปีละ 5,500 ตัน
เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์หลักให้แก่เกษตรกร

ทำให้ ประมาณ แย้มชู นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ และ ประพันธ์ พงษ์ภู่ นายช่างไฟฟ้าชำนาญงาน ประจำศูนย์
ได้ค้นคิดและวิจัยพัฒนาเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวนาน้ำตม ราคาประหยัดจนประสบผลสำเร็จใช้เงินทุนเพียง 305 หมื่นบาท
แต่มีสรรพคุณสามารถช่วยเกษตรกรลดต้นทุนได้ไร่ละ1,250 บาท ล่าสุดคว้ารางวัลนะเลิศหาสุดยอดผลงานเทคโนโลยีเพื่อ
ส่งเสริมการเกษตรอีกด้วย


กว่าเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวจะประสบผลสำเร็จต้องบอกว่า ลองผิดลองถูก 2-3 ปี และเพิ่งประดิษฐ์สำเร็จและทดลองจนไ
ด้ผลที่พอใจเมื่อประมาณ 3-4 เดือนที่ผ่านมา โดยมีเพื่อนร่วมงานคือ ประพันธ์ เป็นผู้คิดค้นและพัฒนา ใช้งบประมาณในการ
ประดิษฐ์ 3.5 หมื่นบาท จากการนำไปทดลองใช้ในแปลงนาทดลองของเกษตรกรที่ อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พบว่าสามารถ
ช่วยเกษตรกรลดต้นทุนได้ประมาณ 1,250 บาทต่อไร่ ปัจจุบันเกษตรกรจะมีต้นทุนในการปลูกข้าวเฉลี่ยประมาณ 4,000-
5,000 บาทต่อไร่ และต้องใช้เมล็ดพันธุ์ 25-30 กิโลกรัมต่อไร่

"พอเราทดลองใช้เครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าว พบว่าต้นทุนในการปลูกข้าวเหลือประมาณ 3,000 กว่าบาทต่อไร่ และ
จะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวเหลือเพียง 6-10 กิโลกรัมต่อไร่เท่านั้น ขณะที่ผลผลิตที่ได้มีปริมาณเท่าเดิม คือ 700 กิโลกรัมต่อ
ไร่ เกษตรกรจะมีต้นทุนลดลงจากการใช้เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และยาฆ่าแมลงในปริมาณต่อไร่ที่ลดน้อยลง แต่คุณภาพข้าวที่ได้ดีขึ้น"
นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ กล่าวอย่างมั่นใจ

หลังจากผลงานประสบผลสำเร็จแล้ว จึงนำไปประกวด “เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการเกษตร” ในงาน "ถนนเทคโนโลยี 2554"
จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ที่จัดขึ้นมาเป็นปีที่ 9 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันที่
11-12 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา จนได้รับรางวัลชนะเลิศหาสุดยอดผลงานเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการเกษตร โดยปี
นี้มีผู้ส่งใบสมัครเข้าร่วมประกวดผลงานกว่า 1,000 ราย

ประมาณ บอกอีกว่า ที่ผ่านมาเกษตรกรประสบปัญหาในด้านของเมล็ดพันธุ์ข้าว ทางกรมการข้าวได้มอบหมายให้ศูนย์เมล็ด
พันธ์ข้าวพิษณุโลกผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวปีละประมาณ 5,500 ตัน ทางศูนย์จึงคิดประดิษฐ์และพัฒนาเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์
ข้าวนาน้ำตมขึ้นมา เพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพได้ปริมาณที่เพียงพอ โดยเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวนา
น้ำตมที่ว่านี้มีโครงสร้างของเครื่องประกอบด้วยต้นฐานรองรับ

สำหรับการรองรับกลไกเมล็ดพันธุ์ใช้วัสดุที่เป็นเหล็ก ขณะที่ตัวกลไกหยอดเมล็ดพันธุ์ใช้วัสดุท่อพลาสติกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว
นำมาตัดเป็นท่อนยาว 13 ซม. เจาะเป็นรูครึ่งวงกลมจำนวน 12 รู จากนั้นนำสเตนเลสทำเป็นรูปกล่อง โดยท่อนพลาสติกจะหมุน
แล้วตักเมล็ดพันธุ์ข้าวจากกล่องสเตนเลส ลงแปลงปลูก ระบบขับเคลื่อน ประกอบไปด้วยวงล้อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 110 ซม.
มีเพลาติดกับล้อและโซ่พร้อมสเตอร์ทำหน้าที่เป็นต้นกำลังให้ส่วนของกลไกการหยอดเมล็ดทำงาน โดยมีระบบบังคับการทำงาน
ด้วยวิธีการล็อกแผ่นเหล็กสองแผ่นเข้าหากัน มีสลักบังคับให้ส่วนกลไกหยอดเมล็ดทำงาน หรือหยุดทำงานได้ จุดเด่นสามารถใช้
เครื่องร่วมกับรถไถเดินตามด้วย

สำหรับเกษตรกรที่สนใจผลงานเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว
พิษณุโลก โทร.0-5531-1018 หรืออีเมล : psl_rsc@ricethailand.go.th


http://www.phtnet.org/news54/view-news.asp?nID=269
กลับไปข้างบน
แสดงข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก ส่งข่าวสารส่วนตัว
แสดงการตอบก่อนนี้:   
ตั้งกระทู้ใหม่   ตอบกระทู้    MySite.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> ถาม-ตอบ ปัญหาการเกษตร ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

 
ไปยัง:  
คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ใหม่ในกระดานนี้
คุณ สามารถ ตอบกระทู้ในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลบการตอบกระทู้ของคุณในกระดานนี้
คุณ ไม่สามารถ ลงคะแนนในแบบสำรวจในกระดานนี้

Powered by phpBB © 2001, 2005 phpBB Group
Forums ©