จากการทดลองผสมพันธุ์ยูคาลิปตัสสายพันธุ์ H 4 กว่า 2 ปี และทดลองปลูกอีก 5 ปี โดยบริษัท สยาม
ฟอเรสทรี จำกัด และศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของเอสซีจี เปเปอร์ ยูคาลิปตัสสายพันธุ์ H 4 ก็
พร้อมสำหรับให้เกษตรกรนำไปปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ
โดยจุดเด่นคือ ทนแล้ง ทนโรค และทนแมลง เช่น แมลงแตนปมฝอย มีกิ่งเล็ก เปลือกบางทำให้ได้เนื้อไม้
มากขึ้น โดยให้ผลผลิตเนื้อไม้สูงถึง 12-24 ตันต่อไร่ ที่อายุ 5 ปี และให้ผลผลิตเยื่อถึง 49% สามารถปลูก
ได้ทั้งในพื้นที่ราบ ระบายน้ำได้ดี และสามารถทนน้ำขังได้เป็นครั้งคราวในฤดูฝน เหมาะสำหรับการปลูกในดินที่ภาค
ตะวันตก ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ราบ ดินเป็นกรด ดินร่วนปนทราย หรือ
ดินร่วนเหนียวปนทราย
คุณจุมภฏ ตัณมณี กรรมการผู้จัดการบริษัท สยามฟอเรสทรี จำกัด ในเอสซีจี เปเปอร์ กล่าวว่า การปลูก
ยูคาลิปตัสสายพันธุ์ H 4 จะช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและมั่นคงกว่าพืชเศรษฐกิจอื่นๆ เพราะเป็นพืชที่ปลูกง่าย
เติบโตเร็ว ดูแลจัดการง่าย ลงทุนน้อย ใช้แรงงานน้อย แต่ให้ผลผลิตและผลตอบแทนสูง คืนทุนเร็วกว่าการปลูก
ไม้ชนิดอื่น โดยใช้เวลาเพียง 4-5 ปี ก็ตัดขายได้ และยังสามารถแตกหน่อได้ดี โดยสามารถตัดได้ 3-4
รอบ ในรอบที่ 2 จะให้ผลผลิตที่มากกว่ารอบแรกถึง 30%
นอกจากนั้นยังสามารถปลูกพืชเกษตรควบคู่ในสวนไม้ยูคาลิปตัสได้ ได้แก่ ข้าวโพด สับปะรด มันสำปะหลัง เป็น
ต้น ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ระหว่างช่วงที่รอการตัดฟันไม้ออก การปลูกยูคาลิปตัสจึงช่วยเพิ่มมูลค่าที่ดินให้สูงขึ้น ดี
กว่าปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า
บริษัท สยามฟอเรสทรี จำกัด ในเอสซีจี เปเปอร์ จำกัด ที่ ต.วังศาลา อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี และสถานที่
วิจัยพัฒนาพันธุ์ไม้ยูคาลิปตัส ได้เปิดให้ชมผลงานวิจัยที่ล่าสุดยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยง
เนื้อเยื่อยูคาลิปตัส การเพาะพันธุ์ในหลอดแก้ว การทดลองปลูกในกรีนเฮาส์ และการปลูกในแปลงเพาะ และให้มี
การเยี่ยมชมไร่ยูคาลิปตัสสายพันธุ์ H 4 รายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตก ที่ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ที่ปัจจุบันส่ง
เสริมการปลูกในพื้นที่กว่า 5 แสนไร่ โดยตั้งเป้าหมายขยายพื้นที่ปลูกให้ได้ถึง 1 ล้านไร่ ภายใน 5 ปี
คุณพนมศักดิ์ พรสุขสว่าง ซึ่งเป็นเกษตรกรผู้ปลูกยูคาลิปตัสรายหนึ่ง เล่าว่า เริ่มปลูกมาตั้งแต่ปี 2534 ก่อน
หน้านี้เคยปลูกอ้อย แต่ผลผลิตไม่ดีเพราะภัยแล้ง มีหนี้สินเป็นหลักล้าน แต่หันมาปลูกยูคาลิปตัสได้ไม่นาน ก็
สามารถหาเงินมาใช้หนี้ได้จนหมด ปัจจุบันเป็นผู้ดูแลไร่ยูคาลิปตัสในพื้นที่กว่า 800 ไร่ เป็นพื้นที่ของตนเอง
150 ไร่ โดยแบ่งเป็น 5 แปลง แปลงละ 30 ไร่ ปลูกสลับช่วงเวลากันในแต่ละแปลง เพื่อให้มีผลผลิตทุกปี
จากการเก็บเกี่ยวทีละแปลง เพราะ 3-4 ปี จะเก็บเกี่ยวได้ครั้งหนึ่ง พอเก็บเกี่ยวยูคาลิปตัสหมด ก็ปลูกมัน
สำปะหลังสลับเป็นเวลา 2 ปี แล้วจึงกลับมาปลูกยูคาลิปตัสต่อ ซึ่งก็ให้ผลผลิตที่ดีเช่นกัน เคยปลูกยูคาลิปตัสมา
หลายสายพันธุ์แล้ว แต่สายพันธุ์ H 4 มีข้อดีเหนือพันธุ์อื่นตรงที่ดูแลง่าย กิ่งขนาดเล็ก ผลัดกิ่งเองได้ ทนแล้ง
ทนต่อโรคแมลง และสภาพแวดล้อม ให้น้ำหนักดีและให้ผลผลิตเยื่อสูง
"อย่าคิดว่าจะต้องปลูกยูคาลิปตัสเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่เท่านั้นถึงจะคุ้ม ที่จริงแล้วแม้มีที่ดินน้อยก็ปลูกได้เพื่อเป็นรายได้
เสริม หรือแม้แต่ปลูกตามคันนา ริมรั้ว ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการออมเงินไปในตัวในภาวะเศรษฐกิจตอนนี้" นาย
พนมศักดิ์กล่าว
แม้จะประสบความสำเร็จจากการเพาะพันธุ์ยูคาลิปตัสลูกผสมสายพันธุ์ H 4 เจ้าของรางวัลดีเด่นจากเวทีประกวด
นวัตกรรม SCG Powerof lnnovation Award 2007-2008 แต่บริษัทก็ยังทุ่มเทวิจัยและพัฒนาอย่างต่อ
เนื่อง เพื่อให้ได้สายพันธุ์ยูคาลิปตัสที่มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่เพาะปลูกของไทย ให้เป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้าง
ผลตอบแทนแก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน
เอสซีจี เปเปอร์ เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจหลักของเครือซิเมนต์ไทย และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมกระดาษ ซึ่งดำเนิน
การใน 5 ธุรกิจหลัก ได้แก่ กิจการสวนป่า กิจการเยื่อกระดาษและกระดาษพิมพ์เขียน กิจการกระดาษ
อุตสาหกรรม (ที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน) กิจการกระดาษแข็งและกิจการบรรจุ
ภัณฑ์ มีโรงงานผลิตกระดาษและบรรจุภัณฑ์กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย และในภูมิภาคอาเซียน
และยังมีฐานการผลิตอยู่ในเวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ มีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้
มาตรฐาน มีประสิทธิภาพ
สำหรับผู้ที่สนใจอยากปลูกยูคาลิปตัส ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรหรือเจ้าของที่ดิน สนใจอยากลงทุน ทางสยามฟอเรสท
รีก็มีบริการฟรี ตั้งแต่การประเมินความเหมาะสมของสภาพที่ดิน วางแผนการปลูก จัดส่งกล้าพันธุ์ ตลอดจนวัดผล
ความคืบหน้าการเพาะปลูก เช่น ขนาดลำต้น และจัดสัมมนาให้ความรู้ นอกจากนี้ยังมีบริการจัดหาแรงงานในการ
เพาะปลูกและดูแลผลผลิต ตลอดจนรับเหมาตัดฟันและขนส่งครบวงจร
ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ Call Center 0-3461-5040 หรือ www.paper.scg.co.th.
***********************************************************************************************
ผลกระทบของการปลูกยูคาลิปตัสต่อคุณสมบัติดิน
และระบบนิเวศในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ชื่อผู้ทำวิทยานิพนธ์ | เดชชัย ศิริวัฒนกาญจน์ |
ชื่อวิทยานิพนธ์ | ผลกระทบของการปลูกยูคาลิปตัสต่อคุณสมบัติดิน และระบบนิเวศในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
สาขาวิชา | ปฐพีศาสตร์ |
ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ | ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จักรกฤษณ์ หอมจันทน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์กัณหา บุญพรหมมา kanha@kku.ac.th ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชรัตน์ มงคลสวัสดิ์ charat@kku.ac.th |
ปีที่จบ | 2532 |
บทคัดย่อ
ในการศึกษาผลกระทบของการปลูกยูคาลิปตัสต่อคุณสมบัติดินและการปลูกพืชในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่ง
กำหนดวิธี การศึกษาออกเป็น 5 การทดลอง ได้แก่ การศึกษาผลกระทบของการปลูกยูคาลิปตัสต่อคุณสมบัติทาง
กายภาพและเคมีของดิน การศึกษาอัตราการให้อินทรียวัตถุของสวนป่าในรูปอัตราการร่วงของใบยูคาลิปตัส การศึกษา
อัตราการย่อยสลายของอินทรีย วัตถุจากยูคาลิปตัสเปรียบเทียบกับอินทรียวัตถุจากพืชชนิดอื่น ตลอดจนศึกษาสภาพ
พิษของอินทรียวัตถุจากยูคาลิปตัสต่อ จุลินทรีย์ดิน การศึกษาผลกระทบของอินทรียวัตถุจากยูคาลิปตัสต่อเปอร์เซนต์
ความงอกของเมล็ดพืช การทดลอง ระดับกระถางเพื่อทดสอบผลกระทบของอินทรียวัตถุจากยูคาลิปตัสต่อการเจริญ
เติบโตของพืชไร่ที่มีความสำคัญทาง เศรษฐกิจ และการศึกษาผลกระทบของการปลูกสวนป่ายูคาลิปตัสต่อระดับน้ำใต้
ดิน มีผลการทดลองโดยสรุปดังนี้.-
- คุณสมบัติ 13 ประการของดิน ได้แก่ เนื้อดิน, pH, Total acidity, ปริมาณอินทรียวัตถุ, C.E.C.,
ปริมาณธาตุอาหารพืช ได้แก่ ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P), โปแตสเซียม (K), แคลเซียม (Ca), แมกเน
เซียม (Mg) และปริมาณธาตุโซเดียม (Na) อะลูมิเนียม (A1) และค่าความนำไฟฟ้าของดิน (Ec) ที่เก็บจาก 2
ระดับความลึก คือ 0-15 ซม. และ 15-30 ซม. จากในสวนป่ายูคาลิปตัสที่มีอายุต่างกัน 3 รุ่น คือ อายุน้อยกว่า
3 ปี, 3-5 ปี และมากกว่า 5 ปี โดยเก็บดิน รุ่นละ 5 ตัวอย่างจากสวนป่าที่ปลูกกระจายอยู่ทั่วภาคตะวันออกเฉียง
เหนือไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในทาง สถิติ เมื่อเปรียบเทียบกับตัวอย่างดินชนิดเดียวกันที่เก็บจากพื้นที่
นอกสวนป่า แม้ข้อมูลการวิจัยจะชี้ให้เห็นว่าคุณสมบัติ บางประการ ได้แก่ ปริมาณอินทรียวัตถุ C.E.C. โปแตสเซียม
(K) และค่าความนำไฟฟ้าของตัวอย่างดินชั้นบนระดับ (0-15 ซม.) ที่เก็บจากในสวนป่าที่มีอายุมากกว่า 5 ปีมี
แนวโน้มที่จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับดินนอกสวนป่า
- อัตราการร่วงของใบยูคาลิปตัสจากสวนป่ายูคาลิตัสที่ใช้ระยะปลูก 2x4 เมตร สูงกว่าส่วนป่าที่ใช้ระยะปลูก 2x8
เมตร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีอัตราการร่วงของใบเฉลี่ยรวมเท่ากับ 382.12 กรัม/ตร.เมตร (611.39
กก./ไร่) และ 271.92 กรัม/ตร.เมตร (435.07 กก./ไร่) ตามลำดับจากสวนป่าที่มีอายุ 4 ปี ในช่วงเวลา
11 เดือน อัตราการร่วง ของใบยูคาลิปตัสเกิดขึ้นมากที่สุดในระหว่างเดือนธันวาคม ถึง เดือนมกราคม และน้อยที่สุด
ระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึง เดือนกรกฎาคม
- อัตราการย่อยสลายของอินทรียวัตถุจากยูคาลิปตัสแตกต่างกันโดยเปลือกยูคาลิปตัส ถูกปลวกเข้าทำลายจนหมด
ในช่วง เดือนแรกในขณะที่ใบยูคาลิปตัสมีสอัตราการย่อยสลายตัวช้าที่สุดเทียบกับต่อซังข้าว ใบมะม่วงและใบกระถิน
ณรงค์ โดยน้ำหนักแห้งของอินทรียวัตถุที่เหลือเฉลี่ยเท่ากัย 45.6, 15.75, 11.75 และ 7.75 เปอร์เซนต์ของ
น้ำหนักเริ่มต้นสำหรับ ใบยูคาลิปตัส ตอซังข้าว ใบมะม่วง และใบกระถินณรงค์ ตามลำดับ ภายหลังการย่อยสลายตัว
เป็นเวลา 7 เดือนการ เปลี่ยนแปลงของประชากรแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในรูปแบบที่ไม่แตกต่างกันสำหรับทุกชนิดของ
อินทรียวัตถุที่ศึกษา
- การใส่อินทรียวัตถุจากใบยูคาลิปตัสในอัตรา 0, 0.5, 2.5, 5, 10 และ 25 กรัม/กิโลกรัม มีผลทำให้
เปอร์เซนต์ความงอก ของพืชที่ทดสอบ 9 ชนิด ได้แก่ ถั่วเหลือง, ถั่วเขียว, ถั่วลิสง, ถั่วพุ่ม, กระถิน, ข้าวโพด,
ข้าวฟ่าง, ปอแก้ว และงา ลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อใช้ทรายเป็นวัสดุเพาะโดยเปอร์เซนต์ความงอกของพืช
ส่วนใหญ่ (7 ใน 9 ชนิดที่ศึกษา) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับการใส่ 2.5 กรัม/กิโลกรัมของวัสดุเพาะ อินทรีย
วัตถุจากใบยูคาลิปตัสมีผลกระทบ เช่นเดียวกันเมื่อใช้ดินยโสธรเป็นวัสดุเพาะยกเว้นพืช 2 ชนิด ได้แก่ ปอแก้ว และ
ถั่วพุ่ม ซึ่งแม้เปอร์เซนต์ความงอก จะลดลงที่ระดับการใส่อัตราสูง แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ สำหรับการทดลองระดับ
กระถางถึงผลกระทบของอินทรียวัตถุจากยูคาลิตัสในอัตราการใส่ 0, 10, 25, 50, 100 และ 200 กรัม/ดิน
1 กิโลกรัม ต่อการเจริญเติบโตของพืช 9 ชนิด ได้แก่ ถั่วเหลือง, ถั่วเขียว, ถั่วลิสง, กระถิน, สไตโล, ข้าว
โพด, ข้าวฟ่าง, ปอแก้ว และมันสำปะหลัง พบว่า น้ำหนักแห้งของลำต้นและรากของพืชทุกชนิด (ยกเว้นข้าวฟ่าง
และมันสำปะหลัง) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับดินที่ไม่ใส่ใบยูคาลิปตัส โดยน้ำหนักแห้งของ
ลำต้นและรากลดลงที่ระดับการใส่ที่ต่างกัน กล่าวคือ ปอแก้ว ที่อัตราการใส่ 10 กรัม/ดิน 1 กิโลกรัม ถั่วเหลือง สไต
โล และข้าวโพด ที่อัตราการใส่ 50 กรัม/ดิน 1 กิโลกรัม ถั่วเขียวและกระถิน ที่อัตราการใส่ 25 กรัม/ดิน 1
กิโลกรัม และถั่วลิสง ที่อัตราการใส่ 100 กรัม/ดิน 1 กิโลกรัม ตามลำดับ
- ในการตรวจวัดระดับน้ำใต้ดินในสวนป่ายูคาลิปตัส เปรียบเทียบกับระดับน้ำใต้ดินนอกสวนป่า เป็นเวลาต่อเนื่องกัน
48 สัปดาห์ พบว่า ระดับน้ำใต้ดินในสวนป่ายูคาลิปตัสอยู่ลึกกว่า 2 เมตร ตลอดระยะเวลาที่ศึกษา ในขณะที่ระดับ น้ำ
ใต้ดินในจุดที่อยู่ในระดับเดียวกันของพื้นที่มีระดับน้ำใต้ดินในระดับที่ตื้นกว่า 2 เมตร
*********************************************************************************************************
ให้พวกพ้อง บริวาร และนายทุนต่างชาติ มองจากโครงการเลี้ยงกุ้งกู้ชาติ มาสู่ยูคาลิปตัส ใช้ความอุดมของผื่นดินดึง
เครือข่ายป่าไม้และที่ดินภาคอีสาน โดยการประสานงานของ นาย วิพัฒนชัย พิมพ์หิน ได้ออกมาชี้แจงข้อ
"ตอนนี้ในส่วนของสถานการณ์ หลังจากที่ ทางรัฐบาลคุณทักษิณ กลับจากการเยือนประเทศจีนมานั้นเคยมีการคุย
ทีนี้เมื่อมามองเรื่องพื้นที่กัน ทางผมและเครือข่ายก็ตรวจสอบจนชัดเจนแล้วว่า พื้นที่ที่จะปลูกทั้งหมด ที่กลุ่มทุนเขา
"ประเด็นที่ทางเครือข่ายป่าไม้ที่ดินภาคอีสานต้องการเสนอเพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ นั้นเกิดจากประสบการณ์ของ
1. มีผลกระทบต่อระบบนิเวศสูงมาก โดยเฉพาะเรื่องดิน น้ำและสัตว์ ซึ่งสัตว์นี่รวมแม้กระทั่งหมดแดงหรือแมลงต่างๆ
2. ผลกระทบที่เกิดต่อโครงสร้างของดิน ซึ่งถ้าเราศึกษาดูจากพื้นที่ ที่เขาต้องการนั้น ส่วนมากแล้วพื้นที่เหล่านี้จะ
3.ระบบน้ำ เรื่องระบบน้ำนี้ โดยปกติ ถ้าเป็นต้นไม้ตามธรรมชาติในท้องถิ่นบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นสะเดา สัก กะถิน
ปัญหาเหล่านี้ทางเครือข่ายได้จากการศึกษาป่ายูคาลิปตัส ที่ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ที่ออกมาชัดเจนมาก บนเนื้อ
"กับกระแสของประเด็นนี้ แม้ว่าจะมีผลกระทบมากมาย แต่รัฐบาลของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังผลักดันออก
ต่อกรณีมีชาวบ้านเสียชีวิตเพราะได้รับสารพิษ จากการดื่มน้ำในแปลงปลูกป่ายูคาลิปตัส ซึ่งเกิดขึ้น ที่ อ.ปะคำนั้น
"กรณีชาวบ้าน จาก อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ คนหนึ่งที่ล้มป่วยและเสียชีวิต โดยก่อนตายได้กล่าวกับญาติว่า ได้ไปดื่มน้ำ
เรื่องนี้เป็นเพียง กรณีเดียวที่เครือข่ายฯ พบ ซึ่งก็ยังสรุปชี้ชัดไม่ได้ชัดเจนมากนัก ว่าสาเหตุการตายเกิดจากอะไร
ขณะเดียวกัน นายเดช คงทะราช ชาวบ้านจาก อ.แกดำ จ.มหาสารคาม ได้กล่าวยืนยันกับทางทีมงานไทยเอ็นจีโอ
"เป็นเรื่องจริงครับ ในแปลงนาของผมที่ปลูกยูคาลิปตัสตามคันนาทิ้งไว้ นั้น เมื่อเราปลูกข้าวลงแปลงนาข้าวก็ตาย "เรื่องการเคลื่อนไหวที่เราได้คุยกันระดับหนึ่งนั้น เราต้องการให้รัฐบาลตอบคำถามให้ประชาชนเข้าใจให้ได้ก่อนว่า
1.ในเรื่องของการปลูกยูคาลิปตัส มันทำลายระบบนิเวศโดยรวมอย่างไร เพราะในเมื่อชาวบ้านอีสานเขามีประสบ
2.เรื่องการลงทุน หากมีผลกระทบจริง ใครรับผิดชอบ และจะรับผิดชอบอย่างไรบ้าง เพราะการที่รัฐบาลเอาค่าเช่า
3.หากจะดำเนินโครงการนี้จริงๆ รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาชุดหนึ่ง หรืออาจจะทำเหมือน อีไอเอ ว่า
ในนามเครือข่ายป่าไม้และที่ดินภาคอีสาน ซึ่งมีประสบการณ์ต่อเรื่องนี้มาก่อน มากแล้ว เราก็อยากจะนำปัญหาผล
เพื่อให้รัฐบาลตัดสินใจต่อเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เพราะยูคาลิปตัสนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับกุ้งกู้ชาติในขณะนี้ ดังนั้นรัฐบาล
เรื่องสุดท้าย คือเรื่องจัดตั้งโรงงานทำเยื่อกระดาษ เพราะจากข้อมูลที่ได้รับมา มีการกำหนดว่าจะตั้งโรงงานผลิต |