การปฏิบัติต่อต้นยางพาราช่วงหน้าแล้ง
ช่วงหน้าแล้งได้แก่ ช่วงฤดูหนาว และฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงที่มีปริมาณฝนน้อยจนถึงไม่มี ทำให้ดินขาดความชื้น ในขณะเดียวกัน พื้นดินกลับมีการสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้น อันเนื่องจากมีปริมาณแสงแดด และความเร็วของกระแสลมมากขึ้น ดังนั้น พืชต้องสูญเสียน้ำสูงขึ้น เพราะมีการตายน้ำมากกว่าฤดูฝน ฉะนั้นสูงขึ้น เพราะมีการตายน้ำจากดินขึ้นมาทดแทนในอัตราส่วนที่เหมาะสมแล้ว จะทำให้พืชเกิดอาการตายกลับ (Died Back) ได้
กรณีสวนยางที่มีการปลูกพืชคลุมและบำรุงรักษาเป็นอย่างดี ก็สามารถลดปัญหาด้านนี้ได้ระดับหนึ่งอย่างไรก็ตาม การรักษาความชื้นในดินยังเป็นเรื่องที่จำเป็น โดยเฉพาะในระยะแรกของความเจริญเติบโตเพราะระบบรากยังไม่สมบูรณ์ และลึกพอที่จะดูดน้ำในระดับลึกได้
การคลุมดิน
การคลุมดิน เป็นการจัดการที่จำเป็นที่เจ้าของสวนยางควรนำไปปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับระยะยางอ่อน เพื่อรักษาความชื้นในดินในช่วงหน้าแล้งให้ได้มากที่สุด และเพื่อเป็นแหล่งให้ต้นยางสามารถดูดน้ำไปทดแทนส่วนที่คายออกทางใบ โดยการใช้วัสดุต่างๆ คลุมดินรอบโคนต้นยางก่อนที่ถึงหน้าแล้ง
ความสำคัญของการคลุมดิน
การคลุมดิน นอกจากจะป้องกันความชื้นในดินโดยตรงแล้ว ยังมีผลทางอ้อมกับต้นยางและการจัดการดินอีกด้วย เพราะเป็นการเพิ่มอินทรีย์วัตถุในดิน มีผลทำให้ต้นยางเจริญเติบโตได้ดีขึ้น จากการทดลองให้ฟางข้าวคลุมโคนต้นยางเป็นวงกลม รัศมี 75 ซม. ห่างจากโคนต้นยางพอสมควร อัตรา 3 กก./ต้น และ 6 กก./ต้น พบว่า ต้นยางอ่อนอายุ 18-24 เดือน มีความเจริญเติบโตดีกว่าไม่ใช้วัสดุคลุมดินอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อต้นยางอายุ 30 เดือน การใช้วัสดุคลุมดิน กลับไม่มีผลต่อความเจริญเติบโตของต้นยางแต่อย่างใด ทั้งนี้ เพราะระบบรากของต้นยางได้แผ่กระจาย ไปถึงบริเวณที่มีพืชคลุมในระหว่างแถวยาง ส่วนการใช้วัสดุคลุมดิน กับต้นกล้าก่อนติดตาในแปลงปลูก พบว่า ขนาดของลำต้นไ่ม่แตกต่างกันไม่ว่าจะมีการคลุมดินและไม่ก็ตาม แต่การคลุมดินช่วยให้ต้นกล้าเจริญเติบโตเร็วขึ้น สำหรับ เขตแห้งแล้งหรือในท้องที่ที่ฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน การใช้วัสดุคลุมดินทำให้มีต้นยางปลูกซ่อมต่ำกว่าไม่ใช้ 24%-37% นอกจากนั้นการใช้วัสดุคลุมตลอดแถวยาง มีผลให้ต้นยางปลูกซ่อม น้อยกว่าการคลุมเฉพาะบริเวณโคนต้นยาง
การใช้วัสดุุคลุมดิน
วัสดคลุมดินที่เลือกใช้ ควรเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายและราคาาถูกในท้องถิ่น ได้แก่ เศษวัชพืชและเศษซากพืชเหลือใช้จากการเกษตรและอื่น ๆ เช่น ซากหญ้าคา ฟางข้าว ใบกล้วย หญ้าขน ต้นถั่วชนิดต่างๆ ซากพืชคลุมและอื่นๆ เป็นต้น ส่วนวัสดุเหลือใช้เช่นถุงปูนซิเมนต์ กระดาษหนังสือพิมพ์หรืออื่นๆ ที่ย่อยสลายช้า วัสดุแต่ละประเทภมีความคงทนแตกต่างกันขึ้นอยูกับชนิดของวัสดุ เช่นถ้าใช้ถุงใส่ปุ๋ยจะยอยสลายช้ากว่างฟางข้าว เป็นต้น ส่วนวัสดุที่หาได้ค่อนข้างยากและมีราคาสูง เช่น พลาสติกLDPE อาจจะเหมาะกับสวนขนาดใหญ่เพราะไม่จำเป็นต้องซื้อบ่อยครั้ง และอายุการใช้งานนานกว่าวัสดุราคาถูก ทำให้ต้นทุนต่ำกว่าการใช้วัสดุราคาถูกที่ต้องจัดหาบ่อยครั้ง
การบำรุงรักษา
ตามปกติในช่วงหน้าแล้ง ถ้ามีน้ำเพียงพออัตราการสังเคราะห์แสงในพืชจะมีมาก และมีประสิทธิภาพสูง ทั้งนี้เนื่องจากมีปริมาณแสงแดดมากทำให้อัตราความเจริญเติบโตของพืช มีอัตราสูงกว่าในช่วงฤดูฝน ในขณะเีดียวกันปัญหาเรื่องความชื้นก็เป็นตัวจำกัดอัตราความเจริญเติบโตของพืชเช่นกัน ดังนั้การปฏิับัติใดๆ ในช่วงหน้าแล้งที่ไปกระตุ้นให้พืชมีอัตราความเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยบางปัจจัยเป็นตัวจำกัด อาจมีผลทำให้ต้นพืชตามกลับหรือแสดงอาการขาดน้ำอย่างรุนแรงได้
การใส่ปุ๋ย
โดยปกติไม่แนะนำ ให้ใส่ปุ๋ยในช่วงแล้งเพราะอาจไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นาง ให้แตกใบอ่อน เมื่อกระทบแล้งจัดต้นยางอาจเหี่ยวเฉาหรือตายกลับได้ง่าย ในขณะเดียวกัน ในสภาพแล้งจัดปุ๋ยจะดึงความชื้นเพื่อละลายตัวเอง ยิ่งทำให้ต้นยางขาดน้ำมากขึ้น ส่งผลให้ต้นยางได้รับความเสียหายขาดน้ำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น การใส่ปุ๋ยในช่วงนี้ นอกจากต้นยางจะนำไปใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพและอาจเกิดอันตรายต่อต้นแล้ว ยังต้องสูญเสียปุ๋ยในรูปอื่นอีกมาก ทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ และไม่คุ้ม
การตัดแต่งกิ่ง
ต้นยางในท้องที่แห้งแล้งจัด มักจะแตกตาออกมามากเกินไป จึงจำเป็นต้องปลิดแขนงอ่อนที่แตกออกมาบ้าง เหลือจำนวนที่เหมาะสมแล้วไว้ 2-3 กิ่ง การไว้กิ่งแขนงมากเกินไป นอกจากจะเป็นการดึงเอาธาตุอาหารที่สะสมอยู่ในลำต้นมาใช้มากเกินไปแล้ว ใบและกิ่งก้านที่มากเกินไปจะมีส่วนให้ต้นยางต้านลมากขึ้น เป็นเหตุให้บริเวณโคนต้นที่อยู่ติดกับพื้นดินคลอนซึ่งกระทบกระเทือน ต่อการเจริญเติบโตของรากแขนงได้
ที่มา : WWW.YANGPARA.CO,
ปลูกสวนยางพาราที่สกลนครแล้วตายมาก
การใช้วุ้นเกษตรรองก้นหลุมช่วยลดการตายได้จริงหรือไม่
เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ
ผมเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง แต่ได้ติดตามอ่านวารสารเกษตรมาเกือบ 10 ปีแล้ว ผมขอเรียนถามปัญหาที่แก้ไขไม่ตก ดังนี้
1. ผมปลูกต้นยางพารา เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2547 ที่ผ่านมา ระยะแรกต้นก็สวยดี แต่พอย่างเข้าเดือนพฤศจิกายน ต้นยางพาราเริ่มแห้งตายร้อยกว่าต้น ผมลองใช้เล็บมือขูดเปลือกต้นยางพาราดู ปรากฏว่าแห้งสนิท สวนยางพาราของผมอยู่ที่เทือกเขาภูพาน จะเป็นไปได้หรือไม่ครับว่า ที่ตายมีสาเหตุเกิดจากการขาดน้ำเนื่องจากมีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าทุกปี
2. ในช่วงอากาศแห้งแล้ง รากยางพาราได้รับน้ำน้อย หากใช้ฮอร์โมนหรือปุ๋ยเกล็ด ฉีดพ่นทางใบ จะช่วยให้มีการรอดตายได้จริงหรือไม่
3. ผมเคยอ่านหนังสือพบว่า เคยมีการโฆษณาขายวุ้นเกษตร เขาอธิบายไว้ว่า หากนำไปรองก้นหลุมก่อนปลูกต้นไม้ จะทำให้ต้นไม้รอดตายทุกต้น ผมเคยอ่านมาเมื่อ 6-7 ปีก่อน แต่จำไม่ได้ว่ามีขายอยู่ที่ไหน ในแถบภาคอีสาน ขอคุณหมอช่วยแนะนำแหล่งจำหน่วยด้วยครับ
ขอแสดงความนับถือ
เกษตร ส.ว้าเหว่ 135 หมู่ 10 ต.หนองลาด อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร 47150
ตอบ คุณเกษตร ส. ว้าเหว่
1. การปลูกยางพาราในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น มีวิธีการปลูกแตกต่างจากภาคใต้และภาคตะวันออก เนื่องจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีระยะฝนทิ้งช่วงค่อนข้างยาวนานกว่า วิธีการปลูกยางพารา ที่เปอร์เซ็นต์รอดตายสูง สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร แนะนำไว้ดังนี้ ให้ขุดหลุมกว้างและลึก 50 เซนติเมตรเท่ากัน นำดินชั้นบนกับดินชั้นล่างแยกจากกัน คลุกดินชั้นล่างด้วยปุ๋ยคอกเก่าอัตรา 3-5 กิโลกรัม และใส่เศษใบไม้แห้งหรือฟางข้าวลงในหลุมปริมาณ 3 ใน 4 ของหลุม แล้วอัดพอแน่น เพื่อช่วยให้การดูดซับน้ำไว้ในดินได้นานขึ้น เมื่อเศษใบไม้เน่าสลายจะกลายเป็นอาหารของต้นยางพาราได้อีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้ ควรรองก้นหลุมปลูกด้วยหินฟอสเฟตอัตรา 170-200 กรัม ต่อหลุม เพื่อกระตุ้นระบบรากของต้นยางพัฒนาได้เร็วขึ้นกว่าต้นที่ไม่ใช้หินฟอสเฟต ช่วงปลูกที่เหมาะสมแนะนำให้ปลูกช่วงต้นฤดูฝนและต้องปลูกให้เสร็จก่อน วันที่ 15 กรกฎาคม ต้นกล้าที่นำมาปลูกควรเป็นต้นยางพาราชำถุง ที่มีใบ 2 ฉัตร หรือสองชั้น การวางตำแหน่งลงในหลุมปลูก ต้องหันแผ่นตาไปแนวทางเหนือหรือใต้ป้องกันแสงแดดแผดเผา ให้ฉีกถุงเพาะชำออกเบาๆ อย่าให้วัสดุเพาะหลุดออกจากราก วางลงตอนกลางหลุมปลูก หากเกรงว่ารากจะฉีกขาด ให้ใช้วิธีเฉือนก้นถุงเพาะชำให้ขาดตามแนวเส้นผ่านศูนย์กลาง แล้ววางลงตอนกลางหลุมปลูก เกลี่ยดินที่ผสมไว้ก่อนให้แน่น รักษาระดับแผลของตาด้านล่างไว้เหนือระดับผิวดินเล็กน้อย จากนั้นใช้มือดึงถุงพลาสติกขึ้นตามแนวตั้ง ในที่สุดถุงพลาสติกเพาะชำจะหลุดออก พูนโคนให้สูงขึ้นเล็กน้อยเป็นหลังเต่าป้องกันน้ำท่วมขังหลังฝนตก พร้อมกับคลุมโคนต้นด้วยฟางข้าว เพื่อช่วยรักษาความชื้นในดินอีกทางหนึ่ง สาเหตุที่ต้นยางพาราตายเป็นจำนวนมากเป็นไปได้สูงที่เกิดจากการขาดน้ำ ดังนั้น การปลูกซ่อมในครั้งต่อไปจำเป็นต้องรองก้นหลุม ตามที่ผมแนะนำมาแล้วข้างต้น
2. ช่วงแล้งจัดการใช้ปุ๋ยเกล็ด ละลายในน้ำพร้อมผสมน้ำตาลเดกซ์โทรส ฮิวมิกแอซิด และสารเคมีกำจัดเชื้อรา สารละลายดังกล่าวช่วยฟื้นฟูสภาพของต้นไม้ที่ทรุดโทรมได้บ้าง แต่หากขาดน้ำอย่างสิ้นเชิง สารละลายดังกล่าวก็ไม่อาจช่วยได้แต่อย่างใด
3. ถูกต้องแล้วครับ ที่เมื่อ 6-7 ปีก่อน มีการแนะนำให้ใช้วุ้นเกษตร ความจริงก็คือ วัสดุดังกล่าวคือ เป็นโพลิเมอร์ของแป้งชนิดหนึ่งหรือเป็นรูปหนึ่งของแป้งที่ได้จากพืชที่มีความสามารถพิเศษ ที่ดูดซับน้ำได้หลายสิบเท่าไปจนถึงสองร้อยเท่าของปริมาตรตัวเอง โดยการดูดน้ำจนบวมพอง เมื่อใช้เป็นวัสดุปลูกพืชก็จะปลดปล่อยน้ำให้อย่างช้าๆ หากใช้รองก้นหลุมปลูกพืชจะช่วยให้ต้นไม้ทนต่อความแห้งแล้งได้ดี แต่เนื่องจากวัสดุดังกล่าวมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งอาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ปัจจุบันหาซื้อได้ตามร้านขายพันธุ์ไม้ในท้องถิ่น ส่วนแหล่งจำหน่ายสำคัญต้องมาหาซื้อที่สวนจตุจักร กรุงเทพฯ ตามที่ผมอธิบายมาแล้วนั้นการรองก้นหลุมด้วยเศษไม้ ใบหญ้าแห้ง กับปุ๋ยคอกเก่า จะช่วยให้ต้นยางพาราทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ใกล้เคียงกับการใช้โพลิเมอร์ดังกล่าว
ที่มา : http://www.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=0517151247&srcday=2004/12/15&search=no
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.