ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
ดร.กาญจนา สุทธิกุล กับ หลากหลายแนวคิดในการพัฒนามะม่วงไทย
"จุดอ่อนคือ ชาวสวนมะม่วงไทยส่วนใหญ่ยึดติดแต่ใจตัวเอง ไม่ค่อยเปิดกว้าง ด้วยคิดว่าได้เดินมาถึงจุดสุดยอดแล้ว ซึ่งเป็นความคิดที่คับแคบ เพราะเป็นการปิดกั้นตัวเอง ความรู้มันเรียนทันกันและมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พันธุ์มะม่วงใหม่ๆ และเทคนิคใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ขณะที่เราหลงเข้าใจว่ามะม่วงไทยของเราดีที่สุดแล้วก็เท่ากับว่าเรากำลังเดินถอยหลังนับตั้งแต่วินาทีแรกที่คิด อย่าลืมว่ามะม่วงเป็นไม้ผลที่สามารถปลูกได้หลายพื้นที่เกือบทั้งโลก การแข่งขันจึงสูงมาก ไม่เหมือนทุเรียนหรือมังคุด ฉะนั้น ชาวสวนมะม่วงต้องเปิดใจที่จะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา" นี่เป็นคำพูดของ ดร.กาญจนา สุทธิกุล ชาวสวน นักวิชาการอิสระ นักเขียนอิสระ และที่ปรึกษา นายกสมาคมชาวสวนมะม่วงไทย โทร. (084) 949-0204 หรือ อี-เมล : ksthaimango@gmail.com
พันธุ์มะม่วงที่คิดว่าควรส่งเสริม ให้เกษตรกรปลูกในเชิงการค้า
ดร.กาญจนา แนะนำว่า สายพันธุ์หลักๆ ที่ส่งเสริมให้ปลูกในเชิงการค้าก็คงหนีไม่พ้นน้ำดอกไม้สีทอง เพราะมันเป็นความต้องการอันดับหนึ่งทั้งปีของตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ ส่วนน้ำดอกไม้ เบอร์ 4 ก็ยังคงเป็นสายพันธุ์ที่ขายได้ตลอด เพราะสามารถขายได้ในยามที่ผลยังเล็กอยู่ เพื่อนำไปยำหรือกินกับน้ำปลาหวาน กรณีนี้ถ้าเป็นน้ำดอกไม้สีทองก็จะขายยากมาก เพราะไม่เป็นที่นิยมของทั้งผู้ขายปลีกและผู้บริโภค เพราะฉะนั้นชาวสวนจะเป็นผู้เลือกด้วยตัวเองว่าเขาควรจะเน้นไปที่สีทอง หรือ เบอร์ 4 ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับตลาดของตัวเขาเองเป็นหลักว่าจะผลิตเพื่อตลาดไหนบ้าง ต้องตอบตัวเองให้ได้ในข้อนี้เสียก่อน ส่วนมหาชนกน่าจะส่งเสริมให้ปลูกในภาคอีสานและภาคเหนือเป็นหลัก เนื่องจากที่ตั้งเหมาะแก่การขึ้นสีแดงที่ผล โดยส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยที่ชาวสวนจะปลูกมหาชนกเป็นพันธุ์หลักในภาคกลาง เพราะการขึ้นสีแดงน้อยมาก เดือดร้อน ต้องหาทางแปรรูป ลำพังส่งโรงงานก็ระบายไม่ทัน เพราะโรงงานที่ทำมะม่วงมหาชนกแช่แข็งทำกันเพียงไม่กี่แห่ง ราคาก็ไม่จูงใจเท่ากับการผลิตเพื่อขายผลสด เพราะฉะนั้นชาวสวนต้องหาข้อมูลเป็นเบื้องต้นว่าจะผลิตขายตลาดอยู่ที่ไหนบ้าง ข้อดีข้อเสียของแต่ละสายพันธุ์อยู่ตรงไหน เป็นอย่างไร
มะม่วงอกร่องที่คุณภาพดีก็ยังได้รับความนิยมสูงจากผู้บริโภค ชาวสวนท่านใด ไม่อยากวุ่นวายกับการแข่งขันกับน้ำดอกไม้ ลองหันมาให้ความสนใจมะม่วงอกร่องก็น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี ที่สำคัญคือ เป็นผลตอบแทนทางใจด้วย เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่มีความผูกพันกับคนไทยมาอย่างยาวนาน แล้วจู่ๆ เลิกปลูกกันไป ชาวสวนท่านใดจับจังหวะตรงนี้ได้ และเน้นที่จะขายคุณภาพเป็นสำคัญ เชื่อว่าจะประสบความสำเร็จกับมะม่วงอกร่องได้ไม่ยากนัก
สำหรับมะม่วงมันพันธุ์เขียวเสวยและพันธุ์มันขุนศรี ยังคงเป็นสายพันธุ์ที่ตลาดมีความต้องการสูง เพียงแต่ต้องรู้ว่าในพื้นที่นั้นๆ เหมาะแก่การปลูกมะม่วงทั้งสองสายพันธุ์มากน้อยแค่ไหน เพราะเขียวเสวยมีข้อเสียคือ ติดผลยาก เนื่องจากเกสรตัวผู้และตัวเมียพร้อมผสมในเวลาที่ต่างกัน ถ้าภายในสวนไม่มีเกสรตัวผู้จากมะม่วงสายพันธุ์อื่นช่วยผสมก็จะติดผลยาก สำหรับมันขุนศรีมีข้อเสียคือ ไวต่อการเกิดแอนแทรกโนสมาก ไม่ต้องรอให้สุกก็เห็นกันบนผลชัดเจนเลย ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของมะม่วงสายพันธุ์นี้ ท่านที่จะปลูกต้องเน้นเรื่องการควบคุมโรคแอนแทรกโนสในมะม่วง ต้องมีความเข้าใจว่าเชื้อราซึ่งเป็นสาเหตุของโรคจะเริ่มเข้าทำลายในช่วงไหน และควรป้องกันอย่างไร ผลจึงจะสวยมีคุณภาพ ขณะที่การใช้สารเคมีป้องกันการเกิดโรคก็เป็นไปอย่างถูกต้องและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคด้วย
ตลาดมะม่วงไทย ในอนาคตเป็นอย่างไร
ดร.กาญจนา บอกว่า สำหรับตลาดญี่ปุ่นคิดว่า พอไปได้ เพราะเราทำการตลาดมานาน ผู้ผลิตและผู้ส่งออกที่มีคุณภาพก็ยังคงทำงานกันต่อเนื่อง เพียงแต่พ่อค้าบางรายที่ไม่รับผิดชอบเข้ามาเป็นตัวถ่วง ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของเราขยับได้ยากขึ้น เที่ยวซื้อมะม่วงด้อยคุณภาพ ไม่เคยได้สร้างกลุ่มผลิตมะม่วงคุณภาพดี เนื่องจากมันมีค่าใช้จ่าย และหวังว่าการซื้อไปเรื่อยนั้นมีโอกาสได้ซื้อถูกขายแพง ผลที่เกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่องคือ การติดบัญชีดำเรื่องเคมีตกค้างเกินกำหนดในมะม่วงจากประเทศไทย เป็นห่วงว่าไม่รู้ว่าวันไหนลูกค้าญี่ปุ่นจะประกาศห้ามนำเข้าสักปีเสียที ทุกฝ่ายจึงจะได้รับบทเรียนอย่างจริงจังและหันกลับมาแก้ไขในสิ่งที่มันเป็นปัญหากันบ้าง สิ่งที่เป็นปัญหามากสำหรับฤดูกาล (พ.ศ. 2552-2553) นี้ คือ การจงใจเก็บมะม่วงอ่อนของคนบางกลุ่ม เนื่องจากปีนี้มะม่วงในต้นฤดูออกน้อย ราคาเลยสูงมาก ซึ่งพูดตรงๆ ว่า ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค คือนอกจากจะแพงเกินไปแล้ว ยังรับประทานไม่ได้ เพราะรสชาติเปรี้ยวมาก
เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงต้องทำอย่างไร จึงจะอยู่รอด ในการทำสวนมะม่วง ในสภาวะเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน
สิ่งแรกที่ทำได้ด้วยตัวเองคือ การลดต้นทุนการผลิตให้ได้เสียก่อน ตั้งโจทย์ง่ายๆ ว่า ถ้าลดต้นทุนได้เท่าไร ก็คือกำไรที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ทางรอดก็ตามมาโดยอัตโนมัติ ทุกวันนี้ชาวสวนใช้ปัจจัยการผลิตมากเกินความจำเป็น เพราะความไม่รู้ เช่น ใช้สารเคมีราคาแพงกิโลกรัมหรือลิตรละหลายพันบาท ขณะที่ใต้โคนต้นถูกสุมไปด้วยผลมะม่วงสุกหรือเสีย หรือกิ่งไม้ใบไม้แห้งซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งของสปอร์ต้นเหตุของโรคแอนแทรกโนสในมะม่วง หรือเป็นแหล่งที่อยู่ของมดที่จะนำเอาเพลี้ยแป้งเข้ามา หรือเป็นต้นเหตุของโรคแมลงอื่นๆ ไม่มียาเทวดาหรือยาวิเศษอะไรที่จะช่วยได้เลย ถ้าต้นเหตุของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องเหล่านี้เจ้าหน้าที่รัฐต้องให้ความช่วยเหลือชาวสวนอย่างจริงจัง ด้วยการเข้าหาเขา ให้ความรู้ นำเขาทำและติดตาม
คำว่า ลดต้นทุน ก็ประกอบด้วยหลายส่วน รายจ่ายหลักของชาวสวนคือ ค่าแรงคนงาน นี่ไม่นับรวมค่าแรงเจ้าของสวน ส่วนนี้ชาวสวนต้องใคร่ครวญด้วยตัวเองให้ดีว่าในพื้นที่ของเราควรที่จะมีแรงงานประจำหรือไม่ ถ้ามีควรจะสักกี่คนจึงจะพอเหมาะกับงาน เพื่อไม่เป็นการแบกรับภาระมากเกินไป ศักยภาพของคนงานก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา แรงงานที่มีศักยภาพแค่เพียง 6 คน ได้เนื้องานพอๆ กัน หรืออาจจะมากกว่าแรงงานที่ไม่มีศักยภาพถึง 10 คน หรืออาจจะมากกว่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าพบว่าภายในสวนยังมีแรงงานที่ไม่มีใจกับงานอยู่ในสัดส่วนที่มาก จนเจ้าของสวนรู้สึกได้ สิ่งแรกที่ท่านควรทำคือ ลดแรงงานออก เพราะนี่คือ ต้นทุนที่เป็นปัญหาทั้งในระยะสั้นและในระยะยาวของการทำงาน
ต้นทุนที่ต้องพิจารณาในขั้นถัดมาคือ การใช้สารเคมี ปัญหาหลักคือ ความไม่รู้ ซึ่งได้พูดไปแล้ว ถ้าจะให้ลงรายละเอียดก็คงเป็นอะไรที่ต้องคุยกันยาว เอาเป็นว่าหลักๆ ก็คือ ต้องรู้ว่าในช่วงไหนแมลงชนิดใดจะระบาด ควรควบคุมการระบาดในระยะไหนและในกรณีนั้นๆ ควรใช้สารเคมีประเภทใดจึงจะไม่เป็นการทำลายทั้งเกสร ผลอ่อน หรือกับทั้งแมลงที่ช่วยในการผสมเกสร การใช้สารเคมีที่ถูกต้องเหมาะสมกับชนิดของโรค แมลง และถูกทั้งช่วงเวลา ช่วยให้ประสิทธิภาพของการใช้สารเคมีในแต่ละครั้งดีขึ้น ส่งผลให้สามารถลดจำนวนครั้งในการใช้สารเคมีลงได้ในหนึ่งรอบการผลิต เมื่อต้นทุนลดลงทางรอดก็เพิ่มขึ้นเป็นเหตุเป็นผลง่ายๆ เพียงแต่ต้องการทั้ง "ความรู้" และ "ความมีวินัย" ของผู้ปฏิบัติงานเท่านั้น
อีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถลดต้นทุนได้ด้วยตัวเองคือ การใช้ปุ๋ย ธรรมชาติของมะม่วงเป็นพืชที่ต้องการปุ๋ยน้อย เมื่อเทียบกับส้มและไม้ผลอื่นๆ อีกหลายชนิด เพราะฉะนั้นถ้าสามารถลดการใช้ปุ๋ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปุ๋ยทางใบและปุ๋ยที่หว่านทางดินได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะลดต้นทุนการผลิตในส่วนนี้ก็มีมากขึ้นเท่านั้น เพราะอะไรจึงเน้นไปที่ปุ๋ยทางใบและทางดิน ก็เพราะว่าการให้ปุ๋ยทั้งสองวิธีเป็นสิ่งที่สิ้นเปลือง เนื่องจากจะเกิดการสูญเสียมากกว่าการให้ปุ๋ยไปกับน้ำ นอกเสียจากว่ายังไม่ได้ติดตั้งระบบน้ำการให้ปุ๋ยทั้งสองวิธีดังกล่าวก็จำเป็นต้องมีการทำอยู่ เพียงแต่จะต้องหาวิธีการที่จะสูญเสียให้น้อยลง เช่น ถ้าจะหว่านปุ๋ยทางดิน อย่างน้อยที่สุดต้องสามารถให้น้ำตามได้ เพื่อที่พืชจะได้ดูดไปใช้บ้าง ไม่ใช่หว่านทิ้งขว้างเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์หากินเอาเองเถอะเพราะฉันไม่มีน้ำจะให้ ถ้าเป็นกรณีนี้แนะนำว่าอย่าเสียเวลาไปซื้อหามาหว่านเลย นอนอยู่บ้านเฉยๆ ยังจะพอมีกินเหลือมากกว่า
นอกจากนี้ ยังมีวิธีการลดต้นทุนในรูปแบบอื่นๆ อีก เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพในการห่อผล การเลือกวัสดุที่คุ้มค่ากับการนำมาใช้งานแต่ละประเภท คือทุกขั้นตอนของการทำงาน ถ้าชาวสวนมะม่วงสามารถทำได้อย่างเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถควบคุมต้นทุนไม่ให้สูงเกินจริงได้ ทางรอดก็จะมากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับว่าชาวสวนจะได้รับ "ความรู้" ที่ถูกต้องมากน้อยแค่ไหน และคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการให้ความรู้ดังกล่าวได้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือยัง ตรงนี้ต่างหากคือ "ปัญหา"
นอกจากในแง่ของการลดต้นทุนแล้ว ทางรอดอีกทางที่ชาวสวนต้องสร้างให้ได้คือตลาดของตัวเอง ท่านต้องประเมินตัวเองออกมาให้ได้ว่าฝีมือในการผลิตมะม่วงของท่าน ณ เวลานี้อยู่ในขั้นไหน ถ้ายังเข้าขั้นตลาดนัดแต่อยากขายได้ราคาส่งออก ก็แนะนำให้เอามะม่วงของตัวเองไปเทียบกับมะม่วงเกรดส่งออกของชาวสวนท่านอื่นและให้ผู้ซื้อตัดสิน แล้วท่านจะได้รับคำตอบว่า "สวย" ของท่านกับของผู้ซื้อมันความหมายเดียวกันหรือเปล่า จากนั้นก็กลับไปปรับปรุงคุณภาพเสียใหม่ ตลาดมันมีอยู่ทั่วไปนี่แหละ สำคัญว่ามะม่วงที่อยู่ในมือมันมีคุณภาพจริงๆ แค่ไหน จากนั้นค่อยลุยหาตลาดที่ดีขึ้นต่อไปด้วยการส่งตัวอย่างไปให้ผู้ซื้อตั้งแต่เนิ่นๆ ต้องเข้าหาและต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ซื้อเห็นว่าสามารถฝากความสำเร็จไว้กับคนนี้หรือกลุ่มนี้ได้นะ ทั้งในแง่ของคุณภาพ ปริมาณ และช่วงเวลา การที่ผู้ซื้อจะไปหาออเดอร์ล่วงหน้าจะได้ทำอย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
ชาวสวนเองก็ต้องสร้างความชัดเจนและมีความซื่อสัตย์ต่อผู้ซื้อ มันถึงจะครองใจกันได้ ถ้ายังเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนมีผู้ซื้อรายอื่นมาโยนราคาให้สูงกว่ากิโลกรัมละไม่กี่บาทก็เก็บผลผลิตให้เขาไปเลย โดยไม่ได้คำนึงถึงสัจวาจาที่ควรจะมีต่อกันมันก็พัง ลองนึกถึงใจเขาใจเราก็จะได้คำตอบ ขณะที่ผู้ซื้อก็ต้องมีคุณธรรมด้วย และที่สำคัญคือ ต้อง "สร้าง" ด้วยการ "ให้" กับชาวสวนบ้าง ให้คำปรึกษา ให้ความรู้และจริงใจที่จะซื้อด้วย ไม่ใช่หว่านไปเรื่อยเผื่อเลือก เอาเข้าจริงก็อ้างว่าติดอยู่ทางใต้ ทั้งๆ ที่ก็กำลังซื้ออยู่ในแหล่งอื่นๆ เหล่านี้ต้องแก้ด้วยหลัก "ธรรมาภิบาล" ซึ่งนับวันจะหายากขึ้นทุกที และมันต้องมีด้วยกันทุกฝ่าย ไม่งั้นถึงจุดหนึ่งมันก็จะย้อนกลับมาซ้ำรอยเดิม คำตอบก็คือ มันไปไม่รอดเพราะตัวเอง
หนังสือ "รวมกลยุทธ์ผลิตมะม่วงเงินล้าน เล่ม 2" พิมพ์ 4 สี มีแจกฟรี พร้อมกับหนังสือ "การผลิตมะม่วงเงินล้าน เล่ม 1" และการผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเพื่อการส่งออก และ "มะม่วงพันธุ์ต่างประเทศเพื่อการส่งออก" รวม 4 เล่ม จำนวน 336 หน้า เกษตรกรและผู้สนใจเขียนจดหมายสอดแสตมป์ 100 บาท (ระบุชื่อหนังสือ) ส่งมาขอได้ที่ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เลขที่ 2/395 ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร 66000 โทร. (056) 613-021, (056) 650-145 และ (081) 886-7398
ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้าน
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.