เกษตรกรเดือดร้อน อาการเปลี่ยนแปลงบ่อย ประกอบกับปัญหาภัยแล้งทำให้ลิ้นจี่สุกเร็วและมีคุณภาพต่ำ ขณะที่ลำไยอากาศแปรปรวนและไม่หนาวเย็นเพียงพอ ต้องประเมินตัวเลขผลผลิตใหม่อีกครั้ง...
นายกมล เกษมศุข รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า จากเดิมที่คณะทำงานข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจได้ประมาณการผลผลิตลิ้นจี่ 4 จังหวัด ภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ในปริมาณ 62,366 ตัน สถานการณ์ล่าสุดได้มีการปรับตัวเลขประมาณการผลผลิตลิ้นจี่ลงเหลือ 38,618 ตัน โดยลดลงจากประมาณการรอบที่แล้ว 38 % เนื่องจากการประมาณการผลผลิตในรอบแรก เป็นการคาดการณ์โดยพิจารณาจากสถิติที่ผ่านมา สำหรับผลผลิตลิ้นจี่จะออกสู่ตลาดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน และจะออกมากระจุกตัวสูงมากในเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการผลไม้ภาคเหนือจะเริ่มรายงานสถานการณ์ในวันที่1พฤษภาคม 2553
สำหรับสาเหตุที่ปริมาณลิ้นจี่มีผลผลิตลดลงจากปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 55 (ปี 2552 มี 70,251 ตัน) เกิดจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างแปรปรวนประกอบกับปัญหาภัยแล้งทำให้ลิ้นจี่สุกเร็วและมีคุณภาพต่ำ ซึ่งขณะนี้ลิ้นจี่เข้าสู่ระยะสุกแก่บ้างแล้ว ส่วนสถานการณ์ราคาของลิ้นจี่ล่าสุด พบว่า ลิ้นจี่ฮงอวย เกรดAราคา 30บาท/กก. เกรดBราคา25บาท/กก. เกรดCราคา20 บาท/กก.และลิ้นจี่ร่วง ราคา10 บาท/กก. โดยภาครัฐได้วางแนวทางการบริหารจัดการลิ้นจี่ ภายใต้4 มาตรการหลัก คือ 1) มาตรการเร่งรัดกระจายผลผลิตภายในประเทศ 2) มาตรการส่งเสริมการแปรรูป 3) มาตรการพัฒนาคุณภาพผลผลิต และ 4) มาตรการส่งเสริมตลาดภายในประเทศ
ส่วน สถานการณ์ลำไย 8 จังหวัดทางภาคเหนือ มีเนื้อที่ยืนต้น 866,044 ไร่ ลดลงจากปีที่ผ่านมา18,354 ไร่ (ร้อยละ 2.08) เนื้อที่ให้ผล 838,926 ไร่ ลดลง 2,409 ไร่ (ร้อยละ 0.29) และผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 501 กิโลกรัม ลดลง 88 กิโลกรัม (ร้อยละ 14.09) ทำให้มีปริมาณผลผลิตโดยรวม 420,038 ตัน ลดลง 75,577 ตัน (ร้อยละ15.25) เนื่องจากในปีนี้สภาพอากาศแปรปรวนและไม่หนาวเย็นเพียงพอ ส่วนการกระจายตัวของผลผลิตในฤดูปกติที่จะออกสู่ตลาด ที่จะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน โดยจะออกกระจุกตัวสูงสุด ในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2553 ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินตัวเลขผลผลิตที่ชัดเจนอีกครั้ง ก่อนวางมาตรการบริหารจัดการลำไยต่อไป
ที่มา : ไทยรัฐ