อาเซียนเข็นมาตรฐานเดียว'อาหารทะเล'
ไทยรับบทแม่ทัพ ยกระดับอุตสาหกรรมอาหารทะเลอาเซียนให้มีมาตรฐานเดียวกัน ชูเป็นยันต์กันผีสู้กีดกันการค้าพร้อมช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองในเวทีโลก "พจน์"ประธานคนแรกเผย เตรียมเวียนตำแหน่งประธานให้เพื่อนบ้านช่วยกันดัน พร้อมวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรมกุ้งไทยปี 53 ตลาดสหรัฐฯ-ออสเตรเลียสดใส อียู-ญี่ปุ่นยังต้องลุ้น
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสหพันธ์อาหารทะเลแห่งอาเซียน เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ภายหลังจากที่กลุ่มอาเซียนโดยการผลักดันของไทยได้จัดตั้งสมาพันธ์อาหารทะเลแห่งอาเซียนขึ้นในปีที่ผ่านมา ล่าสุดในเดือนพฤษภาคมนี้จะเวียนตำแหน่งประธานสหพันธ์ให้เวียดนามรับหน้าที่ต่อไป ซึ่งงานเร่งด่วนที่ประเทศสมาชิกที่มีอุตสาหกรรมอาหารทะเลจะร่วมกันผลักดันให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม คือการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าให้มีมาตรฐานเดียวกันจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์สินค้าของอาเซียนในภาพรวม นอกจากนี้จะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของอาเซียนในเวทีการค้าโลก และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และลดผลกระทบจากการถูกกีดกันทางการค้าได้
"ในกลุ่มอาเซียนที่มีอุตสาหกรรมประมง 6 ประเทศได้แก่ ไทย เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียจะเวียนกันเป็นประธานสหพันธ์ ซึ่งเราจะเร่งเรื่องการยกระดับมาตรฐานร่วมกัน เพราะต่อไปเมื่อรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 สินค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมือ และเงินทุนจะมีการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีมากขึ้น วัตถุดิบในการผลิตก็เสมือนหนึ่งมาจากประเทศเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันบางประเทศผลิตวัตถุดิบ และมีการผลิตสินค้าที่ยังไม่ได้มาตรฐานสากล ดังนั้นจึงต้องเร่งยกระดับมาตรฐานให้มีความใกล้เคียงกัน"
นายพจน์ ในฐานะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวถึงแนวโน้มการส่งออกอาหารแช่เยือกแข็งซึ่งมีสินค้ากุ้งเป็นสินค้าหลักว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ คำสั่งซื้อยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากกุ้งอินโดนีเซีย และเวียดนามที่ได้รับความเสียหายจากโรคระบาด แต่ไทยก็มีปัญหาเรื่องโรคระบาดบ้างแต่ไม่รุนแรง แต่มีผลให้มีปริมาณกุ้งลดลง ส่งผลถึงราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยกุ้งขาวขนาด 50 ตัวต่อกิโลกรัม เคยขึ้นไปถึง 140 บาท ประกอบเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตส่งออกที่รับคำสั่งซื้อไว้ช่วงปลายปี และต้องส่งมอบสินค้าในช่วงนี้ต้องประสบปัญหาการขาดทุนส่วนหนึ่ง
อย่างไรก็ดีปกติคำสั่งซื้อ(ออร์เดอร์)จากต่างประเทศจะมีเข้ามามากในช่วงหลังสงกรานต์ ซึ่งหากไทยมีวัตถุดิบกุ้งจากการเลี้ยงในปริมาณที่เพียงพอต่อการผลิตส่งออก และในราคาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ค่าเงินบาท โดยกุ้งขนาด 50 ตัวราคาเฉลี่ยไม่เกิน 115-125 บาทต่อกิโลกรัม และขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัมเฉลี่ยไม่เกิน 95-105 บาทต่อกิโลกรัม และค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ระดับ 33.00-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯไทยจะมีความสามารถในการแข่งขัน และการส่งออกจะขยายตัวมากขึ้น แต่หากราคาวัตถุดิบสูงกว่านี้ และเงินบาทแข็งค่ากว่านี้คงแข่งขันยากขึ้น
นายพจน์ยังได้วิเคราะห์ถึงแนวโน้มการส่งออกกุ้งในตลาดสำคัญ โดยในส่วนของตลาดสหรัฐอเมริกา ตลาดส่งออกอันดับ 1 เชื่อว่าจะไปได้ดี สังเกตได้จากที่ได้ไปร่วมงานฟูดส์โชว์ที่บอสตัน ลูกค้าในกลุ่มรีเทล(ขายปลีก)ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักสินค้ากุ้งไทยได้สั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มฟูดเซอร์วิส(ภัตตาคาร ร้านอาหาร)ยอดขายกระเตื้องขึ้นบ้างแต่ยังไม่มาก ส่วนตลาดสหภาพยุโรป(อียู)ถือเป็นตลาดที่น่ากังวล เนื่องจากเศรษฐกิจของหลายประเทศในกลุ่มนี้ยังมีปัญหา และกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอียูในภาพรวม ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง ทำให้อำนาจในการซื้อลดลง และอาจกระทบต่อการนำเข้า
"ส่วนอีกหนึ่งตลาดหลักคือญี่ปุ่น จากเศรษฐกิจที่ถดถอยในปีที่แล้ว พนักงานห้างร้านบริษัทได้ถูกลดเงินเดือน ทำให้เขามีกำลังจับจ่ายใช้สอยลดลง แต่มีการออมระดับเดิม เช่นเคยมีเงินเดือน 100 บาท เคยเก็บออม 20 เมื่อถูกปรับลดเงินเดือนลงเหลือ 85-90 บาท แต่ยังคงการออมในระดับ 20 บาทเท่าเดิม ส่วนตลาดออสเตรเลียยังไปได้ดี เพราะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และค่าเงินเขาแข็งทำให้มีอำนาจในการซื้อ"
ที่มา : ฐ่านเศรษฐกิจ
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.