-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 338 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

เกษตรต่างแดน14




หน้า: 1/4


อินเดียกับจุดแข็งทางการเกษตร
การเกษตร เป็นรายได้หลักของอินเดีย คิดเป็นร้อยละ 18 ของรายได้ทั้งประเทศ ก่อให้เกิดการจ้างงานร้อยละ 50 ของประชากรอินเดียทั้งประเทศ


จากสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสมกับการเกษตรของอินเดีย ทำให้อินเดียมีพันธุ์พืชที่หลากหลาย เพาะปลูกได้ตลอดปี ปริมาณพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการเพาะปลูก ขนาดพื้นที่  รวมทั้งเครือข่ายระบบชลประทานที่กว้างขวาง คือจุดเด่นที่สำคัญของการเกษตรในอินเดีย


อินเดีย เป็นประเทศผู้ผลิตชา นม และพืชตระกูลถั่ว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นประเทศอันดับที่สองในการผลิตข้าวสาลี ข้าว ผลไม้และผัก


นโยบายก้าวกระโดดของอินเดียและเป้าหมายการค้าผลิตผลการเกษตรแบบสมัยใหม่ เป็นแรงหนุนที่สำคัญที่สุดของการเกษตรและธุรกิจเกษตรของอินเดีย และเมื่อจุดแข็งที่อินเดียมีอยู่ประกอบเข้ากับนโยบายที่ให้ความสำคัญสูงสุด จึงก่อให้เกิดวามแข็งแกร่งของภาคการเกษตรอินเดีย  บัดนี้ อินเดียได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมในการลงทุนด้านธุรกิจเกษตรและเป็นสัญลักษณ์แห่งโอกาสในการขยายตัวอย่างกว้างขวางในเส้นทางธุรกิจนี้


เครื่องจักรกลการเกษตร
: การก้าวข้ามยุค

การเติบโตอย่างรวดเร็วของเครื่องจักรกลการเกษตรในอินเดียเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เนื่องจากการพลิกโฉมภาคการเกษตรให้ทันสมัยในวงกว้างของอินเดีย เกษตรกรในแหล่งการเกษตรเริ่มมีการว่าจ้างเครื่องจักรกลการเกษตรมาบริการในกิจกรรมหลักๆประเภทการเขตกรรม เช่น การไถ การปลูก การให้น้ำพืช การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช การนวดเมล็ดพืช เป็นต้น การที่เกษตรกรให้ความสำคัญในการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยล่าสุด ส่งผลให้เกิดทั้งการก้าวกระโดดของความก้าวหน้าทางเครื่องจักรกลการเกษตรและการขยายตัวของเครื่องจักรกลการเกษตรในอินเดียด้วย


อินเดียกับตลาดอุปกรณ์การเกษตรของโลก

มีการคาดไว้ว่าอินเดียจะเป็นตลาดที่มากกว่าร้อยละ 10 ของตลาดอุปกรณ์การเกษตรที่มีอยู่ทั้งหมดของโลก ซึ่งประมาณเป็นมูลค่าทั้งสิ้นถึง 66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ


ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดอุปกรณ์การเกษตรของอินเดียสูงขึ้นอย่างมหาศาลในภาคการค้าระหว่างประเทศ เครื่องจักรกลการเกษตรรายสำคัญๆระดับโลกได้เข้าสู่ตลาดอินเดียแล้ว ทั้ง John Deere, New Holland และ Same Deutz ในขณะที่นักธุรกิจอินเดียกำลังมองหาพันธมิตรต่างชาติ


สถานภาพเครื่องจักรกลการเกษตรในอินเดีย

ในขณะที่แนวโน้มภาพรวมของเครื่องจักรกลการเกษตรในอินเดียจะเพิ่มขึ้น แต่หากจะมองให้ลึกลงไปจะพบว่ายังคงมีช่องว่างของระดับเทคโนโลยีที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละรัฐ


รัฐทางตอนเหนือ เช่น ปัญจาบ ฮาร์ยานา และอุตรประเทศ โดยเฉพาะทางตะวันตกและแถบตาไร มีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วของเครื่องจักรกลภายใต้แผนงานที่หลายหลาก การจำหน่ายเครื่องจักรกลและอุปกรณ์การเกษตร เช่น เครื่องเกี่ยวนวด เครื่องนวด และเครื่องต้นกำลังต่างๆเพิ่มขึ้นเกือบทุกแห่ง


เครื่องจักรกลการเกษตรในรัฐทางภาคตะวันตกและภาคใต้ เช่น กุจราช มหาราชฐาน ราชาสถาน และอันตรประเทศ มีการเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มของพื้นที่ชลประทานและการเห็นตัวอย่างจากพื้นที่ข้างเคียง


ตลาดอุปกรณ์การเกษตรของอินเดีย

ตลาดอุปกรณ์การเกษตรในอินเดียกำลังเติบโตอันเนื่องมาจากความง่ายของการให้สินเชื่อและดอกเบี้ยที่ลดลง รัฐบาลพุ่งเป้าไปที่การสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีผลกระทบเชิงบวกต่อภาพรวมทางการเติบโตของตลาดอุปกรณ์การเกษตรที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี


แม้ว่าอินเดียจะมีประชากรถึงหนึ่งพันล้านคน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนมหาศาลหากต้องการแรงงานในภาคการเกษตร แต่อินเดียก็มีนโยบายให้ความสำคัญด้านการส่งเสริมและพัฒนาการใช้เครื่องจักรกลในภาคการเกษตร ซึ่งจะสร้างความสม่ำเสมอและมาตรฐานในการผลิตสินค้าได้ดีกว่าการผลิตด้วยแรงงานคนเป็นหลัก เตรียมพร้อมสู่การตลาดสินค้าเกษตรในอนาคตที่ชัดเจน ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการระดับชาติในเรื่องนี้แต่อย่างใด

 






อินเดียกำลังจะขึ้นผู้นำการผลิตข้าวสาลี
เอส. นาการาจัน รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรอินเดียระบะว่า อินเดียอาจทำสถิจิการผลิตข้าวสาลีรายใหญ่ของโลกในฤดูกาลราบิ หากฝนไม่สร้างความเสียหายให้กับการเก็บเกี่ยว ซึ่งใกล้จะถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวในเร็วๆนี้


อย่างไรก็ตามวิโนล กาปอร์ ประธานการจัดสัมมนาข้าวสาลีและการผลิตสู่สหัสวรรษใหม่ กล่าวว่า อินเดียจำเป็นต้องเพิ่มการผลิตข้าวสาลีอีก 12 ล้านตัน หรือไปอยู่ที่ระดบ 92 ล้านตันต่อปีในอีก 10ปีข้างหน้าเพื่อรองรับความต้องการด้านอาหารและการขยายตัวของประชากร และเป้าหมายที่สามารถบรรลุความสำเร็จได้ต้องมีการวิจัย การหาแหล่งน้ำ การเก็บเกี่ยวและการลงทุนในภาคเกษตรร่วมด้วย


ทั้งนี้อินเดียและจีนเป็นผู้บริโภคข้าวสาลีรายใหญ่ และราคาในตลาดาขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ของสองประเทศนี้



ที่มา  :  ฐานเศรษฐกิจ



ทรัพย์ในดินที่แดนภารตะ
บริษัท ITC เป็นกลุ่มบริษัทยาสูบ อาหารและโรงแรมที่มีมูลค่าถึง 7.5 พันล้านดอลลาร์ของอินเดีย และไม่ได้ทำธุรกิจการเกษตร แต่ขณะนี้ ITC ได้นำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยในการปลูกพืชผักให้แก่ชาวนาชาวไร่ถึงในเรือกสวนไร่นาในรัฐ Madhya Pradesh โดยหวังว่า จะสามารถช่วยให้ชาวไร่ชาวนาเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นได้ ซึ่งก็จะเป็นการช่วยส่งเสริมธุรกิจแปรรูปอาหารและส่งออกของบริษัทเอง

นอกจากนี้บริษัทยังหวังจะขายผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำเกษตรตั้งแต่รถแทรกเตอร์ จนถึงของใช้อุปโภคบริโภคอย่างน้ำมันใส่ผมให้แก่ชาวไร่ชาวนาที่จะเริ่มร่ำรวยขึ้น ซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่บริษัทได้เข้าไปแนะนำวิธีการปลูกพืชผักที่ทันสมัยให้แก่พวกเขานั่นเอง

ITC ไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ที่ไม่เคยทำธุรกิจการเกษตรเพียงแห่งเดียว ที่ได้เริ่มเข้าไปจัดระเบียบให้แก่ภาคการเกษตรที่ยังล้าหลังของอินเดีย แต่ยังมี Bharti Group กลุ่มบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ Tata ยักษ์ใหญ่ในด้านอุตสาหกรรม และ Mahindra ผู้ผลิตรถยนต์และรถแทรกเตอร์ โดย Bharti มีแผนจะส่งออกผักและผลไม้ไปยังตะวันออกกลาง ในขณะที่ Tata กำลังเริ่มต้นปลูกพืชผักต่างๆ เช่น มัสตาร์ดและองุ่นเพื่อส่งออก และ Mahindra เริ่มปลูกข้าวโพดและองุ่นเพื่อส่งออกไปยังยุโรป

บริษัทเหล่านี้กำลังหวังจะขุดทองจากภาคธุรกิจ ที่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากเริ่มเห็นว่า เป็นแหล่งทรัพยากรที่ใหญ่ที่สุดที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้องของอินเดีย นั่นคือภาคการเกษตร ซึ่งมีชาวอินเดียถึง 660 ล้านคนอยู่ในภาคธุรกิจนี้และมีสัดส่วนถึง 21% ของ GDP ของอินเดีย

โดยพวกเขากำลังพยายามจะนำเทคโนโลยีอันทันสมัย และการสอนให้เกษตรกรรู้จักเลือกปลูกพืชผักที่ทำกำไรได้ดีกว่าข้าวและข้าวสาลี เพื่อเป็นการช่วยส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรของอินเดีย ซึ่งเป็นชาติที่ผลิตผักผลไม้รายใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากจีน

หลายพื้นที่ในอินเดียสามารถเกี่ยวกับพืชผลได้ถึง 3 รอบต่อปี และมีการปลูกพืชเกษตรที่มีมูลค่าสูงตั้งแต่แอปเปิล มะม่วง จนถึงกะหล่ำ

จนถึงขณะนี้ภาคเกษตรของอินเดียยังคงเต็มไปด้วยความยากจน ไร่นามีขนาดเล็กและให้ผลผลิตไม่ดี รวมทั้งขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ผลผลิตถั่วเหลืองต่อเอเคอร์ของอินเดียมีจำนวนเท่ากับแค่ 1 ใน 4 ของผลผลิตต่อเอเคอร์ที่สหรัฐฯ ผลิตได้

และที่สุดของปัญหาก็คือ การที่รัฐยื่นมือเข้าโอบอุ้มภาคเกษตรตลอดมา ซึ่งเท่ากับเป็นการไม่ส่งเสริมให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรมใดๆ ในภาคนี้ ปีที่แล้วรัฐบาลอินเดียใช้เงินถึง 5.7 พันล้านดอลลาร์ในการอุดหนุนภาคเกษตร ส่วนใหญ่ในรูปของการพยุงราคา และรับซื้อผลิตผลผลิตข้าวและข้าวสาลีจากเกษตรกรในราคาที่สูงเกินจริง

แม้ในปีนี้รัฐบาลจะลดเงินอุดหนุนภาคเกษตรลงประมาณ 10% แต่กลับอุดหนุนปุ๋ยเพิ่มขึ้นมากกว่า 25% เป็นเงิน 3.7 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม หลังจากถูกกดดันจากภาคเอกชน รัฐบาลอินเดียกำลังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงนโยบาย ซึ่งได้แก่ การยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ส่งออกพืชผลการเกษตร ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีการปรับภาคเกษตรในชนบทของอินเดียให้มีความทันสมัยมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ยกเลิกกฎหมายที่บังคับให้บริษัทต้องรับซื้อข้าวและพืชผลการเกษตรผ่านหน่วยงานของรัฐ ซึ่งทำให้บริษัทอย่าง ITC และบริษัทอื่นๆ สามารถเข้าซื้อผลิตผลจากชาวไร่ชาวนาได้โดยตรง ในขณะที่เกษตรกรก็ได้รับเงินสดทันที ซึ่งพวกเขาสามารถจะนำไปใช้จ่ายที่ร้านค้าของ ITC เพื่อซื้อสินค้าอย่างเมล็ดพันธุ์และน้ำมันพืช

รัฐบาลอินเดียยังมีแผนจะพัฒนาชนบท ซึ่งมักรู้สึกว่าตนถูกทอดทิ้งล้าหลังจากความเจริญรุ่งเรืองทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของอินเดีย โดยในงบประมาณใหม่ในปีนี้ของอินเดีย รัฐบาลจะทุ่มเงินเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ในการพัฒนาชนบท โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการสร้างถนนและสะพาน และอีก 1 พันล้านดอลลาร์ในการชลประทาน นอกจากนี้ยังจะปฏิรูปนโยบายหลายอย่างที่จะดึงดูดนักลงทุน ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้ผู้ส่งออกพืชผลเกษตร สามารถนำเข้าเมล็ดพันธุ์และสินค้าทุนได้โดยปลอดภาษี และยังอนุญาตให้ผู้ค้าปลีกต่างชาติสามารถขายผักผลไม้ในชนบทได้ ซึ่งทำให้เชนค้าปลีกยักษ์ใหญ่ต่างชาติอย่าง Wal-Mart, Tesco และ Carrefour กำลังจ้องตลาดชนบทอินเดียตาเป็นมัน

ทางการอินเดียหวังว่านโยบายใหม่ๆเหล่านี้จะสามารถดึงดูดเงินทุนจากบริษัทอินเดียได้เกือบ 5 พันล้านดอลลาร์ และจากบริษัทต่างชาติได้อีกเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ ให้เข้ามาสู่ชนบทของอินเดียในช่วงเวลา 5 ปีต่อไปนี้

ส่วนขั้นต่อไปคือการพยายามเปลี่ยนทัศนคติที่เหนียวแน่นของชาวไร่ชาวนาอินเดีย ซึ่งยังคงตัดสินใจเพาะปลูก โดยดูจากเงินอุดหนุนภาคเกษตรของรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนของภาคเกษตรใน GDP ของอินเดียเริ่มลดลงจาก 24% ในปี 2001 เหลือ 21% ในปัจจุบัน รวมทั้งการส่งออกพืชผลก็ตกลงจาก 13% ในปี 2002 เหลือน้อยกว่า 10% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของอินเดีย ซึ่งอยู่ที่ 75,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

เพื่อจะหยุดยั้งความตกต่ำดังกล่าวในภาคเกษตร อินเดียจำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปผลิตน้ำมันพืช ผัก ผลไม้และดอกไม้ ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าการปลูกข้าวและข้าวสาลี โดยอาศัยการนำของบริษัทอินเดียนั่นเอง

ดังที่ ITC กำลังพยายามส่งเสริมให้เกษตรกรอินเดีย กระจายการปลูกพืชชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากข้าว และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย ซึ่ง ITC หวังว่า เมื่อสามารถช่วยให้เกษตรกรเพิ่มผลผลิตได้แล้ว และทำให้พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้น พวกเขาก็กล้าที่จะลองปลูกพืชที่มีมูลค่าสูงกว่าข้าว

ภายในเวลา 10 ปี ITC หวังว่าจะสามารถใช้คอมพิวเตอร์เชื่อมโยงหมู่บ้านต่างๆ ในชนบทของอินเดียได้ 100,000 หมู่บ้าน และเกษตรกรอินเดีย 10 ล้านคน บริษัทยังคาดหวังว่าเกษตรกรเหล่านั้นจะขายผลผลิตของตนให้แก่บริษัท และซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากบริษัท จนทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 2.5 พันล้านดอลลาร์ภายในเวลา 7 ปี

ในขณะที่ ITC ใช้เทคโนโลยีเข้ามาจูงใจเกษตรกรให้เปลี่ยนใจจากการปลูกข้าว บริษัท Tata, Mahindra และ Bharti ก็กำลังชักชวนให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชที่มีมูลค่าสูงกว่าเช่นกัน แต่ด้วยสิ่งจูงใจที่ดีที่สุดในบรรดาสิ่งจูงใจทั้งหลาย นั่นคือผลกำไร โดยบริษัทเหล่านี้กำลังแสดงให้เกษตรกรเห็นว่า การปลูกพืชที่มีมูลค่าสูงกว่าข้าว อย่างเช่นผลไม้ ข้าวโพดอ่อน พริกหวานและกะหล่ำ จะทำให้พวกเขามีรายได้ 600 ดอลลาร์ แทนที่จะมีแค่ 125 ดอลลาร์ จากการปลูกข้าวและข้าวสาลี

แม้ว่าในขณะนี้จะยังไม่มีบริษัทใดในอินเดีย ที่สามารถจะสร้างความสำเร็จได้อย่างโดดเด่นในคลื่นลูกแรกของการเข้าลงทุนในชนบทของอินเดีย แต่บริษัทอินเดียยังคงเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในศักยภาพของภาคเกษตรของประเทศตน ดังที่ Sunil Mittal ผู้บริหารสูงสุด Bharti บริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ได้กล่าวว่า ถึงแม้จะมีบริษัทขนาดใหญ่เท่ากับบริษัทของเขาเป็น 100 บริษัท กระโจนเข้าสู่ธุรกิจการเกษตรพร้อมๆ กัน ก็ยังคงมีที่ว่างเหลือสำหรับคนอื่นๆ อีกมาก

แปลและเรียบเรียงจาก
NewsWeek March 14, 2005
โดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์




อินเดียวพัฒนาพันธุ์ข้าวสำเร็จรูป กินได้ไม่ต้องหุง
ศูนย์วิจัยข้าวกลางของรัฐบาลอินเดียแจ้งว่าได้พัฒนาพันธุ์ข้าวขึ้นมาพันธุ์ หนึ่ง หุงได้โดยไม่ต้องใช้ไฟเลย ชั่วเพียงแต่แช่น้ำเท่านั้น ก็กินได้

นาย ทาปาน กุมาร อัธยา ผู้อำนวยการสถาบัน เปิดเผยว่า ข้าวพันธุ์ใหม่มีเอนไซม์ย่อยแป้งต่ำ เพียงแต่ถูกน้ำก็อ่อนนุ่ม แม้ว่าอินเดียจะทำนาได้เป็นปริมาณมหาศาล อย่างเช่น เมื่อปีกลายปลูกข้าวได้ถึง 98.5 ล้านตัน แต่ข้าวพันธุ์ใหม่นี้ก็เหมาะกับกลุ่มผู้บริโภคโดยเฉพาะ ด้วยเหตุว่ามันไม่ต้องมาคอยหุงหาเลย "ชั่วเพียงแต่ แช่น้ำธรรมดาไว้นานสัก 45 นาที หรือในน้ำอุ่นเพียง 15 นาที ก็กินได้เลย ผิดกับข้าวพันธุ์อื่นๆ ที่ต้องหุงก่อน ช่วยประหยัดฟืนไฟ เบาแรงแม่บ้านไปได้แยะ อย่างไรก็ดี ข้าวพันธุ์นี้ เราคิดจะไว้ทำข้าวนึ่ง พอสีเสร็จก็ใช้กินได้เลย"

พันธุ์ ข้าวมีชื่อว่า "อัฟกัน-บอรา" จากการปลูกในแปลงสาธิต มันมีอายุ 145 วัน ปลูกในผืนนาขนาด 6.25 ไร่ จะให้ข้าวได้ 4-4.5 ตัน มากพอๆ กับข้าวพันธุ์ต่างๆ ที่ปลูกกันอยู่ในประเทศ.




อินเดีย ที่นี่เลี้ยงควายเพื่อใช้งานและเอาน้ำนม

รัฐบาล ประเทศอินเดียได้มอบหมายให้การรถไฟอินเดีย จัดทำโครงการทัศนศึกษาแหล่งโบราณสถานที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีหลักฐาน ทั้งที่พบเมื่อครั้งอดีตและปัจจุบันจำนวนมาก ให้กับผู้ศึกษาและใฝ่รู้ในเรื่องของพระพุทธศาสนาทั่วโลกได้เดินทางไปเยี่ยม ชม และนมัสการ โดยจัดขบวนรถพิเศษเพื่อการนี้โดยตรง ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก


ในระหว่างที่รถไฟวิ่งไปทางภาคเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่และสำคัญทางประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนานั้น ยามที่มองลอดออกไปนอกตัวรถก็จะพบดินแดน แห่งการเพาะปลูกตลอดเวลา นับตั้งแต่ไร่อ้อย นาข้าว ไปจนถึงไร่ข้าวฟ่าง เป็นต้น


และเมื่อรถไฟผ่านสถานีซึ่งแน่นอน ว่าบริเวณนั้นจะต้องเป็นแหล่งชุมชนก็จะพบเห็นการเลี้ยงควายที่บริเวณหน้า บ้านของแทบทุกบ้านทีเดียว ทั้งนี้เนื่องจากว่า ชาวอินเดีย โดยเฉพาะเกษตรกรนั้นจะเลี้ยงควายไว้ใช้งานช่วยในการทำการเกษตรและเพื่อรีดนม เอาไว้ดื่มกินเช่นบ้านเราที่รีดนมวัวและนมแพะ


ควายอินเดียนั้น ลักษณะทั่วไป หัวเล็กเมื่อเทียบกับลำตัว คอบาง ลำตัวกว้างใหญ่และลึก เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ หน้าผากกว้าง และนูน เขาบิดเป็นเกลียวโค้งไปทางด้านหลัง และม้วนเข้าข้างใน ตัวเมียเต้านมใหญ่เจริญดี สีผิวหนังดำสนิท และขนสีดำ มีขนสีขาวที่หาง ถ้ามีขนสีขาวที่หน้าผาก ไม่นิยมเลี้ยง น้ำหนัก ตัวผู้หนักประมาณ 600-900 กิโลกรัม ตัวเมียหนักประมาณ 400-600 กิโลกรัม การผสมพันธุ์ตัวผู้เริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุประมาณ 3 ปี ตัวเมียเริ่มเป็นสัดเมื่ออายุ 2-2 ปีครึ่ง ระยะ เป็นสัดกินเวลาระหว่าง 12-40 ชั่วโมง และรอบการเป็นสัด 21 วัน ระยะอุ้มท้อง 314 วัน การให้นมเฉลี่ยวันละ 4-5 ลิตรต่อตัว ในระยะเวลา 300 วัน


นมควายจะมีสารอาหารมากกว่านมโค และมีสีขาวเนียนชวนรับประทาน butter fat ในนมควายจะมีเป็นสองเท่าของนมวัว ในขณะที่ค่าคอเลสเตอรอลต่ำกว่า สำหรับโปรตีนนั้นสูงกว่านมวัว นมแกะ หรือนมแพะ และ มีธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และวิตามินเอ ถ้าดื่มเป็นนมสดนมควายจะให้สารต้านอนุมูลอิสระเหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ และเหมาะสำหรับผู้ที่แพ้นมวัว นมควายเป็นที่นิยมผลิตโยเกิร์ต และมอสซาเรลลาชีส ซึ่งเป็นชีสชนิดเดียวกับที่ใช้ในพิซซ่าเพื่อการบริโภค


และสามารถผลิตชีสได้ปริมาณมาก กว่าเมื่อเทียบกับนมโคในปริมาณที่เท่ากัน คือ การผลิตชีส 1 กิโลกรัมจากนมโคต้องใช้นมจำนวน 8 กิโลกรัม แต่ใช้นมควายเพียง 5 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนการ ผลิตเนย 1 กิโลกรัม จะใช้นมโค 14 กิโลกรัมแต่ใช้นมควายเพียง 10 กิโลกรัมเท่านั้น


นอกจากนี้ ชาวอินเดียยังนำเอามูลควายมาผสมกับหญ้าแห้งหรือฟางข้าวคลุกเคล้ากันแล้วทำ เป็นแท่งหรือแผ่นกลม ๆ นำไปตากแดดจนแห้งสนิทแล้วนำมาใช้แทนถ่าน เพื่อ ให้เชื้อเพลิงสำหรับปรุงอาหาร หรือถ้าจะเรียก กันแบบไทย ๆ ก็น่าจะเรียกว่าถ่านขี้ควาย นั่นเอง ฉะนั้นหากมีโอกาสเดินทางไปประเทศอินเดียแล้วพบเห็นมูลควายแปะอยู่ตามฝาบ้าน ต้นไม้ ราวสะพาน โขดหิน หรือริมถนนก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะนั่นคือการนำเอาส่วนเหลือทิ้งจากสัตว์และงาน ด้านการเกษตรมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบเพื่อการใช้ประโยชน์ของชาวอินเดีย นั่นเอง.




จีน-อินเดียผงาดยึดตลาดเกษตรชีวภาพ
ยุโรปเฟื่องคนหันทานพืชผักปลอดสาร
ยูเอ็น.เผย จีน-อินเดียกลายเป็นผู้ผลิตอาหารชีวภาพรายใหญ่ของโลก พร้อมดันทุนส่งเสริมการเพาะปลูกพืชชีวภาพปลอดสารพิษในชาติกำลังพัฒนา หวังช่วยแก้จนเกษตรกรรายย่อย เผยตลาดเติบโตรวดเร็วโดยเฉพาะในยุโรป

นายมัตเทีย เพรเยอร์-กัลเลตติ ผู้จัดการโครงการระดับภูมิภาคแห่งกองทุนเพื่อการเกษตรกรรมและการพัฒนาระหว่างประเทศ (ไอเอฟเอดี) หน่วยงานพิเศษของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ว่าจีนและอินเดียกำลังจะกลายเป็นผู้ผลิตอาหารชีวภาพรายใหญ่ของโลก ในขณะที่ตลาดยุโรปเริ่มหันมาใส่ใจและให้คุณค่ากับอาหารชีวภาพซึ่งปลอดสารพิษและเกิดจากการเพาะปลูกแบบดั้งเดิมตามธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดอาหารชีวภาพมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยนอกเหนือจากจีนและอินเดียแล้วยังมีประเทศแถบอเมริกาใต้ที่เริ่มหันมาจับตลาดอาหารชีวภาพดังกล่าว ที่ยังมีการแข่งขันไม่ดุเดือดนักในตลาดโลก

ข่าวแจ้งว่า การที่ตลาดอาหารชีวภาพขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น มาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดยุโรป เมื่อชาวยุโรปหันมาใส่ใจกับอาหารชีวภาพที่เพาะปลูกขึ้นตามธรรมชาติ โดยไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมากขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับเกษตรกรรายย่อยซึ่งไม่มีทุนรอนในการจัดหาปุ๋ยและยาฆ่าแมลงมาใช้ในการเพาะปลูก

ไอเอฟดีเอเผยว่า มูลค่าการส่งออกของสินค้าชีวภาพจากจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากไม่ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงกลางทศวรรษ 1990 ขยับขึ้นมาถึงราว 142 ล้านดอลลาร์ในปี 2546 และในปี 2547 ขึ้นมาเป็นเกือบ 200 ล้านดอลลาร์ โดยมีบริษัทและฟาร์มกว่า 1,000 แห่งที่ได้รับการรับรองคุณภาพสินค้า

ทั้งนี้ ไอเอฟเอดีกำลังพยายามที่จะเพิ่มพื้นที่ให้กับการเกษตรแบบชีวภาพเท่าที่จะทำได้ เพราะนอกจากจะเป็นการกำจัดการใช้สารเคมีจากปุ๋ยและยาฆ่าแมลงในภาคเกษตรกรรมแล้ว ยังหมายถึงการหันกลับไปสู่วิธีการเพาะปลูกพืชตามแบบธรรมชาติและตามแบบดั้งเดิมด้วย

อย่างไรก็ดี อุปสรรคที่ก่อตัวขึ้นตามมาได้แก่ วิธีการที่จะรับรองคุณภาพของสินค้าชีวภาพดังกล่าว ว่าปลอดจากสารพิษจริงหรือไม่ รวมไปถึงการทำตลาด ทั้งภายในประเทศและในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา ขณะที่ทางไอเอฟเอดีกำลังหาทางที่จะส่งเสริมภาคการผลิตอาหารชีวภาพอยู่ ส่วนหนทางหนึ่งที่จะส่งเสริมได้ก็คือ การรวมกันอย่างรอบคอบในภาคเอกชนเพื่อจัดหาบริการต่างๆ ด้านการตลาด

นอกจากนี้ นายกัลเลตติยังกล่าวว่า การเกษตรกรรมแบบชีวภาพกำลังเข้าสู่ขีดจำกัดทางเทคโนโลยี ภูมิปัญญา และวัฒนธรรม เพราะในทางหนึ่งก็มีไบโอเทคโนโลยีเข้ามา และในขณะเดียวกันรัฐบาลก็มุ่งให้ความสำคัญในเรื่องการเพิ่มผลผลิต จนทำให้ละเลยผลประโยชน์ของเกษตรกรรายย่อยไป

ไอเอฟเอดี เผยว่า การเกษตรกรรมชีวภาพจะช่วยสร้างงานใหม่ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ชนบทและจะช่วยลดอัตราการอพยพเข้าเมือง และการเพาะปลูกพืชตามแนวทางดังกล่าวกำลังประสบผลดีในอินเดีย และจีนซึ่งเมื่อรวมกันแล้วมีพื้นที่ในการเพาะปลูกมากกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทำเกษตรกรรมทั้งหมดในโลก ในขณะที่มีการประเมินว่า เมื่อปี 2548 ที่ผ่านมามูลค่าตลาดของสินค้าชีวภาพทั่วโลกอยู่ที่เกือบ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.2 ล้านล้านบาท)

อนึ่ง ไอเอฟเอดีเป็นหน่วยงานพิเศษของยูเอ็น ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี มีเป้าหมายเพื่อขจัดความยากจนในพื้นที่ชนบทของประเทศกำลังพัฒนา และจุดประสงค์ในการส่งเสริมเกษตรกรรมชีวภาพเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางดังกล่าว





หน้าถัดไป (2/4) หน้าถัดไป


Content ©