.... เกษตรออสเตรเลีย ....
สถานการณ์เกษตรอินทรีย์ ….ที่ออสเตรเลีย
เรียบเรียงโดย นางปัณจรีย์ ช่างพูด นักวิชาการเผยแพร่ 5
กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ตามที่รัฐบาลมีนโยบายและพยายามผลักให้เกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติที่ต้องร่วมกันขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรมด้วยวัตถุประสงค์สำคัญของชาติที่ต้องการจะเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรและอาหารไทยเพื่อก้าวสู่เวทีการค้าโลกต่อไปในอนาคตอันใกล้ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์กำลังเป็นที่ตี่นตัว และเป็นนโยบายการผลิตที่หลายประเทศให้ความสำคัญ และมีวัตถุประสงค์ที่ไม่แตกต่างกันนัก ดังเช่นที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งคณะทำงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินทางไปดูงาน และพบว่าผลิตภัณฑ์อาหารอินทรีย์ของออสเตรเลียได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งจากความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศและ การส่งออกที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงถึงร้อยละ 15-25 ต่อปี เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย มีคุณภาพปราศจากโรคต่าง ๆ อาทิ โรควัวบ้า ปากและเท้าเปื่อย รวมทั้งการดัดแปลงพันธุกรรมของพืช และการปนเปื้อนของสารเคมีต่าง ๆ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอุตสาหกรรมอาหารอินทรีย์ในออสเตรเลียจะมีอัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างสูง แต่ก็ยังคงมีสัดส่วนของมูลค่าการผลิตอาหารการเกษตรอินทรีย์เพียงร้อยละ 1 ของผลผลิตทางการเกษตรทั้งหมด และมีมูลค่าทางการผลิตอาหารการเกษตรอินทรีย์เพียงร้อยละ 1.7 ของมูลค่าผักและผลไม้สดของประเทศเท่านั้น
ปัจจุบันประเทศออสเตรเลียมีฟาร์มเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่มีชื่อว่า National Standard for Organic and Biodynamic Produce 2002 จำนวนประมาณ 2,100 ราย ผลผลิตเกษตรอินทรีย์ของออสเตรเลียมีมูลค่าประมาณ 250-500 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ซึ่งในปี 2003 มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 50 ล้านเหรียญออสเตรเลีย และมีโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรอินทรีย์จำนวน 250 โรงงาน
จากการที่มีความต้องการบริโภคอาหารอินทรีย์ของโลกมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงขึ้น จึงเป็นแรงผลักดันให้ออสเตรเลียหันมาสนใจในการผลิตอาหารอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น โดยได้วางเป้าหมายไว้ว่า ในปี 2010 ออสเตรเลียจะเป็นผู้ผลิตอาหารอินทรีย์รายใหญ่ของโลก และในปี 2006 จะมีฟาร์มเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองให้ได้จำนวน 2,500 ราย มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 10-20 ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านเหรียญออสเตรเลีย ส่วนผลักดันสำคัญที่จะช่วยให้ออสเตรเลียก้าวไปสู่เป้าหมายดังกล่าว คือ ให้ความสำคัญกับระบบการตรวจสอบและรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ ทั้งด้านกฎหมาย ระบบการจัดการบริหาร และมาตรฐานสินค้าเกษตร โดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์นั้น มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันผู้บริโภคจากการถูกฉ้อโกง ป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์นำสินค้าเกษตรอื่นๆ มาแอบอ้างว่าเป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์ ประสานเงื่อนไขข้อกำหนดต่างๆ ในการผลิต การรับรอง การตรวจสอบและการติดฉลากอินทรีย์เกษตรเข้าด้วยกัน รวมทั้งเพื่อสร้างความมั่นใจในทุกขั้นตอนของระบบการผลิต การแปรรูปและการตลาดว่าได้รับการตรวจสอบและสอดคล้องเป็นเงื่อนไข ประการสำคัญการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ของประเทศออสเตรเลียได้ให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลโดยการให้คำแนะนำแก่เกษตรกรที่กำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนระบบการทำฟาร์มแบบดั้งเดิมมาเป็นระบบเกษตรอินทรีย์ด้วย ทั้งนี้ เกษตรกรที่เพิ่งปรับเปลี่ยนระบบการทำฟาร์มแบบดั้งเดิมมาเป็นฟาร์มเกษตรอินทรีย์ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี ก่อนที่ผลผลิตจะได้รับอนุญาตให้ติดฉลากคำว่า “ organic in conversion” และใช้เวลาอีก 2 ปี ก่อนที่จะติดฉลาก “organic” บนสินค้าได้ โดยมีหลักสำคัญกำหนดว่าสินค้าที่ติดฉลาก organic ซึ่งหมายถึง “อินทรีย์” นั้น จะต้องมีส่วนประกอบของเกษตรอินทรีย์อยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ทั้งนี้ ในมาตรฐานที่กำหนดได้มีข้อห้ามเฉพาะ 2 ประการ คือ ห้ามใช้วิธีการฉายรังสีในกระบวนการถนอมอาหาร และห้ามใช้เทคโนโลยีชีวภาพในพืช สัตว์หรือวัสดุที่ใช้ในการแปรรูปด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญของการผลิตอาหารอินทรีย์ในแต่ละประเทศอาจมีความแตกต่างกันของสภาพแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและชนิดของพืชและสัตว์ที่ทำการผลิต ซึ่งมีผลถึงชนิดของโรคและศัตรูพืชวัชพืชและความยากง่ายของการจัดการ สำหรับในกรณีของออสเตรเลียนั้น ในการผลิตไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค และแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง แต่ปัญหาสำคัญกลับเป็นเรื่องของสภาพดินมีความสมบูรณ์ต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินขาดธาตุฟอสฟอรัสอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกษตรกรของออสเตรเลียไม่สามารถผลิตพืชอินทรีย์บางชนิดได้ตามความต้องการของตลาด เนื่องจากในการผลิตเกษตรอินทรีย์ได้ห้ามไม่ให้ใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสที่ละลายน้ำได้ (soluble)นอกจากนั้น ออสเตรเลียยังมีข้อจำกัดอื่น ๆ อีก อาทิ การขาดความชำนาญและคำแนะนำทางวิชาการที่ถูกต้อง ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการตลาด และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ
ทั้งหมดนี้ คือ สถานการณ์การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้วางเป้าหมายการผลิตไว้ชัดเจน ตลอดจนมีมาตรการรองรับการผลิตให้เป็นที่ยอมรับจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ
แต่ในขณะเดียวกันนั้น ออสเตรเลียก็ยังมีข้อจำกัดที่ส่งผลต่อการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์อยู่เช่นกัน ดังนั้น การผลักดันเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจน จะเป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้การยอมรับจากตลาดโลก เช่นเดียวกับที่หลายประเทศกำลังพยายามกันอยู่
ขอบคุณข้อมูล กองการเกษตรต่างประเทศ
“ออสซี –อินเดีย” กอดคอเดินหน้าปลูกพืช จีเอ็มโอ
ท่ามกลางกระแสรับ –ไม่รับพืชจีเอ็มโอที่ดังกึกก้องไปทั่วโลกในเวลานี้ รมว.เกษตรออสเตรเลีย ก็กำลังกดดันรัฐบาลตัวเองให้เดินหน้าพืชจีเอ็มโอเต็มสูบเร็วๆ นี้ ขณะที่อินเดียเร่งผลักดันการทดสอบภาคสนามระดับใหญ่ที่สุดตั้งแต่รัฐบาลโรตีได้เปิดไฟเขียวมา
ปีเตอร์ แมคกัวรัน (Peter McGuaran) รมว.เกษตร ออสเตรเลีย เผยว่า เขากำลังกระตุ้นอย่างหนักให้รัฐบาลออสซีเร่งเปลี่ยนสัญญาณไฟแดงพืชดัดแปลงพันธุกรรม หรือจีเอ็มโอ ที่ครอบคลุมบรรยากาศด้านการเกษตรของประเทศเรื่อยมา ไปเป็นไฟเขียวเพื่อเปิดทางให้พืชประเภทดังกล่าวเข้ามามีส่วนร่วมในวงการเกษตรออสซี ระหว่างสถานการณ์การแข่งขันทางการเกษตรที่แดนจิงโจ้มีคู่แข่งไม่ใช่น้อย
“เกษตรกรของเราจะต้องตามหลังคู่แข่งอย่างไม่เห็นฝุ่น หากเราไม่เปิดโอกาสให้เกษตรกรได้ปลูกพืชจีเอ็มโอ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เราปฏิเสธไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นตัวเลือกให้เกษตรกรได้ใช้ ต่อจากการเกษตรดั้งเดิมและเกษตรอินทรีย์ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าไม่มีพืชประเภทใดอยู่เหนือพืชประเภทอื่นอยู่” แมคกัวรัน กล่าว
สำหรับออสเตรเลียประเทศผู้ผลิตพืชน้ำมันอย่าง “คาโนลา” กินพื้นที่การตลาด 20% ของทั่วโลก โดยมีคู่แข่งสำคัญอย่างแคนาดา ดังนั้นการทำคาโนลาจีเอ็มจึงมีความเป็นไปได้มาก
ทั้งนี้ การผลักดันดังกล่าวของแมกกัวรันสอดคล้องกับรายงานของรัฐบาลออสเตรเลียฉบับใหม่ที่มีชื่อว่า “คู่มือคาโนลาจีเอ็มโอ” ซึ่งเปิดเผยว่า ทั่วโลกมีการเพาะปลูกคาโนลามาแล้วหนึ่งทศวรรษ เช่นในประเทศแคนาดา โดยยังไม่มีรายงานผลเสียต่อสุขภาพ ขณะเดียวกันรายงานดังกล่าวยังออกไปในเชิงร้องขอให้รัฐบาลอนุมัตินโยบายด้านพืชจีเอ็มได้แล้ว
“คาโนลาจีเอ็มโอยังไม่เคยมีรายงานว่าทำให้ส่วนแบ่งการตลาดหรือเรื่องราคาพืชผลเปลี่ยนแปลงไปแบบที่รู้สึกหรือประเมินค่าได้จริงๆ มีแต่ผลิตผลที่เพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง” รมว.เกษตรแดนจิงโจ้กล่าว ซึ่งหากมีนโยบายให้ไฟเขียว พื้นที่ปลูกคาโนลาจีเอ็มของออสเตรเลียจะครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ตอนใต้ของรัฐวิกตอเรีย นิวเซาธ์เวลส์ เซาธ์ออสเตรเลีย และแทสมาเนีย
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าววงในกระทรวงสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลอินเดียเผยว่า อินเดียได้อนุมัติให้มีการปลูกมะเขือบีทีในแปลงภาคสนามระดับใหญ่ครั้งแรกของประเทศแล้ว สอดรับกับนโยบายพืชจีเอ็มที่อินเดียเปิดทางให้ปลูกพืชจีเอ็มเพื่อการค้าได้ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผลผลิตดีขึ้นและลดการใช้ยาฆ่าแมลงลงได้
“ตอนนี้ กระแสต่อต้านพืชจีเอ็มน้อยกว่าในอดีตมากแล้ว เป็นผลมาจากประสบการณ์ตรงที่เกษตรกรพบว่าผลผลิตฝ้ายบีทีของพวกเขาดีขึ้น” ชารัด โยชิ (Sharad Joshi) หัวหน้ากลุ่มเกษตรกร และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งอินเดียเผย
อย่างไรก็ดี ก็ใช่ว่าชาวอินเดียตลอดจนถึงชาวออสซีทุกคนจะเห็นด้วยกับนโยบายจีเอ็มโอของประเทศ ซึ่งในรายของอินเดีย ผู้ต่อต้านให้เหตุผลว่า เทคโนโลยีจีเอ็มโอยังไม่ปลอดภัย ดังจะเห็นได้จากฝ้ายบีที ซึ่งเป็นฝ้ายที่มีการตัดต่อยีนของแบคทีเรีย “บาซิลลัส” เข้าไป ทำให้มีคุณสมบัติทนต่อหนอนเจาะสมอฝ้ายนั้น ยังมีผลเสียต่อสุขภาพผู้บริโภคและมีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ชาวออสซีที่ต่อต้านเผยว่า ยังไม่มีหลักฐานมากพอที่แสดงให้เห็นว่าคาโนลาจีเอ็มจะมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคจริง
ที่มา : วิชาการ.คอม
บัวยักษ์ออสเตรเลีย
บัวฮัดซัน ดอกใหญ่หอมอ่อนบัวชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศออสเตรเลีย อยู่ในกลุ่มเดียวกับบัวยักษ์ออสเตรเลีย ซึ่งจะมีด้วยกันหลายสายพันธุ์และหลายสีส่วนใหญ่ที่เห็นปลูกตามสวนไม้ประดับขนาดใหญ่ทั่วไปมักจะเป็นชนิดที่มีดอกเป็นสีม่วง แต่ที่มีวางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักรทุกวันพุธ-พฤหัสฯ และกำลังเป็นที่นิยมของผู้ปลูกจะเป็นชนิดที่มีดอกเป็นสีขาว มีความโดดเด่น คือ ขนาดของดอกจะใหญ่มากและดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จึงทำให้เวลามีดอกดูงดงามมากและมักจะมีตัวผึ้งบินวนเวียนเข้าไปดูดกินน้ำหวานจากดอกตลอดเวลา
บัวฮัดซัน หรือ NYMPHAEA GIGANTEA-HOOKER อยู่ในวงศ์ NYMPHAEACEAEเป็นกลุ่มเดียวกับบัวสายในบ้านเรา แต่ดอกของบัวสายจะเล็กกว่าเยอะเป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นใต้ดินคล้ายหัวเผือกมีหลากหลายสายพันธุ์จะแตกต่างกันที่สีของดอก ขนาดของใบ และขนาดของดอกใบเป็นใบเดี่ยว ออกสลับถี่ลอยบนผิวน้ำเรียงเป็นวง แผ่นใบรูปค่อนข้างกลมโคนเว้าลึก ส่วนใหญ่ขอบใบจัก มีบางสายพันธุ์ ขอบใบเรียบ ด้านบนเป็นมันสีเขียวเข้ม หรือสีเขียวอมแดง ด้านล่างสีเขียว หรือสีม่วงแดงมีขนนุ่มและมีเส้นใบนูน ในก้านใบมีน้ำยางใสเมื่อหักดูจะมีใยติดกันยืดและยาวสีขาว
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆบานเหนือน้ำเล็กน้อย มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบเป็นรูปรีแกมรูปไข่ ด้านนอกเป็นสีเขียว มีแนวเส้นของกลีบเด่นชัดด้านในเป็นสีเดียวกับสีของกลีบดอก กลีบดอกมีจำนวนมาก เรียงซ้อนกันหลายชั้นมีด้วยกันหลายสี เช่น สีขาว สีม่วง และ สีชมพูดอกเมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6-7 นิ้วฟุตจึงถูกเรียกอีกชื่อว่า “บัวยักษ์ออสเตรเลีย”
ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ มีเกสรตัวผู้จำนวนมากเป็นสีเหลืองออกเป็นกระจุกที่ใจกลางดอกเวลาดอกบานจึงดูสวยงามอร่ามตาและบริสุทธิ์สดใสมาก “ผล” ค่อนข้างกลมเรียกว่า “โตนด” มีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก ดอกออกตลอดปีขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและหน่อ ปัจจุบัน “บัวฮัดซัน” หรือ“บัวยักษ์ออสเตรเลีย” มี ขายที่ตลาด นัดไม้ดอก ไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 2แผงจำหน่ายไม้น้ำ แผง “คุณเกด” ราคาสอบถามกันเองการปลูก “บัวฮัดซัน”ซึ่งเป็นบัวที่แตกกอใหญ่ ใบใหญ่ จึงใช้พื้นที่ค่อนข้างมาก กินน้ำลึกหากปลูกในกระถางขอบกระถางต้องสูงกว่าปกติและมีขนาดใหญ่ด้วยใช้ดินบัวรองก้นกระถาง 2 ใน 3 ของความสูงขอบกระถางจากนั้นนำหน่อลงปลูกนำกระถางไปตั้งที่มีแดดทั้งวัน ใส่น้ำให้เต็มบำรุงปุ๋ยห่อกระดาษกดลงดินใต้น้ำเดือนละครั้ง จะมีดอกตลอดครับ
มังคุดไทยที่ออสเตรเลีย
"มังคุด” ได้ชื่อว่าเป็น ราชินีแห่งผลไม้ ด้วยรสชาติที่ไม่หวานไม่เปรี้ยวมากเกินไป อีกทั้งลักษณะของผลที่คล้ายๆ จะสวมมงกุฎอยู่ และมีอายุในการเก็บรักษา ได้นานพอสมควร จึงเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มองว่ามีอนาคตทางการตลาด แต่ปัญหาสำคัญของมังคุด คือ ปัญหาด้านคุณภาพ โดยเฉพาะอาการเนื้อแก้ว-ยางไหล รวมทั้งปัญหาของแมลงวันผลไม้ในแหล่งปลูก แต่ทั้งหมดนี้นักวิชาการไทยเราก็เก่งสามารถคิดวิธีแก้ไข จนเป็นที่ยอมรับได้ ถึงแม้ว่าจะลงทุนมากขึ้นก็ตาม
การผลิตมังคุดเพื่อป้องกันอาการเนื้อแก้ว-ยางไหล สามารถแก้ไขด้วยกระบวนการจัดการสวนที่ดี และการเก็บเกี่ยวที่ถูกต้อง เรียกว่าถ้าใช้หลักเกษตรดีที่เหมาะสม หรือ GAP แล้ว ปัญหาดังกล่าวจะลดลงไปมาก ทำให้ได้มังคุดคุณภาพดี ราคาสูง พร้อมส่งออก
ส่วนปัญหาแมลงวันผลไม้ ในปัจจุบันมีวิธีการจัดการแตกต่างกันขึ้นกับความต้องการของประเทศที่ส่งออก หากเป็นญี่ปุ่นต้องผ่านกระบวนการอบไอน้ำตามเกณฑ์ที่กำหนด มีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ของญี่ปุ่นและบรรจุหีบห่อที่แมลงวันผลไม้ไม่สามารถปนเปื้อนไปได้ อีกวิธีหนึ่งคือ การเป่าลม และ การรมด้วยสารเมธิลโบรไมด์ วิธีหลังนี้ใช้สำหรับมังคุดที่ส่งออกไปออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศแนวหน้าในระบบการกักกัน (Quarantine)
ไทย-ออสเตรเลีย มีความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2548 สำหรับสินค้าเกษตรและอาหารมีข้อบทหนึ่งที่เกี่ยวข้อง คือ ข้อตกลงด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ว่าด้วยการดำเนินการด้านสุขอนามัยพืชและสัตว์ ยึดหลักการของ WTO และมาตรฐานสากลเป็นเกณฑ์ รวมทั้งมีคณะทำงานทางเทคนิคร่วมกันในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อันเนื่องมาจากมาตรการทางสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช
กรณีของมังคุดที่ส่งออกไปยังออสเตรเลีย เริ่มมีการส่งออกไปเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2547 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากผู้นำทั้งสองประเทศลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างกันเพียง 4 วันเท่านั้น โดยออสเตรเลียกำหนดให้เป่าลมไม่ให้มีแมลงติดไปกับทุกส่วนของมังคุด ผลปรากฏว่ามังคุดที่ส่งออก (มังคุดผลสด) ถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2547 มีทั้งสิ้น 43 shipment ในจำนวนนี้มีเพียง 6 shipment เท่านั้นที่ไม่พบปัญหาใดๆ แต่อีก 37 shipment พบว่ามีแมลงที่ยังมีชีวิตอยู่ติดไป หน่วยตรวจสอบและกักกันของออสเตรเลียจึงได้สั่งรมด้วยเมธิลโบรไมด์ เพื่อกำจัดแมลงเหล่านั้นก่อนที่จะปล่อยสินค้าทั้ง 37 shipment เข้าสู่ออสเตรเลีย
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ทางออสเตรเลียจึงได้หารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบของไทย คือ กรมวิชาการเกษตรเพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากในระบบการกักกันแล้ว แมลงมีชีวิตจะติดไปแม้แต่ตัวเดียวก็ไม่ได้ ต้องท่องไว้เสมอว่ากักกันต้องเป็นศูนย์เท่านั้น ฝ่ายออสเตรเลียจึงให้ไทยรมด้วยเมธิลโบรไมด์ก่อนการส่งออก เพื่อกำจัดแมลงที่อาจจะติดไปได้ ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2547 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ออสเตรเลียกำหนดให้มีการรมก่อนการส่งออก ยังพบว่าส่วนใหญ่มังคุดที่ส่งออกก็ยังมีแมลงติดไปอีก แสดงว่ายังไม่มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด อาจเป็นไปได้ว่าผู้ส่งออกของไทยยังไม่ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวอย่างทั่วถึง ทางออสเตรเลียจึงได้ขยายเวลาการปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวไปจนถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2547 ตามที่ฝ่ายไทยขอขยายเวลาออกไป
ดังนั้น การส่งออกมังคุดผลสดของไทยไปออสเตรเลีย หลังวันที่ 23 สิงหาคม 2547 หากไม่มีการรับรองว่าผ่านการรมด้วยเมธิลโบรไมด์ ทางออสเตรเลียจะปฏิเสธการนำเข้าทันที
ช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปเยือนหน่วยงาน AQIS ของออสเตรเลียที่ทำหน้าที่ตรวจสอบสินค้านำเข้า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ AQIS ได้ย้ำมาว่าขอให้ไทยดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดด้วย เพื่อให้มังคุดสามารถนำเข้ามาจำหน่ายได้โดยไม่มีปัญหา สำหรับเรื่องนี้จึงได้ใช้กลไกภายใต้ข้อตกลงมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ในความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย จัดตั้งคณะทำงานด้านเทคนิคเป็นการเฉพาะขึ้นมาศึกษา ระบบการผลิต การเก็บเกี่ยว การบรรจุหีบห่อ และกระบวนการส่งออกทุกขั้นตอนของไทย โดยจะมีการทำความเข้าใจในวิธีปฏิบัติที่เห็นชอบร่วมกัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าระบบการจัดการศัตรูพืชก่อนการส่งออกของประเทศไทย เป็นตามเงื่อนไขที่กำหนดและมีมาตรฐาน
นอกจากนี้เพื่อสร้างความกระจ่างว่าแมลงศัตรูพืชที่ออสเตรเลียตรวจพบในมังคุดที่ส่งออกไปจากประเทศไทยนั้น เป็นแมลงชนิดใด ออสเตรเลียจะส่งตัวอย่างแมลงมาให้นักวิชาการของไทยช่วยพิจารณาด้วย ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีในระดับเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศภายใต้ความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน
นอกจากเรื่องของมังคุด ยังได้มีโอกาสสำรวจตลาดผัก-ผลไม้ของออสเตรเลีย ที่เมืองซิดนีย์ พบว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของผลไม้ที่จำหน่ายเป็นผลไม้ที่ผลิตได้ภายในประเทศ มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นผลไม้นำเข้า ส่วนราคาขายของมังคุดในท้องถิ่นอยู่ประมาณ 2 เหรียญ/ผล คิดเป็นเงินไทยตกผลละเกือบ 50 บาทได้
คงต้องกลับมาคิดกันต่อว่า ด้วยเงื่อนไขทางสุขอนามัยพืชที่ออสเตรเลียกำหนด จากเริ่มแรกเพียงการเป่า ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนต้องเพิ่มมาตรการมาเป็นการรมด้วยเมธิลโบรไมด์ เนื่องจากไทยไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขได้ ผลจากการเพิ่มมาตรการครั้งนี้ ในส่วนของผู้ส่งออกเป็นการเพิ่มต้นทุนของสินค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในขณะที่ภาครัฐต้องเพิ่มขั้นตอนในการปฏิบัติงานมากยิ่งขึ้น ใช้เวลากับกระบวนการก่อนการส่งออกเพิ่มขึ้น เป็นบทเรียนให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามเงื่อนไขของประเทศคู่ค้า จากการดำเนินการที่ไม่ยุ่งยาก ต้องเปลี่ยนมาสู่มาตรการที่ยุ่งยากมากยิ่งขึ้น เพียงเพราะการขาดความรับผิดชอบของคนเพียงบางกลุ่มและความหละหลวมของกระบวนการตรวจสอบ ปลาตัวเดียว สามารถทำให้ปลาเน่าทั้งข้องได้นะครับ...
ออสเตรเลียไฟเขียวแซลมอนจากไทย
แซลมอน เป็นปลาทะเลที่ว่ายเข้าสู่แม่น้ำเพื่อวางไข่ เพราะเป็นปลาที่ผสมพันธุ์ในน้ำจืดแต่ชีวิตส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในมหาสมุทร มีเพียงส่วนน้อยที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบ จะวางไข่ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวในทะเลสาบน้ำจืดหรือแม่น้ำที่มีปริมาณออกซิเจนสูงเท่านั้น
โดยแซลมอนเพศเมีย จะขุดรังด้วยปลายหางและวางไข่ หลังจากนั้นตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อมาปฏิสนธิกับไข่ จากนั้นตัว เมียจะใช้หางกลบไข่เพื่อไม่ให้ถูกกระแสน้ำพัดพาไปแล้วลูกปลาจะว่ายตามกระแสน้ำออกสู่ทะเลในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนต่อไป เมื่อออกจากไข่ลูกปลาแซลมอนก็จะอพยพไปสู่มหาสมุทรซึ่งเป็นแหล่งอาหาร และเจริญเติบโตที่นั่น และเมื่อถึงฤดูวางไข่ลูกปลาแซลมอนก็จะกลับไปวางไข่ที่บ้านเกิดของตัวเองต่อไป
เมื่อไม่นานมานี้ นักชีววิทยาชาวแคนาดาได้ทดลองทำเครื่องหมายติดไว้ที่ตัวปลาแซลมอนที่เกิดที่แม่น้ำเฟรเซอร์ในโคลัมเบีย ประมาณ 5 แสนตัว หลังจากนั้น 4 ปี ได้พบแซลมอนที่ทำเครื่องหมายไว้ ประมาณ 11,000 ตัว ในแม่น้ำเฟรเซอร์ในบริเวณที่พ่อแม่เคยมาวางไข่ และไม่พบแซลมอนที่หลงทางไปบริเวณอื่น ๆ เลย การทดลองแสดงให้เห็นว่า การกลับถิ่นกำเนิดของแซลมอน เป็นการชักนำจากกลิ่นของพ่อแม่ที่ปล่อยไว้ในน้ำ แซลมอนได้รับการปลูกฝังกลิ่นเหล่านี้ตั้งแต่ยังไม่ฟักออกเป็นไข่ ถ้าไข่ถูกนำออกจากแหล่งน้ำของพ่อแม่ไปไว้บริเวณอื่น ไกลกว่าหลายไมล์ ตัวเต็มวัยก็ยังคงกลับมาแหล่งเดิมของพ่อแม่ได้ สารประกอบของกลิ่นนั้นเป็นสารอินทรีย์ระเหย และคุณสมบัติทางเคมียังไม่ทราบแน่ชัด ขณะนี้ยังไม่เข้าใจถ่องแท้ว่า ปลาแซลมอนหาทางมายังปากน้ำได้อย่างไรโดยไม่มีเครื่องหมายใด ๆ ในการนำทางมาจากทะเล
เมื่อกล่าวถึงปลาแซลมอนแล้วประ เทศไทยค่อนข้างห่างไกลกับตัวปลาแบบ เป็น ๆ แต่ถ้าเป็นเนื้อปลาก็เป็นที่ยอมรับ กันว่าคุ้นหูคุ้นปากและรสชาติเป็นอย่างดี ด้วย ปีหนึ่ง ๆ มีการนำเข้าปลาแซลมอนเป็นจำนวนไม่น้อย และมีมากจนถึงขั้น เป็นประเทศกลางในการส่งออกในรูปแบบ ต่าง ๆ ได้อีกด้วย คือประเทศไทยเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ไม่มีแหล่งอาศัยและการจับ ปลาแซลมอนในทะเล แต่เป็นประเทศที่ ส่งออกเนื้อปลาแซลมอนแช่เย็น แช่แข็ง และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อปลาแซลมอนไปยังต่างประเทศปีหนึ่ง ๆ เป็นจำนวน ไม่น้อย
และล่าสุดมีข่าวน่ายินดีสำหรับผู้ส่งออกปลาแซลมอนในรูปแบบต่าง ๆ ของไทย คือทาง ดร.นันทิยา อุ่นประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ทางประเทศออสเตรเลีย ได้อนุญาตการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปลาแซลมอนแช่เย็นแช่แข็งจากประเทศไทยมาตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2553 ซึ่งที่ผ่าน มาประเทศไทยได้รับการอนุญาตให้จัดส่งผลิตภัณฑ์ปลาแซลมอนไปจำหน่ายยังออสเตรเลียในรูปแบบแซลมอนกระป๋องเท่านั้น โดยการอนุญาตดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่กรมประมงได้จัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับระบบการควบคุมและตรวจสอบผลิตภัณฑ์จากปลาแซลมอนให้ทางการออสเตรเลีย นอกจากนี้ หน่วยงานที่มีหน้าที่ประเมินความเสี่ยงการนำเข้าสินค้าได้จัดส่งคณะเจ้าหน้าที่มาตรวจประเมินการปฏิบัติงานของกรมประมง และตรวจสอบโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำที่แจ้งความประสงค์จะส่งผลิตภัณฑ์แซลมอนแช่เย็น แช่แข็ง ไปจำหน่ายยังประเทศออสเตรเลีย เมื่อเดือนมีนาคม 2552 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์แซลมอนแช่เย็น แช่แข็งที่ใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อส่งไปจำหน่าย นั้น จะต้องใช้นำเข้าจากประเทศที่ออสเตร เลียให้การรับรองเท่านั้น ได้แก่ แคนาดา เดนมาร์ก นิวซีแลนด์ ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ที่สำคัญต้องมีใบรับรองสุขอนามัยที่ออกโดยหน่วยงานรับผิดชอบของประเทศต้นทางกำกับ ซึ่งจะต้องมีข้อความตามที่ออสเตรเลียกำหนด ไว้ด้วย
ส่วนการเพาะเลี้ยงปลาแซลมอนในประเทศไทยในอนาคตจะมีหรือไม่ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่ในวันนี้ที่ประเทศเวียดนาม การทดลองเพาะเลี้ยงปลาแซล มอนในพื้นที่ภูเขาทางภาคเหนือในเขตซาปา จังหวัดลาวกายของเวียดนาม ซึ่งมีรายงานว่าได้ผลดี และกำลังเร่งขยายพันธุ์ไปสู่ประชาชน ทั่วไปเพื่อให้มีการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ อีกด้วย
สำหรับผู้ประกอบการรายใดที่ประสงค์ จะส่งผลิตภัณฑ์ปลาแซลมอนไปจำหน่าย ยังออสเตรเลีย ดร.นันทิยา บอกด้วยว่า สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองตรวจสอบรับรองมาตรฐานคุณภาพสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ กรมประมง โทรศัพท์ 0-2558-0150-5 ในวันและเวลาราชการ.
นายกฯจิงโจ้เตือนคนออสเตรเลีย“เลิกขี้เกียจ”
นายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์ แห่งออสเตรเลีย เมื่อเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว เอเอฟพี/astv ผู้จัดการรายวัน- นายกรัฐมนตรีเควิน ไมเคิล รัดด์ แห่งออสเตรเลีย ออกโรงเตือนประชาชนให้เลิกนิสัยเกียจคร้านและการใช้ชีวิตแบบตามสบาย โดยเรียกร้องให้ชาวออสเตรเลียหันมาทำงานหนักมากขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิตด้านต่างๆให้กับประเทศ หลังจากที่จำนวนประชากรในวัยแรงงานซึ่งเป็นผู้สร้างรายได้หลักในระบบเศรษฐกิจกำลังหดตัวลง ขณะที่ประชากรสูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนอาจมีสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศในปี 2050 หรือ 40 ปีจากนี้ ซึ่งหมายความว่า ออสเตรเลียจะมีรายได้ลดน้อยลง แต่จะต้องแบกรับภาระในการดูแลความเป็นอยู่ของประชากรนอกวัยแรงงานมากขึ้นในอนาคต
ผู้นำออสเตรเลีย วัย 52 ปีพูดเรื่องดังกล่าวระหว่างการเดินทางไปกล่าวสุนทรพจน์ที่นครเมลเบิร์น ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศวานนี้ (19) โดยย้ำว่า ออสเตรเลียจำเป็นต้องเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น เพราะการเพิ่มผลผลิตจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต พร้อมเตือนหากชาวออสเตรเลียไม่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองครั้งใหญ่ รัฐบาลอาจจำเป็นต้องตัดลดการให้บริการต่างๆ ที่ชาวออสเตรเลียเคยได้ใช้อย่างสะดวกสบายลงซึ่งรวมทั้ง บริการด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล เพื่อรับมือกับการขาดดุลงบประมาณของประเทศในอนาคต หลังจากปริมาณผลผลิตทางเศรษฐกิจของออสเตรเลียได้หดตัวลดลงร้อยละ 1.4 แล้ว ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และยังคงมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง
พบเมล็ดวัชพืชของไทยติดไปกับรถยนต์ส่งออกที่ท่าเรือของออสเตรเลีย
กรมวิชาการเกษตร เผยพบเมล็ดวัชพืชของไทยจำนวนมาก ซึ่งเป็นเมล็ดวัชพืชกักกันของออสเตรเลียติดไปกับรถยนต์ที่นำเข้าจากไทย ที่ท่าเรือของออสเตรเลีย
นายวิชา ธิติประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตรเปิดเผยว่า หน่วยงานกักกันและตรวจสอบออสเตรเลีย ได้ขอความร่วมมือในการแก้ปัญหา กรณีมีเมล็ดวัชพืชไทย คือ ธูปฤาษี หญ้าดอกแดง หญ้าคา หญ้าพง และสาบเสือ ซึ่งเป็นเมล็ดวัชพืชกักกันและศัตรูพืชของออสเตรเลียติดไปกับรถยนต์ที่นำเข้า จากไทยจำนวนมาก เป็นปัญหาสำคัญและภาระของออสเตรเลีย ต้องเสียเวลาตรวจสอบรถยนต์ ณ จุดนำเข้า กรมวิชาการเกษตรจึงได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับออสเตรเลีย ให้จัดส่งเจ้าหน้าที่มาฝึกอบรมวิธีตรวจสอบยานพาหนะให้กับเจ้าหน้าที่กรม วิชาการเกษตร และผู้รับจ้างตรวจรถยนต์ของไทย ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ ซึ่งรถยนต์ที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว จะได้ใบรับรองสุขอนามัยพืชไม่ถูกกักและสุ่มตรวจสอบเป็นครั้งคราว ส่วนรถที่ไม่มีใบรับรองหากตรวจพบวัชพืช ผู้นำเข้าจะต้องรับผิดขอบค่าใช้จ่ายกำจัดวัชพืชทั้งหมด ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก.
-สำนักข่าวไทย
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.