แมงลักป่า.....ควบคุมวัชพืช
แบบรายงานเรื่องเต็มผลงานวิจัยสิ้นสุดปีงบประมาณ 2550
1. แผนงานวิจัย วิจัยและพัฒนาการอารักขาพืช
2. โครงการวิจัย วิจัยเทคโนโลยีการผลิตและการใช้สารสกัดจากพืชทดแทนสารเคมี
กิจกรรม วิจัยเทคโนโลยีการผลิตและการใช้สารสกัดจากพืชเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช
กิจกรรมย่อย วิจัยเทคโนโลยีการผลิตและการใช้สารสกัดจากพืชเพื่อควบคุมวัชพืช
3. ชื่อการทดลอง(ภาษาไทย) วิจัยและพัฒนาสารจากแมงลักป่าเพื่อป้องกันกำจัดวัชพืช :
ศึกษาระยะเวลาที่เหมาะสมในการสกัดสารจากแมงลักป่าเพื่อให้ได้สารที่มีประสิทธภาพในการ
ควบคุมวัชพืชสูงสุด
4. คณะผู้ดำเนินงาน
หัวหน้าโครงการวิจัย นาง ชอุ่ม เปรมัษเฐียร สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช
หัวหน้ากิจกรรม นาง ชอุ่ม เปรมัษเฐียร สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช
หัวหน้าการทดลอง นาง ชอุ่ม เปรมัษเฐียร สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช
ผู้ร่วมงาน น.ส. ศิริพร ซึงสนธิพร สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช
5. บทคัดย่อ
การสกัดสารฯจากแมงลักป่าด้วยน้ำเพื่อให้ได้สารสกัดฯที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโต
ของพืชสูงด้วยน้ำโดยนำแมงลักป่าทั้งต้น (ต้น+ใบ) ที่เจริญเติบโตในฤดูฝน ส่วนของใบ ส่วน
ของลำต้น และแมงลักป่าทั้งต้น (ต้น+ใบ) ที่เจริญเติบโตในฤดูแล้ง มาแช่น้ำเป็นระยะเวลา
ต่างๆกันตั้งแต่ 1-8 สัปดาห์แล้วนำสารสกัดฯที่ได้ในแต่ละช่วงเวลาการสกัดสารฯมาทดสอบ
ประสิทธิภาพที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยใช้ หญ้าข้าวนกและผักกาดหอมเป็นพืช
ทดสอบพบว่าสารสกัดฯจากแมงลักป่าที่เจริญเติบโตในฤดูฝน ฤดูแล้งและจากส่วนใบและส่วน
ลำต้นของแมงลักป่าที่แช่น้ำไว้ระยะเวลาต่างๆกันนั้นให้สารสกัดฯที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการ
เจริญเติบโตของพืชทุกระยะการแช่น้ำแต่ระยะที่เหมาะสมในการแช่ส่วนต่างๆของแมงลักป่าให้
ได้สารสกัดฯที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงแตกต่างกัน แมงลักป่าทั้งต้น (ต้น
+ใบ) ที่เจริญเติบโตสมบูรณ์ในฤดูฝนและส่วนของใบแมงลักป่าจะให้สารสกัดฯที่มีประสิทธิภาพ
ยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชตั้งแต่สัปดาห์แรกของการแช่น้ำและสารสกัดฯที่ไดมี้ประสิทธิภาพ
สูงขึ้นเมื่อแชน่ ํ้าไว 1- 2 และ 3 สัปดาห์
ส่วนสารสกัดฯจากส่วนลำต้นแมงลักป่าจะมีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงเมื่อแช่
น้ำไว้ 2-3 สัปดาห์ ส่วนสารสกัดฯจากแมงลักป่าทั้งต้นที่เจริญเติบโตในฤดูแล้งจะให้สารสกัดฯที่
มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงเมื่อแช่น้ำไว้ 2-4 สัปดาห์ ส่วนสารสกัดฯจาก
แมงลักป่าทั้งต้นหรือจากส่วนต่างๆของแมงลักป่าที่ได้จากการแช่น้ำไว้ 5-8 สัปดาห์ยังมี
ประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชแต่ประสิทธิภาพนั้นลดลงและสามารถนำมาใช้ได้แต่
ต้องเพิ่มอัตราการใช้ให้สูงขึ้น
ส่วนลำต้นแมงลักป่าจะมีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงเมื่อแช่น้ำไว้ 2-3
สัปดาห์ ส่วนสารสกัดฯจากแมงลักป่าทั้งต้นที่เจริญเติบโตในฤดูแล้งจะให้สารสกัดฯที่มี
ประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงเมื่อแช่น้ำไว้ 2-4 สัปดาห์ ส่วนสารสกัดฯจาก
แมงลักป่าทั้งต้นหรือจากส่วนต่างๆของแมงลักป่าที่ได้จากการแช่น้ำไว้ 5-8 สัปดาห์ยังมี
ประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชแต่ประสิทธิภาพนั้นลดลงสามารถนำมาใช้ได้แต่ต้อง
เพิ่มอัตราการใช้ให้สูงขึ้น
6. คำนำ
เพื่อความมีชีวิตอยู่รอดของพืชในธรรมชาติ พืชจะสร้างสารขึ้นมาเพื่อป้องกันการทำลายจาก
ศัตรูต่างๆซึ่งได้แก่โรค แมลงและสัตว์ศัตรูพืช ซึ่งเรียกขบวนการที่พืชสร้างสารขึ้นมาและปล่อย
สารนั้นออกมาสู่สิ่งแวดล้อมและมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตต่างๆอันได้แก่ พืช จุลินทรีย์ นี้ว่า อัลลิ
โลพาธี่ (Allelopathy) ซึ่งผลกระทบนั้นมีทั้งด้านบวกและลบและเรียกสารที่พืชสร้างนั้นว่าสาร
อัลลิโลเคมิคัล (allelochemical) หรือ อัลลิโลพาธิค (allelopathic) ปัจจุบันสารที่มีใน
พืชนี้ได้ถูกนำพัฒนาใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะ สารจากไพรี
ทรัม (Chrysanthemum cinerariaefolium Vis.) ได้ถูกนำมาใช้แพร่หลายในการควบคุม
แมลงศัตรูพืชตั้งแต่ปี 1851 และพบว่าสารออกฤทธิ์ที่มีในไพรีทรัมได้แก่ Pyrethrin I, II ,
Cenerin I, II, Jusmolin I, II (Musumura, 1975, Moorman and Nguyen,
1997) สารที่มีในใบเบญจมาศหนู( Chrysanthemum morfolium cv. Ramat) เมื่อนำ
มาสกัดด้วย เมทานอล จะได้สาร chlorogenic acid, 3,5-O – dicaffeoylquinic acid
และ 3’,4’ 5-trihydroxyflavanone 7- O –glucuronide ซึ่งสารเหล่านี้ยับยั้งการเจริญ
เติบโตของหนอนคืบกะหล่ำ (Trichoplusia ni Hubner) และยับยั้งการสังเคราะห์แสงของ
วัชพืชพวกแหน (Lemna gibba L.) ได้ด้วย (Clifford W.B. et al., 2004)
สารที่มีในพืชหลายชนิดพบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของพืช Singh et al. (2002) พบ
ว่าสารparthenin สกัดจากวัชพืช Parthenium hysterophorus ซึ่งเป็นวัชพืชร้ายแรงใน
การปลูกพืชไร่ในประเทศอินเดียสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของวัชพืชสาบแร้งสาบกา
(Ageratum conyzoides L.) อย่างรุนแรง และ ชอุ่ม และ ศิริพร (2538) ได้นำวัชพืชที่พบ
ทั่วไปในสภาพไร่มาสกัดหาว่าวัชพืชแต่ละชนิดมีสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของพืช
มากน้อยแตกต่างกันอย่างไรซึ่งพบว่าวัชพืชร้ายแรงในไร่หลายชนิด เช่น สาบเสือ (
Chromolaena odorata (L.) R.M. King & H. Robinson) กระเพราผีหรือแมงลักป่า
(Hyptis suaveolens Poit.) และหญ้างวงช้าง (Heliotropium indicum L.) ฯลฯ มี
สารที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของต้นอ่อนข้าวอย่างรุนแรง จึงได้นำวัชพืชเหล่านี้มาศึกษาราย
ละเอียดเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปพัฒนาใช้ในการควบคุมวัชพืชต่อไป
แมงลักป่าหรือกระเพราผีหรือแมงลักคามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hyptis suaveolens Poit. จัด
อยู่ใน Family Labiatae เป็นวัชพืชอายุปีเดียวลำต้นตั้งตรงแตกกิ่งก้านสาขามากมีขนปก
คลุม ใบเป็นใบเดี่ยวแตกตรงข้ามเป็นคู่แผ่นใบรูปไข่ ขอบใบหยักเล็กน้อยเป็นร่องบริเวณเส้นใบ
ใบมีขนและมีกลิ่นดอกเป็นช่อตามซอกใบมีสีม่วง เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด และเป็นวัชพืชที่
เป็นปัญหาในสภาพไร่ Premasthira and Zungsontiporn (1997) ได้สกัดสารจากส่วน
ต่างๆของแมงลักป่าแล้วนำมาหาประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชพบว่า สาร
อัลลิโลเคมิคที่มีในส่วนต่างๆของแมงลักป่ามีระดับความเป็นพิษแตกต่างกัน ส่วนของเมล็ดมี
สารที่มีความเป็นพิษมากที่สุด รองลงมาคือสารที่มีในส่วนของใบ และลำต้นตามลำดับ แมงลัก
ป่าเป็นวัชพืชที่พบได้ทั่วไปเจริญเติบโตได้ในทุกสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินและพบได้ทั้งปี
แมงลักป่าจึงเป็นวัชพืชที่มีศักยภาพสูงที่จะนำมาพัฒนาใช้ในการควบคุมวัชพืช การสกัดสารจาก
พืชสามารถใช้ตัวสกัดได้หลายชนิด เช่น ตัวทำละลายเคมี ได้แก่ เมทานอล เฮกเซน เอธิล-อซิ
เตต คลอโรฟอร์ม หรือสกัดด้วยน้ำ ซึ่งตัวสกัดแต่ละชนิดให้สารสกัดฯ ที่มีประสิทธิภาพในการ
ยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชแตกต่างกัน แต่เพื่อให้ผลการทดลองนี้มีประโยชน์แก่เกษตรกรใน
การนำสารสกัดจากแมงลักป่าไปใช้ประโยชน์ในการควบคุมวัชพืชจึงสกัดสารจากแมงลักป่าด้วย
น้ำและเพื่อให้ได้สารที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงจึงควรทราบว่าใน
การสกัดหรือแช่แมงลักป่าด้วยน้ำนั้นควรใช้เวลานานเท่าใดจึงจะได้สารที่มีประสิทธิภาพในการ
ยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูง
7. อุปกรณ์และวิธีการ
อุปกรณ์
- แมงลักป่า
- ถ้วยพลาสติกพร้อมฝาปิด
- ถังพลาสติกพร้อมฝาปิด
- เมล็ดหญ้าข้าวนก
- เมล็ดผักกาดหอม
- วุ้น
- ตู้ควบคุมอุณหภูมิ
- ตู้อบแห้งและตาชั่ง ฯลฯ
วิธีการ
นำแมงลักป่าสดซึ่งมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้วมาตัดเป็นท่อนเล็กๆประมาณ 1 ซม แบ่ง
แมงลักป่าที่ตัดได้เป็น ถุงๆละ 100 กรัมแล้วนำมาสกัดสารฯโดยการแช่น้ำในอัตราส่วน 1:5
เพื่อหาว่าต้องแช่น้ำไว้นานเท่าใดจึงจะได้สารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงสุดจึงแช่
แมงลักป่าด้วยน้ำไว้ในระยะเวลาต่างๆ คือ 1 2 3 4 5 6 7 และ 8 สัปดาห์ เมื่อครบกำหนด
ตามแผนที่วางไว้ แยกสารสกัดที่ได้ออกจากกากแมงลักป่าแล้วนำสารสกัดฯที่ได้ไปทดสอบ
ประสิทธิภาพของสารฯดังกล่าวโดยใช้หญ้าข้าวนกและผักกาดหอมเป็นพืชทดสอบโดยแบ่งการ
ทดลองเป็น 2 ชุด
ชุดที่1 ทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดจากแมงลักป่าโดยใช้หญ้าข้าวนกเป็นพืชทดสอบนำ
สารสกัดฯที่ได้จาการแช่น้ำไว้ในแต่ละสัปดาห์มาใส่ในถ้วยแก้วซึ่งบรรจุวุ้น 20 มิลลิลิตร โดยใช้
ความเข้มข้นของสารสกัดฯ 3 อัตรา คือ 1.0, 2.5 และ 5.0 % แล้วปลูกหญ้าข้าวนก
การทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดฯที่ได้จากการแช่น้ำ 1 สัปดาห์มีกรรมวิธี ดังนี้
กรรมวิธีที่ 1 ปลูกหญ้าข้าวนกไม่ใส่สารสกัดแมงลักป่าเป็นกรรมวิธีเปรียบเทียบ
กรรมวิธีที่ 2 ปลูกหญ้าข้าวนกในสารสกัดแมงลักป่าที่แช่น้ำ 1 สัปดาห์ความเข้มข้น 1.0 %
กรรมวิธีที่ 3 ปลูกหญ้าข้าวนกในสารสกัดแมงลักป่าที่แช่น้ำ 1 สัปดาห์ความเข้มข้น 2.5 %
กรรมวิธีที่ 4 ปลูกหญ้าข้าวนกในสารสกัดแมงลักป่าที่แช่น้ำ 1 สัปดาห์ความเข้มข้น 5.0 %
การทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดฯที่ได้จากการแช่น้ำ 1 สัปดาห์ต่อการเจริญเติบโตของ
หญ้าข้าวนก ทุกกรรมมี 4 ซ้ำแล้วนำแก้วทดลองดังกล่าวปิดฝาและนำไปเก็บในตู้ควบคุม
อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียสให้แสงตลอดเวลา หลังจากปลูกพืชแล้ว 7 วันทำการวัดความยาว
ของรากและยอดของหญ้าข้าวนก การทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดจากแมงลักป่าที่ได้จาก
การแช่น้ำในระยะเวลาต่างๆ คือ 2-8 สัปดาห์ต่อการเจริญเติบโตหญ้าข้าวนกปฎิบัติเช่นเดียวกับ
การทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดจากแมงลักป่าทั้งต้นที่ได้จากการแช่น้ำ 1 สัปดาห์
ชุดที่ 2 ทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดจากแมงลักป่าโดยใช้ผักกาดหอมเป็นพืชทดสอบ นำ
สารสกัดฯที่ได้จาการแช่น้ำไว้ในแต่ละสัปดาห์มาใส่ในถ้วยแก้วซึ่งบรรจุวุ้น 20 มิลลิลิตร โดยใช้
ความเข้มข้นของสารสกัดฯ 3 อัตรา คือ 1.0 % 2.5% และ 5.0% แล้วปลูกผักกาดหอม
การทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดฯที่ได้จากการแช่น้ำ 1 สัปดาห์มีกรรมวิธีดังนี้
กรรมวิธีที่ 1 ปลูกผักกาดหอมไม่ใส่สารสกัดแมงลักป่าเป็นกรรมวิธีเปรียบเทียบ
กรรมวิธีที่ 2 ปลูกผักกาดหอมใส่สารสกัดแมงลักป่าที่แช่น้ำ1 สัปดาห์ความเข้มข้น 1.0 %
กรรมวิธีที่ 3 ปลูกผักกาดหอมใส่สารสกัดแมงลักป่าที่แช่น้ำ1 สัปดาห์ความเข้มข้น 2.5%
กรรมวิธีที่ 4 ปลูกผักกาดหอมใส่สารสกัดแมงลักป่าที่แช่น้ำ1 สัปดาห์ความเข้มข้น 5.0 %
การทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดฯที่ได้จากการแช่น้ำ 1 สัปดาห์ต่อการเจริญเติบโตของ
ผักกาดหอม ทุกกรรมมี 4 ซ้ำ แล้วนำแก้วทดลองดังกล่าวปิดฝาและนำไปเก็บในตู้ควบคุม
อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียสให้แสงตลอดเวลา หลังจากปลูกพืชแล้ว 7 วันทำการวัดความยาว
ของรากและยอดของผักกาดหอม
การทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดจากแมงลักป่าทั้งต้นที่ได้จากการแช่น้ำ 2-8 สัปดาห์
ต่อการเจริญเติบโตของผักกาดหอมปฏิบัติเช่นเดียวกับการทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัด
จากแมงลักป่าทั้งต้นที่ได้จากการแช่น้ำ 1 สัปดาห์ การหาเวลาสกัดที่เหมาะสมและการทดสอบ
ประสิทธิภาพของสารสกัดจากส่วนของใบและส่วนลำต้นของแมงลักป่าปฏิบัติเช่นเดียวกับการ
หาเวลาสกัดที่เหมาะสมและการทดสอบประสิทธิภาพของสกัดสารจากแมงลักป่าทั้งต้น
8. ระยะเวลา เดือน (เริ่มต้น – สิ้นสุด ) 1 ปี 6 เดือน (เริ่มต้นตุลาคม 2548 – สิ้นสุด มีนาคม
2550)
9. สถานที่ดำเนินการ
9.1 แปลงเกษตรกร
9.2 ห้องปฎิบัตการ และเรือนทดลอง กลุ่มวิจัยวัชพืช
10. ผลการทดลองและวิจารณ์
ประสิทธิภาพของสารสกัดฯจากแมงลักป่าทั้งต้นที่เจริญเติบโตเต็มที่ซึ่งสกัดโดยแช่น้ำไว้
ระยะเวลาต่างๆกันคือ 1-8 สัปดาห์ต่อการเจริญเติบโตของผักกาดหอมแสดงดังรูปที่ 1 พบว่า
สารสกัดฯอัตรา 1 กรัมน้ำหนักสดที่ได้จากการแช่แมงลักป่าทั้งต้นไว้ในน้ำ 1, 2, 3 และ 4
สัปดาห์มีความเป็นพิษต่อความยาวรากผักกาดหอมโดยผักกาดหอมมีความยาวราก 64, 18,
11 และ79 เปอร์เซ็นต์หรือรากผักกาดหอมถูกยับยั้งการเจริญเติบโต 36, 82, 89 และ 21
เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ และยอดมีความยาว 29, 9, 50 และ 116 เปอร์เซ็นต์หรือยอดผักกาด
หอมถูกยับยั้งการเจริญเติบโต 71, 91, 50 และ -16 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ซึ่งแสดงว่า
สารสกัดที่ได้จากการแช่แมงลักป่าทั้งต้นไว้ 1, 2, 3 สัปดาห์ ยับยั้งการเจริญเติบโตของราก
และยอดของผักกาดหอมมากกว่าสารสกัดที่ได้จากการแช่แมงลักป่าทั้งต้นไว้ 4 สัปดาห์และ
สารสกัดที่ได้จากการแช่แมงลักป่าทั้งต้นไว้ 4 สัปดาห์ส่งเสริมการเจริญเติบโตของยอดผักกาด
หอมและสารสกัดฯอัตราเดียวกันจากแมงลักป่าทั้งต้นที่แช่น้ำไว้ 5, 6, 7 และ 8 สัปดาห์ ทำให้
ผักกาดหอมมีความยาวราก 20-80 เปอร์เซ็นต์ ที่สารสกัดฯอัตราสูงขึ้นความยาวรากและยอด
ของผักกาดหอมถูกยับยั้งการเจริญเติบโตมากขึ้น และความยาวยอดผักกาดหอมถูกยับยั้งการ
เจริญเติบโตน้อยกว่าส่วนของราก ส่วนความยาวรากของหญ้าข้าวนกเมื่อได้รับสารสกัดฯที่แช่น้ำ
ไว้ 1, 2, 3 และ 4 สัปดาห์มีความยาว 50, 70, 84 และ 84 เปอร์เซ็นต์หรือรากหญ้าข้าวนก
ยับยั้งการเจริญเติบโต 50, 30,16 และ 16 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ แต่เมื่อได้รับสารสกัดฯจาก
แมงลักป่าทั้งต้นที่แช่น้ำไว้ 5-8 สัปดาห์ หญ้าข้าวนกมีความยาวราก 93 - 100 เปอร์เซ็นต์
หรือรากหญ้าข้าวนกถูกยับยั้งการเจริญเติบโต 0- 7 เปอร์เซ็นต์ และรากของหญ้าข้าวนกถูก
ยับยั้งการเจริญเติบโตมากขึ้นเมื่อได้รับสารสกัดอัตราสูงขึ้นและส่วนยอดของหญ้าข้าวนกถูก
ยับยั้งการเจริญเติบโตน้อยกว่าส่วนของราก
จากผลการทดลองแสดงว่าสารสกัดจากแมงลักป่าทั้งต้นที่เจริญเติบโตเต็มที่เมื่อแช่น้ำไว้ตั้งแต่
1-3 สัปดาห์จะได้สารสกัดฯที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงกว่าเมื่อแช่น้ำไว้ 4-8
สัปดาห์ แมงลักป่าทั้งต้นเมื่อแช่น้ำไว้ 1 สัปดาห์จะให้สารที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโต
ของพืชและเมื่อแช่ไว้ 2-3 สัปดาห์สารสกัดที่ได้มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืช
มากขึ้นแต่เมื่อแช่ไว้ 4 สัปดาห์สารสกัดที่ได้มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชน้อย
ลงซึ่งอาจเกิดจากการแช่แมงลักป่าไว้นานสารสกัดฯ ที่ได้อาจเกิดการสลายตัวทำให้
ประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชลดลงสารสกัดฯ ของใบแมงลักป่าที่แช่น้ำไว้
1-8 สัปดาห์เมื่อนำมาทดสอบความเป็นพิษต่อการเจริญเติบโตของผักกาดหอม พบว่า
สารสกัดฯ ที่ได้จากการแช่ใบของแมงลักป่าไว้ 1 และ 2 สัปดาห์ ที่อัตรา 1 กรัมน้ำหนักสด ทำ
ให้ผักกาดหอม มีความยาวราก 121, 150 และความยาวยอด 185, 130 เปอร์เซ็นต์ หรือส่ง
เสริมการเจริญเติบโต ของรากผักกาดหอม 21, 50 และความยาวยอด 85 , 30 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่ สารสกัดจากใบแมงลักป่าที่แช่น้ำไว้ 4-8 สัปดาห์ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากและ
ยอดของผักกาดหอม ทำให้ผักกาดหอมมีความยาวราก 100 – 160 และความยาวยอด 107-
163 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสารอัลลิโลพาธิกหรือสารที่มีในพืชนั้นจะแสดงความเป็นพิษต่อพืชเมื่อพืช
ได้รับสารสกัดฯ ในปริมาณมากและจะส่งเสริมการเจริญเติบโตเมื่อพืชได้รับสารสกัดฯ ปริมาณ
น้อย ส่วนประสิทธิภาพของสารสกัดฯจากใบของแมงลักป่าที่มีต่อหญ้าข้าวนก พบว่าสารสกัด
จากใบแมงลักป่าที่แช่น้ำไว้ 1, 2, 3 และ 4 สัปดาห์ที่อัตรา 1 กรัมน้ำหนักสด หญ้าข้าวนกมี
ความยาว 117, 121, 119 และ 152 เปอร์เซ็นต์ ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดจากใบแมงลักป่าที่แช่น้ำ
ไว้ 1, 2 และ 3 สัปดาห์ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของหญ้าข้าวนกน้อยกว่าสารสกัดที่ได้จาก
การแช่ใบแมงลักป่าไว้ 4 สัปดาห์ และสารสกัดที่ได้จากการแช่ใบแมงลักป่าไว้ 5-8 สัปดาห์มี
ผลส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากหญ้าข้าวนก 57-74 เปอร์เซ็นต์ คือ หญ้าข้าวนกมีความยาว
ราก 157-174 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าใบแมงลักป่าเมื่อแช่น้ำไว้ 1-3 สัปดาห์ จะให้สารสกัดฯ ที่มี
ประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืช สูงและประสิทธิภาพของสารสกัดจะลดลงถ้าแช่ใบ
แมงลักป่าไว้ 4-8 สัปดาห์ส่วนลำต้นแมงลักป่าเมื่อแช่น้ำไว้ 1-8 สัปดาห์ เมื่อนำมาทดสอบ
ความเป็นพิษต่อการเจริญเติบโตของผักกาดหอม พบว่า สารสกัดฯ ที่ได้จากการแช่ต้นของ
แมงลักป่าไว้ 1, 2, 3 และ 4 สัปดาห์ที่อัตรา 2.5 กรัมน้ำหนักสด ทำให้ผักกาดหอม มีความ
ยาวราก 113, 74, 106 และ 120 เปอร์เซ็นต์และความยาวยอด 108, 115, 114 และ 107
เปอร์เซ็นต์ตามลำดับแสดงว่า สารสกัดจากต้นแมงลักป่าที่แช่น้ำไว้ 1 สัปดาห์ ส่งเสริมการเจริญ
เติบโตของรากผักกาดหอม 13 เปอร์เซ็นต์ สารสกัดจากต้นแมงลักป่าที่แช่น้ำ 2, 3 และ 4
สัปดาห์ ยับยั้งการเจริญเติบโตของรากผักกาดหอม 26 เปอร์เซ็นต์ และ ส่งเสริมการเจริญเติบ
โต รากผักกาดหอม 6 และ 20 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่สารสกัดจากต้นแมงลักป่าที่แช่น้ำไว้ 5-8
สัปดาห์ ทำให้ผักกาดหอมมีความยาวราก 100 – 120 และความยาวยอด 107- 146 เปอร์
เซ็นต์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสารสกัดฯที่ได้จากการแช่ใบแมงลักป่าในน้ำไว้ 2 -3 สัปดาห์มีความเป็น
พิษต่อผักกาดหอมมากกว่าสารสกัดฯ ที่ได้จากการแช่น้ำไว้ในระยะเวลา 1 และ 4 - 8 สัปดาห์
ผลของสารสกัดจากต้นของแมงลักป่าที่มีต่อหญ้าข้าวนก พบว่าสารสกัดจากต้นแมงลักป่าที่แช่
น้ำไว้ 1, 2, 3 และ 4 สัปดาห์ที่อัตรา 5 กรัมน้ำหนักสด หญ้าข้าวนกมีความยาว 135, 103,
102 และ 138 เปอร์เซ็นต์ ชี้ให้เห็นสารสกัดจากต้นแมงลักป่าที่แช่น้ำไว้ 1 และ 4 สัปดาห์ส่ง
เสริมการเจริญเติบโตของหญ้าข้าวนกมากกว่าสารสกัดที่ได้จากการแช่ต้นแมงลักป่าไว้ 2 และ 3
สัปดาห์แสดงว่าการแช่ต้นแมงลักป่าไว้ 2-3 สัปดาห์จะได้สารสกัดที่มีความเป็นพิษมากกว่าเมื่อ
แช่ต้นแมงลักป่าไว้ 1 และ 4 สัปดาห์ และสารสกัดที่ได้จากการแช่ต้นแมงลักป่าไว้ 5-8
สัปดาห์ ก็มีผลต่อการเจริญเติบโตของรากและยอดหญ้าข้าวนกโดยส่งเสริมการเจริญเติบโตของ
รากประมาณ 13-70 เปอร์เซ็นต์และส่งเสริมการเจริญเติบโตของยอดประมาณ 42-49
เปอร์เซ็นต์ซึ่งแสดงว่าส่วนของต้นแมงลักป่าเมื่อแช่น้ำไว้ 2-3 สัปดาห์จะได้สารสกัดที่มี
ประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงแมงลักป่าเป็นวัชพืชที่พบได้ทั่วไปและเจริญได้ดี
ทุกสภาพพื้นที่แต่ในฤดูฝนและฤดูแล้งการเจริญเติบโตของต้นแมงลักป่าจะแตกต่างกันคือในฤดู
ฝนต้นแมงลักป่าจะมีลำต้นอวบสีเขียวสดและใบมีขนาดใหญ่สีเขียวสดสัดส่วนของใบจะมี
มากกว่าส่วนของลำต้น แต่ต้นแมงลักป่าที่เจริญเติบในฤดูแล้งจะมีลำต้นเล็กแข็งสีเขียวเข้มและ
ใบมีขนาดเล็กสีเขียวเข้มดังนั้นจึงนำแมงลักป่าที่เจริญเติบโตในฤดูแล้งมาหาช่วงเวลาสกัดสารฯ
ให้ได้สารสกัดที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตสูง
จากการนำแมงลักป่าที่เจริญเติบโตในฤดูแล้งซึ่งมีต้นแคระแกรน ลำต้นมีขนาดเล็กมีสีเขียวปน
น้ำตาลและใบมีขนาดเล็กมีสีเขียวเข้มสัดส่วนของใบจะมีน้อยกว่าส่วนของลำต้น มาสกัดหา
สารฯโดยการแช่น้ำไว้เป็นระยะเวลาต่างๆกัน ปรากฏว่าเมื่อนำสารสกัดฯที่ได้ไปทดสอบ
ประสิทธิภาพต่อการเจริญเติบโตของหญ้าข้าวนกพบว่า หญ้าข้าวนกที่ได้รับสารสกัดฯจากการแช่
แมงลักป่าทั้งต้นในน้ำเป็นเวลา 1, 2, 3 และ 4 สัปดาห์อัตรา 1 กรัมน้ำหนักสด มีความยาวราก
149, 115, 120 และ 118 เปอร์เซ็นต์และความยาวยอด 113, 104, 107 และ 109
เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ และหญ้าข้าวนกที่ได้รับสารสกัดฯจากแมงลักป่าที่แช่น้ำไว้ 5, 6, 7 และ
8 สัปดาห์ ความยาวราก 144, 129, 125 และ 137 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ซึ่งแสดงว่า
สารสกัดจากแมงลักป่าทั้งต้นที่เจริญเติบโตในฤดูแล้งเมื่อแช่น้ำไว้ 2- 4 สัปดาห์ จะให้
สารสกัดฯ ที่มีประสิทธิภาพต่อการเจริญเติบโตของพืชสูงกว่าสารสกัดฯที่ได้จากการแช่น้ำ 1
และ 5 - 8 สัปดาห์
11. สรุปผลการทดลอง
จากผลการทดลองแสดงว่าสารสกัดฯด้วยน้ำจากแมงลักป่าทั้งต้นที่เจริญเติบโตสมบูรณ์ซึ่งลำ
ต้นและใบมีขนาดใหญ่สีเขียวสดและสัดส่วนของใบมีมากกว่าส่วนของลำต้นนั้นเมื่อแช่น้ำไว้ 1
สัปดาห์จะได้สารที่มีประสิทธิภาพต่อการเจริญเติบโตของพืชสูง และเฉพาะส่วนของใบเมื่อแช่
น้ำไว้ 1 สัปดาห์ จะให้สารที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดียวกับสารที่ได้จากแมงลักป่าทั้งต้น แต่ส่วน
ของลำต้นต้องแช่น้ำไว้ 2-3 สัปดาห์จึงจะให้สารที่มีประสิทธิภาพสูง ส่วนแมงลักป่าที่เจริญเติบ
โตในฤดูแล้งซึ่งต้นแคระแกรน ลำต้นมีขนาดเล็กมีสีเขียวปนน้ำตาลและใบมีขนาดเล็กมีสีเขียว
เข้มและสัดส่วนของใบจะมีน้อยกว่าส่วนของลำต้นนั้นจะให้สารที่มีประสิทธิภาพสูงจะต้องแช่น้ำ
ไว้ 2-4 สัปดาห์
12. การนำไปใช้ประโยชน์ :
การสกัดสารจากแมงลักป่าด้วยน้ำเป็นวิธีการที่ง่ายและเกษตรกรสามารถปฏิบัติได้และการที่
ทราบช่วงเวลาในการสกัดให้ได้สารที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงจากส่วน
ต่างๆของแมงลักป่าและจากแมงลักป่าที่เจริญเติบโตในฤดูต่างจะช่วยให้เกษตรกรใช้ประโยชน์
จากแมงลักป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยังเป็นข้อมูลในการสกัดสารจากแมงลักป่าด้วย
น้ำเพื่อนำสารสกัดฯไปศึกษาด้านอื่นๆ ต่อไป
13. เอกสารอ้างอิง
ชอุ่ม เปรมัษเฐียร, ศิริพร ซึงสนธิพร 2538 สารที่เป็นพิษต่อวัชพืชใบกว้าง วารสารวิทยา
ศาสตร์เกษตร ปีที่ 28 หน้า 9-20
ที่มา : กรมวิชาการเกษตร
********************************************************************************************************
"แมงลักป่า - แมงลักคา - กระเพราผี - อีตู่ป่า - การา"
ตัวเดียวกัน กลิ่นฉุนแรง
"แมงลักคา" หรือบางพื้นที่เรียก แมงลักป่า อีตู่ป่า นอกจากมีสรรพคุณรักษาโรคไข้หวัดได้แล้ว ชาว
อีสานหลายครอบครัวยังชอบนำไปใส่ในแกงออม เพราะกลิ่นฉุนแรงกว่าแมงลักธรรมดา หรือแรงกว่าใบ
กะเพราเสียอีก
เป็นไม้พุ่มเตี้ยกึ่งล้มลุก ในวงศ์ LAMIACEAE ลำต้นตรงลักษณะจะออกเหลี่ยม สูงเท่าที่พบเห็นโดย
ไปราว 40-80 เซนติเมตร แต่ถ้าดูแลให้ดี ใส่ปุ๋ยอาจสูงถึง 1.5 เมตร ตามลำต้นมีขนอ่อนปกคลุม
ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามตามกิ่งและต้น ก้านใบสีน้ำตาลแดงยาว 1-4 เซนติเมตร ทรงรีกว้าง
2-6 เซนติเมตร ยาว 2-7 เซนติเมตร โคนใบมนและเว้า ปลายแหลม ขอบหยัก
ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ แต่ละช่อมีดอกย่อยขนาดเล็ก 3-6 ดอก เวลาบานสีออกม่วง มีกลีบ
เลี้ยง 5 กลีบ สีเขียว มีเกสรตัวผู้ 4 อัน และเกสรตัวเมีย 1 อัน
ผล เป็นหลอดหรือเป็นฝักยาว 8-12 มิลลิเมตร ด้านในมีเมล็ด 2 ลักษณะเมล็ดจะออกแบนๆ
ขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด และปักชำ ชอบดินร่วน ความชื้นค่อนข้างมาก และแสงแดดเต็มวัน
*************************************************************************************************************
ศิริพร ซึงสนธิพร
สกัดสารฯ จากแมงลักป่าด้วยน้ำ
Address สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร
Keywords วิจัยเทคโนโลยีการผลิตและการใช้สารสกัดจากพืชเพื่อควบคุมแมลง
ศัตรูพืช
การสกัดสารฯจากแมงลักป่าด้วยน้ำเพื่อให้ได้สารสกัดฯที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการ
เจริญเติบโตของพืชสูง ด้วยน้ำโดยนำแมงลักป่าทั้งต้น (ต้น+ใบ) ที่เจริญเติบโตใน
ฤดูฝน
ส่วนของใบ ส่วนของลำต้น และแมงลักป่า ทั้งต้น(ต้น+ใบ) ที่เจริญเติบโตในฤดูแล้ง
มาแช่น้ำเป็นระยะเวลาต่างๆกัน ตั้งแต่ 1-8 สัปดาห์ แล้วนำสารสกัดฯ ที่ได้ในแต่ละ
ช่วงเวลาการสกัดสารฯมาทดสอบประสิทธิภาพที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชโดย
ใช้ หญ้าข้าวนก และผักกาดหอมเป็นพืชทดสอบพบว่าสารสกัดฯจากแมงลักป่าที่
เจริญเติบโตในฤดูฝน ฤดูแล้งและจากส่วนใบและ ส่วนลำต้นของแมงลักป่าที่แช่น้ำไว้
ระยะเวลาต่างๆ กันนั้น ให้สารสกัดฯ ที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโต ของพืช
ทุกระยะการแช่น้ำ แต่ระยะที่เหมาะสมในการแช่ส่วนต่างๆ ของแมงลักป่าให้ได้
สารสกัดฯ ที่มีประสิทธิภาพ ยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงแตกต่างกัน
แมงลักป่าทั้งต้น (ต้น+ใบ) ที่เจริญเติบโตสมบูรณ์ในฤดูฝนและ ส่วนของใบแมงลัก
ป่าจะให้สารสกัดฯ ที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชตั้งแต่สัปดาห์แรก
ของการแช่น้ำ และสารสกัดฯ ที่ได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเมื่อแช่น้ำไว้ 2 และ 3
สัปดาห์
ส่วนสารสกัดฯ จากส่วนลำต้นแมงลักป่าจะมี ประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของ
พืชสูงเมื่อแช่น้ำไว้ 2-3 สัปดาห์ ส่วนสารสกัดฯจากแมงลักป่าทั้งต้นที่ เจริญเติบโต
ในฤดูแล้งจะให้สารสกัดฯที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงเมื่อแช่น้ำ
ไว้ 2-4 สัปดาห์
ส่วนสารสกัดฯจากแมงลักป่าทั้งต้นหรือจากส่วนต่างๆของแมงลักป่าที่ได้จากการแช่
น้ำไว้ 5-8 สัปดาห์ ยังมีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชแต่ประสิทธิภาพ
นั้นลดลงและสามารถนำมาใช้ได้แต่ต้องเพิ่มอัตราการใช้ ให้สูงขึ้น
ส่วนลำต้นแมงลักป่าจะมีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชสูงเมื่อแช่น้ำไว้
2-3 สัปดาห์ ส่วนสารสกัดฯจากแมงลักป่าทั้งต้นที่เจริญเติบโตในฤดูแล้งจะให้
สารสกัดฯที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโต ของพืชสูงเมื่อแช่น้ำไว้ 2-4
สัปดาห์
ส่วนสารสกัดฯจากแมงลักป่าทั้งต้นหรือจากส่วนต่างๆของแมงลักป่าที่ได้จาก การแช่
น้ำไว้ 5-8 สัปดาห์ยังมีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชแต่ประสิทธิภาพ
นั้นลดลงสามารถนำมาใช้ได้แต่ต้องเพิ่มอัตราการใช้ให้สูงขึ้น
ที่มา : กรมวิชาการเกษตร
*********************************************************************************************************************
แมลงลักป่า...แมงลักคา....กระเพราผี....อีตู่ป่า
ชอบชื่อไหนจ๊ะ
********************************************************************************************************************
ประสบการณ์ตรง :
5.สูตรต้มเคี่ยว
วัสดุส่วนผสมและวิธีทำ :
เลือกพืชสมุนไพรที่มีสารออกฤทธิ์ สภาพสดหรือแห้ง ส่วนที่มีสารออกฤทธิ์มากที่สุด อายุและ
สภาพแวดล้อม ตามต้องการหรือตามหลักวิชาการ สับเล็กหรือบดละเอียดปริมาณ 1-2 กก.
น้ำที่ออกมาอย่าทิ้ง ใส่ลงในถังโลหะ (ปี๊บ)ที่มีน้ำ 10-20 ล.ยกขึ้นตั้งไฟ
ต้มครั้งที่ 1 ........ ให้เดือดจัด เสร็จแล้วใช้ตะแกงกรองเอาสมุนไพรที่ต้ม
แล้วออกทิ้งไป ใส่สมุนไพรตัวเดิม ปริมาณเท่าเดิมลงไปแทน เตรียมต้มรอบ 2
ต้มครั้งที่ 2 ........ เดือดจัดแล้วใช้ตะแกงกรองเอาสมุนไพรที่ต้มแล้วออกทิ้งไป
ใส่สมุนไพรตัวเดิม ปริมาณเท่าเดิมลงไป เตรียมต้มรอบ 3
ต้มครั้งที่ 3 ........ เดือดจัดแล้วใช้ตะแกงกรองเอาสมุนไพรที่ต้มแล้วออกทิ้งไป
ใส่สมุนไพรตัวเดิม ปริมาณเท่าเดิมลงไปแทน แล้วต้มจนเดือดจัดเป็นครั้งสุดท้าย เสร็จ
แล้วยกลง ปล่อยให้เย็น แล้วให้กรองเอากากออกก็จะได้หัวเชื้อน้ำต้มสมุนไพรเข้มข้นพร้อม
ใช้งาน
กากก้นถังที่ได้นำไปตากแห้ง เก็บไว้ใช้รองก้นหลุมปลูก หรือโรยหน้าดิน ช่วยป้องกันแมลงใน
ดินได้เป็นอย่างดี
สูตรนี้ไม่แนะนำให้เก็บไว้นานเพราะจะเน่าหรือบูด กรณีพืชสมุนไพรประเภทหัว ซึ่งมี
แป้งเป็นส่วนผสมหลัก จะบูดเน่าเร็วกว่าสมุนไพรประเภทใบ/ดอก/ผล ดังนั้นจึงควรทำ
ครั้งละเพียงพอต่อการใช้ 1 ครั้ง แต่หากต้องการเก็บนานให้เติมเหล้าขาวหรือแอลกอฮอร์
อัตรา 1 ล.ต่อน้ำสกัด 10 ล. แอลกอฮอร์จะช่วยแก้อาการบูดเน่าได้
หมายเหตุ :
สูตรต้มเคี่ยวทำได้ 2 แบบ คือ
แบบที่ 1. ....... ต้มเคี่ยวครบ 3 รอบแล้วกรองเอากากออกได้น้ำใสเท่าไรก็ได้เท่า
นั้น ใช้งานได้เลย ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์มีเท่าไรก็มีเท่านั้น
แบบที่ 2. ........ ต้มเคี่ยวครบ 3 รอบ กรองเอากากออกจนได้น้ำใสแล้ว ให้ต้ม
เคี่ยวต่อโดยไม่ต้องเติมพืชสมุนไพรอีก ต้มเคี่ยวจนกระทั่งน้ำระเหยไปไอหายไป เหลือ 1
ใน 4 ของครั้งแรก เสร็จแล้วปล่อยทิ้งให้เย็น ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์จะแรงขึ้น
ที่มา : copy เมนูหลัก - สารสกัดสมุนไพร
เมื่อทราบจากข้อมูลงานวิจัยแล้วว่า "ผักกาดน้ำ. แมงลักคา. สาบเสือ. เทียนหยด"
ต่างมีสารออกฤทธิ์ในการ ควบคุม/กำจัด วัชพืช
การเลือกใช้พืชสมุนไพรหลายๆ ตัว ที่มีสารออกฤทธิ์เหมือนกัน มารวมกันแล้ว "ต้ม
เคี่ยว" ตามกรรมวิธีดังกล่าว นอกจากจะได้สารออกฤทธิ์เข้มข้นขึ้นแล้ว ยังได้สารออก
ฤทธิ์หลายอย่างในงานเดียวกัน แบบ "ตัวต่อตัวมีรุม" อีกด้วย ประมาณนั้น
ลุงคิมครับผม
*********************************************************************************************************************
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.