น้อยหน่า
หน้า: 2/2
ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อน้อยหน่า
1. เรียกใบอ่อนเพื่อสะสมอาหาร
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 46-0-0(200 กรัม)หรือ 25-5-5(200 กรัม) อย่างใดอย่างหนึ่ง + จิ๊บเบอเรลลิน 10 กรัม + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (1/2-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำเปล่าปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มให้หลังจากตัดแต่งกิ่งเพื่อเรียกใบอ่อน
- การแตกใบอ่อนของน้อยหน่าไม่จำเป็นต้องพร้อมกันทั้งต้น แต่ต้นที่แตกใบอ่อนใหม่จำนวนมากย่อมดีกว่าต้นที่แตกใบอ่อนน้อย เพราะหมายถึงจำนวนใบที่ต้องใช้สังเคราะห์อาหาร
- ถ้าใบอ่อนชุดแรกออกมาไม่มากแต่ต้องการมากๆก็ให้ฉีดพ่นทางใบซ้ำอีก 1 รอบ ห่างจากรอบแรก 7-10 วัน ก็ได้
- ยอดแตกใหม่ชุดนี้จะไม่มีดอกเพราะ 25-7-7 + จิ๊บเบอเรลลิน (ทางใบ) กับ 25-7-7 (ทางราก) เป็นตัวกำกับ แต่ถ้ามีดอกตามออกมาด้วยก็ให้เด็ดดอกนั้นทิ้งไป วิธีป้องกันดอกออกมาพร้อมกับยอดให้ฉีดพ่นทางใบถี่ขึ้น
2. เร่งใบอ่อนเป็นใบแก่
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 0-21-74 (200 กรัม) หรือ 0-39-39(400 กรัม)สูตรใดสูตรหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ ฮอร์โมนไข่ 50 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. พ่นพอเปียกใบ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ลงมือปฏิบัติเมื่อใบอ่อนเริ่มแผ่กางหรือเพสลาด
- วัตถุประสงค์เพื่อเร่งใบชุดใหม่ให้สังเคราะห์อาหารได้และเร่งระยะเวลาเรียกใบอ่อนชุดต่อไปเร็วขึ้น กับทั้งเพื่อให้ใบอ่อนรอดพ้นจากทำลายของแมลงปากกัดปากดูด
- น้อยหน่าไม่จำเป็นต้องเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ เพราะหลังจากใบอ่อนออกมาแล้วจะมีดอกออกตามมา แต่ถ้าจะให้บ้างสัก 1 รอบหลังจากเห็นว่ามีใบอ่อนออกมามากพอสมควร ซึ่งสารอาหารในกลุ่มเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ (ฟอสฟอรัส. และ โปแตสเซียม.)ช่วยเสริมประสิทธิภาพให้ดอกออกมาดี
- ใบอ่อนที่ออกมาแล้วปล่อยให้เป็นใบแก่ตามธรรมชาติต้องใช้ระยะเวลา 30-45 วัน
3. สะสมอาหารเพื่อการออกดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 0-42-56 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 5-7 วัน ติดต่อกัน 2-3 รอบแล้วให้ น้ำ 100 ล.+ เอ็นเอเอ. 25 ซีซี.+ ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. สลับ 1 รอบ ฉีดพ่นพอเปียกใบ ติดต่อกัน 1-2 เดือน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 (1/2-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มให้ครั้งแรกเมื่อใบอ่อนที่แตกใหม่เพสลาดหรือกลางอ่อนกลางแก่
- แนวทางบำรุงให้ต้นได้สะสมอาหารเพื่อการออกดอกไว้มากที่สุดควรเตรียมแผนใช้เวลาบำรุง 2-2 เดือนครึ่ง
- จำนวนครั้งหรือระยะเวลาในการให้ไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับสภาพต้นมีความพร้อมสำหรับการเปิดตาดอก (อั้นตาดอก) หรือยัง เนื่องจากน้อยหน่าไม่มีตุ่มตาดอกให้สังเกตจึงให้พิจารณาจากลักษณะใบ กิ่ง และสภาพทรงพุ่มเป็นหลัก
1. เรียกใบอ่อนเพื่อเปิดตาดอก
การปฏิบัติ :
กิ่งแก่ :
ตัดปลายกิ่งลึกเข้ามาถึงส่วนที่แก่จัดให้เหลือปลายกิ่งเป็น 2 แฉกแบบง่ามหนังสะติ๊ก ขนาดความยาวของขาง่ามหนังสะติ๊กประมาณ 3-5 นิ้ว หลังจากตัดปลายกิ่งแล้ว กิ่งที่เหลือจะต้องมีตุ่มตาหรือข้อสำหรับแทงยอดใหม่ 3-5 ตุ่มเป็นหลัก
กิ่งแขนง :
กิ่งขนาดโตขนาดนิ้วก้อยขึ้นไปให้ตัดปลายกิ่งทิ้งเหลือไว้แต่ส่วนกิ่งแก่และให้มีตุ่มตา 2-3 ตุ่ม
กิ่งย่อย :
ให้ตัดทิ้งทั้งหมด ตัดชิดกิ่งประธาน ทั้งในทรงพุ่มและชายพุ่ม หลังจากตัดแต่งกิ่งแล้วให้รูดใบทิ้งทั้งหมดจนต้นเหลือแต่กิ่งเปล่าๆ จากนั้นเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุง
ทางใบ :
งดการฉีดพ่นสารอาหารทุกชนิดเพราะบนต้นไม่มีใบ แต่หากจะฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรเพื่อกำจัดเชื้อราและไข่แม่ผีเสื้อที่อาจจะแอบแฝงอยู่ตามผิวเปลือกทั้งต้นและกิ่งก็สามารถทำได้
ทางราก :
- เปิดหน้าดินโคนต้นโดยนำอินทรียวัตถุคลุมโคนต้นออกให้แดดส่องถึงพื้นดิน
- งดให้น้ำเด็ดขาด
- สวนพื้นที่ดอนจะเปิดหน้าดินโคนหรือไม่เปิดก็ได้ ทั้งนี้ให้พิจารณาปริมาณน้ำใต้ดินโคนต้นเป็นหลัก ถ้าพื้นที่สวนอยู่ในที่ลุ่มระดับน้ำใต้ดินตื้นอาจจะต้องเปิดหน้าดินโคนต้น ส่วนสวนยกร่องน้ำหล่อจะต้องสูบน้ำออกแล้วเปิดหน้าดินโคนต้นแน่นอน
หมายเหตุ :
- หลังจากบำรุงต้นให้มีการสะสมอาหารเพื่อการออกดอกเต็มที่แล้ว มาตรการตัดแต่งกิ่ง รูดใบทิ้งทั้งหมด และงดน้ำก็คือการ “ปรับ ซี/เอ็น เรโช” นั่นเอง
- การตัดแต่งกิ่งแล้วรูดใบออกจนหมดทั้งต้นเลยนั้นทำให้ไม่มีใบไว้สำหรับสังเกตผลของปรับ ซี/เอ็น เรโช. (ใบสลด) กรณีนี้อาจยอมให้คงเหลือใบไว้บ้างเล็กน้อย (5-10ใบ) กระจายทั่วต้น ใบที่คงเหลือไว้นี้ควรอยู่ห่างจากตุ่มตาที่คาดว่าจะมียอดใหม่พร้อมกับดอกออกมา ก็สามารถใช้เป็นจุดสังเกตอาการใบสลดได้
- โดยปกติระยะเวลาการงดน้ำเพื่อให้ต้นเกิดความเครียดหรือปรับ ซี/เอ็น เรโช ในสวนพื้นราบที่ดอนควรใช้ระยะเวลาประมาณ 5-7 วัน ส่วนในสวนพื้นราบที่ลุ่มระดับน้ำใต้ดินตื้นควรใช้ระยะเวลาประมาณ 7-10 วัน
- การตัดแต่งกิ่งพร้อมกันทั้งต้นจะทำให้ดอกออกมาพร้อมกันเป็นชุดเดียวทั้งต้น แต่ถ้าตัดแต่งเฉพาะกิ่งดอกก็จะออกมาเฉพาะกิ่งที่ตัดแต่งนั้นเท่านั้น ส่วนกิ่งที่ยังไม่ได้ตัดแต่งก็จะยังไม่ออกดอก กรณีนี้สามารถกำหนดให้น้อยหน่าออกดอกจากกิ่งไหนก่อนหรือหลังก็ได้ตามต้องการ
5. เปิดตาดอก
ทางใบ :
งดการฉีดพ่นสารอาหารทุกชนิดเพราะบนต้นไม่มีใบ แต่หากจะฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรเพื่อกำจัดเชื้อราและไข่แม่ผีเสื้อที่อาจจะแอบแฝงอยู่ตามผิวเปลือกทั้งต้นและกิ่งก็สามารถทำได้
ทางราก :
- ให้ 8-24-24 (1/2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- กรณีต้นที่เปิดหน้าดินโคนต้นให้อินทรีย์วัตถุปกคลุมโคนต้นอย่างเดิม
- ให้น้ำเปล่า ช่วงแรกให้วันต่อวัน 3-4 รอบ จากนั้นให้วันเว้นวัน และวันเว้นสองวัน
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติหลังจากครบกำหนดงดน้ำแล้ว
- เมื่อต้นได้รับน้ำต้นจะแตกใบอ่อนออกมา
- ธรรมชาติของน้อยหน่าทุกสายพันธุ์ เมื่อแตกยอดอ่อนจะมีดอกออกตามมาด้วย จำนวนดอกจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการบำรุงสะสมอาหารเพื่อการออกดอก หากไม่มีการสะสมตาดอกอย่างพอเพียงมาก่อน ยอดอ่อนที่แตกออกมาใหม่อาจจะมีแต่ยอดโดยไม่มีดอกก็ได้
6. บำรุงดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 15-45-15 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ เอ็นเอเอ.100 ซีซี.+ ฮอร์โมนไข่ 50 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ยังคงเปิดหน้าดินโคนต้น
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 หรือ 9-26-26 สูตรใดสูตรหนึ่ง (1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ให้ครั้งแรกตั้งแต่ช่อดอกเริ่มปรากฏให้เห็น (พร้อมกับยอดหรือหลังยอด) และให้ไปเรื่อยๆตราบที่ยังมีดอกชุดใหม่ออกตามมาอีก
- ไม่ควรฉีดพ่นปุ๋ยน้ำชีวภาพที่มีส่วนผสมของกากน้ำตาล เพราะกากน้ำตาลอาจเป็นตัวเรียกเชื้อราเข้ามาทำลายดอกได้
- การทำฝนชะช่อด้วยสปริงเกอร์เหนือหรือในทรงพุ่มช่วงดอกยังตูมบ้างเป็นครั้งคราวจะช่วยให้ดอกและเกสรสะอาดสมบูรณ์ส่งผลให้การผสมติดดีขึ้น
- ให้มูลค้างคาวบางๆบริเวณชายพุ่มแล้วรดด้วยปุ๋ยน้ำชีวภาพหมักจากปลาพอหน้าดินชื้นจะช่วยเสริมการออกดอกดีขึ้น
- การบำรุงดอกด้วยฮอร์โมน เอ็นเอเอ. เมื่อก้านเริ่มแทงออกมาให้เห็น 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วันจะช่วยให้เกสรทั้งตัวผู้และตัวเมียสมบูรณ์แข็งแรงส่งผลให้การผสมติดดีขึ้น เพื่อความมั่นใจในเปอร์เซ็นต์หรือประสิทธิภาพของฮอร์โมน เอ็นเอเอ. แนะนำให้ใช้ฮอร์โมน เอ็นเอเอ.วิทยาศาสตร์แทนฮอร์โมน เอ็นเอเอ.ทำเองจะได้ผลกว่า
- ช่วงดอกเริ่มแทงออกมาใหม่ๆให้แคลเซียม โบรอน.1 รอบ จะช่วยให้ดอกสมบูรณ์ผสมติดดี
- ฉีดพ่นสารอาหารเพื่อบำรุงดอกด้วยเครื่องมือฉีดพ่นที่มีแรงลมพ่นเบาที่สุด ตามความเหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อส่วนต่างๆของดอก ฉีดพ่นที่ช่อดอกโดยตรงพอเปียกหรือฉีดพ่นให้ทั่งทรงพุ่มพอเปียกใบก็ได้
- บำรุงดอกช่วงฝนชุกให้เน้น “สังกะสี และ แคลเซียม โบรอน” โดยให้เมื่อดอกออกมาแล้วหรือให้แบบสะสมล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเปิดตาดอก ด้วยวิธีให้เดี่ยวๆหรือผสมรวมไปกับธาตุอาหารอื่นๆก็ได้
- การฉีดพ่นใดๆควรกระทำในช่วงดอกตูมเท่านั้น เมื่อถึงช่วงดอกบานต้องงดการฉีดพ่นทุกชนิดเพราะจะทำให้เกสรเปียกผสมไม่ติดได้
- งดการฉีดพ่นสารเคมีเด็ดขาดเพราะจะขัดขวางแมลงธรรมชาติที่เข้าช่วยผสมเกสร
7. บำรุงผลเล็ก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 21-7-14 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- นำอินทรีย์วัตถุกลับเข้าคลุมโคนต้นให้เหมือนเดิม
- ใส่ยิบซั่มธรรมชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการใส่เมื่อช่วงเตรียมดิน
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำเปล่าพอหน้าดินชื้น ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มปฏิบัติหลังผสมติดหรือกลีบดอกร่วง
- ค่อยเพิ่มปริมาณน้ำเพื่อให้ต้นรู้ตัว
8. บำรุงผลกลาง
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 21-7-14(200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + ไคโตซาน 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 21-7-14 (1/2 กก)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำเปล่าปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ให้ครั้งแรกเมื่อเมล็ดเริ่มเข้าไคล
- ให้ทางใบด้วยไคโตซาน + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 2-3 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลกลางจะช่วยบำรุงขยายขนาดผลให้ใหญ่และเนื้อแน่นขึ้นแต่เมล็ดมีขนาดเท่าเดิม
- ถ้าต้นติดผลดกมากควรให้แม็กเนเซียม. สังกะสี. แคลเซียม โบรอน. 1-2 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดระยะผลกลางจะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากรับภาระเลี้ยงผลมาก
9. บำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว
ทางใบ :
- ในรอบ 7 วันให้น้ำ 100 ล. + 0-21-74 (200 กรัม) หรือ 0-0-50 (200 กรัม) อย่างใดอย่างหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วันก่อนเก็บเกี่ยว ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ให้สารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ 13-21-21 หรือ 8-24-24 สูตรใดสูตรหนึ่ง (1/2-1 กก.)/ ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำปกติ ทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- น้อยหน่าเป็นผลไม้ที่มีรสหวานโดยธรรมชาติอยู่แล้วต่างกันที่หวานมากหรือหวานน้อยเท่านั้นแม้จะไม่มีการบำรุงเร่งหวานทางใบ แต่ถ้าได้บำรุงด้วยสูตรเร่งหวานทางใบจะทำให้หวานจัดยิ่งขึ้น หรือหวานกว่าปกติเรียกว่าหวานทะลุองศาบริกซ์
- ก่อนเก็บเกี่ยวไม่จำเป็นต้องงดน้ำเหมือนผลไม้อื่นๆแต่ก็ไม่ควรให้น้ำจนมากเกินไป หรือให้เพียงหน้าดินชื้นก็พอ
- กรณีที่ในต้นมีผลเป็นรุ่นเดียวกันทั้งต้นให้ใช้ 13-13-21 แต่หลังเก็บเกี่ยวแล้วต้นจะโทรม ต้องเร่งบำรุงพื้นฟูสภาพต้นทันทีหลังจากผลสุดท้ายออกจากต้น
- การบำรุงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวโดยให้ทางรากด้วย 8-24-24 เหมาะสำหรับต้นที่มีผลหลายรุ่นซึ่งหลังจากเก็บเกี่ยวผลแก่รุ่นแรกไปแล้วจะช่วยบำรุงผลชุดหลังต่อ นอกจากนี้ยังทำให้ต้นไม่โทรมเหมาะสำหรับการเตรียมความพร้อมต้นต่อการปฏิบัติบำรุงรุ่นปีต่อไปอีกด้วย
วงรอบในการทำน้อยหน่านอกฤดู :
* น้อยหน่าปีออกดอกช่วงเดือน มี.ค. แล้วเป็นผลแก่เก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือน ก.ค. รวมเวลาตั้งแต่ออกดอกถึงเก็บเกี่ยว 4 เดือน
* น้อยหน่าไม่ต้องการกระทบหนาวแต่ต้องการกระทบแล้ง (ไม่มีน้ำ/งดน้ำ) ก็ชักนำให้ออกดอกได้ นั่นคือสามารถออกดอกติดผลได้ทุกฤดูกาล
* การทำให้ออกนอกฤดูหรือ ณ ช่วงเวลาที่ต้องการให้ถือหลักการนับจาก วันผลแก่เก็บเกี่ยวได้ ย้อนถอยหลังมาจนถึง วันเริ่มตัดแต่งกิ่งเพื่อเรียกใบอ่อน แล้วเริ่มลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ ดังนี้
1. ตัดแต่งกิ่งเพื่อเรียกใบอ่อน 2 ชุด ใช้เวลา 2 เดือน
2. สะสมอาหารเพื่อการออกดอก ใช้เวลา 2- 2 เดือนครึ่ง
3. ตัดแต่งกิ่งเพื่อเรียก ใบอ่อน + ดอก และงดน้ำ ใช้เวลา 10-15 วัน
4. บำรุงดอก ใช้เวลา 1 เดือน
5. บำรุงผลเล็ก – ผลกลาง – ผลแก่ ใช้เวลารวม 4 เดือน
วิธี “เตรียมต้น” เพื่อให้ออกดอกติดผลแบบไม่มีรุ่น :
1. ต้องการให้กิ่งไหนของต้นออกดอกติดผล ให้ตัดปลายกิ่งนั้นที่บริเวณเปลือกสีเขียว (อ่อน) ชนกับสีน้ำตาล (แก่) เหลือปลายกิ่งเป็นง่ามหนังสะติ๊ก ขาของง่ามหนังสะติ๊กยาว 1-3 นิ้ว แล้วรูดใบเฉพาะกิ่งที่ตัดปลายนั้นออกทั้งหมด...........ต้องการให้ออกดอกติดผลกี่กิ่งในต้นก็ให้ทำเท่านั้นกิ่ง
2. ตัดปลายกิ่งรูดใบทิ้งแล้วบำรุงตามปกติ ประมาณ 6 สัปดาห์ จะมีใบอ่อนแตกออกมาและหลังจากใบอ่อนออมาแล้ว 1 สัปดาห์ก็จะมีดอกตามออกมาอีก นี่คือผลชุด 1
3. เมื่อผลชุด 1 โตขนาดเท่ามะนาว ให้ตัดปลายกิ่งรูดใบของกิ่งที่จะให้ออกดอกติดผลเป็นชุด 2 ด้วยวิธีการเดียวกันกับดอกชุด 1 ดอกผลที่ออกมาก็คือผลชุด 2
4. เมื่อผลชุด 2 โตขนาดเท่ามะนาวก็ให้ตัดปลายกิ่งรูดใบของกิ่งที่จะให้ออกดอกติดผลชุด 3 ด้วยวิธีการเดียวกัน
วิธี “บำรุง” ต้นที่ออกดอกติดผลแบบไม่มีรุ่น :
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ ฮอร์โมนไข่ 100 ซีซี.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 กรัม + สาหร่ายทะเล 50 กรัม + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 7-10 วัน
- ให้กลูโคสผงหรือนมสัตว์สด 2-3 เดือน/ครั้ง
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24(1-1.5 กก.) 2 รอบ สลับด้วย 21-7-14 (1-1.5 กก.) 1 รอบ ห่างกันรอบละ 1 เดือน – 1 เดือนครึ่ง สำหรับต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำพอหน้าดินชื้น ทุก 3-5 วัน
หมายเหตุ :
ปัจจัยที่จะทำให้การบังคับให้ออกนอกฤดู (ชุดเดียวพร้อมกันทั้งต้น)หรือให้ออกตลอดปีแบบไม่มีรุ่น คือ....การเตรียมดินและอินทรีย์วัตถุ ให้ยิบซั่มธรรมชาติปีละ 2 ครั้ง ให้กระดูกป่นปีละ 1 ครั้ง ให้ปุ๋ยคอกปีละ 2 ครั้ง ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิงจุลินทรีย์ 2-3 เดือน/ครั้ง.....เตรียมต้น โดยทุกต้นผ่านการบำรุงแบบมีสารอาหารกินตลอด 24 ชม.ต่อเนื่องมานานหลายปี.....เตรียมแปลง มีมาตรการควบคุมปริมาณน้ำใต้ดินโคนต้น
เพชรปากช่อง :
น้อยหน่าสายพันธุ์ใหม่ฝีมือนักวิชาการไทย โดยการนำน้อยหน่าต่างประเทศพันธุ์ เซริโมย่า ผสมกับ หนังครั่ง ของไทย ได้ลูกชุดแรกมาแล้วนำมาผสมต่อกับ หนังเขียว ของไทยอีกรอบ คราวนี้ลูกออกมาเป็น เพชรปากช่อง สุดยอดน้อยหน่าอย่างที่เห็น ข้อดีที่เหนือกว่าพันธุ์พื้นเมืองเดิมหลายประการ อาทิ
- ผลขนาดใหญ่กว่าตั้งแต่ 700 กรัม-1 กก.ขึ้นไป แม้แต่ ผลที่เป็นผลก้อย น้ำหนัก 300-500 กรัม
- จำนวนเมล็ดต่อผลน้อยและขนาดเล็กกว่าพันธุ์พื้นเมือง (เนื้อ/หนัง) 2-3 เท่า ทำให้ได้เนื้อมากมากกว่า 2-3 เท่า
- ความหวานสูงถึง 20 องศาบริกซ์ ในขณะที่น้อยหน่าพันธุ์พื้นเมือง (เนื้อ/หนัง) หวานเพียง 15 องศาบริกซ์เท่านั้น
- หลังจากเก็บเกี่ยวลงมาจากต้นแล้วนำมาบ่ม อายุบ่มใช้ระยะเวลา 5-7 วันโดยที่ผิวไม่ดำทำให้มีเวลาเพียงพอต่อการขนส่งไปยังต่างประเทศ
- รูปผลทรงหัวใจ เปลือกบาง ตาใหญ่ ร่องตื้น แม้ว่าเปลือกจะไม่ล่อนจากเนื้อเหมือนน้อยหน่าหนังแต่ก็แกะหรือปอกได้ง่ายไม่ติดเนื้อ
- ลักษณะผลแก่จัดเปลือกจะเป็นสีขาวนวล ร่องระหว่างตาเป็นสีชมพูชัดเจน การบ่มต้องบ่มให้สุกงอมจะได้รสชาติจะหวานสนิท แต่ถ้าเก็บผลแก่ไม่จัดเมื่อนำไปบ่มจนสุกงอมแล้วจะมีรสชาติติดเปรี้ยวเล็กน้อย
- ขยายพันธุ์ด้วยวิธี ตอน. ทาบ (ดีที่สุด). ติดตา. เสียบยอด. เสียบข้าง. บนตอพื้นเมืองได้เหมือนไม้ผลทั่วๆไป
การทำน้อยหน่าให้ออกนอกฤดู
การทำให้น้อยหน่าทิ้งใบและออกดอกก่อนปกติ วิธีนี้จะทำได้กับสวนน้อยหน่าที่มีน้ำใช้รดเพียงพอเท่านั้น และต้นน้อยหน่าต้องอายุไม่ต่ำกว่า 5 ปี จะเริ่มทำช่วงปลายเดือนสิงหาคม ด้วยการกำจัดวัชพืชในสวนออกก่อน โดยใช้สารเคมีพวกพาราควอทจากนั้นให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 500 กรัม/ต้น สาเหตุที่จะต้องใส่ปุ๋ยก่อนเพราะเมื่อใบน้อยหน่าร่วงลงมาคลุมอยู่ที่โคนต้น เวลาหว่านปุ๋ยลงไป ปุ๋ยก็ไปกองอยู่บนใบที่ร่วงลงมา เมื่อรดน้ำก็ไหลออกไปหมดไม่ได้ลงในทรงพุ่มตามที่ต้องการ หลังจากนั้นจะฉีดพ่นสารเคมีพวกพาราควอท เช่น กรัมม็อกโซน อัตรา 50 cc./น้ำ 20 ลิตร โดยฉีดพ่นใบให้ทั่วทั้งต้นใบจะร่วงภายใน 5-10 วัน โดยการฉีดพ่นสารเคมีจะต้องไม่ฉีดในขณะที่กิ่งแตกเป็นกิ่งอ่อน
การดูแลรักษา
ประมาณเดือนกันยายนหลังพ่นสารเคมีใบจะร่วงภายใน 15 วัน จะเริ่มแตกใบอ่อนพร้อมช่อดอกในช่วงนี้ฉีดพ่นสารเคมีพวกมาลาไธออน 30 cc. กำมะถันผง 1 ช้อนโต๊ะ สารจับใบและน้ำ 20 ลิตร เพื่อป้องกันเพลี้ยไฟ ไรแดง แมลงหวี่ขาวเข้าทำลายดอก ระยะนี้ต้องให้น้ำตลอด จนเริ่มติดผลอ่อนอายุ 35 วัน และยังมีช่อดอกผสมในช่ออยู่ ระยะติดผลอ่อน ประมาณเดือนตุลาคม เพื่อเป็นการเร่งการเจริญเติบโตของผลน้อยหน่าจะใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 8-24-24 หรือสูตร 9-24-24 หรือสูตร 13-13-21 สูตรใดก็ได้ ในอัตรา 500 กรัม/ต้น ซึ่งควรแบ่งใส่ 3 ครั้ง ห่างกันประมาณ 15 วัน ระยะผลอ่อนถึงการเจริญเติบโต ใช้เวลาประมาณ 30 วัน ประมาณพฤศจิกายน ต้องดูแลรักษา ตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ โดยการพ่นสารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้ง หนอนเจาะผลซึ่งจะระบาดในช่วงนี้ ใช้สารเคมีประเภทเมทิลมาลาไธออน 30 cc./ฮอร์โมน 15 cc. และสารจับใบ 15 cc. ทุก 7-15 วัน/ครั้ง ระยะผลแก่ ประมาณเดือนธันวาคม ระยะนี้ผลที่ติดรุ่นแรกสามารถเก็บเกี่ยวเพื่อจำหน่ายได้
อ้างอิงสูตรการทำน้อยหน่านอกฤดู โดย นายสุนทร แย้มขยาย สวนน้ำค้าง
อยู่ที่บ้านเลขที่ 128 หมู่ 2 บ้านแก่งกุลาเหนือ ตำบลแก่งโสภา อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โทร.089-6386392
http://innradio-wisanu.blogspot.com/2009/05/blog-post_13.html
วิธีการบังคับให้น้อยหน่าออกนอกฤดูกาล
การปลูกน้อยหน่าในปัจจุบันนี้ได้รับการพัฒนาไปมาก ทั้งทางด้านวิชาการและเทคโนโลยีใหม่ๆ จนทำให้น้อยหน่าที่ปลูกในระยะหลังนี้มีผลโต เนื้อมาก เมล็ดน้อย รสชาติหวานอร่อย และที่สำคัญก็คือสามารถบังคับให้น้อยหน่าออกดอกนอกฤดูกาลได้ด้วย ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธีคือ
การบังคับให้น้อยหน่าออกดอกก่อนฤดูปกติ วิธีนี้เหมาะกับสวนที่มีระบบการให้น้ำดีและมีน้ำใช้ตลอดปี หากมีน้ำไม่เพียงพอหรือระบบการให้น้ำไม่ดี การบังคับให้น้อยหน่าออกดอกก่อนฤดูจะกระทำไม่ได้ผล วิธีนี้มีข้อดีคือสามารถกำหนดช่วงการแก่และเก็บผลได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการให้ผลแก่ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีน้อยหน่าออกมาขายในตลาดน้อยและมีราคาสูง เราสามารถกระทำได้โดยปฏิบัติเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. เดือนสิงหาคม บำรุงให้ต้นน้อยหน่าสมบูรณ์โดยใส่ปุ๋ยเกรด 1:3:3 เช่นสูตร 8-24-24 พร้อมกับให้น้ำ ต่อจากนั้นก็ปล่อยให้พักตัวประมาณ 1 เดือน
2. เดือนกันยายน ทำการตัดแต่งกิ่งทันที โดยกิ่งที่ทำการตัดแต่งนั้นควรเป็นกิ่งที่อยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 1 1/2 - 2 เมตร ขนาดของกิ่งถ้าเล็กกว่า 1/2 ซม. ควรตัดออกให้หมดแต่ถ้ามีขนาดใหญ่กว่า 1/2 ซม. ให้ตัดเหลือปลายกิ่งไว้ประมาณ 15 ซม. หากปลายกิ่งใดมีสีเขียวอยู่ก็ให้ตัดออกให้หมด เหลือเพียงกิ่งสีน้ำตาลไว้เท่านั้นและหากมีกิ่งกระโดงหรือกิ่งแขนงที่แตกใกล้ระดับพื้นดินต้องตัดออกให้หมดเช่นกัน
3. ปลายเดือนกันยายน หลังจากที่ได้ตัดแต่งกิ่งไปแล้วประมาณ 20 วัน ต้นน้อยหน่าเริ่มแตกใบอ่อนและออกดอกมาให้เห็น ช่วงนี้ควรมีการให้น้ำตามปกติ
4. เดือนตุลาคม ประมาณ 31-45 วัน ต่อมาดอกจะบาน ส่วนการให้น้ำก็ปฏิบัติเช่นเดิม
5. เดือนพฤศจิกายน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลมีขนาดเท่าหัวแม่มือ ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 เพื่อบำรุงผลให้เจริญเติบโตเต็มที่
6. เดือนธันวาคม เมื่อผลมีขนาดโตเท่าไข่ไก่ควรใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-13 เพื่อให้ผลมีคุณภาพดีขึ้น
7. เดือนกุมภาพันธ์ ผลแก่สามารถเก็บไปจำหน่ายได้ ซึ่งตรงกับช่วงที่น้อยหน่ามีราคาแพงพอดีหากไม่ใช้วิธีตัดแต่งกิ่งอาจใช้สารเคมีแทนก็ได้โดยใช้สารเคมีพวก พาราควอท (ชื่อการค้าว่า กรัมม๊อกโซน, น๊อกโซน, แพลนโซน) ให้ใช้ในอัตราความเข้มข้น 0.05-0.1 เปอร์เซ็นต์ (ของเนื้อสาร) ในปริมาณ 41-82 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ) ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้น จะทำให้ใบร่วงหมดภายในเวลา 7-10 วัน แต่การฉีดสารเคมีนี้ต้องระวังไม่ฉีดในขณะที่ต้นน้อยหน่าแตกกิ่งหรือใบอ่อน เพราะจะทำให้กิ่งหรือใบไหม้ได้
การบังคับให้น้อยหน่าออกดอกในฤดูปกติและหลังฤดูปกติอีกบางส่วน การปฏิบัติเหมือนกับที่ทำในฤดูปกติ คือจะตัดแต่งกิ่งในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ และเลือกตัดแต่งกิ่งที่ไม่มีผลผลิต ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า 5 ม.ม. และจะติดผลประมาณเดือนเมษายน ต่อมาประมาณเดือนพฤษภาคมจะทำการตัดแต่งกิ่งอีกครั้ง โดยทำการตัดปลายกิ่งออกเฉพาะช่วงที่มีสีเขียวและให้เหลือเฉพาะบางส่วนที่เป็นสีน้ำตาลปนเขียว หลังจากนั้นให้รูดใบของกิ่งที่ตัดออกให้หมด กิ่งพวกนี้จะแตกใบใหม่พร้อมกับมีดอกออกมาอีก 1 รุ่น ซึ่งในรุ่นที่ 2 นี้จะเก็บผลขายได้ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีผลไม้อื่นออกมามากนักเลยทำให้ขายได้ราคาสูง
การทำให้น้อยหน่าออกดอกหลังฤดูปกติอีกครั้งหนึ่งนั้น ควรมีการใส่ปุ๋ยเพิ่มเข้าไปด้วย โดยเฉพาะปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เช่น ปกติใส่ปุ๋ยคอกต้นละ 1/2-1 ปี๊บ ควรเพิ่มปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 15-15-15 อีกต้นละ 2 ก.ก. จะช่วยให้ผลน้อยหน่ามีขนาดใหญ่และคุณภาพของผลดียิ่งขึ้น
อภิวัฒน์ คำสิงห์
สุรพล พลแก้ว เผยสูตรเด็ด
ผลิตน้อยหน่าให้ผลโต ผิวมัน เนื้อดี รสหวาน
น้อยหน่า เป็นไม้ผลกึ่งเมืองร้อน ทรงพุ่มขนาดกลาง สามารถเจริญเติบโตได้ในดินเกือบทุกประเภท แต่ต้องมีการระบายน้ำดี มีสภาพเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 5-7 น้อยหน่าเป็นพืชที่ชอบสภาพอากาศร้อนแห้ง ไม่ชอบอากาศหนาวจัด หรือมีฝนตกชุกเกินไป เนื่องจากต้องมีระยะแล้งเพื่อการทิ้งใบในการแตกใบใหม่และดอก ซึ่งจะอยู่ในเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม น้อยหน่าอายุ 2 ปี จะเริ่มให้ผลเพิ่มขึ้น 2-3 ปี หลังจากนั้นต้นก็จะเริ่มโทรม ต้องตัดแต่งและบำรุงต้น ปกติแล้วต้นน้อยหน่าจะมีอายุ 8-10 ปี ต้นก็จะเริ่มโทรม ผลขนาดเล็กและรูปร่างไม่สวยงาม จึงต้องตัดทิ้ง ปลูกต้นใหม่แทน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการดูแลบำรุงต้นด้วย ระยะเวลาตั้งแต่ดอกบานถึงเก็บเกี่ยวผล ประมาณ 4 เดือน ผลผลิตเฉลี่ยต่อต้นน้อยหน่าที่ให้ผลผลิตเต็มที่ประมาณ 30-50 กิโลกรัม น้ำหนักผลน้อยหน่าอยู่ระหว่าง 5-10 ผล ต่อกิโลกรัม ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน
น้อยหน่า เป็นผลไม้ที่มีความสูงประมาณ 2-5 เมตร แตกกิ่งแถวโคนต้น ใบบางยาวเรียวรูปหอกหรือรูปไข่ ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบติดกัน กลีบดอก 3 กลีบแยกจากกัน ยาวประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ ดอกเกิดตามกิ่งตรงข้ามกับใบ มีสีเขียวแกมเหลือง ผลน้อยหน่าเป็นผลรวม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 7-10 เซนติเมตร ผลกลมรีเรียวลงมาเป็นรูปหัวใจ ขั้วผลบุ๋มลงไปเล็กน้อย ผิวของผลเป็นตาโปน สีเขียวแกมเหลือง เนื้อนุ่ม รสหวาน เมล็ดแข็งรูปยาวรี สีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ โดยทั่วไปน้อยหน่าเป็นพืชผสมข้าม เนื่องจากมีระยะผสมได้ไม่พร้อมกัน โดยปกติเกสรตัวเมียพร้อมที่จะรับละอองเกสรตัวผู้ 1-2 วัน ก่อนดอกบาน แต่เกสรตัวผู้จะยังไม่แตกจนกว่ากลีบดอกจะเริ่มบาน การผสมเกสรจะทำได้ดีในช่วงเวลา 09.00-12.00 น. และเวลา 14.30-17.30 น. ระยะเวลาตั้งแต่เป็นตุ่มดอกจนถึงดอกบานใช้เวลาประมาณ 31-45 วัน แล้วแต่ความอุดมสมบูรณ์แข็งแรงและปริมาณความชื้นที่ต้นได้รับ ถ้าความชื้นดี ดอกจะเจริญเติบโตเร็วและจะบานเร็วขึ้น
ปัจจุบันนี้ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการปลูกน้อยหน่าเชิงพาณิชย์ในประเทศมากขึ้น หลังจากที่มีการผสมพันธุ์น้อยหน่าและเกิดน้อยหน่าสายพันธุ์ใหม่ ที่ชื่อว่า "เพชรปากช่อง" ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของสถานีวิจัยปากช่องและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งน้อยหน่าเพชรปากช่องได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นน้อยหน่าลูกผสมที่ให้ผลผลิตดกมาก มีลักษณะผลขนาดใหญ่ มีเนื้อมาก เมล็ดเล็ก และรสชาติหวาน หากจะพูดถึงน้อยหน่าที่กำลังมาแรง เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศนั้น เห็นจะไม่มีน้อยหน่าพันธุ์ไหนเด่นดังเกินกว่าน้อยหน่าพันธุ์ "เพชรปากช่อง" ที่มีผลโต เนื้อหนา รสหวาน ถึงแม้ว่าจะเป็นน้อยหน่าพันธุ์เก่า แต่น้อยหน่าพันธุ์นี้ก็ยังสามารถให้ผลผลิตดี มีคุณภาพ มีน้ำหนักดี เกษตรกรสามารถขายได้ราคาสูง ใช้ระยะเวลาปลูกสั้น แค่ปลูกเพียง 2 ปีแรกก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว ที่สำคัญการดูแลง่าย ไม่มีปัญหาเรื่องโรคและแมลงศัตรูพืช อีกทั้งตลาดยังมีความต้องการน้อยหน่าพันธุ์นี้อีกมาก
น้อยหน่าพันธุ์ "เพชรปากช่อง" เกิดจากการผสมระหว่าง พันธุ์เซริมัวย่า (cherimoya x หนังครั่ง) x หนังเขียว มีลักษณะต้นใหญ่และสูงกว่าน้อยหน่าพันธุ์ทั่วไป ใบเป็นรูปหอกสีเขียวเข็ม ต้นพุ่มโปร่งปานกลาง ดอกใหญ่ ผลเป็นรูปหัวใจ ผิวค่อนข้างเรียบ ร่องตาตื้นคล้ายน้อยหน่าหนัง ผลอ่อนสีเขียวเข้ม เมื่อแก่จัดจะมีสีเขียวอ่อนถึงขาวนวล ผลไม่แตกเมื่อแก่ เปลือกบางลอกออกจากเนื้อได้เมื่อสุกจัด เนื้อเหนียวคล้ายน้อยหน่าหนัง หลังจากปลูกอายุได้ 2 ปี จะเริ่มให้ผลผลิตเต็มที่ และเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี
น้อยหน่าพันธุ์ "เพชรปากช่อง" มีจุดเด่นที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อปลูกไปนานปี ก็จะยิ่งให้ผลผลิตที่เพิ่มพูนมากขึ้น คุณสุรพล บอกว่า การปลูกน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องในปีแรกจะให้ผลผลิตไม่เกิน 3 ลูก ต่อต้น ปีที่ 2 ก็จะให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 10 -15 ลูก และจะเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี เรียกว่าปลูกครั้งเดียวสามารถทีจะเก็บผลผลิตได้นานนับ 10 ปี ถ้าหากดูแลรักษาให้ดีๆ
สำหรับพื้นที่แหล่งผลิตน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องที่มีคุณภาพและมีพื้นที่การปลูกมากที่สุดในประเทศไทย คงจะหนีไม่พ้นพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะในเขตพื้นที่อำเภอปากช่อง ซึ่งบริเวณนี้มีสภาพดินแดงหรือดินชุดปากช่องเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมต่อการปลูกน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องมากที่สุด ผลผลิตที่ออกมานั้นจะมีขนาดใหญ่ มีเนื้อมาก เมล็ดเล็กและรสชาติหวานจัด ที่สำคัญราคาขายผลผลิตจากสวนเกรดเอ ที่มีน้ำหนักผล ประมาณ 1 กิโลกรัม ขึ้นไป สามารถขายได้กิโลกรัมละ 100 บาท โดยเฉพาะผลผลิตที่มาจากสวนของ คุณสุรพล พลแก้ว
คุณสุรพล พลแก้ว อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 16 หมู่ที่ 10 ตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ประกอบอาชีพทำการเกษตร
เดิมตัวคุณสุรพลเองทำงานเป็นพนักงานอยู่ในบริษัทเอกชนที่กรุงเทพมหานคร คุณสุรพล ทำงานได้ระยะหนึ่ง ก็ตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำและกลับมาอยู่ที่บ้านช่วยพ่อแม่พัฒนาไร่นา สวนผลไม้ ขณะนั้นพ่อและแม่จะทำการเกษตรแบบดั้งเดิม ทำตามบรรพบรุษ ไม่มีการพัฒนา ตัวคุณสุรพลเองนั้นพอจะมีความรู้ทางด้านการเกษตรอยู่บ้าง จึงมองว่าถ้าหันมาทำการเกษตรแบบพัฒนา ใช้ข้อมูลทางวิชาการเข้ามาช่วยก็น่าจะดีขึ้น
พอปี 2531 คุณสุรพล ก็ได้แต่งงานกับ คุณสมมาศ พลแก้ว มีบุตรด้วยกัน 2 คน ขณะนั้นคุณสมมาศเองก็มีอาชีพทำการเกษตรเหมือนกัน ทั้งสองเลยหันมาทำการเกษตรแบบพัฒนาโดยปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 420 ไร่ สลับกับการปลูกฟักทอง มีการดูแลเหมือนกับสวนอื่นๆ ทั่วไป แต่จะต่างกันตรงที่ใช้พื้นที่ปลูกผืนเดียวกัน ซึ่งพืชสองตัวนี้ถ้าปลูกสลับกันแล้ว 1 ปี จะสามารถเก็บผลผลิตได้พอดี ทั้งสองทำการเกษตรแบบนี้มาเป็นเวลา 15 ปี ผลผลิตทางการเกษตรออกมาก็เป็นที่น่าพอใจดี ทำแล้วไม่เคยขาดทุน แต่ได้ผลกำไรที่น้อย ถ้าต้องการผลกำไรที่มากก็ต้องทำในปริมาณที่มากและใช้พื้นที่มาก ใช้ต้นทุนในการผลิตที่มีปริมาณมาก
พอเข้าปี 2547 มีเพื่อนที่รู้จักกันมาแนะนำให้ลองปลูกน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องดู เพราะพืชตัวนี้ให้ผลผลิตต่อไร่ดี และได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่า คุณสุรพลเองเห็นว่าน่าจะดี เลยทดลองปลูกน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องไปพร้อมกับปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และฟักทอง
ปลูกน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่อง จำนวน 240 ไร่
คุณสุรพล ทดลองปลูกน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่อง จำนวน 40 ไร่ พร้อมกับปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และฟักทองไปพร้อมๆ กัน คุณสุรพล เริ่มต้นปลูกในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่ธรรมชาติของต้นไม้จะสร้างกิ่งให้แข็งแรงพอดี การสะสมอาหารก็จะครบถ้วน ซึ่งใช้เวลาในการสร้างกิ่ง สร้างใบ ซึ่งน้อยหน่าพันธุ์นี้สามารถทำให้ออกผลได้ 2 ครั้ง ต่อ 1 ปี ซึ่งตอนนั้นคุณสุรพลเองก็ยังไม่แน่ใจว่าต้นน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องนั้นจะให้ผลผลิตมากน้อยเพียงใด แต่พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตก็ยิ้มออก เพราะผลผลิตที่ออกมาเป็นไปตามความคาดหวัง สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ คุ้มค่ากับต้นทุนที่ถือว่าแพงพอสมควร ซึ่งมีรายได้ดีกว่าปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และฟักทอง พอปี 2549 คุณสุรพล เลยตัดสินใจขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มอีก 200 ไร่ แต่ก็ยังปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับฟักทองไปพร้อมๆ กันด้วย
เกษตรกรรายนี้ เลือกซื้อกิ่งพันธุ์มาจากเพื่อนชาวสวนที่ปากช่องด้วยกันเองนำมาปลูก โดยหลุมที่ใช้ปลูกมีความกว้าง ยาว และลึก 40 เซนติเมตร หลังจากขุดหลุมเสร็จก็นำปุ๋ยคอกเก่าใส่ลงไปหลุมละครึ่งปุ้งกี๋ จากนั้นเอาดินที่ขุดขึ้นมาลงไปคลุกเคล้ากับปุ๋ยคอกเก่า หลังจากนั้น ก็ปลูกน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องลงไปจนเต็ม โดยมีระยะปลูกห่างกันประมาณ 4x4 เมตร ต่อต้น
เมื่อปลูกน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องไปได้ 3 เดือน ก็ตัดยอดให้ต้นมีความสูงจากพื้นดินประมาณ 30 เซนติเมตร เมื่อตัดเสร็จต้นน้อยหน่าจะมีการแตกตาข้างออกมามาก เจ้าของจะเลือกเฉพาะกิ่งที่สมบูรณ์และไม่ชิดกันไว้ ประมาณ 2-3 กิ่ง ที่เหลือก็จะตัดทิ้ง เลี้ยงกิ่งที่เหลือไว้ประมาณ 3 เดือน และตัดยอดแบบเดิมอีก โดยให้ความยาวจากรอยตัดครั้งแรก ประมาณ 1 คืบ จาก 2-3 กิ่ง ที่เหลือก็จะแตกตาข้างออกมามาก ให้ตัดออกเหลือไว้กิ่งละ 2-3 กิ่ง ที่สมบูรณ์ เมื่อต้นน้อยหน่า 1 ต้น อายุ 6 เดือน หลังจากตัดแต่งทรงต้นแล้วจะได้จำนวนกิ่ง 6-9 กิ่ง เมื่อต้นน้อยหน่ามีอายุครบ 1 ปี ก็จะตัดแต่งกิ่งอย่างเดิม จนได้กิ่งใหม่ทั้งหมด 27 กิ่ง ซึ่งเป็นการดูแลรักษาต้นน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องในระยะปีแรก
พอต้นน้อยหน่าเพชรปากช่องมีอายุครบ 2 ปี ก็เริ่มมีผลบ้างเล็กน้อย ต้นละ 1-2 ลูก ซึ่งยังไม่มากนัก ช่วงปีที่ 2 นี้ คุณสุรพลจะตัดแต่งกิ่งเพื่อจะผลิตน้อยหน่าให้ได้ปีละ 2 รุ่น โดยจะหนีบกิ่งกระโดงออกจากลำต้น ซึ่งธรรมชาติของต้นไม้นั้น ถ้าหนีบกิ่งออกไปแล้วต้นก็จะสร้างกิ่งใหม่ออกมา และเมื่อสร้างกิ่งออกมาแล้วก็จะมีดอกออกมาใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งเรียกน้อยหน่าช่วงนี้ว่าน้อยหน่าทะวาย ซึ่งการผลิตน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องรุ่นที่สองนั้น จะทำหลังจากที่เก็บเกี่ยวผลผลิตรุ่นแรกเสร็จ และก่อนที่จะผลิตน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องรุ่นที่สองจะต้องมีการบำรุงต้นใหม่อีกครั้ง โดยใส่ปุ๋ยคอก ต้นละ 1-2 ปุ้งกี๋ หลังจากนั้น ให้ตัดแต่งกิ่ง แต่ในการตัดแต่งกิ่งรุ่นนี้จะมีความแตกต่างจากการตัดแต่งกิ่งรุ่นแรก ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวจะตัดแต่งกิ่งทั้งหมดไม่เหลือใบเลย แต่การตัดแต่งกิ่งในครั้งนี้จะตัดออกประมาณ 60-70% จะเหลือกิ่งไว้ช่วงสร้างอาหารเพื่อบำรุงต้น
ในการตัดแต่งกิ่งรุ่นที่สองนี้ คุณสุรพล บอกว่า จะตัดแต่งกิ่งในช่วงไหนก็ได้ ให้นับเอาว่าต้องการจะเก็บผลผลิตขายในช่วงเวลาใด ก็ให้นับถอยหลังไป 5 เดือน ยกตัวอย่างว่าจะเก็บผลผลิตน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องขายในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน ให้ไปตัดแต่งกิ่งในช่วงเดือนกรกฎาคม (แต่ไม่ควรตัดแต่งกิ่งในช่วงฤดูหนาว เพราะตาที่แตกออกมาใหม่จะไม่ค่อยดี จะไม่พัฒนาผลที่ติดในช่วงนี้ ไม่ค่อยโตหรือมีดอก แต่มีการติดผลน้อย)
ส่วนการให้น้ำกับต้นน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องในระยะเริ่มปลูกจนถึง 1 ปี นั้น จะให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้ต้นเติบโตเร็ว รากจะมีการแผ่กระจายอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ พอต้นน้อยหน่าเริ่มอยู่ตัว ระบบการให้น้ำจะใช้เป็นระบบสปริงเกลอร์โดยเปิด-ปิด เป็นเวลา ในขณะที่การให้ปุ๋ยนั้นจะใส่ปุ๋ยเป็นช่วงๆ เริ่มใส่ครั้งแรกหลังจากการตัดแต่งกิ่งจะใส่ปุ๋ยเคมี สูตรเสมอ 15-15-15 ประมาณ 2 กำมือ ครั้งที่สอง ใส่ในช่วงที่ติดผลอ่อนขนาดเท่าหัวแม่มือ โดยใส่ปุ๋ยเคมี สูตรเสมอ 15-15-15 เหมือนเดิม แต่เพิ่มเป็น 3 กำมือ ครั้งที่สาม ใส่ในช่วงลูกเท่าไข่ไก่ โดยใส่ปุ๋ยเคมี สูตรเสมอ 15-15-15 แต่เพิ่มปริมาณขึ้นเป็น 4 กำมือ และครั้งที่สี่ เป็นช่วงสุดท้ายเป็นช่วงที่เรากำลังจะได้เก็บผลผลิต ก็จะใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 16-8-16 ประมาณ 4 กำมือ โดยหว่านรอบโคนต้นพร้อมกับรดน้ำให้ชุ่มทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ยเคมี และในส่วนของยาฆ่าแมลงนั้น จะใช้อะบาเม็กติน ไดเมโทเอต คาร์โบซันแฟน สลับกัน โดยใช้ฉีดพ่น 10 วัน 1 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงดื้อยา และในส่วนของธาตุอาหารเสริมจะฉีดแคลเซียมโบรอน แคลเซียม แมกนีเซียมสลับกัน และเมื่อเริ่มติดผลจะฉีดฮอร์โมนขยายผล ประมาณ 3 ครั้ง
ช่วงที่ปลูกน้อยหน่านั้น คุณสุรพล ก็เกิดปัญหาในเรื่องของโรคและแมลง ทั้งโรคเพลี้ยแป้ง ศัตรูธรรมชาติรบกวน ขั้วผลหลวมทำให้ผลร่วง ผลแตก ปริมาณผลเล็กมีมากกว่าผลใหญ่ ใน 1 ต้น ทำให้ผลผลิตออกมามีเกรดต่ำ ผลตอบแทนได้น้อย ไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป แต่ก็ยังได้กำไร พอปี 2552 คุณฉัตรกมล ทัพวงศ์ ตัวแทนขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมพืชของ บริษัท สยาม ซิตโต้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและสารเคมีทางการเกษตรมาแนะนำให้รู้จักกับผลิตภัณฑ์ของซิตโต้ ทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน ประกอบด้วย คีเลท อีปิน CB และกัมโบโร่
ใช้ผลิตภัณฑ์ซิตโต้
กับน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่อง บนพื้นที่ 10 ไร่
คุณสุรพล ตัดสินใจทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ของซิตโต้ ทั้ง 4 ตัว กับน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่อง 10 ไร่ จำนวน 930 ซึ่งในแปลงนี้จะไม่ใช้อาหารเสริมและสารเคมีตัวอื่นๆ มาเกี่ยวข้องในแปลงเลย ยกเว้นเรื่องของยาฆ่าแมลงที่ใช้อยู่
คุณสุรพล จะใส่ผลิตภัณฑ์ของซิตโต้หลังจากที่ตัดแต่งกิ่งรอบแรก โดยจะใส่คีเลทและอีปินผสมกันและฉีดพ่นทางใบ 10 วัน 1 ครั้ง ทำแบบนี้ประมาณ 2 ครั้ง พอครั้งที่สาม ผลเท่ากับหัวแม่มือ ก็จะใส่กัมโบโร่เพิ่มเข้าไปกับคีเลทและอีปิน ครั้งที่สี่ ก็จะเพิ่มCB เพื่อช่วยให้ขั้วเหนียว ติดลูกดี ครั้งที่ห้า ก็จะฉีดคีเลทกับอีปินเพื่อบำรุงทั้งหมด ครั้งที่หก สังเกตว่าผลเท่าลูกไข่ไก่ก็จะฉีดกัมโบโร่เสริมเข้าไปอีกเป็นครั้งที่สอง พอหลังจากนั้นก็จะเริ่มห่อผลและจะฉีดคีเลทและอีปินในช่วงห่อผลอีก 1 รอบ พอหลังจาก 20 วัน ก็จะฉีด CB เพิ่มเข้าไป เพื่อป้องกันผลแตกหรือผลดำ และพอน้อยหน่าใกล้ที่จะเก็บผลผลิตได้ ก็จะฉีดทั้ง 4 ตัว อีกครั้ง ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย
ซึ่งผลที่ออกมานั้นเกินความคาดหมายอย่างเห็นได้ชัด ผลผลิตที่ได้มีขนาดใหญ่ รสชาติหวาน ผลมีผิวมันวาวไม่ด้าน ผลไม่แตก ขั้วผลไม่หลุด เปอร์เซ็นต์ผลขนาดใหญ่มากกว่าขนาดเล็ก เพลี้ยแป้งไม่มีมารบกวน และในส่วนของปริมาณและรายได้นั้นก็เพิ่มขึ้น ซึ่งเดิมที่ผลผลิต 10 ไร่ จากที่ไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ซิตโต้ทั้ง 2 รอบ การเก็บเกี่ยวจะได้เงินประมาณ 600,000 บาท แต่พอมาเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ของซิตโต้ สามารถทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 700,000-800,000 บาท ซึ่งยังไม่รวมรอบที่สามที่สามารถทำได้อยู่ในขณะนี้อีกด้วย
คุณสุรพล ยังฝากบอกอีกว่า การปลูกน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่องยังมีช่องทางรวยอีกมาก หากสามารถเปิดตลาดส่งออกได้ในอนาคต โดยเฉพาะในประเทศจีนและอีกหลายประเทศ แต่ที่สำคัญต้องพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพดีตรงตามความต้องการของตลาดผู้ซื้อต่างประเทศ ซึ่งตลาดขณะนี้ของคุณสุรพลเองก็จะอยู่ที่ตลาดไท และตลาดเขตทางเหนือ อีสาน เป็นหลัก ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น ยังไม่มีส่งขายโดยตรง แต่จะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อและส่งไปยังต่างประเทศอีกที ซึ่งตรงนี้ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีแล้วว่า ผลผลิตนั้นส่วนหนึ่งได้รับการยอมรับจากต่างประเทศบ้างแล้ว
หากเกษตรกรท่านใดกำลังมองหาไม้ผลคุณภาพดี สามารถทำเงินและสร้างผลกำไรที่ดี สามารถติดต่อสอบถามขอคำปรึกษาเทคนิคและวิธีการปลูกได้ที่ คุณสุรพล พลแก้ว บ้านเลขที่ 16 หมู่ที่ 10 ตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โทร. (081) 725-7056 ส่วนท่านใดต้องการหาซื้อผลิตภัณฑ์ซิตโต้ไปทดลองใช้กันดู ก็สามารถติดต่อได้ที่ คุณฉัตรกมล ทัพวงศ์ (ตัวแทนจำหน่าย สาขาสระบุรี) โทร. (086) 355-3828 หรือติดต่อโดยตรงที่ บริษัท ซิตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด คุณสรรพ์ บุญเจริญ (กรรมการผู้จัดการ) โทร. (086) 048-2111, (085) 111-8484
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05036011153&srcday=&search=no
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หน้าก่อน (1/2)
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved. ติดประกาศ: 2009-07-16 (19525 ครั้ง) [ ย้อนกลับ ] |