การปรับปรุงพันธุ์งา
คณะผู้ดำเนินงาน
หัวหน้าโครงการวิจัย น.ส. สายสุนีย์ รังสิปิยกุล สังกัด ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี สวพ.4
หัวหน้าการทดลอง นางกัลยารัตน์ หมื่นวณิชกูล สังกัด ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี สวพ.4
ผู้ร่วมงาน นาง นฤทัย วรสถิตย์ สังกัด ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี สวพ.4
นาง ศิริรัตน์ กริชจนรัช สังกัด ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี สวพ.4
นายสวัสดิ์ สมสะอาด สังกัด ศบ.ป.บุรีรัมย์ สวพ.4
นายอรรณพ กสิวิวัฒน์ สังกัด ศูนย์วิจัยพืชไร่เพชรบูรณ์ สวพ.3
น.ส. สายชล จอมเกาะ สังกัด ศูนย์วิจัยพืชไร่นครราชสีมา สวพ.4
บทคัดย่อ
งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3 เป็นงาดำเมล็ดโตที่ให้ผลผลิตสูงและให้คุณค่าทางโภชนาการสูง เพื่อเป็นการนำเทคโนโลยีด้านพันธุ์ให้แก่เกษตรกร และประเมินผลผลิตงาดำพันธุ์รับรองในสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ทำแปลงทดสอบงาดำในไร่เกษตรกรจังหวัดบุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ (2549-2550) อุบลราชธานี และนครราชสีมา (2550) ในต้นฤดูฝน (เมษายน-มิถุนายน) และที่ไร่เกษตรกรจังหวัดปราจีนบุรีในปลายฤดูฝน (สิงหาคม-ตุลาคม 2549-2550) ในปี 2549 พบว่าที่จังหวัดเพชรบูรณ์ประสบภาวะภัยแล้ง ทำให้ไม่ได้ผลผลิต ส่วนที่อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ งาให้ผลผลิตต่ำเนื่องภัยแล้ง งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3 ให้ผลผลิต 51 กก./ไร่ ส่วนปลายฤดูฝนที่จังหวัดปราจีนบุรีงาให้ผลผลิตต่ำเช่นเดียวกัน เนื่องจากฝนตกชุกทำให้งาส่วนหนึ่งเน่าเสียหาย ผลผลิตเฉลี่ยจากเกษตรกร 5 ราย เท่ากับ 58 กก./ไร่ ในปี 2550 พบว่าที่ไร่เกษตรกรจังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา และเพชรบูรณ์ ประสบปัญหาน้ำท่วม ทำให้งาเสียหายทั้งหมด ที่จังหวัดอุบลราชธานี งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3 ให้ผลผลิตเฉลี่ยจาก 5 แปลงทดสอบ เท่ากับ 68 กก./ไร่ ในปลายฤดูฝนได้ปลูกงาแปลงทดสอบที่ไร่เกษตรกรจังหวัดปราจีนบุรี ขณะนี้อยู่ในช่วงติดฝัก รอการเก็บเกี่ยวในเดือนธันวาคม
คำนำ
งาเป็นพืชไร่น้ำมันที่มีศักยภาพทั้งด้านการผลิตและการตลาด เนื่องจากงาเป็นพืชที่ใช้บริโภคเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ทำให้ตลาดมีความต้องการงาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะงาดำเป็นที่ต้องการมากทั้งตลาดในและต่างประเทศ ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรได้มีงาดำพันธุ์รับรอง คือ พันธุ์อุบลราชธานี 3 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุแคลเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระมีในปริมาณสูง การศึกษาครั้งนี้เพื่อประเมินศักยภาพการให้ผลผลิตของงาพันธุ์ใหม่ในหลายสภาพแวดล้อม และให้เกษตรกรได้ประเมินคุณค่าของพันธุ์ด้วยตนเอง
อุปกรณ์และวิธีการ
อุปกรณ์
1. งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3
2. สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชตามความจำเป็น
3. ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8
วิธีการ
ปลูกงาโดยวิธีเกษตรกร เกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกงาโดยการโรยเป็นแถว ระยะห่างระหว่างแถว 60-70 เซนติเมตร โรยเมล็ดโดยใช้อัตราเมล็ด 0.5-1.0 กก./ไร่ ใส่ปุ๋ยพร้อมปลูกโดยใช้ปุ๋ย 16-16-8 อัตรา 10 กก./ไร่ ดายหญ้า 1 ครั้ง โดยใช้เครื่องถากหญ้าติดรถแทรกเตอร์หรือใช้แรงคน เก็บเกี่ยวเมื่องาแก่ (อายุ 80-85 วัน) โดยสุ่มเก็บ 4 จุดๆ ละ 10 ตารางเมตร (2x5 เมตร)
การบันทึกข้อมูล
1. วันปฏิบัติการทุกอย่าง
2. แต่ละจุดที่สุ่มเก็บ สุ่มตัวอย่าง 10 ต้น วัดความสูง จำนวนฝักต่อต้น และจำนวนต้นเก็บเกี่ยว
3. บันทึกความเสียหายจากโรคและแมลง
4. บันทึกผลผลิตในพื้นที่เก็บเกี่ยว
5. ประเมินความพึงพอใจของเกษตรกร
8. ระยะเวลา ต้นฤดูฝน (เม.ย.-มิ.ย.) 2549 ถึง ปลายฤดูฝน (ต.ค.-ธ.ค.) 2550
9. สถานที่ดำเนินการไร่เกษตรกรจังหวัดบุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ ปราจีนบุรี บุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ นครราชสีมา และอุบลราชธานี
ผลการทดลองและวิจารณ์
ปี 2549
แปลงทดสอบที่อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ให้ผลผลิตต่ำเนื่องจากประสบปัญหาภัยแล้ง ผลผลิตงาที่ได้จากแปลงที่ 1 2 3 และ 4 ได้เท่ากับ 60 48 43 และ 52 กก./ไร่ ตามลำดับ (เฉลี่ย 4 แปลง เท่ากับ 50.8 กก./ไร่) งามีความสูง 71-83 เซนติเมตร และมีจำนวนฝักต่อต้น 12-19 ฝักต่อต้น ส่วนที่จังหวัดเพชรบูรณ์ประสบภัยแล้ง แปลงทดสอบงาเสียหายทั้งหมด ปลายฤดูฝนที่จังหวัดปราจีนบุรีให้ผลผลิตต่ำเช่นเดียวกัน เนื่องจากฝนตกชุกทำให้งาส่วนหนึ่งเสียหาย ผลผลิตงาที่ได้จาก 5 แปลงทดสอบเท่ากับ 68 50 49 61 และ 63 กก./ไร่ ตามลำดับ (เฉลี่ย 5 แปลงเท่ากับ 58.1 กก./ไร่) ความสูงของงาอยู่ระหว่าง 93-120 เซนติเมตร และมีจำนวนฝักต่อต้นอยู่ระหว่าง 15-27 ฝักต่อต้น
ปี 2550
ที่จังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา และเพชรบูรณ์ ประสบปัญหาน้ำท่วม ทำให้งาเสียหายทั้งหมด ที่จังหวัดอุบลราชธานีงาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3 ให้ผลผลิต 55 66 78 60 และ 80 กก./ไร่ ในแปลงที่ 1 2 3 4 และ 5 ตามลำดับ (ผลผลิตเฉลี่ย 5 แปลง เท่ากับ 68 กก./ไร่) งาให้ผลผลิตต่ำเนื่องจากฝนตกชุกติดต่อกันหลายวัน ทำให้งาส่วนหนึ่งเสียหาย ความสูงของลำต้นอยู่ระหว่าง 130-164 เซนติเมตร จำนวนฝักต่อต้น เท่ากับ 26-32 ฝักต่อต้น
สรุปผลการทดลอง
งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3 เป็นพันธุ์ที่มีศักยภาพการให้ผลผลิตสูง และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะตลาดบริโภคในประเทศ แต่จากการดำเนินการทำแปลงทดสอบในปี 2549-2550 ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ ทำให้งาเสียหายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสถานการณ์ปลูกทั่วไปของเกษตรกรที่จะต้องเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะงาต้นฤดูฝนที่เกษตรกรเริ่มลงมือปลูกตั้งแต่ต้นฤดู เพื่อลดภาวะความเสี่ยงของเกษตรกร จำเป็นต้องเลือกพื้นที่ที่มีน้ำชลประทาน เกษตรกรปลูกงาในพื้นที่ไม่มากแต่ต้องปฏิบัติดูแลรักษาอย่างดี เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้เกษตรกรประสบผลสำเร็จในการปลูกงา และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร
การนำไปใช้ประโยชน์
ได้ข้อมูลการปลูกงาดำเพื่อแนะนำแก่เกษตรกรว่า งาต้นฤดูฝนที่เกษตรกรเริ่มลงมือปลูกตั้งแต่ต้นฤดู เพื่อลดภาวะความเสี่ยงของเกษตรกร จำเป็นต้องเลือกพื้นที่ที่มีน้ำชลประทาน เกษตรกรปลูกงาในพื้นที่ไม่มากแต่ต้องปฏิบัติดูแลรักษาอย่างดี
ที่มา : กรมวิชาการเกษตร
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.