การเปรียบเทียบมาตรฐานพันธุ์ข้าวฟ่างหวาน
ช่วงปลายฤดูฝน
4. คณะผู้ดำเนินการ
หัวหน้าโครงการวิจัย กนกทิพย์ เลิศประเสริฐรัตน์ ศว.ร.สุพรรณบุรี
หัวหน้าการทดลอง กนกทิพย์ เลิศประเสริฐรัตน์ ศว.ร.สุพรรณบุรี
ผู้ร่วมงาน ชัยรัตน์ ดุลยพัชร์ ศว.ร.ขอนแก่น
รัชดา ปรัชเจริญวนิชย์ ศว.ร.นครราชสีมา
อานนท์ มลิพันธ์ ศบป.ลพบุรี
พินิจ กัลยาศิลปิน ศบป.ปราจีนบุรี
-------------------------
5. บทคัดย่อ
จากการปลูกข้าวฟ่าง จำนวน 10 พันธุ์ ตามแผนการทดลองแบบ RCB มี 3 ซ้ำ ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่น ศูนย์วิจัยพืชไร่นครราชสีมา และศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี ศูนย์บริการพืชและปัจจัยการผลิตปราจีนบุรี และศูนย์บริการพืชและปัจจัยการผลิตลพบุรี ระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2549 เพื่อประเมินศักยภาพการให้ผลผลิตและคุณภาพของข้าวฟ่างหวาน แต่ละพันธุ์ พบว่า ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่น ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี และศูนย์บริการพืชและปัจจัยการผลิตปราจีนบุรีให้ผลผลิตต้นสดเฉลี่ย (3.8 – 4.5 ตัน/ไร่) อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ส่วนที่ศูนย์วิจัยพืชไร่นครราชสีมา และศูนย์บริการพืชและปัจจัยการผลิตลพบุรีให้ผลผลิตต้นสดเฉลี่ย 8.9 และ 7.2 ตัน/ไร่ ตามลำดับ สำหรับค่าเฉลี่ยจากทุกสถานที่ทดลอง พบว่า ค่าบริกซ์อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ระหว่าง 16.62 – 18.78 % ยกเว้น ศูนย์วิจัยพืชไร่นครราชสีมาให้ค่าบริกซ์ต่ำสุด (13.29%) ข้าวฟ่างหวานทุกพันธุ์ให้ผลผลิตต้นสดเฉลี่ยอยู่ในระดับไม่แตกต่างกัน (5.0 – 6.2 ตัน/ไร่) พันธุ์ที่ให้ค่าบริกซ์เฉลี่ยสูงกว่า 17 % คือ Wray (18.7 %) Cowley (18.0 %) และ BJ 281 (17.7 %)
6. คำนำ
จากวิกฤตของราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อาจแตะถึงลิตรละ 40 บาท และมลพิษจากสภาวะเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อม จนทุกประเทศต้องเร่งวิจัยพัฒนาหาแหล่งพลังงานทดแทนจากพืช เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ธัญพืช ซึ่งรัฐบาลก็มีนโยบายที่จะใช้แก๊สโซฮอล์แทนน้ำมันเบนซิล ตั้งแต่ 1 มกราคม 2550 แต่ปริมาณการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลอ้อย หรือมันสำปะหลังที่มีพื้นที่ปลูกพืชวัตถุดิบแต่ละชนิดประมาณ 6 ล้านไร่ และต่างก็มีอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล หรือแป้งมันและอาหารสัตว์ที่ต้องใช้วัตถุดิบชนิดเดียวกัน ทำให้เกิดการขาดแคลนจนวัตถุดิบมีราคาสูงขึ้น ขณะนี้ หลายหน่วยงานต่างเร่งระดมคิดหางานวิจัยใหม่ ๆ ที่จะผลิตเอทานอลจากวัตถุดิบอื่น ๆ ข้าวฟ่างหวานก็เป็นพืชหนึ่งที่อยู่ในความสนใจที่จะใช้ศึกษาของหลายหน่วยงาน เพราะมีลักษณะทางการเกษตรและคุณสมบัติต่าง ๆ ใกล้เคียงกับอ้อย คือ ต้นสูง (เฉลี่ย 2.0 – 3.5 เมตร) ฉ่ำน้ำ ความหวานเฉลี่ย 18.22 องศาบริกซ์ สามารถไว้ตอได้ ทนแล้ง และมีข้อดีที่แตกต่างจากอ้อยอย่างเด่นชัด คือ อายุเก็บเกี่ยวสั้นกว่า ประมาณ 8 เดือน ต้องการน้ำและปุ๋ยน้อยกว่า 60 และ 75 % ตามลำดับ อัตราการขยายพื้นที่ปลูกสูงกว่าอ้อย 5 เท่า (ในพื้นที่ 1 ไร่ สามารถนำเมล็ดไปปลูกขยายต่อได้ 50 ไร่) และใช้ระยะเวลาการผลิตเมล็ดสั้นกว่าประมาณ 50 %
7. อุปกรณ์และวิธีการ
อุปกรณ์
1) เมล็ดข้าวฟ่าง 10 พันธุ์ ได้แก่ Cowley, BJ281, Thesis, Bailey, Rio, Wray, Keller, ICSV574, ICSV93046 และ UTIS23585
2) ปุ๋ยเคมีสูตร 16-20-0
3) ไม้วัดความสูง เวอร์เนีย ถุงตาข่าย เครื่องหีบ
4) ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์น้ำตาล / เครื่องวัดความหวาน (Hand refractometer) และ
อุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็น
วิธีการ
ปลูกข้าวฟ่างหวานพันธุ์ละ 8 แถว ๆ ยาว 6 เมตร ระยะห่างระหว่างแถว 0.50 เมตร ระยะ ห่างระหว่างหลุม 0.20 เมตร ปลูกด้วยเครื่องมือ (Jab) หยอดหลุมละ 4 – 6 เมล็ด เมื่อข้าวฟ่างงอกได้ 14 วัน ทำการถอนแยกให้เหลือไว้หลุมละ 2 ต้น พร้อมดายหญ้ากำจัดวัชพืช (ถามี) จนข้าวฟ่างอายุได้ 21 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-20-0 อัตรา 25 กก./ไร่ โดยโรยข้างแถวห่างต้นข้าวฟ่างประมาณ 5 – 7 เซนติเมตร พูนโคนกลบปุ๋ย เมื่อเมล็ดข้าวฟ่างหวานสุกแก่ทางสรีรวิทยา (helum เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาล) เก็บเกี่ยวช่อจาก 6 แถวกลาง ยกเว้นแถวริม 2 ข้าง โดยตัดให้มีก้านช่อติดมาประมาณ 2 – 3 เซนติเมตร พยายามอย่าให้ต้นหักล้ม หลังจากนั้นจึงริดใบ กาบใบ และตัดต้นชั่ง น้ำหนักสดต่อแปลงย่อย สุ่มต้น 20 ต้น/แปลงย่อย มาบันทึกลักษณะองค์ประกอบของผลผลิต คุณภาพ ปริมาณน้ำที่หีบได้ และน้ำหนักชาน บันทึกวันที่ปลูกและเก็บเกี่ยว ความสูง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำ ความยาวลำ จำนวนลำเก็บเกี่ยวต่อแปลงย่อย ผลผลิตต้นสดที่เก็บเกี่ยวช่อและริดใบ – กาบใบออกแล้ว ปริมาณน้ำที่หีบได้และชานอ้อย ค่าบริกซ์
8. ระยะเวลา (เริ่มต้น – สิ้นสุด) มีนาคม 2549 – มกราคม 2550
9. สถานที่ดำเนินการ
ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี ศูนย์วิจัยพืชไร่นครราชสีมา ศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่น ศูนย์บริการพืชและปัจจัยการผลิตปราจีนบุรี ศูนย์บริการพืชและปัจจัยการผลิตลพบุรี
10. ผลการทดลองและวิจารณ์
สภาพปลูกทั่วไปในปีเพาะปลูก 2549/2550 ของทุกศูนย์ฯ จะพบกับสภาวะฝนทิ้งช่วงหลังข้าวฟ่างงอก ประมาณ 1 เดือน บางศูนย์ฯ เช่น ศวร.นครราชสีมา ศบ.ป.ปราจีนบุรี และ ศบ.ป.ลพบุรี มีการให้น้ำช่วย 2 – 3 ครั้ง ในระยะก่อนดอกบาน ปริมาณฝนโดยเฉลี่ยตลอดฤดูปลูกอยู่ระหว่าง 300 – 560 มม. ลักษณะดินที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นดินร่วนทราย ปลูกตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม – ปลายเดือนสิงหาคม 2549 อายุเก็บเกี่ยวอยู่ระหว่าง 104 – 140 วันหลังปลูก โรค – แมลงที่พบส่วนใหญ่ ได้แก่ หนอนแมลงวันเจาะยอด ประมาณ 3 – 5 % โรคยอดบิด และมีการหักล้ม จากการขาดน้ำทำให้ต้นแห้งเร็วกว่าปกติ ปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นนกที่ลงทำลายเมล็ดในระยะเป็นแป้งอ่อนจนถึงระยะเป็นแป้งแข็ง ทำให้ไม่สามารถประเมินผลผลิตเมล็ดได้
• ผลการทดลองที่ ศว.ร.นครราชสีมา ให้ผลผลิตต้นสดและน้ำตาลเฉลี่ย 8.9 และ 1.18 ตัน/ไร่ ตามลำดับ ข้าวฟ่างหวานแต่ละพันธุ์ให้ผลผลิตแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ตั้งแต่ 6.1 – 10.3 และ 0.62 – 1.50 ตัน/ไร่ ตามลำดับ มีข้าวฟ่างหวาน จำนวน 5 พันธุ์ คือ
ICSV574,
ICSV93046,
Wray, Bailey และ
Thesis
ที่ให้ผลผลิตต้นสดสูงอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน (9.6 – 10.3 ตัน/ไร่) และสูงกว่าผลผลิตเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 8 – 16 พันธุ์ที่ให้ผลผลิตต้นสดต่ำที่สุด คือ UTIS23585 (6.1 ตัน/ไร่)
ส่วนพันธุ์ที่ให้ผลผลิตน้ำตาลสูงสุด และสูงกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่ Cowley (1.5 ตัน/ไร่) Wray (1.4 ตัน/ไร่) และ BJ281 (1.36 ตัน/ไร่) คิดเป็นร้อยละ 15 – 27 โดยข้าวฟ่างหวานที่ให้ผลผลิตน้ำตาลสูงทั้ง 3 พันธุ์ เป็นข้าวฟ่างที่ให้ค่าบริกซ์เท่ากับ 16.48, 14.15 และ 16.18 % ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าค่าบริกซ์เฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 6 – 24
ปริมาณน้ำที่หีบได้และชานสดเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ 53.6 และ 41.3 % ของน้ำหนักต้นสด ตามลำดับ Wray, Keller, Bailey และ Thesis ให้ปริมาณน้ำที่หีบได้ (56.8, 57.2, 57.8 และ 58.8 %) สูงอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน และสูงกว่าค่าเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 6 – 10 สำหรับน้ำหนักชานสดของข้าวฟ่างหวานทุกพันธุ์อยู่ในระดับไม่แตกต่างกัน ระหว่าง 38.5 – 45.3 % ของน้ำหนักต้นสด ส่วนเส้นผ่าศูนย์กลางลำ ความยาวลำ และจำนวนลำเก็บเกี่ยวเฉลี่ยเท่ากับ 1.45 ซม. 310 ซม. และ 24,160 ลำ/ไร่ ตามลำดับ ข้าวฟ่างหวานแต่ละพันธุ์มีความแปรปรวนของเส้นผ่าศูนย์กลางลำอยู่ระหว่าง 1.30 – 1.57 ซม. ความยาวลำ 269 – 361 ซม. และจำนวนลำเก็บเกี่ยวตั้งแต่ 21,600 – 25,760 ลำ/ไร่
• ผลการทดลองที่ ศว.ร.สุพรรณบุรี (Table 2) ให้ผลผลิตต้นสดและน้ำตาลเฉลี่ย 4.5 และ 0.76 ตัน/ไร่ ตามลำดับ ข้าวฟ่างหวานแต่ละพันธุ์ให้ผลผลิตแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ตั้งแต่ 3.3 – 5.9 และ 0.51 – 1.23 ตัน/ไร่ ตามลำดับ Wray ให้ผลผลิตต้นสด และน้ำตาลสูงสุด (5.9 และ 1.23 ตัน/ไร่ ตามลำดับ) และสูงกว่าค่าเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 31 และ 45 ตามลำดับ ส่วนพันธุ์ที่ให้ผลผลิตต้นสดและน้ำตาลต่ำที่สุด คือ Thesis (3.3 และ 0.51 ตัน/ไร่ ตามลำดับ) พันธุ์ที่ให้ค่าบริกซ์สูงสุดอยู่ในระดับเดียวกัน ได้แก่ Wary และ Cowley ซึ่งสูงกว่าค่าบริกซ์เฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 12 พันธุ์ที่ให้ค่าบริกซ์ต่ำที่สุด คือ Thesis (15.23 %) ปริมาณน้ำที่หีบได้ และชานสดเฉลี่ยเท่ากับ 43.9-52.2 % ของน้ำหนักต้นสด ตามลำดับ Thesis ให้ปริมาณน้ำที่หีบได้สูงอยู่ในระดับเดียวกับ Keller#2 และ Wray ส่วน Rio ให้ปริมาณน้ำที่หีบได้ต่ำที่สุด 39.4 % ของน้ำหนักต้นสด
สำหรับน้ำหนักชานสด พบว่า Rio และ BJ281 ให้น้ำหนักชานสดสูงสุด 58.7 และ 55.4 % ของน้ำหนักต้นสด ตามลำดับ และสูงกว่าค่าเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 6 – 12 Keller#1 ให้น้ำหนักชานสดต่ำสุด 47.3 % ของน้ำหนักต้นสด
ส่วนเส้นผ่าศูนย์กลางลำ ความยาวลำ และจำนวนลำเก็บเกี่ยวเฉลี่ยเท่ากับ 1.33 ซม. 250 ซม. และ 22,140 ลำ/ไร่ ตามลำดับ ข้าวฟ่างหวานแต่ละพันธุ์มีความแปรปรวนของเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 1.20 – 1.56 ซม. ความยาวลำแปรปรวนตั้งแต่ 238 – 266 ซม. และจำนวนลำเก็บเกี่ยวอยู่ระหว่าง 17,370 – 25,380 ลำ/ไร่
• ผลการทดลองที่ ศบป.ปราจีนบุรี (Table 3) ให้ผลผลิตต้นสดและน้ำตาลเฉลี่ย 3.9 และ 0.65 ตัน/ไร่ ตามลำดับ ข้าวฟ่างหวานแต่ละพันธุ์ให้ผลผลิตต้นสดในระดับใกล้เคียงกัน อยู่ระหว่าง 3.5 – 4.4 ตัน/ไร่ และส่วนใหญ่ให้ผลผลิตน้ำตาลสูง ตั้งแต่ 0.63 – 0.8 ตัน/ไร่ ยกเว้น UTIS23585 และ ICSV574 ที่ให้ผลผลิตน้ำตาลต่ำสุด (0.48 ตัน/ไร่) และเป็นพันธุ์ที่ให้ค่าบริกซ์ต่ำที่สุด (13.15 และ 11.48 % ตามลำดับ)
ปริมาณน้ำที่หีบได้และชานสดเฉลี่ยเท่ากับ 40.5 และ 56.6 % ของน้ำหนักต้นสด Rio ให้ปริมาณน้ำที่หีบได้ต่ำที่สุด 28.4 % ของน้ำหนักต้นสด ให้ชานสดสูงสุด (67.8 % ของน้ำหนักต้นสด) และสูงกว่าค่าเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 20
สำหรับเส้นผ่าศูนย์กลางลำ ความยาวลำ และจำนวนลำ/ไร่ เฉลี่ยเท่ากับ 1.27 ซม. 211 ซม. และ 25,680 ลำ/ไร่ โดยข้าวฟ่างหวานแต่ละพันธุ์จะมีขนาดลำ ความยาว และจำนวนลำ/ไร่ไม่แตกต่างกัน
• ผลการทดลองที่ ศบป.ลพบุรี (Table 4) ให้ผลผลิตต้นสดและน้ำตาลเฉลี่ย 7.2 และ 1.27 ตัน/ไร่ ข้าวฟ่างหวานแต่ละพันธุ์ให้ผลผลิตต้นสดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ตั้งแต่ 6.0 – 8.7 ตัน/ไร่ มีข้าวฟ่างหวานเพียง 3 พันธุ์ คือ Thesis, Cowley และ Keller # 2 ที่ให้ผลผลิตต้นสดสูง และสูงกว่าค่าเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 4 – 21 ผลผลิตน้ำตาล พบว่า พันธุ์ข้าวฟ่างหวานส่วนใหญ่ให้ผลผลิตน้ำตาลสูงกว่าค่าเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 1 – 29 พันธุ์ ที่ให้ค่าบริกซ์สูงอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน 3 พันธุ์ คือ Wray (21.47 %) Cowley (20.45 %) และ BJ281 (19.23 %) ซึ่งสูงกว่าค่าบริกซ์เฉลี่ย (17.66 %) คิดเป็นร้อยละ 9 – 21 ส่วน UTIS23585 ให้ค่าบริกซ์ต่ำที่สุด (16.11 %)
ปริมาณน้ำที่หีบได้ และชานสดเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ 52.0 และ 42.4 % ของน้ำหนักต้นสด ตามลำดับ Keller, ICSV574 และ Wray ให้ปริมาณน้ำที่หีบได้สูงอยู่ในระดับเดียวกัน (52.8 – 55.6 % ของน้ำหนักต้นสด) และสูงกว่าค่าเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 1 – 7 ส่วนน้ำหนักชานสด พบว่า Rio, UTIS23585, BJ281 และ Cowley มีน้ำหนักชานสดสูงอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ตั้งแต่ 43.1 – 46.8 % ของน้ำหนักต้นสด และสูงกว่าค่าเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 2-10 สำหรับเส้นผ่าศูนย์กลางลำ ความยาวลำ และจำนวนลำเก็บเกี่ยวเฉลี่ย มีค่าเท่ากับ 1.88 ซม. 334 ซม. และ 16,640 ลำ/ไร่ ตามลำดับ ข้าวฟ่างหวานทุกพันธุ์มีความแปรปรวนของเส้นผ่าศูนย์กลางลำอยู่ระหว่าง 1.64 – 2.22 ซม. ความยาวลำ 307 – 384 ซม. และจำนวนลำเก็บเกี่ยวอยู่ระหว่าง 12,560 – 19,680 ลำ/ไร่
• ผลการทดลองที่ ศว.ร.ขอนแก่น (Table 5) ให้ผลผลิตต้นสดและน้ำตาลเฉลี่ย 3.8 และ 0.72 ตัน/ไร่ ตามลำดับ ข้าวฟ่างหวานแต่ละพันธุ์ให้ผลผลิตต้นสดและน้ำตาลในระดับใกล้เคียงกันอยู่ระหว่าง 2.8 – 4.8 และ 0.5 – 0.86 ตัน/ไร่ ตามลำดับ มีข้าวฟ่างหวานจำนวน 5 พันธุ์ที่ให้ผลผลิตต้นสดและน้ำตาลสูงกว่าค่าเฉลี่ย คือ Cowley (4.8 และ 0.8 ตัน/ไร่ ตามลำดับ) Thesis (4.60 และ 0.81 ตัน/ไร่ ตามลำดับ) Wray (4.3 และ 0.86 ตัน/ไร่ ตามลำดับ) UTIS23585 (4.3 และ 0.82 ตัน/ไร่ ตามลำดับ) และ Keller (3.9 และ 0.79 ตัน/ไร่ ตามลำดับ) คิดเป็นร้อยละ 3 – 26 และ 10 – 19 ตามลำดับ ด้านคุณภาพความหวานของข้าวฟ่างหวานทุกพันธุ์อยู่ในระหว่าง 15.9 – 20.57 องศา บริกซ์ ขณะที่ค่าบริกซ์เฉลี่ยเท่ากับ 18.78 %
สำหรับขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ความยาวลำ และจำนวนลำเก็บเกี่ยว เฉลี่ยเท่ากับ 1.25 ซม. 194 ซม. และ 16,880 ลำ/ไร่ ตามลำดับ ข้าวฟ่างหวานแต่ละพันธุ์มีเส้นผ่าศูนย์กลางลำแตกต่างกันตั้งแต่ 1.17 – 1.15 ซม. ขณะที่ความยาวลำ และจำนวนลำเก็บเกี่ยวนั้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน คือ 179 – 213 ซม. และ 12,800 – 20,240 ลำ/ไร่ ตามลำดับ
จากค่าเฉลี่ยทั้ง 5 สภาพแวดล้อม พบว่า ที่ ศวร.นครราชสีมา และ ศบ.ป.ลพบุรี ให้ผลผลิตต้นสดและน้ำตาลสูงกว่าที่ ศวร.สุพรรณบุรี ศวร.ขอนแก่น ศบ.ป.ปราจีนบุรี และค่าดัชนีเฉลี่ยของสภาพแวดล้อม 5.7 และ 0.93 ตัน/ไร่) คิดเป็นร้อยละ 26 และ 56 ตามลำดับ (Fig 1a และ 1b) เป็นเพราะทั้งสองแห่งนี้ปลูกช่วงต้นฤดูฝน (มี.ค. – มิ.ย.) และมีการให้น้ำช่วยในระยะที่ฝนทิ้งช่วง ทำให้(มีการยึดต้นดี) ได้ความสูงลำต้นเฉลี่ยประมาณ 320 ซม. ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับที่ ศวร.ขอนแก่น ที่ปลูกในช่วงต้นฤดูฝน (พ.ค.) เช่นกัน แต่ไม่มีการให้น้ำช่วย มีความสูงลำต้นเฉลี่ยเพียง 194 ซม. และได้ผลผลิตต้นเฉลี่ย (3.8 ตัน/ไร่) ต่ำกว่าค่าดัชนีเฉลี่ยของสภาพแวดล้อมมากที่สุด 33 % (Fig 1a) แต่ให้ค่าบริกซ์เฉลี่ย (ประมาณ 18.8 องศาบริกซ์) อยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่ ศวร.สุพรรณบุรี และสูงกว่าค่าดัชนีเฉลี่ยของสภาพแวดล้อม 10 % ส่วนที่ ศวร.นครราชสีมา ให้ค่าบริกซ์เฉลี่ยต่ำกว่าค่าดัชนีเฉลี่ย 22 % (Fig 1c) โดยผลผลิตน้ำตาลจะขึ้นอยู่กับผลผลิตของต้นสดมากกว่าค่าบริกซ์ ส่วนเปอร์เซ็นต์น้ำที่หีบได้ก็ขึ้นอยู่กับผลผลิตของต้นสดเช่นกัน
สำหรับพันธุ์ข้าวฟ่างหวานพบว่า ส่วนใหญ่ให้ผลผลิตต้นสดเฉลี่ยอยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยของแต่ละท้องถิ่น ส่วน ความหวานในรูปของค่าบริกซ์ พบว่า Wray Cowley BT281 Rio และ Keller เป็นพันธุ์ที่มีความหวานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทุกท้องที่ และสูงกว่าค่าดัชนีความหวานเฉลี่ยของสภาพแวดล้อม (19.03, 18.44, 17.15 และ 16.98 องศาบริกซ์ ตามลำดับ) ขณะที่พันธุ์อื่น ๆ จะมีค่าดัชนีความหวานอยู่ระหว่าง 13.92 – 16.20 องศาบริกซ์
11. สรุปผลการทดลอง
จากผลการทดลองครั้งนี้ พอจะสรุปได้ว่า การปลูกข้าวฟ่างหวานให้ได้ผลผลิตต้นสดสูง ควรจะต้องมีการให้น้ำช่วยในระยะที่ฝนทิ้งช่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่ข้าวฟ่างหวานอายุ 35 – 60 วัน หรือก่อนถึงระยะดอกบาน เพื่อให้มีการเจริญเติบโตทางลำต้นได้อย่างเต็มที่ พันธุ์ที่น่าจะมีศักยภาพทั้งด้านการให้ผลผลิตและมีความหวานดีที่จะนำไปศึกษา ทางด้านระบบการผลิต และความทนทานต่อโรคแมลงศัตรูที่สำคัญต่อไป จำนวน 4 พันธุ์ คือ Wray Cowley BJ281 และ Keller
12. การนำไปใช้ประโยชน์
แม้ว่า ณ ปัจจุบันจะมีหน่วยงานของภาครัฐ เช่น สถาบันการศึกษา หรือภาคเอกชน ได้นำข้างฟ่างหวานไปศึกษาประสิทธิภาพการผลิตเอทานอล (ในรูปของงานวิจัย) แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่ามีการนำไปใช้อย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะยังขาดความเชื่อมั่นทางด้านการลงทุนของภาคเอกชน และนโยบายที่ชัดเจนของภาครัฐ ดังนั้น จึงควรต้องมีการบูรณาการทั้งบุคลากร หน่วยงานต่าง ๆ ศึกษาประสิทธิภาพการผลิตเอทานอลจากข้าวฟ่างหวานในเชิงพาณิชย์อย่างครบวงจร และกำหนดนโยบายที่ชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจในการลงทุนของทั้งภาคเอกชน และเกษตรกรผู้ที่จะต้องผลิตวัตถุดิบจึงจะนำไปสู่ความมั่นคง และยั่งยืนของแหล่งพลังงานทดแทนของชาติต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่มีการนำไปใช้ในรูปของแหล่งพลังงาน (เชื้อเพลิง) ทดแทน สำหรับการขนส่ง แต่ก็ได้มีการใช้เป็นแหล่งพลังงานด้านเป็นอาหารหยาบ หรืออาหารหมัก ใช้เลี้ยงสัตว์ สำหรับในแหล่งที่มีปัญหา ขาดแคลน แหล่งอาหารหยาบกันบ้างแล้ว
ที่มา : กรมวิชาการเกษตร
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.