การใช้สารธรรมชาติเพื่อยืดอายุการเก็บรักษามะม่วง
รัมม์พัน โกศลานันท์ อารีรัตน์ การุณสถิตย์ชัย
ชวเลิศ ตรีกรุณาสวัสดิ์ บุญญวดี จิระวุฒิ
บทคัดย่อ
รมเชื้อ Colletotrichum gleosporioides ด้วยสารระเหย Methyl jasmonate, Methyl salicylate, Benzadehyde, Hexanal และ 2-Nonanone ในหลอดทดลองและกับผลิตผลโดยตรงพบว่ากรรมวิธีที่ควบคุมโรคได้ดีที่สุดคือ Hexanal แต่มีข้อเสียคือเกิดอาการเป็นพิษกับผลิตผล นอกจากนี้เมื่อเก็บไว้ที่ 15 °C ผลิตผลเกิดอาการสะท้านหนาวทำให้แยกความแตกต่างระหว่างโรคกับสะท้านหนาวยาก กรรมวิธีที่มีประสิทธิภาพรองลงมาในการควบคุมโรคคือการรมด้วย Methyl jasmonate และ Methyl salicylate แต่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับกรรมวิธีควบคุม ดังนั้นหากคำนึงถึงต้นทุนการผลิตไม่แนะนำให้รมด้วยสารเหล่านี้ อย่างไรก็ตามถ้าลดความเข้มข้นของสารและปรับปรุงวิธีการรมก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ปริมาณการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์พบว่ากรรมวิธีควบคุม กรรมวิธีที่รมด้วย Methyl jasmonate และ Methyl salicylateมีปริมาณการผลิตสูงกว่ากรรมวิธีที่รมด้วย Benzadehyde, Hexanal และ 2-Nonanone เพราะมีความเป็นพิษต่ำกว่าจึงมีอัตราการหายใจสูงกว่า ส่วนการเปลี่ยนแปลงค่าความสว่าง สีเขียวและสีเหลืองค่อนข้างแปรผันในแต่ละกรรมวิธีและแต่ละวันแต่โดยภาพรวมสารมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงสีเขียวมากกว่าค่าความสว่างและเหลือง โดย Hexanal มีความสามารถชะลอสีเขียวได้ดีที่สุดเพราะมีสีเขียวเข้มที่สุด กรรมวิธีที่รมด้วย Benzadehyde มีการสูญเสียน้ำสูงกว่ากรรมวิธีอื่น ด้านรสชาติทางประสาทสัมผัสไม่มีความแตกต่างระหว่างกรรมวิธี
คำนำ
มะม่วงเป็นพืชส่งออกที่สำคัญของประเทศไทยปัญหาที่สำคัญของมะม่วงคือการเน่าเสียเนื่องจากโรค Anthracnose ซึ่งเกิดจากเชื้อ Colletotrichum gleosporioides ปกติผักและผลไม้จะผลิตสารระเหยอยู่เกือบตลอดเวลาแต่จะผลิตมากขึ้นเมื่อสุกหรือเมื่อได้รับการกระทบกระเทือนทางกายภาพและชีวภาพ สารระเหยเป็นองค์ประกอบของรสชาติและมีคุณสมบัติต้านทานโรคและแมลง Archbold et al., (1997) รายงานว่า Hexanal , 1- Hexanol , (E) -3 -Hexen-1-ol , (z) -6 –Nonenal , (E) -3 -Nonen - 2-one , Methyl Salicylate และ Methyl Benzoate มีศักยภาพในการควบคุมโรคราเขียวบนผลสตอรเบอร์รี่ องุ่นและ Blackberry Jasmonic Acid (JA) และ Methyl Jasmonate (MJ) เกิดจากสาร Lenolenic acid มีคุณสมบัติต้านทานต่อโรคและแมลง โดย JA และ MJ จะไป (1) กระตุ้น Gene ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันตนเองเมื่อเกิดโรคแมลงระบาด และ/หรือเมื่อพืชประสบสภาวะเครียด (2) กด Gene ที่สร้าง protein เกี่ยวกับการสังเคราะห์แสง JA และ MJ จะควบคุมการแสดงออกของ Gene ในระดับ Translation , RNA Processing,และ Transcription (Creelman and Mullet ,1997) MJ ลดการเกิดโรคราเขียว ในกุหลาบตัดดอก กีวี,มะละกอ นอกจากนี้ MJ ลดการระเหยของน้ำ ลดการเกิด Chilling Injury และลดการเสียความแน่นเนื้อ Benzaldehyde และ Methyl salicylate สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อราในหลอดทดลอง และควบคุมเชื้อราที่ Inoculate บนผล Peach, Nectarine และ Plum
อุปกรณ์และวิธีการ
วางแผนการทดลองแบบ Completely Randomized Design (CRD)การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติใช้คำสั่ง PROC GLM ของ SAS (SAS Institute Inc. 1989) ถ้าการทดลองมี 5 กรรมวิธีเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วย Least Significant Difference (LSD) ที่ p≤0.05 ถ้าการทดลองมีมากกว่า 5 กรรมวิธีเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วย Duncan Multiple Range Test (DMRT) ที่ p≤0.05
อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง
1. มะม่วง
2. สารเคมี Methyl jasmonate (MJ) , Methyl salicylate (MS), Benzadehyde (Ben), Hexanal (Hex) และ 2-Nonanone (Nona)
3. เครื่องวัดสี CR 10
4. เครื่องชั่ง
5. เครื่องวัดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
6. Petridish , Desiccators และกล่องกระดาษ
การทดลองแบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก การทดลองในหลอดแก้ว ประกอบด้วย 6 กรรมวิธี 4 ซ้ำ
กรรมวิธีที่ 1 ตัวควบคุม
กรรมวิธีที่ 2 รมด้วย MJ
กรรมวิธีที่ 3 รมด้วย MS
กรรมวิธีที่ 4 รมด้วย Ben
กรรมวิธีที่ 5 รมด้วย Hex
กรรมวิธีที่ 6 รมด้วย Nona
โดยดำเนินการปลูกเชื้อ Colletotrichum gleosporioides ตรงกลาง Petridish เส้นผ่าศูนย์กลาง 9 ซม. แล้วรมด้วยสารข้างต้น เป็นเวลา 24 ชม.และตลอดเวลา
ส่วนที่ 2 การทดลองรมสารกับผลมะม่วงโดยตรง
การทดลองที่ 1 ประกอบด้วย 6 กรรมวิธี 6 ซ้ำกรรมวิธีที่1 กรรมวิธีควบคุม กรรมวิธีที่ 2 รมด้วย MJ 250 ppm กรรมวิธีที่ 3 รมด้วย MS 250 ppm กรรมวิธีที่ 4 รมด้วย Ben 170 ppm กรรมวิธีที่ 5 รมด้วย Hex 170 ppm กรรมวิธีที่ 6 รมด้วย Nona 170 ppm
วิธีดำเนินการ
1. คัดเลือกมะม่วงที่มีความสม่ำเสมอทั้งสีและขนาดจากตลาดไท
2. ล้างมะม่วงด้วย Clorox 150 ppm แล้วผึ่งให้แห้งด้วยพัดลมอุตสาหกรรม
3. ปลูกเชื้อ Colletotrichum gleosporioides ลงบนผิวมะม่วง 24 ชมโดยฉีดเชื้อลงบนผลมะม่วง 1 ด้าน.
4. รมด้วยสารดังกล่าวข้างต้น 24 ชม. วิธีการรมแบ่งเป็น 2 วิธีคือหยดสารลงใน Petridish เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 ซม. แล้วนำไปวางด้านล่างของ Desiccators และ หยดสารลงบนกระดาษกรองแล้วนำไปแขวนบนฝา Desiccators
5. นำไปเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง และที่อุณหภูมิ 15 oC ความชื้นสัมพัทธ์ 90-95 %
6. ที่อุณหภูมิห้องเช็คคุณภาพเมื่อ 3 5 และ 7 วัน ที่อุณหภูมิ 15 oC (ห้องเย็น) เช็คคุณภาพเมื่อ 7 และ 10 วันและวางไว้ทิ้งที่อุณหภูมิห้อง 3 วันเช็คเฉพาะการเกิดโรค
การทดลองที่ 2 ดำเนินการเหมือนการทดลองที่ 1 เพื่อยืนยันผล แต่หยดสารใน Petridish เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 ซม.และวางด้านบนของ Desiccators (ระดับเดียวกับผลมะม่วงที่รม)เนื่องจากการแขวนกระดาษกรองที่ฝาของ Desiccators ยุ่งยากไม่สะดวกในการปฏิบติและเกิดเป็นพิษกับผลิตผล เก็บที่อุณหภูมิ 15 oC และเช็คคุณภาพเมื่อวันที่ 4 7 10 และ 13 จากนั้นวางทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 3 และ 5 วัน สำหรับวันที่ 7 เช็คผลเฉพาะการเกิดโรค
การบันทึกข้อมูลและตรวจเช็คคุณภาพ
1. การเป็นโรค โดยวิธีให้คะแนน
1 = 25,
2 = 50,
3 = 75,
4 =มากกว่า 75 %
2. การเป็นพิษและการเกิดสีน้ำตาล โดยวิธีให้คะแนน 1 = 25, 2 = 50, 3 = 75, 4 =มากกว่า 75 %
การทดลองที่ 1 มีนักวิชาการที่มีประสบการณ์ด้านวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวร่วมให้คะแนน 4 คน การทดลองที่ 2 ดำเนินการโดยนักวิชาการ 6 คน
3.การสูญเสียน้ำ โดยชั่งน้ำหนักก่อนและหลังการเก็บรักษา นำมาคำนวณเปอร์เซ็นต์การสูญเสียน้ำหนักจากสูตร
การสูญเสียน้ำหนัก(%) = (น้ำหนักก่อนเก็บรักษา – น้ำหนักหลังเก็บรักษา) x 100
น้ำหนักก่อนเก็บรักษา
4.การเปลี่ยนแปลงสีเปลือก วัดด้วยเครื่องวัดสี Minolta CR 10 รายงานผลเป็นค่า L , a และ b ตามระบบ Hunter’s scale การวัดสีเปลือกวัดบริเวณส่วนกลางผลทั้ง 2 ด้านโดยนำมาวัดสีซ้ำละ 5 ผล L ค่าความสว่างมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 0 = ดำ 100= ขาว a ค่าเป็น + สีแดง ค่าเป็นลบสีเขียว ตัวเลขสูงแสดงว่าเป็นสีนั้นมาก b ค่าสีเหลือง
5. ปริมาณการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ ดำเนินการโดยใส่มะม่วงลงในขวดแก้ว 0.970 ลิตรเป็นเวลา 3 ชม.และคำนวณจากสูตร
ปริมาตรผล = 192.05 + 0.32 * น้ำหนักเริ่มต้น
ปริมาณ CO2 = ปริมาณ CO2ที่วัด * 100 (970 – ปริมาตรผล)
6. การตรวจสอบทางประสาทสัมผัส โดยการให้คุณภาพตามใบประเมินดังนี้
การทดลองที่ 1 มีนักวิชาการที่มีประสบการณ์ด้านวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวร่วมให้คะแนน 4 คน
การทดลองที่ 2 ไม่ได้ทดสอบด้านประสาทสัมผัสเพราะนักวิชาการด้านสถิติแนะนำว่าควรมีผู้ชิมอย่างน้อย10 คน คนในห้องปฏิบัติการมีไม่ถึง 10 คน ประกอบกับพิจารณาผลจากการทดลองที่ 1 ลักษณะภายนอกและรสชาติมะม่วงไม่มีความแตกต่างระหว่างกรรมวิธี
8. ระยะเวลา (เริ่มต้น – สิ้นสุด) ตุลาคม 2549-กันยายน 2550 (ใน ว1ด.การทดลองจะสิ้นสุดปี2551 แต่เนื่องจากงบประมาณโดนตัดจึงดำเนินการทดลองปีเดียว)
9. สถานที่ดำเนินการ สำนักวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร
10. ผลการทดลองและวิจารณ์
ส่วนแรกการทดลองในหลอดแก้ว การทดลองที่รมสาร 24 ชั่วโมง พบว่า ทุกกรรมวิธียกเว้น MJ สามารถควบคุมโรคได้ 1 สัปดาห์ กรรมวิธีที่รมด้วย Ben และ Hex ควบคุมโรคได้นานกว่าสารอื่นโดยควบคุมโรคได้อย่างน้อย 6 สัปดาห์
ส่วนการทดลองที่รมด้วยสารตลอดเวลาพบว่า กรรมวิธีที่รมด้วย MS, Ben และ Hex สามารถควบคุมโรคได้อย่างน้อย 6 สัปดาห์ (ไม่ได้แสดงข้อมูล)
ส่วนที่ 2 การทดลองกับผลมะม่วงโดยตรงการทดลองครั้งที่ 1 พบว่ากรรมวิธีที่รมโดยวิธีหยดสารลงใน Petridish และวางด้านล่างของ Desiccators คุณภาพไม่มีความแตกต่างระหว่างกรรมวิธีและไม่พบความเป็นพิษของสาร (Phytotoxic) ทั้งที่อุณหภูมิห้องและที่ 15°C แสดงว่าการรมด้วยวิธีนี้ไม่มีประสิทธิภาพ
ส่วนการรมโดยวิธีหยดสารลงบนกระดาษกรองพบว่าสามารถควบคุมโรคได้ระดับหนึ่งแต่มีข้อเสียคือความเป็นพิษของสาร
ผลการทดลองที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง มีดังต่อไปนี้
การเกิดโรค พบว่า เมื่อวันที่ 3 กรรมวิธีที่รมด้วย Ben, Hex และ Nona เกิดโรคน้อยกว่ากรรมวิธีที่รมด้วย MS อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ไม่แตกต่างกับกรรมวิธีควบคุมและกรรมวิธีที่รมด้วย MJ วันที่ 5 กรรมวิธีที่รมด้วย Hex เกิดโรคต่ำสุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับกรรมวิธีที่รมด้วย MS และ Nona แต่ไม่แตกต่างกับกรรมวิธีควบคุมและกรรมวิธีที่รมด้วย MJ และ Ben วันที่ 7 กรรมวิธีที่รมด้วย Hex เกิดโรคต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับกรรมวิธีอื่น
ความเป็นพิษ กรรมวิธีที่รมด้วย Nona มีความเป็นพิษ (Phytotoixic) สูงกว่ากรรมวิธีอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
การผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ (อัตราการหายใจ) วันที่ 3 ไม่มีความแตกต่างทางสถิติระหว่างกรรมวิธี วันที่ 5 กรรมวิธีควบคุมมีการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่ากรรมวิธีอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ วันที่ 7 กรรมวิธีที่รมด้วย Nona มีการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำสุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับกรรมวิธีอื่น (ตารางที่ 1) เนื่องจาก cell เสียหายหรือตายซึ่งสอดคล้องกับค่าความเป็นพิษ
ค่าความสว่าง ....ไม่มีความแตกต่างทางสถิติระหว่างกรรมวิธี ยกเว้นวันที่ 7 กรรมวิธีควบคุมและกรรมวิธีที่รมด้วย Benมีค่าสูงกว่ากรรมวิธีอื่น
ค่าสีเขียว ....วันที่ 3 กรรมวิธีควบคุมมีค่าต่ำสุดและแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับกรรมวิธีอื่นยกเว้น กรรมวิธีที่รมด้วย Hex วันที่ 5 กรรมวิธีที่รมด้วย MSมีค่าต่ำสุดและแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับกรรมวิธีที่รมด้วย Ben และ Nona
ค่าสีเหลือง ....ไม่มีความแตกต่างทางสถิติระหว่างกรรมวิธี ยกเว้นวันที่ 7 กรรมวิธีควบคุมและกรรมวิธีที่รมด้วย Ben มีค่าสีเหลืองสูงกว่ากรรมวิธีอื่น
ผลการทดลองครั้งที่ 1 ที่อุณหภูมิ 15 °C การเกิดโรคเมื่อวันที่ 7 พบว่าไม่มีความแตกต่างทางสถิติระหว่างกรรมวิธี (ตารางที่ 2) แต่เมื่อทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 3 วัน กรรมวิธีที่รมด้วย MJ และ Nona เกิดโรคต่ำกว่ากรรมวิธีอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ วันที่ 10 กรรมวิธีที่รมด้วย MJ และ MS เกิดโรคต่ำสุดแต่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับกรรมวิธีควบคุมและกรรมวิธีที่รมด้วย Ben แต่เมื่อทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 3 วันไม่มีความแตกต่างระหว่างกรรมวิธี
ความเป็นพิษ พบว่ากรรมวิธีควบคุมมีความเป็นพิษต่ำสุดแต่ไม่แตกต่างกับกรรมวิธีอื่นยกเว้นกรรมวิธีที่รมด้วย Hex
การผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ พบว่ากรรมวิธีควบคุม รมด้วย MJ และ Ben มีการผลิตสูงเพราะกรรมวิธีเหล่านี้เกิดความเป็นพิษต่ำกว่ากรรมวิธีอื่นจึงมีการหายใจและผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ขณะที่กรรมวิธีที่โดนพิษจากสาร Cell บางส่วนถูกทำลายจึงผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ
ค่าความสว่าง.....วันที่ 7 กรรมวิธีควบคุมมีค่าสูงกว่ากรรมวิธีอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติวันที่ 10 ไม่มีความแตกต่างระหว่างกรรมวิธี
ค่าสีเขียว.... วันที่ 7 กรรมวิธีควบคุม รมด้วย MJ และ Hex มีค่าสูงกว่ากรรมวิธีอื่นแสดงว่ากรรมวิธีเหล่านี้สามารถชะลอการเปลี่ยนแปลงสีเขียวได้ วันที่ 10 ไม่มีความแตกต่างทางสถิติในแต่ละกรรมวิธี
ค่าสีเหลือง.... เปอร์เซ็นต์การสูญเสียน้ำและรสชาติทางประสาทสัมผัสไม่มีความแตกต่างระหว่างกรรมวิธี
ผลการทดลองครั้งที่ 2 การเกิดโรคโดยภาพรวม Hex เกิดโรคมากกว่ากรรมวิธีอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เพราะมีอาการสะท้านหนาว (Chilling injury) และความเป็นพิษร่วมด้วยจึงยากที่จะแยกความแตกต่างระหว่างการเกิดโรคและอาการเหล่านี้ กรรมวิธีที่รมด้วย MJ เกิดโรคน้อยกว่ากรรมวิธีอื่นแต่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับกรรมวิธีควบคุม กรรมวิธีที่รมด้วย MS และ Ben
การเกิดสีน้ำตาล..... เกิดเนื่องมาจากความเป็นพิษของสารและอาการสะท้านหนาว พบว่า กรรมวิธีควบคุม กรรมวิธีที่รมด้วย Hexและ Nona เกิดสีน้ำตาลมากกว่ากรรมวิธีอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อวันที่ 4 และ 7 แต่ไม่แตกต่างระหว่างกรรมวิธีเมื่อวันที่ 10
การผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ กรรมวิธีควบคุม กรรมวิธีที่รมด้วย MJ และ MS มีการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ มากกว่ากรรมวิธีที่รมด้วย Hex และ Nona เพราะกรรมวิธีเหล่านี้เกิดความเป็นพิษทำให้ cell และผลิตผลเสียหายหรือจึงมีอัตราการหายใจลดลง
ค่าสีเขียว...... กรรมวิธีควบคุมและกรรมวิธีที่รมด้วย Hex มีสีเขียวสูงกว่ากรรมวิธีอื่นๆ แสดงว่าสามารถชะลอการเปลี่ยนแปลงสีเขียวได้
ค่าสีเหลือง ......ไม่มีความแตกต่างทางสถิติระหว่างกรรมวิธี ยกเว้นเมื่อนำเอาผลิตผลออกจากห้องเย็นวันที่ 4 และ 7 อุณหภูมิห้องวันที่ 1 โดยกรรมวิธีที่รมด้วย MJ และ Ben มีสีเหลืองสูงกว่ากรรมวิธีอื่น
การสูญเสียน้ำ ..... กรรมวิธีที่รมด้วย Ben สูญเสียน้ำสูงสุด และกรรมวิธีที่รมด้วย MS สูญเสียน้ำต่ำสุด ส่วนกรรมวิธีอื่นไม่มีความแตกต่างกัน
ค่าความสว่าง ....ไม่มีความแตกต่างทางสถิติระหว่างกรรมวิธี
11. สรุปผลการทดลอง กรรมวิธีที่มีศักยภาพควบคุมโรคได้ดีที่สุดทั้งในหลอดทดลองและทดลองกับผลิตผลโดยตรงคือกรรมวิธีที่รมด้วย Hex แต่มีข้อเสียคือความเป็นพิษกับผลิตผล อย่างไรก็ตามถ้าลดความเข้มข้นให้ต่ำลงและปรับปรุงวิธีการรมให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม ส่วนกรรมวิธีที่ควบคุมโรคได้ดีและเกิดความเป็นพิษน้อยคือกรรมวิธีที่รมด้วย MJ และ MS แต่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับกรรมวิธีควบคุม สาเหตุที่ทำให้สารทั้ง 2 สามารถควบคุมโรคได้เนื่องจากมีคุณสมบัติกระตุ้นผลิตผลให้สร้างสารต้านทานทางธรรมชาติเมื่อถูกโรคและแมลงรบกวน หากคำนึงถึงต้นทุนการผลิตกรรมวิธีควบคุมเป็นกรรมวิธีที่ดีที่สุด
12. การนำไปใช้ประโยชน์ ยังไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยตรง แต่ทำให้ทราบข้อมูลพื้นฐาน
ที่มา : กรมวิชาการเกษตร
******************************************************************************************************
ประสบการณ์ตรง
ป้องกันผลจุดดำในมะม่วงสุก
หลังจากมะม่วงเริ่มสุกได้ไม่กี่วัน มักมีจุดสีดำๆ หรือสีน้ำตาลไหม้ เกิดบนผิว นั่นคืออาการ "ผลเน่า" อันเกิดจากเชื้อ "แอนแทร็คโนส" ที่กำลังเจริญเติบโตขยายพันธุ์นั่นเอง เชื้อตัวนี้เกิดบนผิวมะม่วงแล้วเจริญเติบโตเข้าในเนื้อด้านใน ทำให้เนื้อเน่าเสียหาย รับประทานไม่ได้
เชื้อตัวนี้เกิดได้ในผลไม้รสหวานได้ทุกชนิด วงจรชีวิตของเขาถือกำเนิดในดินแล้วเจริญแตกสปอร์ลอยไปในอากาศ พวกที่เข้าไปเกาะตามใบอ่อน เปลือกกิ่งอ่อน หลังจากเกาะแล้วจะเริ่มเจาะทำลายส่วนของพืชที่เกาะนั้นทันที ขณะที่เชื้อบางส่วนไปเกาะที่ผิวของผล ช่วงที่ผลยังอ่อน หรือดิบ หรือยังไม่มีรสหวาน จะยังไม่เจริญขยายพันธุ์ แต่จะแฝงตัวนิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเนื้อของผลไม้นั้นเริ่มมีรสหว่าน เชื้อจึงจะเริ่มเจริญขยายพันธุ์จากผิวเข้าสู่เนื้อใน
วิธีแก้ไข :
หลังจากเก็บผลแก่มะม่วงลงมาจากต้น ล้างทำความสะอาดจนเรียบร้อยแล้ว นำผลมะม่วงลงแช่ใน "น้ำ + น้ำคั้นว่านน้ำ" ใช้มือหรือผ้าอ่อนๆ ชำระล้างผิวมะม่วงให้ทั่ว สารออกฤทธิ์ในว่านน้ำจะกำจัดเชื้อ "แอนแทร็คโนส" ที่เกาะแฝงอยู่ตามผิวมะม่วงให้ จากนั้นจึงนำมะม่วงขึ้นผึ่งลมให้ผิวแห้ง เสร็จแล้วนำไปบ่มตามปกติ เมื่อผลมะม่วงสุกจนมีรสหวานก็จะไม่เกิดจุดดำที่ผิว แม้มะม่วงผลนั้นสุกงอมจนเปลือกเหี่ยวย่นก็ไม่เป็นจุดดำ.... ถ้าไม่มีว่านน้ำ ใช้เหง้าต้นธูปฤาษี (ต้นปรือ) แทนได้
ลุงคิมครับผม
*******************************************************************************************************
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.