ปลูกถั่วแทนการเผาซากอ้อย ลดโลกร้อน เพิ่มรายได้
หนุนชาวไร่เลิกเผาซากอ้อย หันปลูกถั่วให้เมล็ดแทน ผลวิจัยชี้ ดินอุดมสมบูรณ์ขึ้น ชาวไร่มีรายได้เพิ่ม ประหยัดค่าปุ๋ย ลดภาวะโลกร้อน
การปลูกอ้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยจะปลูกในช่วงเดือนตุลาคม–เดือนธันวาคม และจะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนธันวาคม–เดือนเมษายน ภายหลังการเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะทำการเผาซากอ้อย ซึ่งจะทำให้พื้นที่ปลูกถูกปล่อยว่างไว้เป็นเวลา 6-8 เดือน แล้วจึงจะเริ่มปลูกอ้อยใหม่อีกครั้งในเดือนตุลาคม
เนื่องจากการเผาซากอ้อยส่งผลกระทบด้านลบต่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน ทำให้ดินสูญเสียอินทรียวัตถุและธาตุอาหารบางชนิด และยังเป็นการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม จึงมีการรณรงค์ให้เกษตรกรงดการเผาซากอ้อยในช่วงปล่อยแปลงว่าง ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชตระกูลถั่วสำหรับทำเป็นปุ๋ยพืชสดแทน
อย่างไรก็ดี แต่เดิมพืชตระกูลถั่วที่ปลูกในแปลงอ้อย เช่น ครามขน โสนอาฟริกัน ปอเทือง ส่วนใหญ่เป็นพืชที่ใช้ทำปุ๋ยพืชสด ซึ่งปลูกแล้วไถกลบ จึงไม่ช่วยเพิ่มรายได้ และไม่เป็นที่ยอมรับในเกษตรกรรายย่อยที่มีรายได้น้อย การปลูกพืชตระกูลถั่วที่ให้เมล็ด เช่น ถั่วลิสง และถั่วเหลืองจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะสามารถสร้างรายได้เสริมให้แก่เกษตรกร ช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมีได้อีกด้วย
น.ส. เสาวคนธ์ เหมวงษ์ นักศึกษาปริญญาเอกสาขาพืชไร่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และนักศึกษาโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) รุ่นที่ 4 ภายใต้การดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษา อ.ดร. บรรยง ทุมแสน ศึกษาพบว่า การงดเผาซากอ้อยควบคู่ไปกับการปลูกพืชตระกูลถั่วในช่วงรอปลูกอ้อยใหม่ เป็นการช่วยเพิ่มผลผลิตอ้อยเมื่อเทียบกับวิธีการที่เกษตรกรปฏิบัติอยู่เดิม คือปล่อยแปลงว่างและไถพรวนเป็นระยะๆ นอกจากนี้การปลูกพืชตระกูลถั่วยังทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิม เพราะทำให้ดินมีไนโตรเจนสูง ทำให้เกษตรกรลดรายจ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมี เพราะสามารถลดจำนวนการใส่ปุ๋ยเคมีให้อ้อยจาก 2 ครั้งเหลือเพียง 1 ครั้งโดยที่ผลผลิตไม่ลดลง
“หลังจากใส่ซากถั่วเหลืองหรือถั่วลิสงลงไปในแปลงขณะเพาะปลูกอ้อย เราพบว่าอ้อยในช่วงอายุ 6 เดือนแรกเติบโตใกล้เคียงกับการใส่ปุ๋ยเคมีไนโตรเจน แต่ให้ผลดีกว่าในด้านการบำรุงรักษาดิน เนื่องจากการใส่ปุ๋ยเคมีจะทำให้ดินสูญเสียไนโตรเจนได้ง่าย โดยเฉพาะดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นดินทราย” น.ส.เสาวคนธ์ กล่าว
“โอกาสในการนำงานวิจัยไปใช้มีความเป็นไปได้สูงหากได้รับการส่งเสริมและมีการพัฒนาเครื่องมือตัดใบอ้อยและไถพรวนซากใบอ้อยและซากถั่ว และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนในการรณรงค์ลดการเผาซากอ้อย ควบคู่ไปกับส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นในช่วงรอปลูกอ้อยใหม่ โดยเฉพาะถั่วเหลืองและถั่วลิสงที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอาหาร ทั้งคนและสัตว์ ที่ยังไม่เพียงพอต่อการบริโภค” นักวิจัยกล่าว
แหล่งที่มา : ฝ่ายสื่อสารสังคม-ม.ขอนแก่น
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.