พบสุดยอดข้าวหอมพันธุ์ใหม่
หวั่นแย่งตลาดดอกมะลิ 105
ศูนย์วิจัยข้าวอุบลฯจับมือ IRRI พัฒนาข้าวหอมมะลิสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดของโลก IR77924-62-71-1-2 พร้อมคุณสมบัติพิเศษต้านทานโรคไหม้ชะงัก และยังคง "ความหอม" ไม่ต่างจากต้นแม่พันธุ์ ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่สร้างชื่อให้ข้าวหอมไทยดังไปทั่วโลก ด้านผู้ส่งออกข้าวกลับกังวลหนัก หวั่นข้าวขาวดอกมะลิ 105 ถูกข้าวพันธุ์ใหม่ตัดราคา สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อ เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับข้าวปทุมธานี 1 ซึ่งมีปัญหาปลอมปนเป็นข้าวขาวดอกมะลิส่งขายจีน
ดร.เกรียงไกร พันธุ์วรรณ์ นักวิชาการสถาบันวิจัยข้าว กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์วิจัยข้าวอุบลราชธานี กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับสถาบัน วิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) ภายใต้โครงการร่วมไทย-IRRI ได้วิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมมะลิสายพันธุ์ใหม่ที่ให้ชื่อว่า "IR77924-62-71-1-2" จนประสบความสำเร็จ โดยข้าวหอมมะลิสายพันธุ์ใหม่พันธุ์นี้มีคุณสมบัติสำคัญอยู่ที่ความสามารถในการต้านทานโรคไหม้ ที่ระบาดหนักทำความเสียหายให้กับผลผลิตข้าวหอมมะลิในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ภาคเหนือแต่ละปีเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ข้าวหอมมะลิสายพันธุ์ใหม่ "IR77924-62-71-1-2" เป็นข้าวพันธุ์ผสมที่พัฒนามาจากข้าวขาวดอกมะลิ 105 ด้วยวิธีการผสมกลับ (backcross) โดยมีข้าวสายพันธุ์ IR70177-76-3-1-1 เป็นพันธุ์พ่อที่ให้ลักษณะต้านทานโรคไหม้ ทำให้ลักษณะประจำพันธุ์จะต้านทานโรคไหม้ได้ตั้งแต่ระยะกล้าและระยะออกรวง ประกอบกับเป็นข้าวที่ไวต่อช่วงแสงเพียงเล็กน้อย มีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 130 วัน มีทรงกอที่ตั้งตรง ความสูงของลำต้นประมาณ 154 เซนติเมตร ใบสีเขียว ฟางค่อนข้างแข็ง มีจำนวนรวงต่อกอประมาณ 11 รวง ให้ผลผลิตประมาณ 500-600 กิโลกรัม/ไร่ สีเปลือกเมล็ดเป็นสีฟาง รูปร่างเมล็ดข้าวกล้องเรียว มีความยาวประมาณ 7.6 มิลลิเมตร และความกว้างประมาณ 2.1 มิลลิเมตร
นอกจากนี้ ข้าวสายพันธุ์ใหม่ยังมีลักษณะเด่นเป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างไม่ไวต่อช่วงแสง สามารถปลูกในนาปรังได้ ด้วยการกำหนดวันปลูกและวันเก็บเกี่ยวได้ตามอายุ ทำให้หลีกเลี่ยงปัญหาฝนแล้งปลายฤดูและลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในช่วงระยะเวลาเก็บเกี่ยว นอกจากนี้ ข้าวสายพันธุ์ใหม่เมื่อเก็บไว้นานประมาณ 6 เดือน ยังคงมีความนุ่มเหนียวและความหอมได้ดีกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ขายข้าวในประเทศและผู้ส่งออก
ปัจจุบันแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพดีของประเทศไทยจะกระจายอยู่ในพื้นที่ 19 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 32 ล้านไร่ แต่ผลผลิตที่ได้รับยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เฉลี่ย 345 กิโลกรัม/ไร่ เนื่องจากสภาพพื้นที่ปลูกส่วนใหญ่ไม่เหมาะสม การปลูกในสภาพนาน้ำฝน ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เนื่องจากเป็นดินทราย/ดินเค็ม เกิดสภาพแล้ง น้ำท่วม และเกิดโรคระบาด โดยเฉพาะโรคไหม้
แม้ข้าวหอมมะลิสายพันธุ์ใหม่ IR77924-62-71-1-2 จะช่วยแก้ปัญหาโรคไหม้และให้ผลผลิตข้าวต่อไร่มากกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่ปลูกอยู่ในปัจจุบัน โดยคุณสมบัติ "ความหอม" ของข้าวไม่แตกต่างกันเลยนั้น แต่ในอีกมุมหนึ่ง การปรากฏขึ้นของข้าวหอมมะลิสายพันธุ์ใหม่กลับสร้างความกังวลให้กับผู้ส่งออกข้าวมาก โดยนายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ ประธานบริษัทอุทัย โปรดิวส์ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ส่งออกข้าวหอมมะลิรายใหญ่ และเลขาธิการสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตนเกรงว่าข้าวหอมมะลิพันธุ์ใหม่ที่วิจัยขึ้นมาได้สำเร็จ จะทำให้เกิดปัญหาสับสนเรื่องพันธุ์ข้าวหอมขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกรณีข้าวหอมพันธุ์ปทุมธานี 1 เพราะข้าวสายพันธุ์ใหม่นี้สามารถปลูกเป็นข้าวนาปรังได้เช่นเดียวกัน เนื่อง จากเป็นข้าวไม่ไวแสง
ดังนั้น หากปลูกข้าวหอมพันธุ์ใหม่ หรือ IR77924-62-71-1-2 ออกมามาก จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อราคาข้าวขาวดอกมะลิ 105 ปรับตัวลดลง ตามกฎของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อมีของมากราคาก็ต้องลง เช่น กรณีภาวะล้นตลาดของข้าวปทุมธานี 1 แต่การที่ข้าวหอมมีราคาสูงขณะนี้ เนื่องจากการแทรกแซงของรัฐบาล ซึ่งพอข้าวภายในประเทศมีราคาสูง ทำให้ผู้ส่งออกขายยาก และปัจจุบันประเทศที่นำเข้าข้าวหอมมะลิรายใหญ่ เช่น จีน หันมานำเข้าข้าวปทุมธานี 1 แทน เพราะมีราคาถูกกว่า เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกข้าวหอมช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 ปรากฏสามารถส่งออกไปได้ประมาณ 1.2-1.3 ล้านตัน ในจำนวนนี้ทราบกันดีในวงการค้าข้าวว่า ส่วนใหญ่เป็นตัวเลขการส่งออกข้าวหอมปทุมธานี 1 แทนที่จะเป็นข้าวหอมมะลิ 105
"ความเคลื่อนไหวของตลาดส่งออกข้าวหอมตอนนี้ ข้าวหอมปทุมธานี 1 ราคาประมาณ 340-350 เหรียญ/ตัน ขณะที่ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ราคาประมาณ 430-440 เหรียญ/ตัน เท่ากับราคาจะต่างกันประมาณ 100 เหรียญ ทำให้ผู้นำเข้าแห่ซื้อข้าวหอมปทุมธานี 1 กันมาก ชาวนาเองก็ปลูกกันหลายรอบ แม้แต่ชาวนาอีสานและชาวนาภาคเหนือ ตอนนี้หันไปปลูกข้าวปทุมธานี 1 กันหมดแล้ว และคุณคิดดู หากข้าวหอมสายพันธุ์ใหม่ออกมา พันธุ์ข้าวจะยุ่งเหยิงกันไปหมด การค้าข้าวจะยิ่งลำบาก เพราะไม่สามารถแยกได้ด้วยตาเปล่า แต่ถ้าจะให้ส่งตรวจ DNA ทุกลอตคงเป็นไปไม่ได้ เพราะตัวอย่างหนึ่งต้องใช้ค่าตรวจประมาณ 3,000-5,000 บาท" นายเจริญกล่าว
ดังนั้นทางที่ดีควรแก้ที่ต้นเหตุ โดยจัดโซนนิ่งการปลูกข้าวตามสายพันธุ์และความเหมาะสมของที่ดินบริเวณนั้นๆ ไม่ใช่มาตรวจ DNA ซึ่งเป็นการแก้ปลายเหตุ
นอกจากนี้ หลายประเทศที่ไม่เคยสนใจปลูกข้าวหอมก็หันมาพัฒนาสายพันธุ์และปลูกข้าวหอมกันมากขึ้น เพราะเห็นไทยขายข้าวหอมได้ราคาดี บางประเทศเริ่มส่งออกบางแล้ว โดยข้าวที่ส่งออกคุณสมบัติใกล้เคียงกับข้าวปทุมธานี 1 ของไทยมาก สามารถปลูกในนาปรังได้ แต่ราคาถูกกว่าข้าวของไทยเกือบ 100 เหรียญ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องมองไปในอนาคตด้วย ว่าเราจะแข่งขันอย่างไร กับข้าวชนิดไหน
ที่มา : กรมวิชาการเกษตร
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.