สวทช.-กรมการข้าวร่วมมือวิจัยต่อ หลังได้
ข้าวพันธุ์ใหม่ 3 สายพันธุ์ รอขึ้นทะเบียน
สวทช. จับมือกรมการข้าว พัฒนาข้าวนาน้ำฝน 3 สายพันธุ์ใหม่สำเร็จ เตรียมยื่นขอรับรองพันธุ์ พร้อมลุยวิจัยเฟส 2 มุ่งค้นหาเครื่องหมายโมเลกุลไว้ใช้ปรับปรุงพันธุ์ข้าว เน้นพัฒนาพันธุ์ข้าวต้านทานโรค แมลง และทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เพิ่มผลผลิตอีก 20% คาดสำเร็จภายใน 5 ปี
นายสุนิยม ตาปราบ นักวิชาการชำนาญการพิเศษ กรมการข้าว เปิดเผยว่า กรมการข้าวได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศึกษาวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ข้าวจนได้ข้าวพันธุ์ใหม่ 3 สายพันธุ์ ที่มีคุณสมบัติทนต่อโรคและสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม สำหรับพื้นที่ปลูกข้าวนาน้ำฝน ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขอรับรองพันธุ์ข้าว และสานต่องานวิจัยสู่ระยะที่ 2 มุ่งปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้นและให้ผลผลิตสูงขึ้น
สวทช. กับกรมการข้าว ร่วมมือกันตั้งแต่ปี 49-52 เพื่อทำงานวิจัยเพิ่มผลผลิตข้าว โดยเฉพาะข้าวนาปีหรือข้าวนาน้ำฝน ซึ่งเป็นพื้นที่ 2 ใน 3 ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดในประเทศไทย แต่ให้ผลผลิตข้าวอยู่ในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับต่างประเทศ สวทช. จึงใช้เทคโนโลยีโมเลกุลเครื่องหมายเพื่อค้นหายีนลักษณะดีในข้าวสายพันธุ์ต่างๆ ที่เป็นแหล่งพันธุกรรมข้าว แล้วกรมการข้าวนำยีนเหล่านั้นมาใช้ปรับปรุงพันธุ์ข้าวนาน้ำฝนให้มีคุณสมบัติดียิ่งขึ้น และทดลองปลูกในพื้นที่เพาะปลูกจริง รวมทั้งให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการคัดเลือกสายพันธุ์ข้าวที่มีความแข็งแรงทนทาน และมีลักษณะ
การหุงต้มที่ดี
"ความร่วมมือในระยะแรกเราได้ข้าวพันธุ์ใหม่ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ทนน้ำท่วมฉับพลัน, ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ทนดินเค็ม และข้าว กข6 ต้านทานโรคไหม้ ซึ่งเหมาะกับพื้นที่ปลูกข้าวบริเวณภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอรับรองพันธุ์ข้าวจากกรมการข้าว ซึ่งคณะกรรมการจะต้องดำเนินการตรวจสอบและทดลองปลูกว่าข้าวสายพันธุ์ใหม่มีคุณสมบัติตรงตามที่แจ้งไว้หรือไม่ คาดว่าจะแล้วเสร็จและได้รับการขึ้นทะเบียนภายในปลายปีนี้ จากนั้นจึงจะเริ่มผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อจำหน่ายให้เกษตรกรได้" นายสุนิยม กล่าวต่อทีมข่าว
วิทยาศาสตร์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ และสื่อมวลชน
ทั้งนี้ สวทช. กับกรมการข้าวได้เริ่มความร่วมมือในระยะที่ 2 ต่อทันที ซึ่งมีการลงนามความร่วมมือกันไปเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ปี 53-58 มุ่งเน้นต่อยอดจากงานวิจัยในระยะแรก และขยายขอบเขตงานวิจัยสู่ข้าวนาชลประทาน
"ในงานวิจัยระยะที่ 2 จะนำพันธุ์ข้าวที่ได้จากการวิจัยระยะแรกมาพัฒนาต่อยอด โดยปรับปรุงให้มีความต้านทานต่อโรค แมลง และสภาพแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการปรับปรุงพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ให้มีคุณสมบัติต้านทานโรคไหม้ประกอบกับลักษะพิเศษอื่นๆ รวมทั้งให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น 20-30% เพื่อสร้างเสถียรภาพและศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ข้าวหอมมะลิของไทย รวมทั้งพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ๆ เพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา นักวิจัย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวถึงความร่วม
มือในระยะถัดจากนี้ไป ซึ่งนักวิจัยคาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปีนี้ จะได้ข้าวสายพันธุ์ใหม่ๆที่มีลักษณะตามต้องการดังกล่าวอีกหลายสายพันธุ์
ดร.ธีรยุทธ กล่าวต่อว่า ทีมวิจัยจะขยายขอบเขตไปสู่การปรับพันธุ์ข้าวสำหรับนาชลประทานด้วย โดยเน้นที่การปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่นาดังกล่าว พร้อมกับพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ที่สามารถปลูกและให้ผลผลิตได้ดีในพื้นที่มีน้ำน้อย
นอกจากนี้ยังมุ่งศึกษาค้นหายีนสำคัญในข้าวสายพันธุ์ต่างๆ เพื่อจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลพันธุกรรมข้าวในธนาคารข้าว สำหรับนำมาใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวต่อไปในอนาคต ขณะเดียวกัน สวทช. จะดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีโมเลกุลเครื่องหมายไปสู่ห้องปฏิบัติการของกรมการข้าวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าว รวมทั้งถ่ายทอดองค์ความรู้แก่เกษตรกรในพื้นที่ให้มีความรู้ความเข้าใจต่างๆ เพื่อการเพาะปลูกข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
"สวทช. มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีโมเลกุลเครื่องหมาย ส่วนกรมการข้าวมีจุดเด่นในด้านโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรในการวิจัยข้าวในแปลงทดลอง และมีเครือข่ายเกษตรกรผู้ร่วมวิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าว เมื่อสองหน่วยงานมาร่วมมือกัน สามารถลดจุดด้อยของแต่ละหน่วยงาน ช่วยย่นระยะเวลาในการปรับปรุงพันธุ์ข้าว และทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อการพัฒนาและผลิตข้าวทั้งระบบ" นายประเสริฐ โกศัลวิตร อธิบดีกรมการข้าว กล่าว
ที่มา http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000025474
"ยุคล" ทำหน้าที่พระยาแรกนาปีแรก เนื่องในวันพืชมงคล
ยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรฯรับหน้าที่พระยาแรกนาเป็นปีแรก เทพีคู่หาบทองได้แก่ น.ส.ณุทนาถ โคตรพรหม นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการ กรมปศุสัตว์ และ น.ส.สุนีลา รู้สุกิจกุล นักวิชาการปฏิรูปที่ดินปฏิบัติการ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม...
ในปี 2553 นี้ปฏิทินหลวง ได้กำหนดให้วันพุธที่12พ.ค.2553 เป็นวันสวดมนต์เริ่มพระราชพิธีพืชมงคลและประกอบพระราชพิธีทางศาสนา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนในวันพฤหัสบดีที่13พค.53 เป็นวันพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) ประกอบพิธี ณ บริเวณมณฑลพิธีสนามหลวง ผู้ทำหน้าที่พระยาแรกนา คือ นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งทำหน้าที่พระยาแรกนาเป็นปีแรก สำหรับเทพีคู่หาบทองได้แก่ น.ส.ณุทนาถ โคตรพรหม นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการ กรมปศุสัตว์ และ น.ส.สุนีลา รู้สุกิจกุล นักวิชาการปฏิรูปที่ดินปฏิบัติการ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ส่วนผู้ทำหน้าที่เทพีคู่หาบเงินได้แก่ น.ส.เดือนเพ็ญ ใจคง เจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน กรมวิชาการเกษตรและ น.ส.สรชนก วงศ์พรม นายช่างโยธาชำนาญงาน กรมประมง และพระโคแรกนาประจำปีนี้ 1 คู่ได้แก่ พระโคฟ้าและพระโคใส ซึ่งทำหน้าที่เป็นพระโคแรกนาขวัญเป็นปีที่ 2 ส่วนพระโคคู่สำรองได้แก่ พระโคเทิดและพระโคทูน สำหรับ เมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือก ที่นำเข้าในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญประจำปี 2553 ประกอบด้วย ข้าวนาสวน 7 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์สุพรรณบุรี1,พันธุ์ปทุมธานี 80(กข 31),พันธุ์ขาวดอกมะลิ105,พันธุ์ปทุมธานี1,พันธุ์เจ้าพัทลุง,พันธุ์ชัยนาท80(กข 29)และพันธุ์ กข 6
ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญประจำปี 2553 ประกอบด้วย ข้าวไร่ 2 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ซิวแม่จัน และพันธุ์ดอกพะยอม รวมน้ำหนักเมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือกทั้งสิ้น 1,791 กิโลกรัม ส่วนหนึ่งใช้หว่านในระหว่างพิธี และจัดเป็น “พันธุ์ ข้าวทรงปลูกพระราชทาน” บรรจุใส่ซองขนาดเล็กเพื่อจัดส่งให้จังหวัดต่าง ๆ สำหรับ ใช้แจกจ่ายแก่เกษตรกรรับไปเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลในการประกอบอาชีพตาม พระราชประสงค์ และเมล็ดพันธุ์ที่เหลือทั้งหมด กรมการข้าวขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตนำไปปลูกไว้ทำพันธุ์ในฤดูกาลปี 2553 เพื่อเป็นต้นตระกูลของพืชพันธุ์ดีเผยแพร่สู่เกษตรกรต่อไป
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์
'หอมมะลิ' แย่แน่ เวียดนามฉวยตั้งชื่อ 'จัสมิน ไรซ์"
พาณิชย์ เผยข้าวหอมมะลิไทยแย่แน่ หลังเวียดนามฉวยตั้งชื่อข้าว "จัสมิน ไรซ์" เลียนแบบข้าวหอมมะลิไทย ออกตีตลาดทั่วอังกฤษ แถมดัมพ์ราคาขายต่ำกว่ามาก หวั่นไทยเสียตลาด
เมื่อวันที่ 15 ก.พ. มีรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ขณะนี้ ประเทศเวียดนาม ได้พัฒนาพันธ์ุข้าวเลียนแบบข้าวหอมมะลิของไทย และใช้ชื่อเลียนแบบว่า จัสมิน ไรซ์ นำออกขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตเอเชีย ทั่วกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อตีตลาดข้าวหอมมะลิไทย ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก หากไทยไม่เร่งพัฒนา และส่งเสริมการตลาดอาจถูกข้าว จัสมินไรซ์ ของเวียดนามที่ราคาถูกกว่าแย่งตลาดไป
สำหรับข้าวจัสมิน ไรซ์ บริษัท โอเรียนท์ เมอร์ชานท์ จากออสเตรเลียเป็นผู้นำเข้าจากเวียดนาม ผ่านตัวแทนเนเธอร์แลนด์ โดยใช้ยี่ห้อว่า เชฟีส เวิลด์ พร้อมระบุหน้าถุงว่า จัสมิน ไรซ์ ขายในราคาถูกกว่าข้าวหอมมะลิไทยถึง 50% โดยถุงขนาด 20 กิโลกรัม ขายเพียง 20 ปอนด์ หรือประมาณ 1,000 บาท ขณะที่ข้าวหอมมะลิไทยขนาดเท่ากันขายถึง 30 ปอนด์ ประมาณ 1,500 บาท
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยคงไม่สามารถฟ้องร้องเวียดนามละเมิดลิขสิทธิ์ชื่อข้าว จัสมิน ไรซ์ แปลว่าข้าวหอมมะลิ เพราะชื่อดังกล่าวเป็นคำสามัญ ที่ใช้ได้ทั่วไป ไม่ใช่ชื่อเฉพาะ ดังนั้นแนวทางที่ไทยทำได้ คือ เน้นส่งเสริมให้ผู้บริโภคเห็นถึงคุณภาพของข้าวหอมมะลิไทย ที่มีเอกลักษณ์และเหมาะสมกับอาหารไทย เพื่อช่วยให้ผู้บริโภครู้จัก และเห็นถึงความแตกต่างระหว่างข้าวหอมมะลิไทย กับข้าวหอมมะลิจากประเทศอื่น
ที่มา http://www.thairath.co.th/content/eco/65306
ปรับระบบปลูกข้าวปีละ 2 หน ตัดวงจรโรคระบาด-วิกฤติแล้ง
สศก.ชี้คุ้มค่ากว่าปลูกหลายรอบ
นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เผยว่า เพื่อเป็นการแก้ไขสถานการณ์ภัยแล้งที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งปัญหาแมลงศัตรูพืชระบาดทำลายนาข้าว กระทรวงเกษตรฯจึงเร่งรัดจัดทำโครงการจัดระบบการปลูกข้าวขึ้น เพื่อให้มีการปลูกข้าวปีละไม่เกิน 2 ครั้ง โดยงดเว้นการปลูกข้าวแบบต่อเนื่องทั้งปี ให้มีการใช้น้ำไม่เกินปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ ขณะเดียวกันยังเป็นการตัดวงจรการระบาดศัตรูข้าว และรักษาระบบนิเวศน์ในนาข้าวให้มีความสมดุล
โดยมีเป้าหมายดำเนินการในระยะแรกในพื้นที่ 22 จังหวัด ได้แก่ จ.กำแพงเพชร เชียงราย นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย อุทัยธานี ชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง นครนายก ฉะเชิงเทรา ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และเพชรบุรี โดยมีเกณฑ์ที่ใช้เป็นกรอบในการคัดเลือก คือ มีพื้นที่ตั้งแต่ 1 แสนไร่ขึ้นไป หรือเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล หรือเป็นพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล รวมทั้งเป็นพื้นที่ในเขตชลประทานตั้งแต่ 1.5 แสนไร่ ขึ้นไป สามารถปลูกข้าวได้ตลอดทั้งปี จากจำนวนพื้นที่ในระยะยาวที่จะดำเนินการจัดระบบการปลูกข้าวทั่วประเทศทั้งสิ้น 9,532,672 ไร่
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯยังได้กำหนดระบบการปลูกข้าวตามช่วงเวลาใหม่ เป็น 4 ระบบ คือ 1.ปลูกข้าวรอบที่ 1-รอบที่ 2 -พืชหลังนา 2.ปลูกข้าวรอบที่ 1-รอบที่ 2 - เว้นปลูก 3.ปลูกข้าวรอบที่ 1-พืช หลังนา-ข้าวรอบที่ 2 และ 4.ปลูกข้าวรอบที่ 1-เว้นปลูก-ข้าวรอบที่ 2 อย่างไรก็ตามขณะนี้โครงการดังกล่าวยังไม่ได้นำมาใช้ เพราะจะต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์ ซึ่งจะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากเกษตรกร ก่อนเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
ด้าน นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามข้อมูลการสำรวจของกรมพัฒนาที่ดินระหว่างการปลูกข้าวปีละ 5 ครั้ง กับการปลูกข้าวปีละ 2 ครั้งแล้วพักดินเพื่อปลูกพืชอื่นคั่นนั้น ได้ผลผลิตไม่ต่างกัน หรือสรุปได้ว่าการปลูกข้าวน้อยครั้งเกษตรกรลงทุนน้อยแต่สามารถได้ข้าวคุณภาพดีหรือมากกว่าการปลูกข้าวปีละหลายๆ ครั้ง
ที่มา : แนวหน้า
แนะ4ขั้นตอนปลูกข้าว ช่วยลดต้นทุนการผลิต
กรมการข้าวรับประกัน ชาวนากำไรเพิ่มเท่าตัว |
|
|
นางสำลี บุญญาวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีปัญหาโรคและศัตรูพืชระบาด กรมการข้าวจึงขอแนะนำการทำนาแบบง่ายๆ 4 ขั้นตอน คือ การจัดการฟางให้เหมาะสม การจัดการน้ำในนาแบบเปียกสลับแห้ง การใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน และการจัดการโรค แมลงศัตรูข้าว
สำหรับการจัดการฟางข้าว คือ หลังเก็บเกี่ยวข้าวใช้รถแทรกเตอร์ไถกลบฟางปล่อยทิ้งไว้ในสภาพไม่มีน้ำขัง 15-30 วัน หรือหลังเก็บเกี่ยวข้าวแล้วปล่อยให้แปลงนาและฟางแห้งประมาณ 15 วัน ไขน้ำเข้าแปลงนาให้ท่วมฟางใช้รถไถย่ำฟางตามด้วยเตรียมดิน หว่านข้าวโดยใช้อัตราเมล็ดพันธุ์ดี 15-20 กิโลกรัม/ไร่
ส่วนการจัดการน้ำโดยให้น้ำในนาแบบเปียกสลับแห้ง หมายความว่า หลังหว่านข้าวในอัตราเมล็ดพันธุ์ 15-20 กิโลกรัม/ไร่ ต้องระบายน้ำออกจากแปลงนาให้แห้ง พ่นสารเคมีคุมวัชพืช ไขน้ำเข้าแปลงนาภายใน 7 วันหลังพ่นสารคุมวัชพืชระดับไม่เกิน 5 เซนติเมตร แล้วปล่อยน้ำแห้งตามธรรมชาติจนผิวดินเริ่มแตก ไขน้ำเข้าแปลงที่ระดับ 5 เซนติเมตร ทำสลับกันจนถึงระยะกำเนิดช่อดอก ปล่อยให้น้ำขังในแปลงนาตลอดถึงช่วง 10 วันก่อนการเก็บเกี่ยวจึงระบายออก
การใส่ปุ๋ย ควรเก็บตัวอย่างดินวิเคราะห์ความอุดมสมบูรณ์ของดินก่อนใส่ปุ๋ย เพื่อจะได้รู้ว่าควรใส่ปุ๋ยเท่าไรและใช้แผ่นเทียบสีใบข้าว (LCC) ช่วยตัดสินใจว่า ควรใส่ปุ๋ยไนโตรเจนเมื่อใด เพื่อให้ตรงกับความต้องการของข้าว ส่วนการจัดการโรค แมลงศัตรูข้าว ต้องมีการสุ่มสำรวจก่อนตัดสินใจใช้สารเคมี
ทั้งนี้ศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานีได้ดำเนินการทดลองกับนาของเกษตรกรที่เขตหนองจอก กทม. เมื่อปี 2552 ปรากฏว่าเกษตรกรที่ร่วมโครงการได้กำไรเพิ่มขึ้น จากการทำนา 50 ไร่ ปีละ 3 ครั้งได้กำไรสุทธิครั้งละ 1 แสนบาท แต่เมื่อนำวิธีการดังกล่าวมาปรับใช้ ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็นครั้งละ 2 แสนบาท จากการทำนาปีละ 2 ครั้ง |
ที่มา : แนวหน้า
“ข้าวพันธุ์ใหม่” ปลอดจีเอ็มโอ ปลูกดินเค็มได้-ให้ผลผลิตสูง
“ข้าว”เป็นอาหารหลักของคนไทย และเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ แต่การปลูกข้าวในสถานที่ที่มีพื้นที่ดินเค็ม ยังเป็นปัญหาสำคัญที่ทำเอาเหล่ากระดูกสันหลังของชาติต้องกุมขมับ เพราะนอกจากจะมีพันธุ์ข้าวไม่กี่พันธุ์ที่สามารถปลูกในดินเค็มได้แล้ว ยังให้ผลผลิตต่ำอีกด้วย นักวิจัยไทยจึงได้คิดค้นข้าวพันธุ์ใหม่ ที่ปลอดจีเอ็มโอ แต่สามารถปลูกในดินเค็มและให้ผลผลิตสูง
ดร.สุริยันตร์ ฉะอุ่ม นักวิจัย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้พัฒนา"ข้าวสายพันธุ์บริสุทธิ์ทนความเค็ม”(Pure line) ด้วยการผสมเกษรระหว่างพันธุ์ ข้าวขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 โดย ดร.สุริยันตร์ เล่าถึงที่มาของงานวิจัยว่า เนื่องจากภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105 เพื่อการส่งออกมากที่สุด แต่ปัญหาพื้นที่ดินเค็มทำให้ผลผลิตต่อไร่ของข้าว ค่อนข้างต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศจีน ที่แม้ไม่ได้ผลิตข้าวเพื่อส่งออก แต่ก็ผลิตข้าวเพื่อการบริโภค เพราะมีประชากรในประเทศเป็นจำนวนมาก ส่วนประเทศญี่ปุ่นก็สามารถผลิตข้าวได้เกือบ 1,600 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่ประเทศไทยบ้านผลิตได้เพียง 300-400 กิโลกรัมต่อไร่ เท่านั้น
“ในเมื่อบ้านเรามีฐานพันธุกรรมข้าวอยู่พอสมควรก็สามารถทำได้ โดยได้ไปขอพันธุ์ข้าวที่ศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี กรมวิชาการเกษตร แล้วนำมาทดสอบว่า พันธุ์ข้าวชนิดใดมีความสามารถปลูกในพื้นที่ดินเค็มได้ โดยคัดเลือกเอาพันธุ์ข้าวทนความเค็มมาผสมพันธุ์กับข้าวขาวดอกมะลิ 105 โดยคาดหวังว่าความสามารถในการทนความเค็มจะเข้าไปในยีนส์ของข้าวขาวดอกมะลิ 105 หรือปทุมธานี 1 โดยเหตุที่สนใจเฉพาะข้าว 2 พันธุ์นี้ เนื่องจากข้าวขาวดอกมะลิ 105 เป็นข้าวไวแสงปลูกได้ปีละหน ส่วนพันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 สามารถปลูกในบริเวณภาคกลางและเก็บเกี่ยวได้ถึง 3 รอบ”
ดร.สุริยันตร์ อธิบายถึงปัญหาดินเค็มว่า ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะภาคอีสานเท่านั้น หากแต่พื้นที่ภาคกลางก็มีปัญหาเช่นกัน โดยมีหลายสาเหตุ อาทิ การขนน้ำทะเลมาเลี้ยงกุ้ง การทำเกษตรกรรมที่มีการปลดปล่อยน้ำเสียออกมา การปนเปื้อนของเกลือในดิน ฯลฯ จึงมองไปที่ข้าวทั้ง 2 พันธุ์นี้ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีคุณสมบัติดีอยู่แล้ว หากแต่ต้องการให้สามารถปลูกได้ในพื้นที่ดินเค็ม
ทั้งนี้ การปรับปรุงพื้นที่ดินเค็มที่นิยมทำอยู่มี 2 วิธี คือ การล้างหน้าดิน และการปลูกไม้ยืนต้น เพื่อกดไม่ให้เกลือขึ้นมา ซึ่งวิธีนี้จะมีต้นทุนค่อนข้างสูง และยังเกิดปัญหาในการหาแหล่งน้ำเนื่องจากภาคอีสานมีพื้นที่แห้งแล้ง ที่สำคัญพื้นที่ข้างล่างจะเป็นภูเขาหินเหลือ ซึ่งมีปริมาณเกลือจำนวนมากจนมีการคาดว่า สามารถเลี้ยงประชากรโลกได้ถึง 1,000 ปี จึงเป็นเรื่องยากที่ปรับปรุงสภาพดินเค็ม ดังนั้น การปรับปรุงพันธุ์ข้าวจึงเป็นทางเลือกที่น่าจะแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด
“ขณะนี้การพัฒนาข้าวสายพันธุ์บริสุทธิ์ทนความเค็ม อยู่ในขั้นตอนการทดลองปลูกบนพื้นที่ดินเค็ม ของบริษัทเกลือพิมาย จำกัด จ.นครราชสีมา เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีคราบเกลือค้างอยู่ โดยจะปลดปล่อยพันธุ์ข้าวจนมั่นใจว่าความสามารถในการทนความเค็มนิ่งพอ มีการปลูกและเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวอย่างน้อย 6 รุ่น เพื่อให้ได้พันธุ์ข้าวที่ไม่แปรปรวนพันธุกรรม ซึ่งขณะนี้เก็บได้ 1-2 รุ่น แล้วหลังจากนั้น จะทำการตรวจสอบคุณภาพการหุงต้ม และคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งต้องใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบาย โดยต่อไปจะขยายไปปลูกทดสอบในจังหวัดต่างๆของภาคอีสานต่อไป เพื่อดูการตอบสนองของพันธุ์ข้าวต่อสภาพแวดล้อมในพื้นที่ต่างๆ”
นักวิจัยที่ทำการพัฒนาข้าวสายพันธุ์บริสุทธิ์ทนความเค็ม กล่าวถึงเป้าหมายในการคิดค้นผลงานวิจัยดังกล่าวว่า นอกจากข้าวพันธุ์นี้จะสามารถปลูกในพื้นที่ดินเค็มแล้ว ยังให้ผลผลิตในปริมาณที่สูงกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105 ประมาณ 1.5 เท่า ซึ่งในต่างประเทศได้นำเทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรม(จีเอ็มโอ)มาใช้ เพื่อแก้ไขปัญหาพันธุกรรมของข้าว แต่งานวิจัยนี้จะไม่ใช่การทำจีเอ็มโอ
นับเป็นผลงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อเกษตรกรไทย และเพิ่มปริมาณการส่งออกข้าวไทยไปยังต่างประเทศ ซึ่งหาก“พันธุ์ข้าวบริสุทธิ์ทนความเค็ม”ประสบความสำเร็จ และนำไปขยายผลใช้ปลูกในพื้นที่ต่างๆได้อย่างแพร่หลาย ในอนาคตปัญหาสภาพดินเค็มคงไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้เราปลูกข้าวไม่ได้อีกต่อไป
คุมอุณหภูมิรักษาคุณภาพข้าวหอมมะลิยังคงทนความหอม
ประเทศไทยมีการส่งออก ข้าวหอมมะลิ ไปขายยังตลาด ต่างประเทศปีหนึ่ง มีมูลค่านับล้านๆ บาท บ่อยครั้ง ที่มีเหตุทำให้ ต้องชะลอการส่งออก ซึ่งทำให้ต้องขยายระยะเวลา การเก็บที่เนิ่นนานออกไป ส่งผลทำให้คุณภาพ ของข้าวลดลง
นายบรรเจิด สมหวัง ผอ.สำนักจัดตั้งและส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้แจ้งมาว่า "ขณะนี้ทางมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้านำโดย ศ.ดร.สมชาติ โสภณรณฤทธิ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ ร่วมกับ สำนักกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ทำการศึกษาวิจัยเพื่อหาแนวทาง ในการแก้ปัญหาข้าวด้อยคุณภาพ อันเนื่องมาจากการเก็บไว้นาน"
เกี่ยวกับรายละเอียดในเรื่องนี้ ศ.ดร.สมชาติ กล่าวว่า "เดิมในสมัยก่อนการเก็บข้าวเปลือกจะเก็บไว้ในฉาง โรงเรือน แต่หากเก็บไว้ไม่ดีก็จะมีปัญหาตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นมอด แมลง กลิ่นอับ ดังนั้น เกษตรกรบางรายจึงนำไป (ขาย) ฝากไว้ตามโรงสี ซึ่งถ้าดูแลดี ข้าวแห้งแบบเหมาะสม ก็จะไม่ได้รับความเสียหายมากนัก แต่ต่อมาภายหลังได้มีการนำไซโล ซึ่งทำมาจากแผ่นเหล็กม้วนขึ้นรูปเป็นทรงกระบอกเข้ามาใช้ในโรงสีบ้านเรา"
ทั้งนี้ทั้งนั้นไซโลเหล็ก โดยทั่วไปจะตั้งกลางแดด ส่งผลให้อากาศ ที่อยู่ในไซโลเหล็กมีการไหลวน อันเนื่องมาจากความร้อน ที่ได้รับจากแสงอาทิตย์ และเมื่อข้าวเก็บไว้นานหลายๆ เดือนก็จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้การไหลวนเวียนของอากาศ ภายในกองข้าวที่อยู่ในไซโล เกิดความควบแน่นในบางส่วน ส่งผลทำให้เกิดความเสียหาย และทำให้ข้าวเหลือง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ข้าวฟันหนู" ในเชิงพาณิชย์ถือเป็นข้าวที่เสียแล้ว ไม่เหมาะแก่การบริโภค ส่งผลทำให้ราคาซื้อขายตกลงมาก
จากผลที่เกิดขึ้นคณะวิจัยจึงได้วิเคราะห์ เพื่อหาเหตุและแนวทางการแก้ปัญหา ซึ่งได้ข้อสรุปว่า "ต้องทำให้อุณหภูมิภายในกองข้าวเย็นอยู่ในอากาศประมาณ 18-20 ํC" ซึ่งอุณหภูมิดังกล่าวจะทำให้เมล็ดพืช หรือข้าวมีการหายใจน้อยลง เมื่อการไหลเวียนของอากาศน้อยลง ความควบแน่นของน้ำอันเนื่องมาจาก การไหลวนเวียนของอากาศก็จะลดน้อยตาม
ด้วยเหตุนี้ทีมวิจัย จึงได้สร้างเครื่องทำความเย็น ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ จะเป็นของที่มีอยู่ในประเทศ ซึ่งทำให้ต้นทุนสร้างราคาไม่สูง เสร็จแล้วนำไปติดตั้ง เพื่อทดสอบที่ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรเมืองเพชรบุรี ที่โรงสีข้าวพระราชทาน จ.กาฬสินธุ์ โดยขนาดที่สร้างเครื่อง จะยึดความจุของไซโลคือ 250 ตัน เครื่องทำความเย็น 10 ตัน หรือประมาณ 120,000 บีทียู/ชม. สร้างท่อปล่อยลมสำหรับต่อใต้ฐานไซโล ทำการเปิดเครื่องที่อุณหภูมิ ใช้เวลาประมาณ 5 วัน อุณหภูมิภายในกองข้าวจะลดลงอยู่ที่ 18-20 ํC และเมื่อผ่านไป 30-45 วัน (ซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาด้านค่าไฟฟ้า เท่ากับ 31.31 บาท/ตันข้าวเปลือก) จึงเริ่มเปิดเครื่องทำความเย็นอีกครั้ง โดยครั้งนี้ใช้เวลา 1-2 วัน ก็จะได้ อุณหภูมิที่กำหนดไว้
จากการทดลองผลที่ออกมาพบว่า เมื่อนำข้าวมาสีจะได้ข้าวที่เป็นเมล็ดค่อนข้างดี ไม่เหลือง มีการหักน้อย ในกรณีของข้าวหอมมะลิ ซึ่งความหอมถือเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อนำมาเก็บที่อุณหภูมิดังกล่าว จะช่วยทำให้กลิ่นของข้าวที่มีความหอมเฉพาะตัวอยู่ได้นาน และเมื่อนำเครื่องตัวนี้เอาไปใช้ในการเป่าลมเย็นเข้าไปในกองข้าว (ปัจจุบันโรงสีข้าวทั่วไปจะใช้ลมร้อนอบแห้ง) ที่ยังไม่แห้งสนิทสามารถจะช่วยลดความชื้นได้ อีกทั้งยังช่วยรักษาความสดหลังเก็บเกี่ยว
ที่สำคัญ ป้องกันการทำลายของแมลงโดยไม่ต้องอบสารเคมี เพิ่มเปอร์เซ็นต์ข้าวต้น และยังลดการสูญเสียน้ำหนักแห้งได้ดี.
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.