ป้องกัน-กำจัด “หนอน/แมลง”
ใช้ กลอย. หนอนตายหยาก. หางไหล. สะเดา. เมล็ดมันแกว. เมล็ดน้อยหน่า. ตะไคร้หอม. บอระเพ็ด. มะกรูด. เปลือกซาก. สบู่ต้น. สาบเสือ. ขอบชะนาง. อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ทั้งนี้ ตอนหมักให้หมักแยกแต่ตอนใช้จะใช้เดี่ยวๆหรือใช้หลายอย่างรวมกันก็ได้ ป้องกัน-กำจัด “รา/แบคทีเรีย/ไวรัส”
ใช้ พริก. ขิง. ข่า. กระเทียม. ตะไคร้แกง. ตะไคร้หอม. ว่านน้ำ. เปลือกมังคุด. ยาฉุน. ยาสูบ. รากหม่อน. ขมิ้นชัน. พลู. หมาก. ไพล. ตะบูน. ปูนแดง.อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ทั้งนี้ ตอนหมักให้หมักแยกแต่ตอนใช้จะใช้เดี่ยวๆหรือใช้หลายอย่างรวมกันก็ได้
โรคขาดสารอาหาร
ปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุ สารปรับปรุงบำรุงดิน และจุลินทรีย์. บำรุงพืชด้วยธาตุรอง/ธาตุเสริม ฮอร์โมนและอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง รุ่นต่อรุ่น หลายๆรุ่นและหลายๆปี ภาย ใต้มาตรการการควบคุมปัจจัยพื้นฐานเพื่อการเกษตร
หมายเหตุ :
1. วิธีสกัดเอาสารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพรให้ได้เปอร์เซ็นต์สูงสุด ซึ่งจะส่งผลให้ได้ประสิทธิภาพในการใช้สูงสุดต้องสกัดอย่างถูกวิธี กล่าวคือ พืชสมุนไพรประเภทให้กลิ่นต้องสัดด้วยวิธีกลั่น........พืชสมุนไพรที่มีรสขมต้องสกัดด้วยวิธีต้ม.......และพืชสมุนไพรที่มีรสฝาดต้องสกัดด้วยวิธีหมัก......นอกจากนี้วิธีการเก็บและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับพืชสมุนไพรก็มีส่วนที่ทำให้ได้ประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ด้วย
2. ไม่มีพืชใดในโลกนี้ที่ไม่มีโรคและแมลงศัตรูประจำตัว วันนี้ยังไม่เกิดยังไม่มี อีกไม่ช้าไม่นานก็จะต้องมีต้องเกิดอย่างแน่นอน
3. ใช้สารเคมีแล้วทำให้โรคและแมลงตาย ในเมื่อใครๆก็ใช้ ใช้กันทั่วโลก ใช้กันมานานคนละหลายๆสิบปี แล้วทำไมโรคและแมลงเหล่านั้นจึงยังไม่สูญพันธุ์ ตรงกันข้ามที่โรคและแมลงกลับรุนแรงหนักขึ้นกว่าเดิม
4. แนวคิดเบื้องต้นในการกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช คือ ศึกษาให้รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดเสียก่อน แล้วจึงวางแผนและปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสม
5. พึงระลึกอยู่เสมอว่า ไม่มีวิธีการกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช วิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงวิธีการเดียวได้ผลสมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์
6. วิธีเอาชนะโรคและแมลงศัตรูพืชที่ได้ผลสมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ มีเพียงวิธีการเดียว คือ การป้องกันและกำจัดแบบผสมผสาน (ไอ. พี. เอ็ม.) และการ “ป้องกัน ก่อนแก้ไข” เท่านั้น
อ่านรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมที่ "เมนูหลัก - สารสกัดสมุนไพร"......
****************************************************************************************
นวลศรี โชตินันทน์
วิธีการจัดการเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลอย่างยั่งยืน
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เป็นแมลงศัตรูข้าวประเภทปากดูด อยู่ในอันดับโฮม็อปเทอร่าแมลงที่อยู่ในอันดับนี้ ได้แก่ แมลงประเภทเพลี้ยต่างๆ เช่น เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น แมลงหวี่ขาว เพลี้ยแป้ง เป็นต้น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลมีความเฉพาะเจาะจงต่อพืชอาหารเพียงชนิดเดียวคือ ข้าว เท่านั้น ทั้งระยะตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากเซลล์ท่อน้ำ ท่ออาหารบริเวณโคนต้นข้าวเหนือน้ำ ต้นข้าวจะแสดงอาการ ใบเหลือง เหี่ยวแห้งตายเป็นหย่อมๆ เรียกว่า อาการฮ็อปเพอร์เบิร์น นอกจากนี้ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลยังเป็นแมลงพาหะนำเชื้อโรคไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคใบหงิกหรือโรคจู๋
คุณสุเทพ สหายา นักกีฏวิทยาชำนาญการพิเศษ กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเกิดการระบาดรุนแรงหลายประเทศในเอเชีย เช่น จีน เวียดนาม อินเดีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาว มาเลเซีย และไทย สำหรับประเทศไทยนั้น กรมส่งเสริมการเกษตร ได้รายงาน เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2552 ว่า มีการระบาดมากกว่า 13 จังหวัด พื้นที่ความเสียหายมากกว่า 2 ล้านไร่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช ทดสอบหาสารที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
"กลุ่มกีฏและสัตววิทยา ได้นำสารที่เคยแนะนำในการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในนาข้าวซึ่งเกิดอย่างรุนแรง เมื่อประมาณเกือบสิบปีมาแล้ว นำมาทดสอบทั้งรูปแบบสารเดี่ยวที่เพิ่มอัตราการใช้แล้วกับการผสมสาร 2 ชนิด ที่มีกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกัน และผสมสารฆ่าแมลงกับสารเสริมประสิทธิภาพมาทดสอบในสภาพรุนแรงเช่นปัจจุบัน" คุณสุเทพ บอก
คุณสุเทพ ชี้ว่า การรระบาดรุนแรงในปัจจุบัน เรียกว่า เป็นการระบาดมากกว่าระดับเศรษฐกิจ (Econcmic threshold) โดยทดสอบในแปลงข้าวที่มีการระบาดอยู่ในระดับ 100-200 ตัว ต่อกอ ผลพบว่าทุกวิธีการไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลที่ระบาดในปัจจุบัน ดังนั้น วิธีที่จะลดความรุนแรงของการระบาดที่เหมาะสมที่สุดในระยะวิกฤตนี้ คือ การเว้นการปลูกข้าวในช่วงนี้ เพื่อเป็นการตัดวงจรชีวิตของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และการปลูกข้าวในฤดูการถัดไป เกษตรกรต้องดูแลเอาใจใส่แปลงให้เข้มข้นมากกว่าปกติ
สาเหตุการระบาด มีหลายปัจจัยด้วยกัน คือ
1. มีการปลูกข้าวตลอดทั้งปีโดยไม่พักดิน ปัจจุบัน ในเขตชลประทานมีการทำนา 6-7 ครั้ง/2 ปี ซึ่งข้าวมีอายุประมาณ 110-120 วัน ทำให้ไม่มีการพักดิน ทำให้เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลมีแหล่งพืชอาหารตลอดปี ทำให้เพลี้ยมีวงจรชีวิตต่อเนื่องหลายชั่วอายุในช่วงเวลาเดียวกัน ส่งผลให้ลูกหลานของเพลี้ยพัฒนาความต้านทานต่อสารฆ่าแมลง ทำให้การพ่นสารไม่ได้ประสิทธิผลเท่าที่ควร
2. การปลูกข้าวพันธุ์ไม่ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เพลี้ยระบาด ดังนั้น ชาวนาต้องเลือกปลูกข้าวพันธุ์ต้านทานต่อการทำลายของโรคและแมลง ซึ่งจะทำให้ลดปัญหาของศัตรูข้าวตั้งแต่ต้น แต่ปัญหาก็คือ ชาวนาชอบปลูกพันธุ์ข้าวที่พ่อค้าให้ราคาดี ซึ่งไม่ต้านทานต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล นอกจากนี้ การใช้พันธุ์ข้าวที่ไม่ใช่พันธุ์ที่ทางราชการแนะนำ อาจไม่ใช่พันธุ์บริสุทธิ์ อาจมีการปลอมปน อีกประการหนึ่งก็คือ การปลูกข้าวพันธุ์เดียวกันเป็นพื้นที่บริเวณกว้าง เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เพลี้ยปรับตัวเข้าทำลายได้
3. การใช้สารเคมีบางชนิดอาจทำให้เกิดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเพิ่มขึ้น เช่น การใช้สารเคมีกลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์ หรือกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตบางชนิดป้องกันกำจัดแมลงชนิดอื่น เช่น หนอนกอ อาจทำให้เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลซึ่งอาจมีอยู่เพียงเล็กน้อยเพิ่มการระบาดมากขึ้นได้ และอาจมีสาเหตุเกิดจากสารบางชนิดไปทำลายตัวห้ำตัวเบียนของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
สาเหตุการใช้สารป้องกันกำจัดไม่ได้ผล ประกอบด้วยหลายปัจจัย คือ
1. การหว่านข้าวที่หนาแน่นเกินไป ทำให้การพ่นสารไม่ทั่วถึง เนื่องจากเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลจะอยู่ที่บริเวณโคนต้น ถ้าต้นข้าวแน่นเกินไป จะทำให้สารที่พ่นไปไม่ถูกตัวเพลี้ย โดยเฉพาะการใช้เครื่องยนต์พ่นสารชนิดใช้แรงลมจะมีปัญหามาก เนื่องจากส่วนใหญ่สารจะถูกแรงลมตกลง ส่วนบนต้นข้าวมากกว่าส่วนล่าง ดังนั้น ชาวนาควรเลือกเครื่องพ่นสารที่สามารถกดหัวฉีดให้ละอองสารลงให้ถูกโคนต้นข้าว
2. การใช้ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ปัจจุบันสารเคมีแบ่งกลุ่มตามกลไกการออกฤทธิ์ ซึ่งจะมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น สำหรับสารเคมีที่มีประสิทธิภาพในช่วงการระบาดที่ยังไม่รุนแรง ได้แก่ กลุ่มนีโอนิโตนอยด์ เช่น ไดโนทีฟูแรนด์ ไทอะมีโทแซม คลอไทอะนิดิน อิมิดาคลอพริด เป็นต้น กลุ่มฟินิลไพราโซล เช่น อิทิโพร์ล กลุ่มคาร์บาเมท เช่น ฟีโนบูคาร์บ ไอโซโพรคาร์บ คาร์โบซัลแฟน กลุ่มสารยับยั้งการสร้างไคติน หรือยับยั้งการลอกคราบของแมลง เช่น บูโพรเฟซิน (ใช้ได้เฉพาะตัวอ่อน) กลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์ เช่น อีโทเฟนพร็อก (เป็นสารเพียงชนิดเดียวในกลุ่มไพรีทรอยด์ที่ยังแนะนำให้ใช้ในนาข้าว) และสารผสม 2 กลุ่มกลไกการออกฤทธิ์ เช่น บูโพรเฟซิน+ไอโซโพรคาร์บ
คุณสุเทพ กล่าวอีกด้วยว่า จากข้อมูลหลายๆ ประเทศ พบว่าการปล่อยให้เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดรุนแรงเป็นร้อยตัวต่อกอ การใช้สารเคมีจะไม่ได้ผล ดังนั้น หลังจากที่มีการงดปลูกข้าวอย่างน้อย 2 เดือนแล้ว การปลูกข้าวในฤดูกาลหน้า ต้องมีวิธีการจัดการเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลโดยวิธีผสมผสาน ดังนี้
ขั้นแรก เลือกพันธุ์ข้าวที่มีความต้านทานต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และไม่ควรปลูกข้าวพันธุ์เดียวกันเป็นพื้นที่บริเวณกว้าง เพื่อลดโอกาสที่เพลี้ยจะปรับตัวไม่ง่าย
ขั้นที่สอง ต้องสำรวจแปลงนาทุกสัปดาห์หลังจากข้าวงอก ถ้าพบจำนวนตัวอ่อนของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล แต่ยังไม่ถึง 10 ตัว ต่อกอ ให้ใช้สารชนิดใดชนิดหนึ่งในกลุ่มนิโอนิโคตินอยด์ดังกล่าวข้างต้น
ถ้าเริ่มพบมากกว่า 10 ตัว ต่อกอ ให้ใช้สารบูโพรเฟซีน หรือสารชนิดใดชนิดหนึ่งในกลุ่มคาร์บาเมท ดังกล่าวข้างต้น กรณีที่รุนแรงมากขึ้นควรใช้สารบูโพรเฟซีนผสมกับคาบาร์เมทชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยให้ใช้อัตราเดียวกับการพ่นสารเดี่ยว โดยไม่ต้องลดปริมาณ เนื่องจากจะทำให้เพลี้ยรุ่นลูกหลานพัฒนาความต้านทานได้
คุณสุเทพ ย้ำว่า ข้อสำคัญคือ ไม่ควรปล่อยให้การระบาดรุนแรง เพราะการป้องกันกำจัดจะไม่ได้ผล เนื่องจากการระบาดรุนแรงจะทำให้มีเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลทุกระยะในแปลงนาช่วงเวลาเดียวกัน เช่น ระยะไข่ ระยะตัวอ่อนทุกวัย รวมทั้งระยะตัวเต็มวัย ทำให้การใช้สารควบคุมได้เพียงระยะสั้นๆ หลังจากพ่นสาร 3 หรือ 5 วัน ก็จะพบตัวอ่อนที่เพิ่งฟักออกมาอีก ทำให้ต้องพ่นสารบ่อยครั้ง ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังเปิดโอกาสให้เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลสร้างความต้านทานต่อสารเคมี ดังเช่นที่พบในปัจจุบัน
สำหรับระยะยาว ชาวนาควรใช้ระบบการปลูกพืชเข้าช่วยด้วย โดยปลูกข้าวไม่เกิน 2 ครั้ง ต่อปี ช่วงเวลาที่เหลืออาจเว้นการปลูกเพื่อพักดิน หรือปลูกพืชตระกูลอื่นสลับ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ข้าวโพดฝักอ่อน ข้าวโพดหวาน หรือพืชปรับปรุงดิน เช่น ถั่วพร้า หรือปอเทือง เป็นต้น
"แม้ว่าการปลูกพืชอื่นอาจได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าการทำนา แต่เป็นการตัดวงจรชีวิตของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล รวมทั้งศัตรูข้าวชนิดอื่นๆ เช่น โรค แมลงชนิดอื่น หรือข้าววัชพืช เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้ในฤดูถัดไป อาจลดต้นทุนในการป้องกันกำจัดศัตรูข้าว และลดต้นทุนค่าปุ๋ยไนโตรเจนได้ ในกรณีการปลูกพืชตระกูลถั่วสลับ ทำให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยของการปลูกพืชสลับจะใกล้เคียงกับการทำนาอย่างเดียว นอกจากนี้ ยังเป็นการจัดการเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลอย่างยั่งยืนอีกด้วย" คุณสุเทพ กล่าว
ในขณะที่ข้าวราคาตกต่ำ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลกำลังระบาดอย่างไม่หยุดยั้ง เกษตรกรจะฉุกคิดและหันมาใช้วิธีการทำนาแบบสลับกับพืชอื่นที่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าการทำนาในช่วงระยะหนึ่ง ลงทุนน้อย ได้ผลตอบแทนน้อย ก็คงจะดีกว่าลงทุนมาก แต่ได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า ลองหันมาใช้วิธีการปลูกพืชสลับนาตามที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำดูบ้างเป็นไร
สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร โทร. (02) 579-5583
ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้าน
*******************************************************************************
ลดปัญหาเพลี้ยกระโดดชาวนาใช้วิธีไถกลบตอซัง
เพื่อตัดวงจรอาหารของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ที่เป็นพาหะของโรค และเว้นระยะการทำนา 2 เดือน และควรเปลี่ยนพันธุ์ข้าว อาทิ พันธุ์ กข 29 กข 31 กข 41 พิษณุโลก 2 สุพรรณบุรี 2...
นายประเสริฐ โกศัลวิตร อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยถึงรายงานที่ได้รับจากศูนย์อำนวยการควบคุมกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล (War room) ที่สำรวจพบพื้นที่การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งผลจากการประเมินสถานการณ์พบว่า พื้นที่การระบาดใน 8 จังหวัดคือ พิษณุโลก อุทัยธานี กำแพงเพชร พิจิตร อ่างทอง ปทุมธานี ชัยนาท และลพบุรี มีปริมาณลดลงเหลือ 3.98 แสนไร่ แต่ยังคงพบการระบาดของโรคใบหงิก โรคเขียวเตี้ย ซึ่งมีเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเป็นพาหะใน 11 จังหวัด คือ จังหวัดพิษณุโลก อุทัยธานี กำแพงเพชร พิจิตร อ่างทอง ปทุมธานี ชัยนาท นครสวรรค์ สุพรรณบุรี นครนายก และนนทบุรี ซึ่งมีแนวโน้มการระบาดเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน อีกทั้งเป็นการตัดวงจรอาหารของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลที่เป็นพาหะของโรค เกษตรกรต้องทำการไถกลบต้นข้าวในพื้นที่ระบาดและเว้นระยะการทำนา 2 เดือน สำหรับการป้องกันกำจัดโรคเขียวเตี้ยและโรคใบหงิก นอกจากวิธีดังกล่าวแล้วหากพบต้นที่เป็นโรคน้อยกว่าร้อยละ 10 ให้ถอนฝังดินหรือเผา ส่วนแปลงที่พบโรคในระยะรวงหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ให้ดำเนินการไถกลบตอซัง เพื่อเป็นการทำลายแหล่งสะสมของโรค ที่ก่อให้เกิดการระบาดในรอบการปลูกครั้งต่อไป และควรเปลี่ยนพันธุ์ข้าว อาทิ พันธุ์ กข 29 กข 31 กข 41 พิษณุโลก 2 สุพรรณบุรี 2 สุพรรณบุรี 3 และสุพรรณบุรี 90 ในฤดูการเพาะปลูก.
ที่มา : ไทยรัฐ
***************************************************************************
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.