-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 384 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

กำจัดวัชพืช





                                    กำจัดวัชพืช               


          หลักการและเหตุผล  :
               
          วัชพืช  คือ   พืชชนิดหนึ่งที่เกิดหรือขึ้นในที่ๆไม่ต้องการ   มีวัฏจักรชีวิต (เกิด แก่ เจ็บ ตาย ขยายพันธุ์)   และต้องการปัจจัยพื้นฐาน  (ดิน-น้ำ-แสงแดด/อุณหภูมิ/ฤดูกาล-สารอาหาร-สายพันธุ์-โรค) เช่นเดียวกับพืชอื่นๆ  และพืชที่ถูกเรียกว่าวัชพืชมักเจริญเติบโตดีกว่าพืชหลักที่คนปลูก ในความเป็นจริงนั้น ปัจจุบันยังไม่มียาฆ่าหญ้าหรือ สารกำจัดวัชพืชใดๆ ในโลกนี้ สามารถฆ่าหรือกำจัดวัชพืชให้ตายอย่างเด็ดขาดแน่นอนได้เมื่อใช้ตามอัตราที่ระบุบนฉลาก  อาการที่เห็นนั้นเป็นเพียงใบไหม้เท่านั้น  ในขณะที่ หัว-เหง้า-เมล็ด  ยังอยู่  ซึ่งไม่นานก็จะแตกยอดแทงหน่อขึ้นมาใหม่.....ดังนั้น การโฆษณาว่ายาฆ่าหญ้าหรือสารกำจัดวัชพืชชนิดนี้หรือชนิดนั้นสามารถกำจัดได้ถึงรากและเหง้า จึงเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงโฆษณาชวนเชื่อทั้งสิ้น  และผู้ใช้ก็โกหกตัวเองว่าได้ผล              
          นอกจากนี้  ยาฆ่าหญ้าหรือสารกำจัดวัชพืช (ทุกชนิดหรือทุกยี่ห้อในท้องตลาด) ให้ผลเสียมากกว่าผลดี อาทิ มีสถานะเป็นกรดจัดจึงทำให้ดินเป็นกรด.....เป็นพิษต่อจุลินทรีย์ในดิน......ทำให้เดินเสียสมดุล.....เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคพืช.....สภาพแวดล้อมบริเวณใกล้เคียงเสีย.....ละอองเป็นพิษต่อพืชประธาน                    
          วิธีการกำจัดหญ้าหรือวัชพืชที่ได้ผลที่สุด   ซึ่งนอกจากไม่ส่งผลเสียดังกล่าวแล้วยังส่งผลดีแบบยั่งยืนระยะยาวนานอีกด้วย นั่นคือใช้มาตรการปรับเปลี่ยนหรือตัดวงจรปัจจัยพื้นฐานไม่ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของหญ้าหรือวัชพืชเท่านั้น ได้แก่......
                

       ล่อให้งอกแล้วทำลาย :   
       หลังเกี่ยวข้าวแล้วให้ปล่อยน้ำเข้าพอหน้าดินชื้นโดยไม่ต้องไถ จากนั้นบรรดาพืชทุกชนิด (เมล็ดหญ้า เมล็ดข้าวร่วงและหน่อวัชพืช) จะงอกขึ้นมา  ปล่อยให้พืชทุกอย่างงอกอย่างอิสระหรือเปิดโอกาสให้งอกมากๆ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  เพราะเมล็ดวัชพืชบางชนิดงอกเร็ว  บางชนิดงอกช้า  

        ย่ำเพื่อทำลาย :
        เมื่อเห็นว่าบรรดาเมล็ดพืชทุกอย่างงอกขึ้นมาแล้ว และบรรดาหน่อวัชพืชต่างๆก็แทงยอดขึ้นมาจากเหง้าหรือไหลทั้งหมดแล้วด้วย  ให้ปล่อยน้ำเข้าแล้วลงมือย่ำเทือกครั้งที่  1  ย่ำเทือกให้ใบและต้นพืช (วัชพืชและข้าว) ทุกอย่างที่ขึ้นมาแหลกสลายลงไปคลุกกับเนื้อดิน  เสร็จแล้วไขน้ำออกพอเหลือติดหน้าดิน  ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 7-15 วัน จะเห็นว่ายังมีวัชพืชบางส่วนงอกขึ้นมาอีกแต่จะน้อยกว่าครั้งแรกหลายเท่า
        ปล่อยน้ำเข้าแล้วย่ำเทือกรอบ 2  ย่ำเพื่อทำลายใบและต้นวัชพืชเหมือนรอบที่  1  ย่ำเทือกรอบ  2 เสร็จทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน  ให้พิจารณา  ถ้ายังมีวัชพืชขึ้นอีกมากก็ให้ไขน้ำเข้า
        ย่ำเทือกรอบ 3  แต่ถ้าเห็นว่าวัชพืชลดลงจนเป็นที่น่าพอใจก็ไม่ต้องย่ำเทือกรอบ  3  ให้เตรียมการลงมือปลูก (หว่าน-ดำ) ได้เลย
                

         หมายเหตุ :  
               
         พืชหรือวัชพืชใดๆที่งอกขึ้นมาจากเมล็ด เมื่อ  ยอด-ใบ-ต้น  ถูกย่ำทำลายไปแล้วจะไม่มีโอกาสงอกหรือเกิดใหม่อีกได้เลยตลอดชีวิต  เพราะเมล็ดงอกได้เพียงครั้งเดียว
                ส่วนหน่อที่งอกขึ้นมาจาก  หัว-เหง้า-ไหล  ยอดที่งอกขึ้นมานั้นจะพัฒนาเป็น  ต้น-ใบ  ช่วยสังเคราะห์อาหาร ช่วงที่ยังไม่มีใบช่วยสังเคราะห์อาหารนั้น  ต้นวัชพืชจะกินสารอาหารจาก หัว-เหง้า-ไหล ที่สะสมเอาไว้  เมื่อแตกยอดขึ้นมาทีไรเป็นถูกย่ำทำลายทุกครั้ง เพียง 2-3 รอบ  ห่างกันรอบละ 7-10 วันเท่านั้น  สารอาหารในหัว-เหง้า-ไหลที่เคยสะสมไว้หมด    หัว-เหง้า-ไหลก็เน่าสลาย  หมดโอกาสแตกยอดใหม่อีกตลอดกาล               

           การใช้จุลินทรีย์เป็นตัวช่วยย่อยสลายเศษ  ใบ-ต้น-หัว-เหง้า-ไหล    ที่ถูกย่ำให้เปื่อยยุ่ยแล้วกลายเป็นปุ๋ย     นอกจากจะไม่ทำลายสภาพโครงสร้างดินแล้วยังปรับปรุงสภาพโครงสร้างดินให้ดีขึ้นอีกด้วย ในขณะที่การใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ใดๆ แม้จะช่วยสลายเศษพืชได้แต่กลับทำให้สภาพโครงสร้างของดินเสียและเสียอย่างถาวรอีกด้วย
            
                
           สรุป
 :               
        1.ทำลายวัชพืชด้วยวิธีการบำรุงให้งอกแล้วย่ำทำลาย   โดยการทำเทือกหลายๆรอบแต่ละรอบจำนวนวัชพืชจะลดลงและลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งหมดไปนั่นเอง
               
        2. ถอนด้วยมือ     หลังจากกำจัดวัชพืชส่วนใหญ่ด้วยวิธีทำเทือกย่ำทำลายแล้ว  เมื่อต้นข้าวเจริญเติบโตขึ้นมา วัชพืชประเภทงอกช้าอาจจะยังหลงเหลืออยู่ก็จะงอกขึ้นมาให้เห็นอีก   การกำจัดในขั้นตอนนี้ต้องใช้วิธีเดินเข้าไปในแปลงแล้ว "ถอนด้วยมือ"  เท่านั้น   ซึ่งวิธีถอนด้วยมือนี้นอกจากจะเป็นการกำจัดได้อย่างสิ้นซาก (ไม่มีโอกาสงอกใหม่อีกเลยตลอดชีวิต) แล้ว   ยังไม่ทำลายสภาพโครงสร้างดินอีกด้วย   ในนาดำช่วยให้การกำจัดวัชพืชด้วยวิธีถอนด้วยมือทำได้ง่ายกว่านาหว่าน
        
        3. ป้องกันกำจัดหญ้าหรือวัชพืชตัวใหม่     เมื่อในแปลงนาข้าวไม่มี  "เมล็ด-หัว-เหง้า-ไหล"  ของวัชพืชที่จะเกิดใหม่ได้แล้ว เมล็ดแก่จากต้นวัชพืชบนคันนาหรือบริเวณข้างแปลงยังสามารถปลิวตามลมเข้าไปในแปลงแล้วเกิดเป็นต้นใหม่ขึ้นมาได้ กรณีนี้แก้ไขโดยการตัดหรือใช้ไม่เรียวฟาดก้านดอก ขณะที่ยังเป็นดอกอ่อนเพื่อทำลายดอกตั้งแต่เนิ่นๆไม่ให้เป็นดอกแก่แล้วมีเมล็ดขยายพันธุ์ได้
               
           การใส่ปุ๋ยคอกมูลสัตว์กินหญ้า (วัว ควาย แพะ) มักมีเมล็ดพันธุ์วัชพืชปนมาด้วยเสมอ  กำจัดเมล็ดพันธุ์วัชพืช  โดยการหมักนาน 6 เดือน - 1 ปี  เพื่ออาศัยจุลินทรีย์ทำลายชีวิตเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก่อน  ถ้าไม่มีเวลาหมักก็ให้ใช้เฉพาะ  "น้ำมูลสัตว์"  หมักก่อนหรือไม่หมักก็ได้ ราดรดลงบนเศษซากพืช (ฟาง ต้นถั่ว วัชพืช) ในแปลงหลัง หรือก่อนไถกลบก็ได้  หลังจากนั้น  นอกจากเศษซากพืชจะกลายสภาพเป็นปุ๋ยคอกมูลสัตว์โดยไม่มีเมล็ดวัชพืชหรือพืชใดๆปนเปื้อนมาด้วยแล้ว ยังได้ทำให้คุณภาพของเนื้อปุ๋ยดีกว่ามูลสัตว์ที่มาจากสัตว์โดยตรงอีกด้วย 
  
               
       4. ข้าววัชพืช   คือ    วัชพืชชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตได้ดีมากในนาข้าว   แต่ในแปลงเกษตรอื่นๆที่แม้จะมีสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยพื้นฐานด้านการเกษตรเหมือนนาข้าวกลับไม่เจริญเติบโต   
มีชื่อตามภาษาท้องถิ่น  เช่น ข้าวนก.  ข้าวหาง.  ข้างเด้ง.  ข้าวลายหรือข้าวแดง.  ข้าวป่าหรือข้าวละมาน.  (คำว่า  “ข้าวนก”  หมายถึงสายพันธุ์ข้าวที่ใช้เลี้ยงนกเขา หรือนกสวยงามในกรง.........แต่คำว่า  “ข้าววัชพืช”  เป็นชื่อที่ทางราชการกำหนด) 
           ดังกล่าวข้างต้นแล้วว่า  ปัจจุบันนี้ยังไม่มีสารเคมีใดในโลกสามารถกำจัดข้าววัชพืชโดยเฉพาะได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์
               

           ลักษณะเด่นของข้าววัชพืชในแปลงนาข้าว :  
                
         - งอกหลังต้นข้าว (นาหว่าน) 8-10 วัน   แต่เจริญเติบโตเร็วกว่าต้นข้าวแล้วเป็นต้นแก่มีเมล็ดขยายพันธุ์ได้ก่อนต้นข้าว  หรือ เกิดทีหลังแต่แก่ก่อน
               
         - สายพันธุ์เดียวกันแต่เมล็ดพันธุ์บางเมล็ดอยู่ได้นาน (1-12 ปี)โดยไม่เสื่อมความงอกในขณะที่บางเมล็ดงอกได้เร็ว  หรือ  พักตัว/ไม่พักตัว....พักตัวนาน/พักตัวไม่นาน
         - ไม่มีโรคและแมลงศัตรูหรือมีน้อยมาก               
         - เปอร์เซ็นต์ความงอกสูงมาก  แม้เมล็ดที่ยังแก่ไม่จัดก็สามารถงอกได้
                
         - ปรับตัวให้ต่ำกว่าหรือสูงเท่ากับต้นข้าวเพื่อให้รอดพ้นจากการถูกกำจัดได้ดี
 
         - จากเมล็ดข้าววัชพืช  1 เมล็ด  ในนาข้าวรุ่นที่  1 ขยายพันธุ์ต่อเนื่องถึงทำนารุ่นที่ 6  จะมีเมล็ดมากถึง 31,250,000,000 เมล็ด            
               

           วิธีกำจัดข้าววัชพืช :
               
         - ล่อให้งอกแล้วย่ำทำลายด้วยวิธีย่ำเทือก  ย่ำซ้ำหลายๆรอบเพื่อกำจัดวงรอบหรือวัฏจักรชีวิต
               
         - เปลี่ยนจากการทำนาหว่านมาเป็นนาดำ    ทั้งนี้   นาดำ  1 รุ่น  กำจัดข้าววัชพืชได้กว่า 90 %  จากนั้นใช้วิธีถอนด้วยมือก็จะทำให้ต้นข้าววัชพืชหมดไปจากแปลงนาได้
 
        - ถอนด้วยมือ (นาดำทำได้ง่ายกว่านาหว่าน)               
         - ป้องกันเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่จากแหล่งภายนอก เช่น  เมล็ดพันธุ์  รถเกี่ยว และจากแปลงข้างเคียง








                                            *******************************









สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2009-07-16 (1952 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©