นาข้าว ไบโอไดนามิค
ประวัติดิน
เคยทำนาแบบไถกลบฟาง งดใช้สารกำจัดวัชพืช-หอยเชอรี่-ปูนา-หนูนา และ สาร
เคมีกำจัดโรคและแมลงติดต่อกันมาก่อน 1-2 ปี หรือ 2-4 รุ่นนาข้าว เคยได้ผลผลิต 100 ถัง/ไร่
1. เตรียมสารอาหาร :
ใส่ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 5 ล.+ 16-8-8 (5 กก.)/ไร่ สาดให้ทั่วแปลงระดับ
น้ำลึก 1 คืบมือ ทิ้งไว้ 10-20 วัน
2. ทำเทือก :
ย่ำเทือกพร้อมฟาง (ย่ำกลบฟาง) ด้วยอีขลุบหรือลูกทุบ แล้วปรับเรียบหน้าเทือกให้
เสมอกันทั่วแปลง ขี้เทือกลึกประมาณครึ่งหน้าแข้ง
2. ปลูก :
ปักดำต้นกล้าด้วยมือ หรือปักดำต้นกล้าด้วยเครื่อง (รถ) ดำนา หรือหยอดเมล็ด
ด้วยเครื่องหยอดเมล็ด
ทั้งนี้ นาข้าวแบบดำให้ ผลผลิต (คุณภาพและปริมาณ) –ต้นสมบูรณ์-แข็งแรง-แตก
กอ-ออกรวง-ลดค่าใช้จ่าย มากกว่านาหว่าน (หว่านด้วยมือ หรือหว่านด้วยเครื่องพ่นเมล็ด)
3. บำรุง :
- ระยะกล้า
เริ่มให้เมื่ออายุข้าวได้ 20-30 วัน ให้ฮอร์โมนน้ำดำ อัตรา 1 ล./ไร่ โดยฉีดพ่น
ให้โชกผ่านต้นและใบลงถึงพื้น ให้ 2-3 รอบ แบ่งให้รอบละเท่าๆกัน ให้ห่างกันรอบละ 7-10 วัน
- ระยะแตกกอ สังเกตถ้าลำต้น กลมแข็ง -ใบเขียวเข้ม ไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมี แต่ถ้าลำ
ต้น แบนนิ่ม ใบเขียวอ่อน ให้ใส่ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (เน้น...มูลค้างคาวหมัก) 2
ล.+ 16-8-8 (5 กก.)/ไร่ โดยละลายน้ำฉีดพ่นให้โชกผ่านต้นและใบลงถึงพื้น
หมายเหตุ :
ระยะนี้ถ้าต้นสูง ให้น้ำ 100 ล.+ 0-42-65 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม
100 กรัม + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ ห่างกัน
รอบละ 5-7 วัน จากนั้นจึงเริ่มลงมือให้ฮอร์โมนไข่ไต้หวัน
- ระยะตั้งท้อง ให้ ฮอร์โมนไข่ไต้หวัน อัตรา 1 ล./ไร่ ละลายน้ำฉีดพ่นให้โชก
ผ่านต้นและใบลงถึงพื้น ให้ 2 รอบ แบ่งให้รอบละเท่าๆ กัน ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
- ระยะออกรวง เมื่อต้นข้าวเริ่มออกรวงยาวประมาณ 1-2 ซม. (หางแย้) เนื้อที่
ประมาณ 1 ใน 4 ของทั้งแปลง ให้น้ำ 100 ล. + เอ็นเอเอ 100 ซีซี. 1 รอบ ฉีดพ่นพอ
สัมผัสใบ จะช่วยให้การผสมติดของเกสรดีขึ้น
- ระยะน้ำนม ให้ฮอร์โมนน้ำดำ 2 ล./ไร่ โดยฉีดให้โชกพ่นผ่านต้นและใบ ลงถึงพื้น
ให้ 4 รอบ แบ่งให้รอบละเท่าๆ กัน ห่างกันรอบละ 7-10 วัน.......ระยะนี้ถ้าให้ แคลเซี่ยม
โบรอน + ไคโตซาน. 1 รอบ ช่วงเริ่มเป็นน้ำนมใหม่ๆ จะช่วยให้ต้นไม่โทรม ผลผลิตดีทั้ง
คุณภาพและปริมาณ ทั้งนี้ธาตุแม็กเนเซียม.ช่วยสร้างคลอโรฟิลด์. และสังกะสี.ช่วยสร้างแป้ง
- ป้องกันโรคและแมลง ฉีดพ่น สารสกัดสมุนไพรทำเอง (เลือกสูตรที่ตรงกับโรค
และแมลง) ทุก 5 วัน (ช่วงที่ยังไม่มีการระบาดเพื่อป้องกัน) หรือฉีดพ่นทุก 3 วัน (ช่วงที่
แปลงข้างเคียงกำลังเกิดการระบาดอย่างหนักเพื่อป้องกัน)
- ระดับน้ำ
ควบคุมระดับน้ำให้พอเฉอะแฉะหน้าดิน ตั้งแต่ทำเทือก ถึง เก็บเกี่ยว
**************************************************************************************************************************************************
ปลูกข้าวประหยัดน้ำด้วยข้าวแอโรบิก
ศ.ดร.เบญจวรรณ ฤกษ์เกษม หัวหน้ากลุ่มวิจัย “ทรัพยากรพันธุกรรมและธาตุอาหาร
พืช” มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเมธีวิจัยอาวุโส สกว. สาขาพืชไร่ เปิดเผยว่า น้ำเป็นปัญหา
สำคัญของเกษตรกรโดยเฉพาะชาวนา เมื่อราคาข้าวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ชาวนาอยากทำ
นาปรังในฤดูแล้ง แต่น้ำชลประทานที่มีจำกัดไม่พอแบ่งปันให้ทั่วถึง เมื่อถึงนาปีชาวนาส่วนใหญ่
ที่ทำนาน้ำฝนมักจะประสบปัญหาขาดน้ำเมื่อฝนทิ้งช่วง การปลูกข้าวโดยไม่ขังน้ำ เรียกว่า “ข้าว
แอโรบิก” น่าจะเป็นทางออกได้ทางหนึ่ง สำหรับชาวนาที่มีปัญหาเรื่องน้ำ และจะช่วยให้
ประเทศไทยผลิตข้าวได้มากขึ้นจากน้ำที่มีอยู่จำกัด โดยการใช้น้ำน้อยลงสำหรับการผลิตข้าวแต่
ละไร่และแต่ละกิโลกรัม
ศ.ดร.เบญจวรรณ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันการปลูกข้าวไร่ด้วยระบบดั้งเดิมยังพอมีเหลือ
อยู่ในที่สูง และที่ยังให้ผลผลิตดีต้องการระยะเวลาหมุนเวียนอย่างน้อยถึง 7 ปี แต่การปลูกข้าว
แอโรบิกนี้มีความแตกต่างตรงที่เป็นระบบเพาะปลูกสมัยใหม่ที่มีการดูแลรักษาและให้ปัจจัยการ
ผลิต อาทิ ปุ๋ย น้ำ อย่างพอเพียงทั่วถึง มีการกำจัดศัตรูพืชโดยเฉพาะวัชพืชเป็นอย่างดี ซึ่งเป็น
ระบบที่มีการเพาะปลูกเชิงการค้าอย่างได้ผลมาแล้วนับสิบๆ ล้านไร่ในประเทศบราซิลและจีนทาง
เหนือ โดยการขาดแคลนน้ำในการทำนาทำให้ประเทศจีนมีแผนที่จะขยายพื้นที่ปลูกข้าวแอโรบิก
ให้ได้ถึง 55 ล้านไร่ นับเป็นร้อยละ 30 ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศ ทั้งนี้ ข้าวแอโรบิกแตก
ต่างจากการทำนาสวนตรงที่ไม่มีการทำเทือก ไม่มีความพยายามขังน้ำในกระทงนา แต่ให้น้ำพอ
ดินชุ่มเหมือนพืชไร่อื่นที่ไม่ใช่ข้าว
ข้อได้เปรียบของข้าวแอโรบิก คือ ช่วยให้ประหยัดน้ำ อีกทั้งปลูกข้าวได้ในพื้นที่มากกว่า ปีไหน
ฝนดีข้าวแอโรบิกอาจต้องการน้ำชลประทานเสริมเพียง 1-2 ครั้ง แต่ในช่วงวิกฤติน้ำชลประทาน
อาจพอเพียงปลูกข้าวแอโรบิกได้ถึง 5-10ไร่ ในฤดูแล้งที่ฝนตกเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่มีฝน
เลย น้ำที่ใช้ทำนาปรัง 1 ไร่ จะพอเพียงปลูกข้าวแอโรบิกได้ถึง 3-4 ไร่
นอกจากนี้ชาวนาที่มีค่าน้ำมันหรือไฟฟ้าสำหรับสูบน้ำเข้านาสวนได้เพียงไร่เดียว ก็จะปลูกข้าว
แอโรบิกได้ถึง 5-10ไร่ในฤดูนาปี และได้ถึง 3-4 ไร่ ในฤดูนาปรัง ทั้งนี้น้ำที่ประหยัดได้จริงจะ
แตกต่างกันตามพื้นที่และฤดูกาล ขึ้นอยู่กับปริมาณฝน ชนิดดินที่อุ้มน้ำได้มากน้อยต่างกัน
ลักษณะสภาพแวดล้อมทางอุณหภูมิและความชื้นที่กำหนดควบคุมการใช้น้ำของต้นข้าว จึงนับ
ได้ว่าการปลูกข้าวแอโรบิกมีศักยภาพที่เด่นชัดสำหรับชาวนาในเขตนาน้ำฝน แม้ในเขตชล
ประทานการปลูกข้าวแอโรบิกจะช่วยเพิ่มพื้นที่รับน้ำเพื่อปลูกข้าวได้เป็นอีกหลายเท่าตัวจากการ
ทำนาสวน
อย่างไรก็ตามการทำนาสวนด้วยการขังน้ำไว้ในกระทงนาเป็นระบบที่มีการพัฒนาระบบนิเวศมา
เพื่อแก้ปัญหาหลายอย่างเกี่ยวกับการเพาะปลูก เมื่อเปลี่ยนไปเป็นการปลูกข้าวโดยไม่ขังน้ำ
ปัญหาเหล่านั้นจึงจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยอีกทางหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวนี้มี 3 กลุ่ม คือ ศัตรู
พืช ธาตุอาหารในดินและการดูดธาตุอาหาร พันธุ์ข้าวและวิธีการเพาะปลูกที่เหมาะสม ศ.ดร.
เบญจวรรณ และคณะ จึงได้รับทุนสนับสนุนจากฝ่ายวิชาการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิ
จัย (สกว.) เพื่อสร้างกลุ่มวิจัยและมุ่งสร้างความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับข้าวไทย เพื่อเป็นพื้นฐาน
ในการพัฒนาระบบการปลูกข้าวแบบประหยัดน้ำ
การทำเทือกและการขังน้ำเป็นการวิธีการกำจัดควบคุมวัชพืช ไส้เดือนฝอย และแมลงศัตรูในดิน
ที่ได้ผล ศัตรูพืชเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ของข้าวแอโรบิก กลุ่มวิจัยฯ ได้ค้นพบพันธุ์ข้าวไร่พื้น
เมืองที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของวัชพืชได้ในระดับหนึ่ง และกำลังทำการศึกษาระบบการ
ปลูกพืช และการใช้พืชคลุมดิน/ปุ๋ยพืชสด เพื่อลดการสะสมของศัตรูพืชในแปลงข้าวแอโรบิก
นอกจากนี้ดินที่ไม่ขังน้ำจะมีธาตุอาหารสำคัญ โดยเฉพาะฟอสฟอรัสที่ละลายน้ำได้น้อยลง ต้น
ข้าวดูดไปใช้ได้ยากขึ้น การจัดการปุ๋ยในระบบข้าวแอโรบิกจึงจำเป็นต้องประณีตแม่นยำ การ
ศึกษากลไกควบคุมระบบการปรับตัวของรากข้าวและสมรรถนะในการดูดธาตุอาหารของข้าวต่าง
พันธุ์โดยกลุ่มวิจัยฯ จะช่วยให้การปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับสภาพดินไม่ขังน้ำได้ดีขึ้น
และจัดระเบียบการใส่ปุ๋ยให้ได้ประโยชน์มากที่สุดและมีการสูญเสียน้อยที่สุด ฝ่ายพืชคลุมดิน
ของกลุ่มวิจัยฯ จึงให้ความสนใจพืชตระกูลถั่วเป็นพิเศษ ซึ่งนอกจากจะช่วยควบคุมศัตรูพืชดัง
กล่าวข้างต้นแล้ว ยังจะช่วยประหยัดค่าปุ๋ยได้ด้วยไนโตรเจนที่ตรึงจากอากาศ
ขณะที่พันธุ์ข้าวและวิธีการเพาะปลูกก็ต้องมีการพัฒนาขึ้นมาให้เหมาะสมสำหรับแต่ละพื้นที่และ
โอกาส และไม่อาจนำเทคโนโลยีที่มีอยู่สำหรับข้าวนาสวนไปใช้กับข้าวแอโรบิกได้ในทันที การ
ศึกษาในเบื้องต้นของกลุ่มวิจัยฯ พบว่าข้าวพันธุ์หลัก เช่น ขาวดอกมะลิ105 กข 6 ชัยนาท 1
สุพรรณบุรี 1 สามารถสร้างราก ดูดธาตุอาหาร และเจริญเติบโตได้ในสภาพ “แอโรบิก” ดีไม่แพ้
ข้าวไร่พันธุ์แนะนำ เช่น พันธุ์ อาร์ 258 น้ำรู ซิวแม่จัน รวมทั้งพบว่าข้าวนาสวนบางพันธุ์เมื่อ
ปลูกในดินไม่ขังน้ำสลับกับขังน้ำจะให้ผลผลิตสูงกว่าเมื่อขังน้ำตลอดเวลา ดังนั้นในขั้นต้นจึงน่า
จะใช้ข้าวนาสวนพันธุ์มาตรฐานเหล่านี้ทดลองปลูกแบบข้าวแอโรบิกได้ และเมื่อระบบมีความ
พัฒนามากขึ้นก็คงจะมีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวแอโรบิกโดยเฉพาะ ในฤดูนาปรัง 2552 นี้
นายอรรถพล เขียวแก้ว นักศึกษาปริญญาโทสาขาวิชาพืชไร่ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้
ทดลองปลูกข้าวพันธุ์ปทุมธานี 1 ได้ผลดี คาดว่าจะเก็บเกี่ยวได้ในเดือนกรกฎาคม และอีกแปลง
หนึ่งใช้ไมยราบไร้หนามคลุมแปลงคุมหญ้าและปรับปรุงดินไว้เพื่อทดสอบการปลูกข้าวหอมด้วย
พันธุ์ ขาวดอกมะลิ 105 กข15 (หอมมะลิ) ปทุมธานี 1 (หอมปทุม) และ กข33 (หอมอุบล)
ในฤดูนาปี 2552 นี้
“การปลูกข้าวแอโรบิกนับว่ามีความเหมาะสมกับการเพาะปลูกสมัยใหม่เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ
ปัจจุบันที่มีการใช้เครื่องจักรตลอดทุกขั้นตอนของการดำเนินการ เช่น ในบางท้องที่ของภาค
กลางและภาคเหนือตอนล่างใน การปลูกข้าวแอโรบิกจึงน่าจะพัฒนาระบบการเพาะปลูกที่
ประหยัดแรงงานและใช้เครื่องจักรได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันเราต้องทำการศึกษา
ทางวิชาการพื้นฐานเรื่องการปรับตัวของพันธุ์ข้าวไทยที่หลากหลายต่อสภาพดินน้ำไม่ขัง/ดินน้ำ
ขังไปพร้อมๆกัน เพื่อสนับสนุนพัฒนาการของระบบการปลูกข้าวแอโรบิกประหยัดน้ำนี้ให้ได้ผล”
เมธีวิจัยอาวุโส สกว. กล่าวสรุป
ข้อมูลจาก : ฝ่ายงานสื่อสารสังคม (สกว.)
***********************************************************************************************************************************
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.