กำลังปรับปรุงครับ
ชายชื่อ วัง เปา 'ทหารแก่ไม่เคยตาย'
การจับกุมตัว นายพล วัง เปา (General Vang Pao) ผู้นำกลุ่ม United Lao Liberation Front (ULLF) วัย 77 ปี อดีตนายพลผู้นำกองกำลังชาวม้งในลาว และผู้นำชุมชนชาวม้งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเคยร่วมกับหน่วยสืบราชการลับสหรัฐฯ (Central Intelligence Agency : CIA) จัดตั้งกองกำลังชาวม้ง ทำ "สงครามลับ" (Secret War) ต่อต้านขบวนการคอมมิวนิสต์ปะเทดลาว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเหนือ ในช่วงทศวรรษที่ 60-70 และได้อพยพลี้ภัยเข้ามาตั้งถิ่นฐานยังสหรัฐฯ หลังชัยชนะของฝ่ายคอมมิวนิสต์ปะเทดลาวในปี 1975
วัง เปา และ “แนวโฮม” หรือแนวร่วมอีก 8 คน ซึ่งเป็นสมาชิกชุมชนชาวม้งย่านเซ็นทรัล วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมทั้ง พันโทแฮร์ริสัน อุลริก แจ็ก อดีตนายทหารฝ่ายวางแผนยุทธการ ประจำกองกำลังป้องกันประเทศของรัฐแคลิฟอร์เนีย (The California National Guard) วัย 60 ปี ที่ปลดเกษียณมากว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งเคยเข้าไปปฏิบัติภารกิจลับในลาวยุคสงครามเวียดนาม และมีความสนิทชิดเชื้อกับชาวม้งในรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นอย่างดี โดยเป็นผู้จัดตั้งองค์กรช่วยเหลือฉุกเฉินชาวม้ง (The Hmong Emergency Relief Organization) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่ให้การช่วยเหลือแก่ชุมชนชาวม้งในสหรัฐฯ กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ถูกเจ้าหน้าที่ของสำนักงานควบคุมแอลกอฮอล์ ยาสูบ และอาวุธปืนสหรัฐฯ (US Bureau of Alcohol, Tobacco, Firearms and Explosives : ATF) ซึ่งเฝ้าติดตามพฤติการณ์มานานกว่า 6 เดือน ก่อนที่จะเข้าจับกุมเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2007
อัยการเมืองซาคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาเหล่านี้ต่อศาลฐานกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายสหรัฐฯหลายข้อหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายสถานภาพเป็นกลางซึ่งห้ามคนในสหรัฐฯ ส่งอาวุธสงครามออกไปเพื่อโค่นล้มรัฐบาลอื่น โดยอัยการระบุว่า วัง เปา กับพวก ได้ระดมเงินซึ่งส่วนใหญ่มาจากชาวม้งอพยพทั่วสหรัฐฯ เพื่อจัดซื้ออาวุธและวัตถุระเบิดหลายร้อยรายการ มูลค่ากว่า 9.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และขนผ่านไทยไปยังลาวเพื่อนำไปใช้ในการโค่นล้มรัฐบาลลาว ภายใต้แผนปฏิบัติการที่เรียกว่า “แผนปฏิบัติการข้าวโพดคั่ว” (Operation Popcorn) โดยใช้เงินเพื่อการนี้กว่า 28 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีการส่งสายลับเข้าไปในลาวเพื่อประเมินและกำหนดเป้าหมายโจมตี ซึ่งมีทั้งการเข้ายึดสนามบินเวียงจันทน์ ปิดกั้นเส้นทางเข้า-ออกประเทศ และทำลายอาคารที่ทำการรัฐบาลลาวทำนองเดียวกันกับการวินาศกรรมตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 และยังอ้างว่าซีไอเอพร้อมจะให้การช่วยเหลือการก่อการรัฐประหารครั้งนี้ทันทีที่เริ่มปฏิบัติการ
นายพล วัง เปา ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการวางแผนเพื่อโค่นล้มรัฐบาลลาว พันโทแฮร์ริสัน อุลริก แจ็ก ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นนายหน้าและจัดซื้ออาวุธ ส่วนผู้ต้องหาอีก 7 คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาละเมิดรัฐบัญญัติว่าด้วยสถานะความเป็นกลางของสหรัฐฯ ซึ่งหากศาลตัดสินว่า วัง เปา และพวกมีความผิดจริง ทั้งหมดอาจถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
สำหรับความเป็นมาของนายพล วัง เปา นั้น เขาเกิดเมื่อปี 1931 ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแขวงเซียงขวาง เป็นลูกชายคนกลางในครอบครัวชาวม้งตระกูล"วัง" ซึ่งเป็นตระกูลเล็กๆ ที่ปลูกข้าวและทำไร่ฝิ่น เมื่ออายุ 14 ปี วังเปาเป็นคนเดินสารช่วยเหลือทหารฝรั่งเศส ที่ซ่อนตัวอยู่ขณะที่กองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองลาวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้เรียนรู้การรบแบบกองโจร จากการเข้าร่วมกับกองทหารชาวเขาของโทบี้ ลายฟอง ผู้นำชาวม้งในเวลานั้น เนื่องจากกองทหารลาวสมัยที่อยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศสนั้น ในแต่ละกองร้อย ฝรั่งเศสจะแยกชนเผ่าต่างๆ ไว้เป็นหมวดๆ หรือเป็นกองร้อย เช่น กองร้อยม้ง เพื่อความสะดวกในการปกครองและแบ่งแยกแต่ละชาติพันธุ์ให้แข่งขันกันเอง
หลังจากสงครามสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง วัง เปาได้เข้าเป็นตำรวจ และเป็นชาวลาวสูงคนเดียวในหมู่ลาวลุ่ม ขณะที่เข้าเรียนโรงเรียนตำรวจที่แขวงหลวงพระบาง วัง เปา สามารถจบการศึกษาจากโรงเรียนตำรวจโดยได้คะแนนเป็นอันดับ 1 และกลับไปประจำที่บ้านเกิดในแขวงเซียงขวางในปี 1950 ต่อมาได้รับการปูนบำเหน็จจากผู้บัญชาการชาวฝรั่งเศส ให้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายทหารจากผลงานการปราบปรามพวกเวียดมินห์ หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนนายทหาร วัง เปาได้ย้ายไปเป็นทหารภายใต้บังคับบัญชาของพันเอกโรเจอร์ แตรงกุยเก นายทหารฝรั่งเศสซึ่งร่วมมือกับโทบี้ ลายฟอง และผู้นำชาวเขาอื่นๆ ในการค้าฝิ่นดิบโดยส่งขายให้แก่โรงยาฝิ่นในไซ่ง่อน แต่เมื่อพวกเวียดมินห์รุกเข้าสู่หลวงพระบาง ผู้บัญชาการทหารฝรั่งเศสจึงออกคำสั่งยุบหน่วยและหนีไปพร้อมกับทหารชาวเขา และก่อนที่ฝรั่งเศสจะประสบความพ่ายแพ้ที่เดียนเบียนฟูในปี 1954 นั้น วัง เปาได้รับคำสั่งให้นำกำลังเข้าก่อกวนแนวหลังของเวียดมินห์ หลังจากที่ฝรั่งเศสถอนทหารจากอินโดจีนแล้ว วัง เปาได้เข้าร่วมกับกองทัพแห่งชาติโดยได้เลื่อนยศเป็นร้อยเอกและพันตรีตามลำดับ และกลายเป็นชาวม้งคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายพลในกองทัพของราชอาณาจักรลาวในเวลาต่อมา
ความหวาดเกรงการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ตามทฤษฎีโดมิโน ทำให้สหรัฐฯได้เข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในลาว โดยการให้ความช่วยเหลือทางทหารในการทำสงครามลับหรือสงครามประกอบสงครามเวียดนาม (Sidewar of Vietnam War) ด้วยการสนับสนุนอาวุธและการฝึกทหารแก่ฝ่ายเวียงจันทน์หรือฝ่ายขวา ในการทำสงครามกับฝ่ายซ้ายหรือขบวนการคอมมิวนิสต์ปะเทดลาว (The Communist Pathet Lao) และจัดตั้งกองกำลังชนเผ่าม้งขึ้นภายใต้การบังคับบัญชาของวัง เปา โดย ซีไอเอ เป็นผู้รับผิดชอบ และ "ม้ง" ได้กลายเป็นกำลังรบหลักของลาวฝ่ายขวา มีที่ตั้งกองบัญชาการอยู่ที่เมืองล่องแจ้ง ระหว่างนั้นวัง เปา ถูกกล่าวหาว่าเขาไปมีส่วนร่วมในการค้าเฮโรอีน โดยมีโรงงานผลิตอยู่ที่ล่องแจ้งและลักลอบขนส่งโดยใช้สายการบินแอร์อเมริกา (Air America) ของ ซีไอเอ
หลังปี 1964 สถานการณ์สงครามในลาวตึงเครียดมากขึ้น ในที่สุดกองกำลังชาวม้งของวัง เปา ก็ไม่สามารถต้านทานกำลังของขบวนการปะเทดลาว ที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเหนือซึ่งสามารถยึดพื้นที่สำคัญๆไว้ได้ จนในวันที่ 7 พฤษภาคม 1975 ขบวนการปะเทดลาวสามารถบุกเข้ายึดศาลาพูคูนที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญระหว่างเวียงจันทน์กับหลวงพระบางได้ ทำให้เมืองล่องแจ้งถูกโดดเดี่ยวและตัดขาดจากเวียงจันทน์ ในที่สุดวัง เปา ก็ต้องหนีตายเข้ามายังประเทศไทยก่อนอพยพไปตั้งรกรากยังสหรัฐฯในท้ายที่สุด ขณะที่กองกำลังชาวม้งของวัง เปา ต้องแตกพ่ายหนีเข้าป่าเขากระจัดกระจายอยู่ในลาว บางส่วนหนีตายเข้ามายังไทย ขณะที่บางส่วนถูกทอดทิ้งให้เผชิญชะตากรรมจากการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาลลาว
แม้ว่าวัง เปา จะใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ แต่เขาก็ยังคงดำรงบทบาทในการเป็นผู้นำของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลาว ซึ่งเป็นกองกำลังชาวม้งติดอาวุธที่ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานหรือเป็นอดีตทหาร ในกองกำลังของเขาที่ซีไอเอจัดตั้งขึ้น โดยการสนับสนุนการเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลลาวได้อย่างต่อเนื่อง เช่นในปี 1999 ชาวอเมริกันเชื้อสายม้ง 2 คน คือ ไมเคิล วัง หลานชายของวัง เปา และนายหัว ลี ซึ่งทั้งสองเคยเป็นนักรบในกองกำลังของวัง เปา เมื่อ 30 กว่าปีที่ผ่านมา ได้ลักลอบ ข้ามจากไทยไปยังลาวอย่างผิดกฎหมาย โดยมีเป้าหมายนำอาวุธและเงินจำนวน 79,000 เหรียญสหรัฐฯ ไปส่งมอบให้แก่กองกำลังชาวม้ง และบุคคลทั้งสองได้หายสาบสูญไปในแขวงบ่อแก้ว โดยเชื่อกันว่าพวกเขาได้เสียชีวิตไปก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจสำเร็จ
ในปี 2006 วัง เปา ยังเข้าไปมีส่วนพัวพันกับการเนรเทศชาวอเมริกัน 3 คน คือ นายเอ็ดเวิร์ด จอห์น เซนเดรย์ นางจอร์จี้ มอดี เซนเดรย์ และนาย เยียซัง ยัง ออกนอกประเทศ ด้วยข้อหาแทรกแซงกิจการภายในของลาว โดยการปลุกปั่นและสร้างความเข้าใจผิดระหว่างอำนาจปกครองกับประชาชนในท้องถิ่นตลอดจนบิดเบือนความจริง จากการเข้าไปสังเกตการณ์ที่คนเหล่านี้เรียกว่าการเข้ามอบตัวของฝ่ายต่อต้านที่แขวงเซียงขวาง เพื่อให้เห็นว่าฝ่ายต่อต้านได้รับความปลอดภัย ซึ่งรัฐบาลลาวเห็นว่าเป็นการบิดเบือนและสร้างความเข้าใจผิดๆ เนื่องจากเป็นการเคลื่อนย้ายภูมิลำเนาของประชาชนเพื่อรวมหมู่บ้านเข้าด้วยกันตามแผนขจัดความยากจน ซึ่งมีชาวม้งจำนวน 9 ครอบครัว รวมอยู่ด้วย ที่พร้อมใจยุติการทำไร่เลื่อนลอยและอพยพลงจากพื้นที่สูงไปรวมกับหมู่บ้านในเขตพื้นราบ หลังการรณรงค์เพื่อยุติการทำลายป่าและแก้ไขปัญหาความยากจน ทั้งหมดได้เข้าร่วมพิธีต้อนรับที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการที่เมืองพูกูด แขวงเซียงขวาง ซึ่งมีเจ้าแขวงเซียงขวางเป็นประธานในพิธี โดยนายเอ็ดเวิร์ด จอห์น เซนเดรย์ อดีตทหารเรืออเมริกันวัย 62 ปี ที่เคยประจำการในอ่าวตังเกี๋ยเมื่อครั้งสงครามเวียดนาม อ้างว่าเขาได้รับเงินทุนในการเดินไปลาวครั้งนี้จากวัง เปา และยังได้นำโทรศัพท์ระบบดาวเทียมเข้าไปช่วยวางเครือข่ายการสื่อสารให้แก่กองกำลังของชาวม้งอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของวัง เปา ในระยะหลังได้เปลี่ยนแปลงไปจากการใช้กำลังมาเป็นแนวทางสันติวิธี เห็นได้ชัดจากการที่ก่อนหน้าวุฒิสภาของสหรัฐฯ จะผ่านกฎหมายสถานะความสัมพันธ์ทางการค้าแบบปกติ (Normal Trade Relation : NTR) แก่ลาวในปี 2004 ท่ามกลางกระแสการประท้วงและคัดค้านของชาวม้งในสหรัฐฯ ในการให้สถานะความสัมพันธ์ทางการค้าแบบปกติแก่ลาว โดยเชื่อว่าหากรัฐบาลลาวได้รับสถานะความสัมพันธ์ดังกล่าว ก็จะนำเงินไปซื้ออาวุธและสารเคมีที่นำมาใช้สังหารกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลาว แต่วัง เปา กลับประกาศว่าเขายินดีจะสนับสนุนการให้สถานะความสัมพันธ์ทางการค้าแบบปกติดังกล่าว หากว่ารัฐบาลลาวยอมแก้ไขปัญหาการละเมิดและคุกคามสิทธิมนุษยชน สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับสภาพของกลุ่มต่อต้านที่นับวันจะอ่อนแอลง
ผลจากการจับกุมนายพล วัง เปา ยังผลให้เกิดพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของชาวม้งที่มีต่อเขา จากการรวมตัวประท้วงหน้าศาลเมืองซาคราเมนโต เพื่อเรียกร้องให้ทางการสหรัฐฯ ปล่อยตัวเขา และต้องการทราบเหตุผลในการจับกุมชายผู้ซึ่งเป็นมิตรที่ดีที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งเคยช่วยเหลือนักบินสหรัฐฯ ที่เครื่องบินถูกยิงตกเป็นจำนวนมาก และรู้สึกเหมือนถูกสหรัฐฯทรยศหักหลังทอดทิ้งให้ต่อสู้อยู่แต่เพียงลำพังเท่านั้น อารมณ์และความรู้สึกดังกล่าวเห็นได้ชัดในหมู่ชาวม้งอพยพสูงอายุ ที่บอกว่าตัวเขาและชาวม้งคนอื่นๆ จงรักภักดีต่อรัฐบาลสหรัฐฯเสมอมา ตั้งแต่ครั้งยังเป็นทหารหนุ่มในกองกำลังชาวม้งที่ซีไอเอให้การสนับสนุน ขณะที่ชาวม้งรุ่นหนุ่มสาวกลับเห็นว่า การที่วังเปาและพวกโดนจับกุมควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะตัดสินความผิด คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเขาอาจจะยังฝันที่จะกลับไปลาว แต่สำหรับพวกเขาแล้วถือว่าตนเป็นคนอเมริกา และอเมริกาเป็นบ้านใหม่ ทั้งยัง ไม่มีความคิดที่จะกลับไปลาว และหากจะกลับไปก็คงไม่ใช้ความรุนแรง แต่จะกลับไปเปลี่ยนแปลงด้วยการไปลงทุนทำธุรกิจ
นายโทมัส เฮฟเฟลฟิงเกอร์ ทนายความของวัง เปา กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการเข้าใจผิด เพราะนับตั้งแต่ลี้ภัยเข้ามาอยู่ในสหรัฐฯ วัง เปา ไม่เคยละความพยายามในการให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนแก่ชาวม้งอพยพหลายแสนคน และทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางคลี่คลายปัญหาในลาวด้วยแนวทางสันติ ทั้งยังเป็นผู้ที่ต่อต้านความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยนายจอร์จ ราดาโนวิค สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรพรรครีพับลิกันรัฐแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า วัง เปา ได้อุทิศตนให้ชาวม้ง และชาวลาวในรัฐแคลิฟอร์เนียมากมายเกินกว่าจะประเมินค่าได้ ขณะที่นายฟิล สมิธ อดีตเจ้าหน้าที่สภาคองเกรส ซึ่งเคยเป็นผู้แทนของวัง เปา ในวอชิงตันกล่าวว่า นักการเมืองสหรัฐฯมองว่าวัง เปา เป็นบุคคลสำคัญที่ต้องรับฟัง และเขาคือวีรบุรุษ ในทางตรงกันข้ามผู้พิพากษาศาลเมืองซาคราเมนโตกลับไม่อนุญาตให้วัง เปา และพวก ได้รับการประกันตัว แม้อายุจะมากและมีสุขภาพไม่ดีก็ตาม เนื่องจากเห็นว่าเขาเป็นบุคคลอันตราย และการปล่อยตัวเขาถือว่าเป็นความเสี่ยงอย่างมาก
แม้วัง เปา จะเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพนับถือจากชาวม้งนับแสนคนที่อพยพมาอยู่ในสหรัฐฯ จากการให้ความช่วยเหลือแก่ชาวม้งอพยพที่เข้ามาตั้งรกรากใหม่ แต่วัง เปา ก็เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดการถกเถียงกันในหลายๆกรณี เช่น ปัญหาการตั้งชื่อโรงเรียนชั้นประถมแห่งใหม่ในรัฐวิสคอนซินในชื่อ “วัง เปา” ซึ่งหลายฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการที่นำเอาชื่อของคนที่มีประวัติการใช้กำลังหรือความรุนแรงมาเป็นชื่อโรงเรียน เช่นเดียวกับการไม่ให้ตั้งชื่อสวนสาธารณะชื่อ “วังเปา” ในรัฐวิสคอนซิน หลังจากที่อาจารย์มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน ระบุว่า วัง เปา เคยตัดสินประหารชีวิตเพื่อนร่วมกองทัพ ประหารชีวิตเชลยสงครามและศัตรูทางการเมืองของตน
สำหรับรัฐบาลลาวแล้ว วัง เปา เป็นเพียง “ปะติกานลาวโพ้นทะเล” ที่ถูกศาลประชาชนสูงสุดของลาวตัดสินให้ประหารชีวิตในข้อหา “กบฏชาติ” ตั้งแต่ปี 1975 และเห็นว่าการที่จะอธิบายอาชญากรรมที่ชายผู้นี้ได้กระทำลงไปต้องเขียนหนังสือเป็นเล่มๆ นับตั้งแต่การเป็นกบฏ เกณฑ์ผู้อายุไม่ถึงมาเป็นทหาร สังหารผู้คนนับพัน และลักลอบค้ายาเสพติด
ขณะที่ตัวละครในเวทีประวัติศาสตร์การเมืองลาวทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย ต่างพากันปิดฉากลาโรงจากการพ่ายแพ้สังขารและอายุขัยตามกฎของธรรมชาติ โดยเฉพาะการก้าวลงเวทีของพลเอกคำไต สีพันดอน อดีตเลขาธิการใหญ่และผู้นำพรรคประชาชนปฏิวัติลาวในปี 2006 หลังจากอยู่ในอำนาจมาอย่างยาวนาน แต่ “สงครามลับ” ของชายวัย 77 ผู้เป็นหนึ่งในตัวละครร่วมสมัยที่ชื่อว่า “วัง เปา” ยังคงไม่มีท่าทีว่าจะยุติลงแต่อย่างใด
----------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
“June 8 : Vang Pao got a warning long before his arrest,” http://www.startribune.com/462/ story/1233159.html
“Tuesday: Vang Pao charged in Laos plot,” http://www.startribune.com/484/story/1225057.html
“Madison, Wis., erases Vang Pao’s name from school,” http://www.startribune.com/462/ story/1254790.html
Keywords : วัง เปา ม้ง กลุ่มต่อต้านรัฐบาลลาว อดิศร เสมแย้ม
www.thaiworld.org/th/include/answer_search.php?...id... -
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.