-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 202 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

สมรภูมิเลือด





กำลังปรับปรุงครับ


จุดกำเนิดสงครามคนม้งในลาว

ณ ที่แห่งหนึ่งบริเวณตะแขบชายแดนไทยลาว… วังเปา ผู้นำม้ง แลร์ ทหารยุคสงครามเกาหลี และ ประนิตย์ หัวหน้าหน่วยพารูของไทยได้พบกัน แลร์ ถามวังเปาว่ามีแผนอย่างไร วังเปา ขอตอบในฐานะชาวม้งไม่ใช่ฐานะทหารแห่งกองทัพลาว ว่า “ที่นี่คือบ้านของเรา” ..เราไปมาหาสู่กับพวกคอมมิวนิสต์มานานแล้ว วิถีเราเข้ากับเขาไม่ได้….เรามีทางเลือกสองทาง คือสู้กัน หรือ ทิ้งถิ่นฐานไปที่อื่น เราไม่มีทางเลือก..หากคุณให้อาวุธ เราจะสู้กับพวกมัน

แลร์ ถามว่า จะติดอาวุธสักเท่าไหร่..วังเปาตอบ ” หนึ่งหมื่นคน แล้ว”….ฉันจะภักดีต่อกษัตริย์ลาว พวกเขาจะเดินตามฉัน ” (ดูม้งห้วยน้ำขาว ในวันนี้ ซิ ถ้าวังเปาชนะสงครามในวันนั้น ม้งคงจะมีประเทศสมใจนึก ไม่ต้องมาเป็นเหมือนทุกวันนี้ ระหกระเหินแร่ร่อนอย่างไร้ความหมาย)และนี่คือจุดเริ่มต้นความยากลำบากของชน ที่เรียกว่าม้ง…ด้วยยุธปกรณ์ที่เหลือใช้จากสงครามโลกครั้งที่สอง ของ สหรัฐฯ.ที่หยิบยื่นให้กองกำลังพิเศษกองโจรม้งขนาดใหญ่ หนึ่งหมื่คน…

ม้งพันคนแรกผ่านการฝึกจากพารูแล้ว ในไม่ช้า ก็จะถึงหลักหมื่น กองบัญชาการใหญ่พารู ได้ฝึกอบรมหลักสูตรผู้นำให้แก่ชาวม้งหัวกะทิ ที่หัวหิน และฝึกการรับส่งวิทยุในประเทศลาว และนำมาซึ่งการออกซุ่มโจมตีข้าศึกอย่างได้ผลติดๆกัน ทำให้เครือข่ายต่อต้านของชาวม้งขยายตัว ทำให้ฝ่ายซ้ายและฝ่ายเป็นกลางไม่อาจตอบโต้ทหารม้งวังเปาได้ ทหารม้ง วังเปา ไม่ยี่หระต่อฝ่ายเป็นกลางและฝ่ายปะเทศลาวเท่าใดนัก..แต่เขามองว่าเวียดนาม เหนือคือศัตรูตัวฉกาจ…เพราะชายแดนเวียดนามอยู่ห่างแค่ไม่กี่ขุนเขาเท่านั้น …นั่นแหละเหมือน แลร์ นั้นจะรู้ดีกว่าใครๆว่า ทหารเวียดนามเหนือผู้น่าเกรงขามยังไม่ได้เข้าร่วมสมรภูมิเท่านั้นและหวังว่า สิ่งที่คิดอย่าได้เกิดขึ้นเลย จนเวลาล่วงเลยหลังจากได้ชัยชนะที่ผาขาว วังเปาตั้งกองบัญชาการใหญ่ที่ปาดอง ชุมทางค้าฝิ่นใน อดีตปาดองเป็นที่ราบสูง มียอดเขาสูงทะมึนทางทิศใต้ และยามนี้ปาดองเหมือนแม่เหล็กดึงดูดชาวม้งให้มาที่นี่ พวกเขาพร้อมที่จะเปลี่ยนกางเกงดำขาก๊วย เป็นกางเกงลายพรางทหารสีมะกอก ไม่เว้นแม้คนแก่ๆ….. แหม๋…ช่างดูหึกเหิมเหลือคณา..

ในสายตาคนอื่นๆที่ไม่ใช่วังเปากับพวก มองว่า วังเปาไม่ใช่คู่ต่อกรของเวียดนามเหนือ ทหารเวียดนามได้รับการฝึกอย่างดีเยี่ยม ไม่สะทกสะท้านต่อการสูญเสียหากจำเป็น มีทักษะการรบเหนือกว่า ที่เห็นได้ชัดเจนคือการชี้เป้าปืนใหญ่ อันเป็นสิ่งที่ม้งทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ ม้งชำนาญการตีหัวเข้าบ้าน ระเบียบวินัยทหารไม่มีในหัวสมองของพวกเขา หากเสียงปืนข้าศึกดังกว่าฝ่ายเขา ทหารม้งพร้อมจะหนีเอาตัวรอดทันที หากพวกเขานึกอยากออกไปล่าสัตว์ หรือกลับไปเยี่ยมลูกเมียที่บ้านก็ไม่มีสิ่งไรจะมาฉุดรั้งไว้ได้ จึงมีเรื่องเล่าขำๆว่า เรื่องการรบพวกคัมบาของธิเบตอันดับหนึ่ง จีนมุสลิมอันดับสอง ม้งอันดับสุดท้ายในเรื่องความเป็นนักรบ สมองพวกม้งมึนชาต่อความรับรู้ เทคนิคเพียงพื้นๆอย่างการปรับศูนย์ยิง ข้อแตกต่างระหว่างการยิง100 เมตร กับ 600 เมตร คุณไม่มีวันอธิบายให้คนพวกนี้เข้าใจได้ อาจเป็นเพราะเขาใช้ปืนแก๊ปที่ยิงไกลแค่ 30 เมตร ขนาดลงทุนวาดวิถีกระสุนให้ดูก็ยังไม่รู้เรื่อง วิธีปรับปืนค.ยิ่งไม่ต้องสอนเลย เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา สุดท้ายยย ปาดองก็แตก นายพลวังเปาก็ ถอยมาที่ ล่องแจ้ง….

ล่องแจ้งเติบโตอย่างรวดเร็ว จากหุบเขาไร่ข้าวโพดกลายเป็นหมู่บ้านม้งและลาวเทิง….ช่างน่าตื่นตาตื่นใจกับ รันเวย์ทางดินสีส้ม สนามบินที่กุดสั้น ทางวิ่งเป็นหลุมเป็นบ่อ ตื่นตากับทหารร่างเล็กชุดเขียวพราง ซึ่งใครๆต่างเข้าใจว่าเป็นพวกลาวลุ่ม แต่ที่แท้ก็เป็นพวกม้งนี่เอง ที่ล่องแจ้งแห่งนี้ข้าวเหล็ก(สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 )เริ่มถูกลำเลียงมายังฝ่ายม้งอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ วังเปาตัดสินใจส่งกำลังเข้าผลักดัน ฝ่ายประเทศลาวและลาวฝ่ายกลางที่เริ่มเอนเอียงไปเข้าฝ่ายซ้ายที่เคลื่อนกำลัง เข้ามาตั้งมั่นทางตะวันตกของทุ่งไหหิน ปิดกั้นเส้นทางสู่เวียงจันทร์

เหตุการณ์ผลักดันในวันนั้น วังเปากับลอว์เลนซ์ วางแผนการรบร่วม กองทัพเรืออเมริกัน ส่งจรวดเหลือใช้มาให้ อาวุธหนัก รวมทั้งปืนใหญ่โฮวิตเซอร์ ส่งเสียงหวีดหวิวผ่านอากาศสู่เป้าหมาย วังเปาอำนวยการยิงด้วยตนเอง ลอว์เลนซ์ บอกว่า ” เขาทำอย่างกับตัวเองเป็นนายทหารปืนใหญ่ ” กระสุนเกือบทั้งหมดพลาดเป้า แต่ก็ทำให้ฝ่ายปะเทดลาวล่าถอย พวกม้งขวัญกำลังใจมีมากขึ้น ลาวฝ่ายเป็นกลางที่แตกเป็นสองฝ่าย อีกฝ่ายเข้ากับฝ่ายปะเทดลาว แต่กองแล กับอีกฝ่าย ก็หันมาเข้าฝ่ายวังเปา ดุลยภาพของกำลังเปลี่ยนแปลงไป

คืนหนึ่งในความมืดมิดที่เงียบสนิท ก็มีเสียงปืนดังขึ้นในค่ายวุ่นวายไปหมด เกิดอะไรขึ้นนี่คงเป็นคำถามสุดฮิตในยุคสงครามเช่นนี้ ภาพที่เห็นตำตาอยู่ก็คือทหารม้งกำลังยิงปืนขึ้นฟ้า ใส่ดวงจันทร์เหมือนที่แลร์ เคยเล่าว่า “…ยิงไล่ราหู” และนั่นทำให้พวกฝรั่งในเวียงจันทร์พากันพูดติดตลกว่า ” จริงๆแล้วพวกชาวม้งยิงปืนขับไล่ราหูได้ผล โลกภายนอกต่างหากที่ไร้สาระ ” ลอว์เลนซ์ผู้เป็นทั้งสายลับและนักมานุษยวิทยา รู้ดีในเรื่องความเชื่อและศรัทธาของคนท้องถิ่น พวกม้งมีผีอยู่รอบกาย ก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้า….วันหนึ่งมีคนตาย เขาเห็นหญิงม้งร้องไห้ฟูมฟาย ป่านว่าจะขาดใจ พวกผู้หญิงไม่ยอมห่างใบหน้าศพ คอยลูบไล้อย่างทนุถนอม จนเมื่อเหนื่อย มีคนอื่นมาร้องฟูมฟายแทน หญิงคนแรกก็จะถอยออกมา เธอกลับมีอาการปรกติเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

วันที่ 6 ของพิธีศพ มีการนำหีบศพขึ้นแบกวนรบเสา พอถึงรอบที่ 8 ก็วนกลับ เพื่อไม่ให้วิญญาณผู้ตายมากลับบ้านถูก มาหลอกหลอนญาติผู้ตาย

ลอว์เลนซ์ ทบทวนสิ่งที่ได้เห็น เขาสรุปได้ว่า พวกม้งไม่มีวันเป็นกองกำลังที่สมบูรณ์แบบได้ พวกเขาผูกพันกับสถานที่ บวกกับพื้นฐานขาดการศึกษา และความเป็นตัวของตัวเองสูง ได้จำกัดภารกิจชาวม้ง ให้เหลือแค่การโจมตีก่อกวนข้าศึก ..สมมุติว่าหน่วยสังเกตุการณ์ที่ทางเหนือพบรถบรรทุกเคลื่อนจากชายแดน เวียดนามห่างจากที่มั่นสัก 10 กิโลแม้ว ” ทหารม้งจะไม่มีวันออกโจมตีตอบโต้ พวกเขาจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ หากเราให้เขาไปทำการลุกขึ้นสู้เพื่อแผ่นดินเกิดย่อมทำได้ ตามข้อตกลงว่าจะให้ปืนสมัยสงครามโลกแก่เขา แต่ให้เขาห่างไกลบ้านเกิดละก็ เขาจะพากันมาหาวังเปา และบอกว่า ” นี่มันไม่อยู่ในข้อตกลงนี่ คุณไม่ได้บอกว่าให้เราไปสู้กับไอ้พวกนี้” สิ่งเหล่านี้ล้วนท้าทายการสร้างชาติม้ง และนี่กระมั่งที่ม้งเรายังไม่มีชาติตั้งแต่อดิตมาจนถึงปัจจุบัน

จากการกรำศึกกับลาว และเวียดนามมายาวนานของทหารม้งๆ ได้สูญเสียและล้มตายหลายหมื่นคน ก็ไม่สามารถปลดแอดเผ่าพันธ์ม้งให้เป็นเอกราชได้ สงครามครั้งนี้ปรากฏชัดเจนเป็นที่ทราบดีแล้วว่า ม้งไม่มีวันเอาชนะข้าศึกได้ หากคำว่าชัยชนะนั้นหมายถึงการทำให้ข้าศึกยอมแพ้ ขณะเดียวกัน ก็เชื่อว่า ข้าศึกเอาชนะม้งยากเช่นกัน ในป่าเขาที่กองกำลังชาวม้งยึดครองอยู่ ขบวนการต่อต้านของชาวม้ง หยั่งรากลึกเกินกว่าจะถูกถอนรากถอนโคน หากจะทำได้ ก็ต้องทุ่มกำลังอย่างเต็มที่ของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ชาวม้งไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร

เมื่อเสร็จศึกอย่างไม่เบ็ดเสร็จจากการหนีหางจุกตูดของอเมริกานั้นแล้ว จึงทำให้ชาวม้งรู้ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างทำสงครามกับคอมมิวนิตส์นั้น ทำให้ม้งได้รับรู้ความจริงบางอย่าง….ว่า…. ”ถ้าไอ้พวกนั้น ไม่มา เราคงขยี้ทหารปะเทดลาวด้วยปืนแก๊ปหรือหน้าไม้ของเรา… แต่เราก็ยังทนสู้โดยคิดว่า มันจะช่วยเรา แต่ตอนนี้มันช่วยเราไม่ได้มาก และเราก็ไม่แน่ใจว่า มันจะพาเราไปประเทศที่สามที่เราจะได้อยู่อย่างสันติหรือไม่..” (ไอ้พวกนั้น.. หมายถึงเวียดนามเหนือหรือ…เปล่าเลย…มัน คือพวกอเมริกันต่างหาก) นี่คือคำพูดบางส่วนของม้ง ที่ขึ้นเครื่องตามวังเปาไป อเมริกาไม่ทัน

hmongasia.com/จุดกำเนิดสงครามคนม้งใน/ -


วัง เปา. (เผ่าม้ง) เริ่มจากเป็นหัวหน้าหมู่บ้านธรรมดาๆ เมื่อเริ่มงานสงคราม ด้วยความที่มีลูกน้องมาก นับจำนวนหัวแล้วได้ประมาณ 1,500 คน หรือเท่ากับจำนวนทหาร 1 กองพล จึงได้รับการแต่งตั้งยศเป็น นายพลวัง เปา.

กองแล. (เผ่าขมุ) เริ่มจากหัวหน้าหมู่บ้านธรรมดาๆ เหมือนวังเปา. เมื่อเริ่มงานสงครามมีลูกน้องอยู่ประมาณ 200 คน หรือเท่ากับ 1 กองร้อยจึงได้รับการแต่งตั้งยศเป็น ร้อยเอกกองแล. สังกัดกองทหารรถถัง ...... ต่อมาได้นำกำลังลูกน้องทั้ง 200 คน ปฏิวัติยึดอำนาจโดยมีรถถังเพียง 2 คน สำเร็จ จึงแต่งตั้งตัวเองเป็น "นายพลกองแล" ยึดอำนาจได้แล้วไม่มีความสามารถที่จะเป็นนายกรัฐมตรี เพราะไม่มีความีรู้เรื่องบ้านเมืองใดๆทั้งสิ้น จึงยกอำนาจให้เจ้าสุวรรณภูมาเป็นนายกรัฐมนตตรีแทน..... นายพลกองแลมีของขลังเป็น "อวัยวัเพศหญิงกับอวัยวะเพศชาย" สอดใส่กันอยู่ ถ้าวันไหนอวัยวะสองเพศนี้มีอาการ "คับแน่น" ขนาดดึงไม่ออกเลย กองแลจะรู้ทันทีว่าจะต้องถูกข้าศึกโจมตี จึงสั่งลูกน้องป้องกันล่วงหน้าอย่างดี จึงทำให้ได้รับชัยชนะทุกครั้ง และนี่คือ ความสามารถของผู้นำอย่างกองแล

ภาษิตโบราณลาว กล่าวว่า "หมากับแมว แกวกับลาว" หมายความว่า แมวกลัวหมามาตั้งแต่เกิด ลาวก็กลัวแกว (เวียดนาม) มาตั้งแต่เกิด เช่นกัน ยามใดเมื่อปะทะกัน ทหารลาว (ทุกเผ่า) พอได้ยินว่า "แกวมา" เท่านั้นแหละ "โตน" (หนี) ทันที .... คราวหนึ่ง เวียดกงเตรียมบุกฐานที่มั่นทหารรับจ้าง (ไทย+อเมริกัน) ฐานนั้นมีทหารลาวป้องกันอยู่วงนอก พอรู้ว่าแกวบุก พวกลาวป้องกันเตรียมโตนแล้ว กับขอให้ในฐานใช้ปีนใหญ่ยิงคุ้มกันให้ นักรบรับจ้างไทยตัดสินใจใช้ปืนใหญ่ยิงใส่ลาวคุ้มกัน สกัดเส้นทางโตนหนีนั้นเสียเลย พร้อมๆกับยิงสกัดการบุกของเวียดกงด้วย ปรากฏเวียดกงต้องล่าถอย ส่วนลาวคุ้มกันตายไปหลายสิบคน

ปืนใหญ่ลาว เมื่อยิงออกไปแล้วไม่ถึงเป้าหมาย จะใช้วิธีลากปืนใหญ่ไปข้างหน้า เพื่อให้กระสุนถึงเป้าหมาย แต่ถ้าเมื่อยิงออกไปแล้ว กระสุนตกเลยเป้าหมายก็จะใช้วิธีลากปืนใหญ่ถอยหลัง เพราะทหารปืนใหญ่ลาว "ปรับการยิง" ไม่เป็น....ทหารปืนใหญ่ลาว เคยมีเรียนวิชา "หลักยิงปืนใหญ่" ที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี เรียน 6 เดือนก็ยังคำนวนไม่เป็น ทั้งๆที่ พลทหาร (เน้นย้ำ...พลทหาร) ไทยใช้ระยะเวลารียนเพียง 1 เดือน ก็ปรับการยิงปินใหญ่ได้แล้ว










สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-09-20 (2280 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©