การปลูกผักในระบบไฮโดรโปนิกส์แบบเศรษฐกิจพอเพียง
ผักเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารเองได้ โดยผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง รากของผักจะใช้ดินเป็นแหล่งให้น้ำ อาหาร อากาศและเป็นที่ยึดเหนี่ยวราก ใบจะดูดคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ และใช้แสงแดด เป็นแหล่งให้พลังงานในการสังเคราะห์ด้วยแสง
การปลูกผักในระบบไฮโดรโปนิกส์ เป็นการปลูกผักโดยใช้น้ำเป็นวัสดุปลูก มีการจัดการสารละลายให้มีองค์ประกอบของน้ำ อาหาร และอากาศ ตามความต้องการของรากพืชอย่างเหมาะสม ส่วนวัสดุที่ใช้พยุงลำต้นจะใช้แผ่นโฟมหรือตาข่าย ลอยบนของน้ำสารละลายที่ใช้ปลูก
การปลูกพืชผักในระบบไฮโดรโปนิกส์ สามารถปลูกได้ทุกที่ สะดวกในการดูแล ใช้พื้นที่น้อย ประหยัดแรงงาน ทำให้สังคมเมืองที่มีพื้นที่น้อยสามารถปลูกผักที่ สด สะอาด และปลอดภัยไว้รับประทานเองได้ ทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ภายในครัวเรือน ซึ่งเป็นการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาแบบเศรษฐกิจพอเพียง
1. การปลูกผักในระบบไฮโดรโปนิกส์แบบเศรษฐกิจพอเพียงเริ่มจาก การเตรียมต้นกล้า สามารถเตรียมได้ 2 วิธี ดังนี้
ต้นกล้าที่เกิดจาก การเพาะเมล็ด
- เตรียมก้อนฟองน้ำ ให้มากกว่าหลุมปลูกที่ต้องการปลูกเล็กน้อย หรือใช้วัสดุเพาะชนิดอื่นแทนก็ได้
- นำก้อนฟองน้ำมานวดกับน้ำให้ชุ่ม (อาจผสมน้ำยาล้างจาน 1-2 หยดกับน้ำ เพื่อให้ฟองน้ำดูดน้ำได้ดี)
- หยอดเมล็ดพันธุ์ผักที่ต้องการลงที่รอยผ่ากลางก้อนฟองน้ำ 1-2 เมล็ด ต่อฟองน้ำ1 ก้อน กับผักที่มีทรงพุ่มกว้าง เช่น ผักสลัด ส่วนผักมีลักษณะสูงไม่แตกพุ่ม เช่น ผักบุ้งจีน คึ่นฉ่าย ควรหยอด 3–5 เมล็ด การเก็บเมล็ดพันธุ์ผักควรเก็บในตู้เย็น เพื่อให้เมล็ดยังคงการงอกที่ดี
- นำถาดก้อนฟองน้ำที่หยอดเมล็ดแล้วไปวางในที่ร่ม รดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ
- เมื่อต้นกล้างอกพ้นฟองน้ำ ให้นำไปรับแสงแดดอ่อนๆ รดน้ำให้ชุ่ม ไม่เช่นนั้น ต้นกล้าจะมีสีเขียวซีด ลำต้นผอมยาว อ่อนแอ และล้มง่าย เมื่อนำไปปลูกต้นกล้าจะล้มและเน่าตาย
- เมื่อรากของต้นกล้างอกพ้นฟองน้ำ ควรรีบย้ายปลูกในภาชนะที่เตรียมไว้ ถ้าทิ้งไว้นาน ต้นกล้าจะไม่ได้อาหาร แคระแกร็น รากพับ ทำให้ต้นกล้าไม่ค่อยโต
ต้นกล้าที่เกิดจาก การปักชำ
มีวิธีการเหมือนกับการเพาะเมล็ด เพราะผักพื้นบ้านบางชนิดหาเมล็ดพันธุ์ยาก เช่น สะระแหน่ ผักแพว ใบบัวบก ฯลฯ เราอาจใช้ส่วนยอด หรือข้อ ปักชำในฟองน้ำแทนการหยอดเมล็ด เมื่อปักชำแล้วมีวิธีการดูแลเหมือนกับการเพาะเมล็ด คือเก็บรักษาในที่แสงแดดอ่อนๆ และมีความชื้นก่อน เมื่อท่อนพันธุ์ออกรากแล้วควรรดน้ำและนำออกตากแสงแดดอ่อนๆ อย่าให้เหี่ยว หรือเน่า เพราะส่วนที่เน่าจะตายและทำให้ส่วนอื่นๆ เน่าตายตามไปด้วย เมื่อรากงอกพ้นฟองน้ำ ก็ควรรีบย้ายปลูกเช่นกัน
2. การเตรียมน้ำสารละลายธาตุอาหารพืช และภาชนะปลูก มีขั้นตอน ดังนี้
การเตรียมน้ำสารละลายธาตุอาหารพืช จะเตรียมตามความต้องการของพืชที่ปลูก หรือตามสูตรที่ต้องการ หรือใช้สารละลายธาตุอาหารพืชความเข้มข้นสูงที่จัดเตรียมไว้ 2 ขวด (สารละลายธาตุอาหารพืชเข้มข้นสีเขียว และสารละลายธาตุอาหารพืชเข้มข้นสีแดง)
ข้อควรระวัง สารละลายธาตุอาหารพืชเข้มข้นทั้ง 2 ขวดไม่สามารถผสมกันเองได้ที่ความเข้มข้นสูง ถ้าผสมกันจะตกตะกอน แล้วไม่สามารถใช้ปลูกพืชได้ ควรเก็บไว้ในที่ร่มและเย็น
การเตรียมภาชนะปลูก และการปลูก
- ควรเลือกภาชนะที่สะอาด สามารถเก็บน้ำและอุณหภูมิ ได้ เช่นกล่องโฟมชนิดต่างๆ ข้อดีของการใช้โฟม เพราะเป็นวัสดุที่สามารถเก็บรักษาอุณหภูมิได้ ทำให้รากและน้ำสารละลายไม่ร้อน
- เจาะรูบนแผ่นปลูกหรือฝาภาชนะให้ใส่ฟองน้ำได้ ระยะห่างตามความต้องการของพืช
- วางภาชนะปลูกบนพื้นที่สม่ำเสมอ ในที่มีแสงแดดพอประมาณ
- ใส่น้ำสะอาด เช่น น้ำประปา น้ำกรอง ในภาชนะปลูก 2 ใน 3 แล้วเติมสารละลายธาตุอาหารพืชเข้มข้นทั้งสองขวดในอัตราส่วนอย่างละ 5-7 ซีซี ต่อ น้ำ 1 ลิตร คนและปรับน้ำตามปริมาตรที่ต้องการ
- นำฝาที่เจาะรูแล้ว ปิดบนภาชนะ ย้ายต้นกล้าลงปลูกบนฝา
- ระวัง ต้องให้รากของต้นกล้าจุ่มลงในน้ำสารละลาย
3. การดูแลรักษาและการเก็บเกี่ยว
- การปลูกโดยวิธีนี้ไม่ต้องรดน้ำพืชข้างบนกล่อง แต่ต้องระวังไม่ให้น้ำสารละลายในภาชนะปลูกแห้ง
- ถ้าพืชโตช้า ใบเหลือง ให้เติมสารละลายธาตุอาหารพืชอย่างละเท่าๆ กันประมาณครั้งละ 5 – 10 ซีซี
- ถ้าพืชเหี่ยว
- ช่วงเวลาแดดจัด แสดงว่าแสงแดดร้อนเกินไป ควรพรางแสงหรือย้ายภาชนะปลูกเข้าร่ม
- เหี่ยวตลอดเวลา รากพืชไม่จุ่มในน้ำสารละลาย ให้ปรับระดับการวางภาชนะ เพื่อให้ระดับน้ำเสมอกัน หรือเกิดจากน้ำสารละลายปลูกเข้มข้นเกินไป แก้ไขโดยการเติมน้ำให้น้ำสารละลายปลูกไหลออกมาเล็กน้อย
- เมื่อพืชโตขึ้น ควรหมั่นดูแลระดับน้ำสารละลายในภาชนะปลูกอย่าให้แห้ง ระดับน้ำภายในภาชนะปลูกที่เหมาะสมต่อรากพืชที่โตแล้ว ควรให้น้ำสารละลายที่ระดับครึ่งของราก เพื่อให้รากส่วนบนมีอากาศในการหายใจ เมื่อน้ำเหลือน้อยให้เติมน้ำสะอาดลงไป แล้วตามด้วยธาตุอาหารพืชครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้งจะปลอดภัยต่อพืช
- เมื่อยกแผ่นปลูกทุกครั้งควรปิดให้สนิท ถ้าเก็บเกี่ยวผักแล้ว จะเริ่มปลูกครั้งต่อไป ต้องทำความสะอาดภาชนะปลูก และเปลี่ยนน้ำสารละลายธาตุอาหารพืชใหม่ทุกครั้ง
จะเห็นได้ว่าผักแต่ละชนิดมีความต้องการที่แตกต่างกัน ในการปลูกผักที่ต้องการผลผลิตสูงให้สม่ำเสมอมีความจำเป็น ต้องตรวจวัดน้ำสารละลาย ด้วยเครื่องมือวัดความเข้มข้นของปุ๋ย (ค่า EC) และวัดค่าความเป็นกรดด่างของน้ำ (ค่า pH) แต่การปลูกในปริมาณน้อย เราอาจใช้วิธีการสังเกต เมื่อปลูกไปแล้วเกิดปัญหาอย่าท้อที่จะเริ่มปลูกใหม่ ให้คำนึงถึงความต้องการของผักแต่ละชนิดในด้านการใช้ อาหาร อากาศ น้ำ และแสงแดง ต้องเหมาะสมอย่างความสมดุล ถ้ายังไม่สามารถปลูกได้อีก ให้เปลี่ยนชนิดของผักที่ปลูก เพราะผักบางอย่างต้องการการดูแลมาก และไม่เหมาะต่อสภาพแวดล้อมในพื้นที่ของเรา อย่าเจาะจงที่จะเริ่มต้นปลูกแต่ผักสลัด เพราะผักสลัดเป็นผักที่ตอบสนองต่ออากาศเย็น การปลูกให้ได้ผลดีควรปลูกในฤดูหนาว ถ้าอากาศร้อนก็ลองหัดปลูกผักชนิดอื่นๆ ที่ทนต่ออากาศร้อนก่อนก็ได้นะค่ะ
แม่ทองต่อพ่อประหยัด : ประหยัดชีวิต
แหล่งที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล
ไปร่วมงานเปิด “โครงการเกษตรกรปลอดโรคผู้บริโภคปลอดภัย สมุนไพรล้างพิษกายจิตผ่องใส” โดย ดร.พรรณสิริ กุลนาถสิริ รมช.สาธารณสุข เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา ที่จะเริ่มรณรงค์พร้อมกันทั่วประเทศในวันวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้ เลยได้รู้ว่าคนไทยเจ็บป่วยเป็นมะเร็งกันเยอะไม่เว้นคนในชนบทห่างไกลมลพิษ สาเหตุมาจากอาหารการกินเป็นหลัก เพราะมีการใช้สารเคมียาฆ่าแมลงในภาคเกษตรกันเยอะนี่แหล่ะ พลอยรู้สึกรักตัวกลัวมะเร็งไปกับเขาด้วย คิดจะปลกผักปลอดสารกับเขาด้วย คิดจะปลูกผักปลอดสารพิษไว้กินเอง ชีวิตคนเมืองอย่างเราทำได้ลำบาก เนื้อที่ไม่เอื้ออำนวย ครั้นจะทำตามกระแสแฟชั่นฮิตปลูกผักลอยฟ้า ที่เขาเรียกเป็นฝรั่ง “ผักไฮโดรโพนิกส์” ค่าอุปกรณ์การปลูกไม่เบาเอาเสียเลย 5,000 – 12,000 บาท ถึงจะช่วยประหยัดชีวิต...แต่ไม่ช่วยประหยัดเงินเสียเลย
แต่วันนี้เรามีความหวังแล้วค่ะ...แค่ 1,200 บาท ปลูกผักไฮโดรฯ ได้แล้ว ด้วยศูนย์ฝึกอบรมวิศวกรรมเกษตร สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยี ยังไงการปลูกผักไฮโดร ฯ แบบใหม่ให้ “ต้นกล้าการเกษตร” นอกจากราคาจะเบาลงไปมาก...การปลูกผักไฮโดร ฯ ระบบนี้ไม่ต้องมีปั้มน้ำให้เราต้องมาเสียบปลั๊กเปลืองเงินค่าไฟฟ้าเหมือนระบบราคาแพงค่ะ แถมใช้พื้นที่ไม่มาก ขนาดเท่ากล่องโฟม กว้าง 45 ซม. ยาว 55 ซม. เอาไปวางตรงไหนก็ได้ที่แดดส่งถึง สามารถปลูกได้แล้ว
วิธีปลูกก็ไม่ยุ่งยาก เพาะกล้าผักในฟองน้ำได้สำเร็จ ย้ายต้นกล้าลงไปปลูกในหลุมฝากฝากล่องโฟม...เติมน้ำผสมสารอาหารให้เต็มกล่อง ปลูกแล้วปลูกเลย ไม่ต้องเติมน้ำ ไม่ต้องรดน้ำ...ถึงเวลาเก็บกินหมด คิดปลูกใหม่ค่อยเติมน้ำใหม่ ราคา 1,200 บาท มีอุปกรณ์ให้ครบชุม ปลูกได้ 6-8 รุ่น รุ่นละ 18 ต้น ติดต่อได้ที่ 0-2902-0458-9 ส่วนกล่องโฟมนั้นมีอายุการใช้งานหลายปี ถ้าไม่มีใครไปทำให้มันแตกหักพังเสียก่อน แต่ถ้ายังสงสัยกล่องโฟมปลูกผักไฮโดร ฯ ได้ยังไง คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังค่ะ
แม่ทองต่อพ่อประหยัด : โฟมปลูกผัก
แหล่งที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล
ตอนที่แล้วแนะนำให้รู้จักผักไฮโดรโพนิกส์ระบบใหม่..ปลูกผักในกล่องโฟม นอกจากราคาเบาแล้ว ไม่ต้องมีปั้มน้ำให้เปลืองค่าไฟฟ้าเหมือนการปลูกผักไฮโดร ฯ ราคา 5,000 – 12,000 บาท หลายคนสงสัยปลูกในกล่องโฟมเป็นไปได้ยังไง อ.นิ่มนวล วาศนา ศูนย์ฝึกอบรมวิศวกรรมเกษตร อธิบายว่า จริง ๆ แล้วผักไฮโดรฯ ปลูกในภาชนะอะไรก็ได้ทั้งนั้น ถ้าเข้าใจในธรรมชาติของพืช พืชจะเจริญเติบโตได้ 1) ใบ ต้องได้รับแสงแดด 2) ราก ต้องได้น้ำ สารอาหาร และอากาศ เข้าใจหลักการนี้ ขวด ถัง กะละมัง ตุ่ม สามารถทำเป็นกระถางปลูกผักไฮโดรฯ ได้ทั้งนั้น แต่ที่เป็นปัญหาคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ก็คือ การใส่น้ำลงในภาชนะที่ปลูก อย่าให้น้ำท่วมขังโคนต้นตลอดเวลา เพราะจะไม่มีพื้นที่ว่างให้รากได้สัมผัสอากาศเลย รากจะเน่า ต้นไม้จะเฉาตาย ที่ถูกต้อง จะต้องให้รากส่วนล่างแช่จมอยู่ในน้ำ รากส่วนบนโผล่พ้นน้ำเพื่อจะได้สัมผัสอากาศ
ส่วนการปลูกในกล่องโฟม ที่แนะนำให้ใส่น้ำเต็มกล่อง นั่นเพราะการปลูกระยะเริ่มแรก ต้นกล้ารากยังสั้นอยู่จะดูดน้ำได้ไม่ถึง แต่พอดูดไปเรื่อย ๆ น้ำในกล่องโฟมจะลดลงจนเหลือพื้นที่ว่างให้รากได้สัมผัสอากาศอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องเติมน้ำอีกเลยค่ะ แม้จะใช้ภาชนะอะไรก็ได้ ทำเองได้ แต่พื้นที่เน้นใช้โฟม เหตุเพราะปลูกผักต้องวางตากแดด โฟมเป็นฉนวนกันร้อน แดดเผาน้ำในกล่องโฟมไม่ร้อน ในขณะที่ภาชนะชนิดอื่น ถูกแดดเผาน้ำร้อนลวกราก ต้นไม้ตาย
ถึงการปลูกผักไฮโดรฯ ไม่ใช่เรื่องยาก ทำเองได้ แต่มีเรื่องยากอยู่ข้อหนึ่ง ที่คนธรรมดายากจะทำเองได้ง่าย นั่นคือ สารอาหาร หรือปุ๋ย ไม่ใช่มีแค่ N-P-K ปุ๋ย 3 ชนิดที่เรารู้จัก สารอาหารที่พืชต้องการจริงๆ มีอยู่ทั้งหมด 16 ชนิด นี่แหละยาก คิดแล้วทำเองไม่ได้ ติดต่อไปที่ 0-2902-0458-9
คิดจะปลูกผักไฮโดรฯ ไว้กินเอง อ.นิ่มนวล บอกอีกว่า สามารถปลูกผักกินใบได้ทุกชนิดไม่จำเป็นต้องเป็นผักสลัดอย่างเดียว ผักบุ้ง ผักกาด คะน้า กวางตุ้ง กะเพราะ โหระพา สะระแหน่ ปลูกได้ แต่ถ้าเป็นผักไทยๆ ต้องให้โดนแดดมากหน่อย ส่วนผักสลัดโดนแดดให้น้อยหน่อยวันละ 2-3 ชั่วโมง เพราะเป็นผักเมืองหนาว ส่วนพืชกินหัว กินผล ไม่แนะนำ เพราะหัวผลจะอวบน้ำเน่าเสียเร็ว ไม่เหมือนผักกินใบอวบน้ำจะกรุบกรอบอร่อยปากค่ะ
แม่ทองต่อพ่อประหยัด : ธาตุอาหารผัก
แหล่งที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 แรม 1 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล
แนะให้รู้จักการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์แบบประหยัด..ปลูกในกล่องโฟม หรือภาชนะอะไรก็ได้ที่ตากแดดแล้วน้ำไม่ร้อน แม้จะเป็นเรื่องง่าย สามารถทำได้เอง แต่ที่ยากจะทำได้เอง..ธาตุอาหาร 16 ชนิด สำหรับเลี้ยงผัก หลายคนกังขา สารอาหารที่ว่ามีอะไรบ้าง และที่ยากจะทำเอง ยากตรงไหน
ธาตุอาหาร 16 ชนิด คาร์บอน, ไฮโดรเจน, ออกซิเจน, ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โปแตสเซียม, แคลเซียม, แมกนีเซียม, กำมะถัน, เหล็ก, แมงกานีส, ทองแดง, สังกะสี, โมลิบดินัม, โบรอน, คลอรีน ทำไมต้อง 16 ชนิด อ.นิ่มนวล วาศนา ศูนย์ฝึกอบรมวิศวกรรมเกษตร บอกว่าเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์รู้กันมากว่า 200 ปีแล้ว และสารอาหารเหล่านี้ปกติมีอยู่ในดิน ฉะนั้นถ้าจะปลูกผักในน้ำ ก็ต้องหาสารอาหารมาให้ผักกินได้ครบ เหมือนกับคนที่ต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ถึงจะเจริญเติบโตได้ดีนั่นแหละ
สารอาหาร 16 ชนิด แต่ละชนิดพืชมีความต้องการไม่เท่ากัน ถ้าจะผสมอาหารเอง ให้ซื้อหามาเพียง 11 ชนิดก็พอ เพราะธาตุบางอย่างมีอยู่ในอากาศแล้ว และบางอย่างมีผสมอยู่ในสารอาหารอย่างอื่น การปรุงสารอาหารผสมน้ำ 1,000 ลิตร สิ่งที่จะต้องตรียมมีดังนี้ แคลเซียมไนเตรท 407 กรัม, แมกนีเซียมซัลเฟต 185 กรัม, โปแตสเซียมไนเตรท 404 กรัม, โมโนโปแตสเซียมฟอสเฟต 136 กรัม, แอมโมเนียมไนเตรท 60 กรัม, เหล็กคีเลต 19.6 กรัม, แมงกานีสซัลเฟต 0.960 กรัม, โบรอน 0.120 กรัม, โซเดียมโมลิบเดต 0.128 กรัม เห็นแล้วยัง ยากแค่ไหน ที่ต้องชั่งน้ำหนักละเอียดเป็นกรัมและไม่ถึงกรัม ที่สำคัญถึงจะมีเครื่องชั่งละเอียดได้ การซื้อหาก็ไม่สนุก เพราะเขาไม่ได้ขายเป็นขีด (100 กรัม) เหมือนซื้อหมูในตลาด ต้องซื้อทีละมาก ไม่คุ้มกับการปลูกผักไว้กินเอง ไม่ได้ทำในเชิงพาณิชย์
ส่วนที่สงสัย ธาตุอาหารเหล่านี้เป็นเคมีภัณฑ์ เอามาปลูกผักจะอันตรายหรือไม่ ไม่ต้องกังวล เพราะต้องผสมน้ำจำนวนมาก เคมีจะเจือจางไม่มีอันตรายมาถึงคน พืชผักไม่ปลอดสารพิษ ส่วนใหญ่มาจากใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลงเข้มข้นเกินไปเป็นหลัก
ปลูกผักไว้กินเอง ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง...มิมีปัญหาค่ะ.
แม่ทองต่อพ่อประหยัด : หลากผักไร้ดิน
แหล่งที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 แรม 8 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล
ขอว่าเรื่องผักไฮโดรโปนิกส์ต่ออีกสักตอน ด้วยแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักเทคนิคปลูกผักไร้ดินราคาประหยัด พ่อค้าขายเทคโนโลยีปลูกผักไฮโดรฯ ราคาแพงปรามาส...ปลูกผักในกล่องโฟม จะดีกว่าของแพงใช้ปั้มน้ำได้อย่างไร เพื่อความกระจ่าง อ.นิ่มนวล วาศนา ศูนย์ฝึกอบรมวิศวกรรม อธิบายการปลูกผักไร้ดินมีมากมายหลายแบบแล้วแต่ใครจะคิด ถ้าเข้าใจในหลักการ..ใบต้องการแดด...รากต้องการน้ำ + สารอาหาร + อากาศ ทำได้ตามหลักการนี้ ปลูกที่ไหนได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นในราง ในกล่อง แขวนลอยในอากาศ บนหลังคา ก็ปลูกได้ และการปลูกผักไร้ดินไม่ใช่พึ่งจะมีในยุคนี้ มีมาเป็นพันๆ ปีแล้ว ตั้งแต่ยุคกรีกโบราณสมัยอริสโตเติลโน่น แต่สมัยก่อนธรรมชาติยังไม่สมบูรณ์ เทคนิคการปลูกเลยรู้กันในวงแคบ เฉพาะนักคิด นักวิทยาศาสตร์...ชอบกินผักแต่ขี้เกียจลดน้ำต้นไม้
มารู้จักในวงกว้างมากขึ้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาบุกยึดญี่ปุ่น หาผักให้ทหารกินไม่ได้ เลยเอาความรู้เก่ามาปัดฝุ่น ปลูกผักไร้ดินให้ทหารได้กินกัน แต่นั้นมา เทคนิการปลูกผักพัฒนามาเรื่อย แม้จะมีหลายหลายวิธี แต่ที่ได้รับความนิยมในทางการค้ามี 2 แบบ คือ แบบ NFT ระบบรางเดี่ยว มีปั้มน้ำ กับแบบ DFT เป็นระบบรางมีปั้มน้ำเหมือนกัน แต่มีรางถี่ติดกันหลายรางคล้ายตึกแถว ส่วนการปลูกในกล่องโฟม เป็นอีกระบบเรียกว่า “แบบแช่ราก” ก็ไม่ใช่ของใหม่เป็นของเก่าที่นักวิทยาศาสตร์คิดกันมาได้ตั้งนานแล้ว แต่ด้วยเป็นเทคนิคเรียบง่าย มองไม่เท่...คนก็เลยไม่มั่นใจ เพราะเคยเห็แต่ปลูกผักไฮโดรฯ มีปั้มน้ำ เลยหลงผิดติดยึดกับของแพง ที่ดูแล้วเท่เท่านั้นเอง อยากได้เทคนิคปลูกผักไร้ดิน แบบไม่แพง ไม่เท่ แต่ได้ผักกินเหมือนกัน ถามไปที่ 0-2902-0458-9
แล้วจะรู้...ถ้าไม่โง่ รู้ทันเขา ของดีราคาถูกมีในโลกค่ะ...
การปลูกผักในระบบไฮโดรโปนิกส์แบบเศรษฐกิจพอเพียง
ตารางอายุการเก็บเกี่ยว และค่า EC ที่เหมาะสมของผักชนิดต่างๆ
ชนิดผัก |
อายุ (วัน) |
ค่า EC |
ธาตุอาหารที่ใช้โดยประมาณ |
ผักสลัด ผักคึ่นช่าย |
40-50 |
1.2-1.8 |
5 ซีซีต่อน้ำ 1 ลิตร (1 ช้อนชา) |
ผักโขม ผักบุ้ง |
16-20 |
1.5-2.0 |
7 ซีซีต่อน้ำ 1 ลิตร (1.5 ช้อนชา) |
กวางตุ้ง กวางตุ้งฮ่องเต้ ผักกาดขาว |
30-35 |
2.5-3.0 |
10 ซีซีต่อน้ำ 1 ลิตร (2 ช้อนชา) |
คะน้า คะน้าเห็ดหอม คะน้าฮ่องกง |
35-40 |
3.5-4.5 |
12 ซีซีต่อน้ำ 1 ลิตร (2.5 ช้อนชา) |
|