กำลังปรับปรุงครับ
งานวิจัยการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำกับไม้ผลเมืองร้อนบางชนิด
ปัญจพร เลิศรัตน์
สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร
งานวิจัยและพัฒนาการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำกับไม้ผลเมืองร้อนนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไม้ผลให้มีประสิทธิภาพ โดยมีจุดมุ่งหมายในการเพิ่มผลผลิต คุณภาพผลผลิต และลดต้นทุนการผลิต รองรับสถานการณ์การตลาดที่มีการแข่งขันการผลิตเพิ่มมากขึ้น และเนื่องจากในระยะ 3-5 ปีที่ผ่านมา สวนผลไม้ประสบกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการจัดการสวนที่มีประสิทธิภาพ จึงได้นำเทคโนโลยีระบบน้ำและวิธีการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำมาประยุกต์ใช้เพื่อลดแรงงานการจัดการปุ๋ยและน้ำไปพร้อมๆกัน แต่อย่างไรก็ตามการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำกับไม้ผลเมืองร้อน เช่น เงาะ ทุเรียน มังคุด มะม่วง ยังขาดข้อมูลการใช้ให้เหมาะสมอยู่มาก จึงได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพและพัฒนาการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำให้เหมาะสมกับไม้ผลเมืองร้อนบางชนิด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการสวนผลไม้ให้มีประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มมากขึ้นต่อไป
การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพวิธีการให้ปุ๋ยเคมีทางดินแบบหว่างทางดิน และการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำ ได้ทำการประเมินโดยอ้อมจากผลการตอบสนองของการเจริญเติบโตของต้น การพัฒนาการ การออกดอก ปริมาณผลผลิต คุณภาพผลผลิตและผลตอบแทนการผลิตของไม้ผลทั้ง 4 ชนิด คือ เงาะพันธุ์โรงเรียน ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง มะม่วงพันธุ์เขียวเสวยและมังคุด พบว่าการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำมีประสิทธิภาพมากกว่าการให้ปุ๋ยเคมีแบบหว่านทางดิน เนื่องจากมีการให้ธาตุอาหารปริมาณน้อยลง แต่ยังคงมีการเจริญเติบโต การออกดอก การให้ผลผลิต และคุณภาพของผลผลิตได้ดีไม่น้อยไปกว่าการให้ปุ๋ยเคมีแบบหว่านทางดิน และในพืชบางชนิด เช่น ทุเรียนและมะม่วง ยังมีแนวโน้มที่ให้คุณภาพการบริโภคที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสีเนื้อ ความหนาเนื้อและรสชาด นอกจากนั้นยังไม่ทำให้สถานะของธาตุอาหารพืชในดินและในใบพืชลดต่ำลงกว่าการให้ปุ๋ยเคมีแบบหว่านทางดิน ดังจะเห็นได้จากการตอบสนองของไม้ผลเมืองร้อนที่ทำการทดลองทั้ง 4 ชนิด คือ เงาะ
จากการศึกษาผลของการให้ปุ๋ยเคมีทางดินและในระบบน้ำต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการและผลผลิตเงาะพันธุ์โรงเรียนตั้งแต่อายุ 3 ปี ติดต่อกันนาน 3 ปี โดยทำการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำในสัดส่วนของ N – P2O5 – K2O ต่อต้นต่อปี เช่นเดียวกับการให้ปุ๋ยเคมีทางดิน แต่ลดปริมาณการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำลงต่ำกว่าอัตราทางดิน พบว่า ต้นเงาะทดลองที่ทำการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำ อัตรา 50% ของอัตราทางดิน หรือ 0.5-0.5-0.7 กก. ของ N–P2O5–K2O ต่อต้นต่อปี มีการเจริญเติบโตของต้น การออกดอก การพัฒนาการของผล ปริมาณผลผลิต และคุณภาพการบริโภคของผลผลิตไม่ด้อยไปกว่าการให้ปุ๋ยเคมีทางดินอัตรา 100% อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่ให้ผลผลิตเฉลี่ยทั้ง 3 ปี สูงกว่าการให้ปุ๋ยเคมีทางดินเพิ่มขึ้นอีก 15% และจากการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสถานะของธาตุอาหารพืชหลัก NPK ในดินและใบพืชทดลองทั้ง 3 ฤดูกาลผลิต ก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่ลดต่ำลงกว่าเกณฑ์มาตรฐานและไม่แตกต่างจากการให้ปุ๋ยเคมีทางดิน ในด้านผลตอบแทนการผลิตนั้น ถึงแม้ว่าปุ๋ยเคมีในระบบน้ำจะมีราคาต่อหน่วยสูงกว่าปุ๋ยเคมีหว่านทางดิน แต่มีปริมาณการใช้ลดลงและสามารถคงระดับปริมาณผลผลิต คุณภาพผลผลิตไว้ได้ จึงยังคงมีผลตอบแทนมากกว่าการให้ปุ๋ยเคมีทางดินประมาณ 18% ตารางที่ 1 การเจริญเติบโตของต้น การออกดอก ปริมาณผลผลิต คุณภาพผลผลิตและผลตอบแทนของเงาะพันธุ์โรงเรียนที่ทำการให้ปุ๋ยเคมีทางดินและในระบบน้ำ
วิธีการ |
ขนาดทรงพุ่มที่เพิ่มขึ้น
(ตร.ม.) |
จำนวนช่อดอกต่อพื้นที่ผิว 1 ตร.ม.(ช่อ) |
ปริมาณผลผลิตต่อต้น(กก.)(เฉลี่ย 3 ปี ) |
คุณภาพผลผลิต |
ผลตอบแทน(บาท/ไร่/ปี) |
สัดส่วนที่บริโภคได้ (%) |
ความหวาน ( ° Brix) |
1. การให้ปุ๋ยเคมีทางดินอัตรา100%(1.0-1.3-1.6 กก.ของN–P2O5– K2O ต่อต้นต่อปี) |
131 % |
11 |
28 |
49 |
18.8 |
100% |
2. การให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำ อัตรา 50% ของทางดิน (0.5-0.5-0.7 กก.ของ N – P2O5 – K2O ต่อต้นต่อปี) |
125% |
14 |
32 |
50 |
19.0 |
118% |
|
|
|
|
|
|
|
|
มังคุด
มังคุดที่ได้รับปุ๋ยเคมีในระบบน้ำอัตรา 50% ของอัตราการหว่านทางดิน (0.5-0.5-0.8 กก. ของ N–P2O5–K2O ต่อต้นต่อปี) ติดต่อกันนาน 3 ฤดูกาลผลิต มีการตอบสนองทางด้านการเจริญเติบโตของต้น เช่น ขนาดทรงพุ่ม ขนาดใบไม่แตกต่างจากการให้ปุ๋ยเคมีทางดิน แต่มีผลตอบสนองต่อการออกดอกได้ดีขึ้นอีก 10-22% มีอัตราการพัฒนาการของผลอ่อนสูงขึ้น ทำให้ได้รับผลมังคุดที่มีขนาดผลและน้ำหนักผลเพิ่มมากขึ้น โดยมีปริมาณผลขนาดใหญ่พิเศษ (> 100 กรัม/ผล) มากกว่าต้นมังคุดที่ได้รับปุ๋ยเคมีทางดิน 20% ในด้านคุณภาพการบริโภคนั้นยังคงให้คุณภาพที่ดีทั้งรสชาดและสัดส่วนที่บริโภคได้ และมีผลตอบแทนการผลิตเพิ่มมากกว่าการให้ปุ๋ยเคมีทางดินประมาณ 15%
ตารางที่ 2 การเจริญเติบโตของต้น การออกดอก ปริมาณผลผลิต คุณภาพผลผลิตและผลตอบแทน ของมังคุดที่ทำการให้ปุ๋ยเคมีทางดินและในระบบน้ำ เฉลี่ย 3 ฤดูกาลผลิต (2539 – 2542)
วิธีการ |
ขนาดทรงพุ่มที่เพิ่มขึ้น
(ตร.ซม.) |
จำนวนดอก/ต้น |
ปริมาณผลผลิตต่อต้น(กก.)(เฉลี่ย 3 ปี) |
คุณภาพผลผลิต |
ผลตอบแทน(บาท/ไร่/ปี) |
สัดส่วนที่บริโภคได้ (%) |
ความหวาน ( ° Brix) |
1. การให้ปุ๋ยเคมีทางดินอัตรา 100% (1.0-1.3-1.5 กก.ของ N – P2O5 – K2O ต่อต้นต่อปี) |
123 % |
1544 |
61.8 |
35.7 |
17.8 |
100% |
2. การให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำ อัตรา 50% ของทางดิน (0.5-0.5-0.8 กก.ของ N – P2O5 – K2O ต่อต้นต่อปี) |
121% |
1883 |
67.7 |
35.7 |
17.5 |
115% |
ทุเรียน
การตอบสนองของทุเรียนพันธุ์หมอนทองที่ทำการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำติดต่อกันนาน 3 ปีนั้น โดยทั่วไปแล้วมีการเจริญเติบโตของต้นได้ดี แตกใบใหม่ได้รวดเร็ว มีขนาดใบ น้ำหนักแห้งของใบค่อนข้างสูงกว่าต้นทดลองที่ทำการให้ปุ๋ยเคมีทางดิน ปริมาณการออกดอก ปริมาณผลผลิตต่อต้นใกล้เคียงกับกรรมวิธีเปรียบเทียบ นอกจากนั้นยังช่วยให้คุณภาพการบริโภค เช่น สีเนื้อ ความหนาเนื้อ รสชาดดีขึ้นมาก แต่ในขณะเดียวกันผลทุเรียนที่ได้รับปุ๋ยเคมีในระบบน้ำมักมีผลขนาดใหญ่ เปลือกค่อนข้างหนา ซึ่งทำให้สัดส่วนการบริโภคลดลง จึงควรพิจารณาปัจจัยแวดล้อมที่ส่งเสริมการออกดอก ติดผลได้มากขึ้น เพื่อให้ได้ทุเรียนที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น มะม่วง
การศึกษาผลของการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการ ผลผลิตและคุณภาพผลผลิตมะม่วงพันธุ์เขียวเสวย ได้ดำเนินการในสวนเกษตรกร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี เป็นเวลาติดต่อกันนาน 3 ปี เช่นกัน ต้นมะม่วงทดลองที่ทำการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำอัตรา 40% ของอัตราทางดิน (0.4 –0.6– 0.7 กก. ของ N–P2O5–K2O ต่อต้นต่อปี) มีการเจริญเติบโต ขยายขนาดทรงพุ่มได้รวดเร็ว ไม่แตกต่างจากการให้ปุ๋ยเคมีทางดินอัตรา 100% ส่วนปริมาณผลผลิตและคุณภาพผลผลิตมีแนวโน้มที่ให้ทั้งปริมาณและคุณภาพการบริโภคที่ดีขึ้น โดยเฉพาะรสชาดที่ตรวจสอบจากอัตราส่วนของความหวานต่อปริมาณกรดซิตริกในเนื้อมะม่วง มีปริมาณสูงกว่าผลมะม่วงที่ได้รับปุ๋ยเคมีทางดินอย่างเห็นได้ชัดเจนในทางสถิติ และจากการวิเคราะห์ความเข้มข้นธาตุอาหารพืชหลัก NPK ในดินและในพืชทดลอง พบว่า ต้นทดลองมีความเข้มข้นธาตุอาหารไม่แตกต่างกัน และยังคงมีระดับที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืชได้ตามเกณฑ์มาตรฐานทั่วไปได้ดี
ตารางที่ 3 การเจริญเติบโตของต้น การออกดอก ปริมาณผลผลิต คุณภาพผลผลิตและผลตอบแทน ของทุเรียนพันธุ์หมอนทอง ที่ทำการให้ปุ๋ยเคมีทางดินและในระบบน้ำ (2539 – 2542)
วิธีการ |
การเจริญเติบโตของต้น |
ปริมาณดอก/ต้น |
ปริมาณผลผลิต (กก./ต้น) (เฉลี่ย 2 ฤดูกาล) |
คุณภาพผลผลิต |
ผลตอบแทน(บาท/ไร่/ปี) |
ขนาดใบ(ตร.ซม.) |
น้ำหนักแห้งใบ(กรัม) |
สัดส่วนที่ บริโภคได้ (%) |
สีเนื้อ |
รสชาด |
1. การให้ปุ๋ยเคมีทางดินอัตรา 100% (1.3-1.6-1.8 กก.ของ N – P2O5 – K2O ต่อต้นต่อปี) |
52 |
0.4 |
14,170 |
147 |
34.9 |
Y 10C |
7.27 |
100% |
2. การให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำ อัตรา 60% ของทางดิน (0.8-0.7-1.0 กก.ของ N – P2O5 – K2O ต่อต้นต่อปี) |
55 |
0.6 |
13,327 |
168 |
34.8 |
Y 10 B |
7.92 |
115% |
ตารางที่ 4 การเจริญเติบโตของต้น การออกดอก ปริมาณผลผลิต คุณภาพผลผลิตและผลตอบแทน ของมะม่วงพันธุ์เขียวเสวยที่ทำการให้ปุ๋ยเคมีทางดินและในระบบน้ำ (2539 – 2542)
วิธีการ |
ขนาดพื้นที่ผิวทรงพุ่มที่เพิ่มขึ้น (ตร.ม.) |
ปริมาณผลผลิตสะสม 2 ฤดูกาล (กก.) |
คุณภาพผลผลิต |
ผลตอบแทน(บาท/ไร่/ปี) |
ความหนาเนื้อ(ซม.) |
สัดส่วนที่บริโภคได้ (%) |
อัตราส่วนความหวาน /ปริมาณกรด |
1. การให้ปุ๋ยเคมีทางดินอัตรา 100% (1.0-1.6-20 กก.ของ N – P2O5 – K2O ต่อต้นต่อปี) |
297 % |
30.2 |
1.4 |
75 |
5.9 |
100% |
2. การให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำ อัตรา 40% ของทางดิน (0.4-0.6-0.7 กก.ของ N – P2O5 – K2O ต่อต้นต่อปี) |
258% |
31.8 |
1.7 |
74 |
6.9 |
125% |
จากผลการตอบสนองของไม้ผลทั้ง 4 ชนิดนี้ พอจะกล่าวได้ว่าวิธีการให้ปุ๋ยเคมีพร้อมน้ำสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำและธาตุอาหารได้ระดับหนึ่ง จากการลดการใช้แรงงานการจัดการน้ำและปุ๋ย และใช้ปุ๋ยปริมาณน้อยลง แต่ในด้านผลตอบแทนการผลิตยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก เนื่องจากปุ๋ยที่ละลายน้ำได้ดีเหมาะสมต่อการให้ไปในระบบน้ำนั้นมีราคาสูงกว่าปุ๋ยเคมีแบบเม็ดที่ใช้หว่านทางดิน งานวิจัยการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำจึงต้องทำการพัฒนางานวิจัยการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรให้มากยิ่งขึ้น ในการดำเนินงานวิจัยพัฒนาได้รวบรวมข้อมูลและแนวทางการวิจัยไว้ 3 ประการเข้าด้วยกัน คือ การใช้แม่ปุ๋ยผสมเอง การประเมินปริมาณและระดับธาตุอาหารพืชหลักที่พืชต้องการ รวมทั้งการพัฒนาประสิทธิภาพระบบการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำ
การใช้แม่ปุ๋ยผสมเอง : เป็นการนำแม่ปุ๋ยชนิดต่างๆ มาผสมตามสัดส่วนและปริมาณที่ต้องการ แม่ปุ๋ยเหล่านี้มีคุณสมบัติธาตุอาหารสูงมีความสามารถในการละลายน้ำได้ดี และมีราคาถูกลง
การประเมินปริมาณ และระดับธาตุอาหารพืชหลักที่พืชต้องการ : สามารถทำได้โดยการนำข้อมูลจากผลการวิเคราะห์ดินและพืชมาเป็นแนวทางการประเมินระดับธาตุอาหารของพืช และความสมบูรณ์ดินปลูก นอกจากนั้นยังได้ทำการประเมินปริมาณธาตุอาหารพืชหลัก NPK ที่พืชสูญเสียไปโดยการเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลผลิตไม้ผลส่วนใหญ่ถูกเก็บเกี่ยวออกไปจากแปลงโดยไม่มีการนำส่วนเหลือทิ้งกลับคืนให้กับดินปลูก จากการผลิตผลแต่ละฤดูกาลพืชจึงสูญเสียธาตุอาหารไปกับผลผลิตเหล่านี้เป็นปริมาณมากพอควร ในการวางแผนการจัดการธาตุอาหารจึงได้คำนึงถึงปริมาณธาตุอาหารเหล่านี้ เพื่อให้พืชได้รับธาตุอาหารที่เพียงพอเหมาะสมต่อเป้าหมายการผลิต และรักษาสมดุลของธาตุอาหารพืชไว้ได้อีกทางหนึ่ง และจากการนำผลเงาะ มังคุด มะม่วงและทุเรียนในระยะเก็บเกี่ยวไปวิเคราะห์ความเข้มข้นธาตุอาหาร ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมแล้วพบว่ามีปริมาณที่แตกต่างกัน ดังแสดงในตารางที่ 7
ตารางที่ 5 ปริมาณธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม ในผลเงาะพันธุ์โรงเรียน (กรัม/กิโลกรัมผล) มังคุด (กรัม/กิโลกรัมผล) มะม่วงพันธุ์เขียวเสวย (กรัม/กิโลกรัมผล) และทุเรียนพันธุ์หมอนทอง (กรัม/ผล)
พืช |
ปริมาณธาตุอาหารพืช (กรัม) |
ไนเตรเจน |
ฟอสฟอรัส |
โพแทสเซียม |
1. เงาะพันธุ์โรงเรียน |
2.3 |
0.4 |
2.1 |
2. มังคุด |
1.4 |
0.6 |
3.6 |
3. มะม่วงพันธุ์เขียวเสวย |
1.6 |
0.4 |
1.7 |
4. ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง |
6.0 |
2.4 |
16.7 |
ตารางที่ 6 ปุ๋ยชนิดต่างๆ และความสามารถในการละลายน้ำของปุ๋ย (กรัม/ลิตร)
ชนิดของปุ๋ย
|
สูตรปุ๋ย
|
ความสามารถในการละลายน้ำ
|
1. แอมโมเนียมคลอไรด์
|
NH4Cl |
389 |
2. แอมโมเนียมไนเตรท
|
NH4NO3 |
1,950
|
3. โมโนแอมโมเนีย ฟอสเฟต
|
NH4 H2PO4 |
282
|
4. ไดแอมโมเนียม ฟอสเฟต
|
(NH4 )2HPO4 |
610
|
5. แอมโมเนียม ซัลเฟต
|
(NH4 )2SO4 |
760
|
6. โพแทสเซียม คลอไรด์
|
KCl |
347
|
7. โพแทสเซียม ไนเตรท
|
KNO3 |
316
|
8. โพแทสเซียม ซัลเฟต
|
K2SO4 |
110
|
9. โมโนโพแทสเซียม ฟอสเฟต
|
KH2PO4 |
300
|
10. ไดโพแทสเซียม ฟอสเฟต
|
K2HPO4 |
1,670
|
11. แคลเซียม ไนเตรท
|
CaNO3 |
3,270
|
12. แมกนีเซียม ไนเตรท
|
Mg (NO3)2 |
430
|
13. ฟอสฟอริค แอสิค
|
H3PO4 |
5,400
|
14. ยูเรีย
|
(NH2)2CO |
1,100
|
|
|
|
ที่มา : D.Pitts.,Handout of Micro irrigation management workshop series. Southwest Florida Research and Education Centre.University of Florida.
* ความสามารถการละลายน้ำได้ที่อุณหภูมิ ประมาณ 70 องศาฟาเรนท์ไฮท์
ตารางที่ 7 ความสามารถในการเคลื่อนที่ในดินของปุ๋ยชนิดต่างๆ
เคลื่อนที่ได้ดี |
เคลื่อนที่ได้น้อย |
1. ยูเรีย |
1. แอมโมเนียม |
2. ไนเตรท |
2. โพแทสเซียม |
|
3. ฟอสเฟต |
ที่มา : S. McNab. et al. 1995.
การพัฒนาประสิทธิภาพระบบการให้น้ำและปุ๋ย : จากการวิจัยการพัฒนาระบบการให้น้ำและปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับสวนทุเรียน ภายใต้โครงการวิจัยของสำนักงานกองทุนวิจัยแห่งชาติ ซึ่งได้ทำการศึกษาและแนะนำวิธีการออกแบบระบบน้ำที่เหมาะสม โดยพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ข้อมูลทางดิน (เนื้อดิน, ความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน, ความลึกดิน ฯลฯ) ข้อมูลทางสภาพภูมิ-อากาศ และข้อมูลเกี่ยวกับพืช โดยเฉพาะข้อมูลการใช้น้ำของพืช ซึ่งนำมาออกแบบระบบน้ำให้เหมาะสมต่อพืช และเมื่อใช้ร่วมกับระบบควบคุมการให้น้ำ เช่น Tensiometer ทำให้ระบบการให้ปุ๋ยพร้อมน้ำมีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น
การพัฒนาการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำที่เหมาะสมต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมังคุดและทุเรียน
จากการพัฒนาการให้ปุ๋ยเคมีในระบบน้ำให้เหมาะสมต่อการผลิตมังคุดและทุเรียน ได้ดำเนินการวิจัยในสวนเกษตรกร ต.ตะปอน อ.ขลุง จ.จันทบุรี และแปลงปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองของศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี โดยผลการทดลองในปีแรกพบว่า สามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายปุ๋ยลงได้ต่ำกว่าการให้ปุ๋ยเคมีแบบเม็ดหว่านทางดินอีกประมาณ 15-30% โดยการให้ปุ๋ยเคมีในอัตราลดลง ตามเกณฑ์การประเมินระดับความต้องการที่สอดคล้องต่อปริมาณผลผลิตเป้าหมาย และความสมบูรณ์ของดิน และนำแม่ปุ๋ยที่ให้ธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เช่น ยูเรีย โพแทสเซียมไนเตรท โมโนโพแทสเซียมฟอสเฟต ฯลฯ มาผสมใช้เอง ต้นทดลองยังคงมีปริมาณการออกดอก ผลผลิต และคุณภาพผลผลิต ไม่ด้อยไปกว่าการให้ปุ๋ยเคมีแบบเม็ดหว่านทางดิน อัตรา 100%
ในขณะที่งานวิจัยพัฒนาได้ดำเนินการทดสอบในสภาพแปลงปลูกนั้น ยังได้ทำการวิเคราะห์ดินและส่วนต่างๆ ของพืชเพื่อนำข้อมูลมาปรับระดับธาตุอาหารที่พืชต้องการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผลผลิตทุเรียนที่มีองค์ประกอบของโพแทสเซียมสูงมาก จึงได้มีการวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารในผลอ่อนระยะต่างๆ เพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลการจัดการธาตุอาหารเหล่านี้ให้ทันต่อความต้องการในการเจริญเติบโตของผลทุเรียน ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพผลผลิตทุเรียนให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
www.fruitboard.doae.go.th/Data/soil&fertilizer/nutrient/.../KUhome1.doc
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.