-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 459 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

เทคโนฯ เกษตร





กำลังปรับปรุงครับ


หลักสูตร วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการเกษตร วิชาเอกพืชศาสตร์  คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

วิชา 
1212 781 สัมมนา 2 ปีการศึกษา 2549

เรื่อง
 ความสัมพันธ์ของ  ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ไม่อยู่ในรูปโครงสร้างกับการออกดอกและติดผลในลิ้นจี่

นักศึกษา
  นางสาวอุไรวรรณ แสงหัวช้าง (down001_14@hotmail.com)
อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.เรวัติ ชัยราช 


บทคัดย่อ
ปัญหาหลักของการผลิตลิ้นจี่ในปัจจุบัน คือ ความไม่แน่นอนของการออกดอกและติดผล หรือการติดผลไม่สม่ำเสมอทุกปี  ปัญหานี้อาจมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ไม่อยู่ในรูปโครงสร้าง (total nonstructural carbohydrate, TNC) เป็นปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่งในการออกดอกและติดผล  สัมมนานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบความสัมพันธ์ของปริมาณ TNC กับการออกดอกและติดผลของลิ้นจี่ เพื่อเป็นแนวทางในการนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการการผลิต ช่วยให้ลิ้นจี่สามารถออกดอกและติดผลได้สม่ำเสมอทุกปี  

เนื่องจาก TNC จะมีผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของดอก การแตกกิ่งใหม่ ปริมาณ TNC มีความสัมพันธ์กับการแตกใบอ่อน ถ้า TNC ถูกสะสมไว้ที่ใบซึ่งแตกมาใหม่ จะส่งเสริมการเติบโตทางกิ่งใบ ทำให้การแตกใบอ่อนในรอบปีเป็นไปตามปกติ  ในช่วงการออกดอกในเวลาต่อมา ถ้ามีการสะสมปริมาณ TNC มาก จะส่งผลทำให้มีการออกดอกและติดผลมากขึ้นด้วย  ความสัมพันธ์ของปริมาณ TNC กับการออกดอกและติดผล เป็นแนวทางในการนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการการผลิต ก่อนการแตกใบอ่อนของลิ้นจี่ ควรชักนำให้ลิ้นจี่มีการสะสมปริมาณ TNC ที่ต้นหรือกิ่งมากขึ้น โดยการบำรุงรักษาให้ต้นลิ้นจี่มีความสมบูรณ์และเป็นไปตามช่วงระยะการเติบโต เพื่อทำให้ลิ้นจี่สามารถออกดอกและติดผลได้อย่างสม่ำเสมอ


คำสำคัญ:
ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ไม่อยู่ในรูปโครงสร้าง, ลิ้นจี่, การออกดอก และติดผล 

ความนำ
ลิ้นจี่เป็นไม้ผลเขตกึ่งร้อน อยู่ในวงศ์ Sapindaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Litchi chinensis Sonn.  ลิ้นจี่มีชื่อสามัญหลายชื่อ เช่น Litchi, Lichee และ Leechee แต่ที่นิยมเรียกกันมากคือ Litchi  (กรมวิชาการเกษตร, 2545)  ลิ้นจี่มีถิ่นกำเนิดในแถบทางตอนใต้ของจีน จากนั้นได้แพร่กระจายไปตามพื้นที่ใกล้เคียงอื่นๆ เช่น พม่า ไต้หวัน เวียดนาม และไทย (สาคร, 2533)  เกษตรกรไทยมีความสนใจในการปลูกลิ้นจี่กันแพร่หลายมากขึ้นเกือบทุกภาคของประเทศ ทั้งนี้เพราะลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่มีราคาค่อนข้างสูง การปลูกและการดูแลรักษาง่าย โรคและแมลงรบกวนน้อย (คีรี, 2540) ปัญหาหลักของการผลิตลิ้นจี่ในประเทศ คือ ความไม่แน่นอนของการออกดอกและติดผล หรือการติดผลไม่สม่ำเสมอทุกปี (สาคร, 2533) ปัญหานี้อาจมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น สภาพภูมิอากาศ ปริมาณสารควบคุมการเติบโต โรค แมลง ตลอดจนปริมาณสารอาหารที่อยู่ในต้น คือปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ไม่อยู่ในรูปโครงสร้าง (total nonstructural carbohydrate, TNC) คาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของพืชทั่วไป พืชประกอบด้วยสารชนิดนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของน้ำหนักแห้งทั้งหมด (นิภา, 2546)  หน้าที่หลักของคาร์โบไฮเดรตคือ เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างเซลล์พืช เช่น เซลลูโลส  นอกจากนี้ ยังเป็นอาหารที่พืชสะสมไว้ และเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ เช่น กลูโคส ที่เป็นสารเริ่มต้นในกระบวนการหายใจ (สัมพันธ์, 2526 อ้างโดย นิภา, 2546)  อาหารสะสมภายในพืชได้มาจากการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง  คาร์โบไฮเดรตที่มาจากการสังเคราะห์ด้วยแสงส่วนใหญ่จะเคลื่อนย้ายไปสะสมยังส่วนต่างๆ เช่น เมล็ด ผล ลำต้น และราก ในรูปของแป้ง ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่พืชนำมาใช้ในการเจริญเติบโต โดยเก็บไว้ในส่วนของอวัยวะที่ไม่เกี่ยวกับเพศ ที่เรียกโดยรวมว่า TNC (Akazawa, 1965)พืชสามารถนำ TNC มาใช้ในการเจริญเติบโต และ TNC เป็นปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่งในการออกดอกและติดผล เนื่องจาก TNC มีผลต่อความสมบูรณ์ของดอก การแตกกิ่งใหม่ และบอกได้ว่าพืชอยู่ในช่วงของการเติบโตใด และมีพัฒนาการอย่างไร  ดังนั้น สัมมนานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อดูความสัมพันธ์ของ TNC กับการออกดอกและติดผล เพื่อเป็นแนวทางในการนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการการผลิต ช่วยให้ลิ้นจี่สามารถออกดอกและติดผลได้สม่ำเสมอทุกปี 


1. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลิ้นจี่เป็นไม้ผลยืนต้น อยู่ในวงศ์เดียวกันกับเงาะ ลำไย และคอแลน ซึ่งเป็นพืชใบเลี้ยงคู่เช่นกัน  ลิ้นจี่มีลำต้นสูงประมาณ 9-12 เมตร มีทรงพุ่มขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกิ่งก้านสาขามาก ผิวลำต้นเรียบไม่ขรุขระ  ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ด้านบนของใบมีสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างของใบมีสีเทาอมเขียว  ดอกลิ้นจี่เกิดที่ปลายยอดหรือปลายกิ่ง ออกเป็นช่อ กลีบดอกมีสีเหลืองอมเขียวอ่อน เป็นดอกสมบูรณ์เพศ  ขนาดผลลิ้นจี่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพันธุ์ ผิวเปลือกขรุขระเป็นหนาม เนื้อผลมีสีขาวขุ่น  และเมล็ดมีสีน้ำตาลดำ (สาคร, 2533)ลิ้นจี่จำแนกออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มพันธุ์เบาหรือพันธุ์ที่ไม่ต้องการช่วงหนาวเย็น หรืออาจต้องการช่วงหนาวเย็นเพียงเล็กน้อยสำหรับการออกดอก  บางครั้งจัดเป็นลิ้นจี่ที่ลุ่ม หรือลิ้นจี่เขตร้อน  มีการปลูกลิ้นจี่กลุ่มนี้เป็นการค้ากันอย่างแพร่หลายทางภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ พันธุ์ค่อม กะโหลกใบยาว สาแหรกทอง สำเภาแก้ว แห้วจีน ไทยใหญ่ เขียวหวาน และช่อระกำ  ลิ้นจี่อีกกลุ่มเป็นพันธุ์หนักหรือพันธุ์ที่ต้องการช่วงหนาวเย็นยาวนานในการออกดอก  มีการปลูกลิ้นจี่กลุ่มนี้เป็นการค้าทางภาคเหนือของประเทศไทยซึ่งมีภูมิอากาศแบบกึ่งร้อน  ลิ้นจี่กลุ่มนี้ได้แก่ พันธุ์ฮงฮวย โอเฮี้ยะ กิมเจ็ง กิมจี จักรพรรดิ และกวางเจาลิ้นจี่เป็นไม้ผลที่ต้องการอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ (10-20 องศาเซลเซียส) ในการชักนำให้ออกดอก (ธนัท, 2538)  อุณหภูมิต่ำจะลดการเจริญเติบโตทางกิ่งใบ และกระตุ้นการออกดอก ในขณะที่อุณหภูมิสูงจะเพิ่มการเจริญเติบโตทางกิ่งใบ และยับยั้งการออกดอกของลิ้นจี่ (Menzel and Simpson, 1988) 


2. การเติบโต ออกดอก และติดผลของลิ้นจี่
แบ่งระยะการเติบโต ออกดอก และติดผลในรอบปีของลิ้นจี่ทั้ง 2 กลุ่มได้เป็น 5 ระยะ (ศรีมูล, 2531) คือ

2.1 การแตกใบอ่อนจนกระทั่งใบแก่ครั้งที่ 1  ใช้เวลาประมาณ 60 วัน ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงต้นเดือนสิงหาคม
2.2  การแตกใบอ่อนจนกระทั่งใบแก่ครั้งที่ 2  ใช้เวลาประมาณ 60 วัน ระหว่างต้นเดือนสิงหาคม ถึงต้นเดือนตุลาคม
2.3  การแตกใบอ่อนจนกระทั่งใบแก่ครั้งที่ 3  ใช้เวลาประมาณ 60 วัน ระหว่างต้นเดือนตุลาคม ถึงต้นเดือนธันวาคม
2.4  การแตกตาดอก  ใช้เวลาประมาณ 60 วัน ระหว่างกลางเดือนธันวาคม ถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์
2.5 การติดผลอ่อนจนถึงการเก็บเกี่ยว  ใช้เวลาประมาณ 90 วัน ระหว่างกลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนพฤษภาคมจะเห็นได้ว่าในรอบปี ลิ้นจี่มีการแตกใบอ่อนถึง 3 ครั้ง  การแตกใบอ่อนแต่ละครั้งไปจนถึงใบแก่ใช้เวลาประมาณ 60 วัน และการออกดอกเป็นไปตามกำหนดที่ค่อนข้างแน่นอน  ช่วงการเติบโตหมุนเวียนติดต่อกันไปเป็นลูกโซ่ในระยะเวลาหนึ่งปี  ในกรณีที่ช่วงระยะใดระยะหนึ่งผิดพลาดหรือล่าช้ากว่ากำหนด จะมีผลกระทบไปถึงการออกดอกซึ่งอาจล่าช้ากว่าปกติ หรือไม่ออกดอกเลย 


3. ความสัมพันธ์ระหว่าง TNC กับการแตกใบอ่อนในลิ้นจี่
การแตกใบอ่อนมีผลต่อการออกดอกและติดผลของลิ้นจี่ กล่าวคือ ถ้าการแตกใบอ่อนช้า อาจจะทำให้การออกดอกล่าช้ากว่าปกติได้ หรือถ้ามีการแตกใบอ่อนใกล้ช่วงเวลาของการออกดอก จะทำให้ปริมาณการออกดอกน้อยลง หรือแทบไม่มีเลย (Menzel, 1987)

เนื่องจากมีการแข่งขันกันใช้ TNC ระหว่างใบกับดอก เป็นผลทำให้มีการติดผลน้อยลงตามมา หรือไม่มีการติดผลในปีนั้นๆจากปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวจึงทำให้มีการศึกษาหาสาเหตุ โดยคาดว่า การแตกใบอ่อนจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญ  

จากรายงานของ ศิริเพ็ญ (2544) ที่ได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงปริมาณ TNC ในยอดลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวยในช่วงก่อนการแตกใบอ่อน พบว่า การเปลี่ยนแปลงปริมาณ TNC ในยอดลิ้นจี่ มีแนวโน้มลดลงจากสัปดาห์ที่ 8 ก่อนการแตกใบอ่อน และลดลงเรื่อยๆไปจนถึงสัปดาห์ที่ 2 ก่อนการแตกใบอ่อน เป็นลำดับ (รูปที่ 1)  ระดับ TNC ที่สูงกว่าในสัปดาห์ที่ 8 ก่อนการแตกใบอ่อน แสดงให้เห็นว่า ลิ้นจี่มีการสะสม TNC ไว้ในกิ่งสำหรับใช้ในการสร้างใบอ่อนที่จะเกิดต่อมา  เมื่อใบยังอ่อนอยู่ ประสิทธิภาพการสังเคราะห์แสงยังต่ำ กิ่งจึงต้องส่งอาหารมาเลี้ยงใบซึ่งแตกมาใหม่ เพื่อนำไปใช้ในการเติบโตและพัฒนาของใบ จึงทำให้ปริมาณ TNC ในกิ่งลดลง ดังจะเห็นได้จากปริมาณ TNC ลดลง ตามลำดับ เมื่อเข้าใกล้เวลาแตกใบอ่อน              

รูปที่
1 การเปลี่ยนแปลงปริมาณ TNC ในยอดลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวยในช่วงก่อนการแตกใบอ่อน   
(ที่มา: ดัดแปลงจาก ศิริเพ็ญ, 2544) 

การแตกใบอ่อนของลิ้นจี่นั้น บางครั้งอาจไม่เป็นไปตามที่กำหนด เช่น แตกใบอ่อนช้า ซึ่งจะทำให้การออกดอกคลาดเคลื่อนไปด้วย  ดังนั้น จึงควรทำให้ลิ้นจี่มีการแตกใบอ่อนให้ได้ปีละ 3 ครั้ง คือ หลังจากเก็บผลผลิต ซึ่งอยู่ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ควรเริ่มบำรุงต้นให้สมบูรณ์ โดยการตัดแต่งกิ่ง ให้น้ำและปุ๋ย เพื่อเร่งให้ต้นลิ้นจี่แตกใบอ่อนพร้อมกัน  



4. ความสัมพันธ์ระหว่าง TNC กับการออกดอกและติดผลในลิ้นจี่
การออกดอกของพืชเป็นการเปลี่ยนแปลงจากสภาพการเติบโตทางกิ่งใบมาเป็นการเติบโตทางด้านการสืบพันธุ์  พืชทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม้ยืนต้น ไม่สามารถเติบโตพร้อมกันทั้งสองทาง  เมื่อมีการเติบโตทางกิ่งใบก็จะไม่ออกดอก และเมื่อมีการออกดอกก็จะหยุดการเติบโตทางกิ่งใบ (พีระเดช, 2537 อ้างโดย ลดาวัลย์, 2542)  

เมื่อพืชหยุดการเจริญเติบโตทางกิ่งใบ จะส่งผลให้มีปริมาณ TNC สะสมในใบมาก และยังช่วยส่งเสริมการออกดอกอีกด้วย ในการเกิดดอก ระยะการชักนำการแทงช่อดอกถือเป็นช่วงที่วิกฤตของการเกิดดอก  มีปัจจัยหลายอย่างควบคุมเหตุการณ์นี้ ประกอบด้วยทั้งปัจจัยภายในและภายนอก  ถ้าปัจจัยต่างๆ เหมาะสมก็จะมีการพัฒนาไปเป็นตาดอกขึ้นมาได้  จากการทดลองของ วิทยา (2537) พบว่า เมื่อการเจริญเติบโตทางด้านกิ่งใบหยุดลง และเริ่มเข้าสู่ระยะการพักตัว เป็นช่วงที่ลิ้นจี่ต้องการปัจจัยต่างๆ มาก เพื่อเข้าสู่ระยะการเจริญเติบโตของดอก  ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดดอกในลิ้นจี่ได้แก่ ปัจจัยภายในต้นที่เกี่ยวข้องกับความสมบูรณ์ โดยความสมบูรณ์ของต้นเป็นผลที่ได้จากการประเมินหลายๆลักษณะรวมกัน  ดัชนีที่แสดงถึงความสมบูรณ์ของต้นที่ดีอย่างหนึ่งคือ ปริมาณอาหารสะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปริมาณของ TNC  ปริมาณอาหารสะสมในต้นจะมีความสัมพันธ์กับการเกิดดอกในลิ้นจี่  

นอกจากนี้ ยังรวมถึงช่วงระยะการเติบโตของการออกดอก (ดูข้อ 2.) ซึ่งบทบาทของปริมาณอาหารสะสมนี้ต้องมีความสัมพันธ์กัน ทั้งในเรื่องของช่วงเวลาในการสะสม และปริมาณที่สะสมการเปลี่ยนแปลงปริมาณ TNC ในยอดลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวยในช่วงก่อนการออกดอกที่รายงานโดย วัทนา (2543) นั้น มีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกับในงานทดลองของ ศิริเพ็ญ (2544) โดยพบว่า ปริมาณ TNC ค่อนข้างสูงในสัปดาห์ที่ 8 ก่อนการออกดอก และลดต่ำลงในสัปดาห์ที่ 6 ก่อนการออกดอก แต่กลับเพิ่มขึ้นสูงสุดในสัปดาห์ที่ 4 ก่อนการออกดอก หลังจากนั้นจึงลดลงในสัปดาห์ที่ 2 ก่อนการออกดอก (รูปที่ 2)  เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากในระยะสัปดาห์ที่ 8 ก่อนการออกดอก ลิ้นจี่มีการสร้าง TNC เพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยอาหารในกิ่งที่ถูกนำไปใช้ในการเลี้ยงใบซึ่งแตกมาใหม่ เมื่อใบยังอ่อนอยู่ ประสิทธิภาพของการสังเคราะห์แสงยังต่ำ กิ่งจึงต้องส่งอาหารมาเลี้ยงใบเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาใบ จึงทำให้ปริมาณ TNC ในกิ่งลดลงในสัปดาห์ที่ 6  เมื่อใบเติบโตแผ่ออกเต็มที่ ใบจะมีประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงสูงสุด (สังคม, 2526) ประกอบกับใบแก่ที่มีอยู่แล้ว ทำให้มีการสะสม TNC เพิ่มสูงขึ้น ในสัปดาห์ที่ 4 ก่อนการออกดอก ใบจะสร้าง TNC และเคลื่อนย้ายไปยังกิ่งอย่างมาก พร้อมกับการลดลงของประสิทธิภาพการสังเคราะห์แสงของใบที่เริ่มเข้าสู่ระยะแก่ และนำไปใช้สำหรับดอกที่ออกมาใหม่ จึงทำให้ปริมาณ TNC ลดต่ำลงในสัปดาห์ที่ 2 ก่อนการออกดอก          

รูปที่
2 การเปลี่ยนแปลงปริมาณ TNC ในยอดลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวยในช่วงก่อน การออกดอก        (ที่มา: ดัดแปลงจาก วัทนา, 2543) 

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ทราบว่า พอถึงเวลาใกล้จะออกดอกหรือแตกตาดอก ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ควรชักนำให้ลิ้นจี่มีการสะสม TNC ที่ต้นหรือกิ่งมากขึ้น โดยงดการให้น้ำ เพื่อเป็นการกระตุ้นการแตกตาดอก และเป็นการลดการเจริญเติบโตทางกิ่งใบด้วย 


5. แนวทางการจัดการเพื่อช่วยให้ลิ้นจี่ออกดอกและติดผล
การศึกษาเกี่ยวกับปริมาณ TNC ที่มีความสัมพันธ์กับการออกดอกและติดผล เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางการจัดการการผลิต เพื่อให้ลิ้นจี่สามารถออกดอกและติดผลได้สม่ำเสมอทุกปี  การที่จะเป็นเช่นนี้ได้ ต้องมีการบำรุงรักษาทำให้ต้นลิ้นจี่มีความสมบูรณ์ และเป็นไปตามช่วงระยะการเติบโต (ดูข้อ 2.)  หากต้นลิ้นจี่มีความสมบูรณ์ดีแล้ว การชักนำการออกดอกก็จะง่ายขึ้นการบำรุงรักษาต้นลิ้นจี่นั้น ให้ปฏิบัติตามช่วงต่างๆ ในรอบปี (ดูข้อ 2.) โดยชักนำให้ลิ้นจี่แตกใบอ่อนครั้งที่ 1 ในระหว่างช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม โดยการตัดแต่งกิ่งทั้งภายในและภายนอกทรงพุ่มให้โปร่ง เพื่อทำให้ต้นลิ้นจี่สามารถสะสม TNC ได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการลดการเจริญทางกิ่งใบ และยังกระตุ้นให้ต้นลิ้นจี่แตกใบอ่อนอย่างสม่ำเสมอพร้อมกันทั้งต้น ซึ่งจะทำให้ต้นลิ้นจี่มีความสมบูรณ์ และพร้อมที่จะแตกใบอ่อนในชุดต่อไป นอกจากนี้ การตัดแต่งกิ่งที่ถูกต้องจะช่วยลดการแก่งแย่งอาหารระหว่างกิ่ง จึงทำให้มีอาหารสะสมสำหรับการออกดอกได้มากขึ้น (พีระเดช, 2537)  ถ้าสามารถชักนำให้ลิ้นจี่แตกใบอ่อนครั้งที่ 1 ได้เร็วและประสบความสำเร็จ การแตกใบอ่อนครั้งที่ 2 ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม และการแตกใบอ่อนครั้งที่ 3 ในช่วงเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคม จะเป็นไปตามกำหนดที่ค่อนข้างแน่นอน (กลุ่มเกษตรสัญจร, 2530)เมื่อถึงช่วงเวลาใกล้จะออกดอกหรือแตกตาดอกของลิ้นจี่ ซึ่งอยู่ประมาณช่วงเดือนตุลาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน ควรงดการให้น้ำ เพื่อให้ต้นลิ้นจี่มีการสร้างตาดอก หรือหากมีน้ำท่วมขังก็ให้ระบายน้ำออก  เมื่อลิ้นจี่เริ่มแทงช่อดอกในช่วงปลายเดือนธันวาคม จึงเริ่มให้น้ำ  การจัดการเช่นนี้สอดคล้องกับ พีรเดช (2537) ที่รายงานว่า ไม้ผลหลายชนิดต้องการช่วงแล้งก่อนการออกดอก ประกอบกับสภาพอากาศเย็นก็จะช่วยกระตุ้นให้ลิ้นจี่ออกดอกได้มากขึ้น  หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วจึงเริ่มบำรุงต้นลิ้นจี่ให้สมบูรณ์ โดยการตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ย ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเร่งให้ต้นลิ้นจี่มีการแตกใบอ่อนในครั้งถัดไป  ลิ้นจี่ต้องการปุ๋ยทั้งในด้านการเติบโตและช่วยในการออกดอก ติดผล  ลิ้นจี่ต้องการปุ๋ย 2 ช่วง คือ ก่อนฤดูฝนเพื่อช่วยส่งเสริมการแตกใบอ่อน ทดแทนกิ่งที่ถูกตัดและผลที่เก็บเกี่ยวไป  อีกช่วงหนึ่ง คือ หลังการออกดอก เริ่มตั้งแต่เมื่อติดเป็นผลเล็ก เพื่อใช้ในการบำรุงเลี้ยงผล (กลุ่มเกษตรสัญจร, 2530)  การให้ปุ๋ยลิ้นจี่จึงควรกระทำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้งในการออกดอกของลิ้นจี่ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการออกดอก นั่นคือ สภาพแวดล้อมซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ เช่น ดิน ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ตลอดจนปริมาณสารควบคุมการเติบโต  ปัจจัยเหล่านี้มีความแปรปรวนได้ง่าย  ดังนั้น ถ้าหากปัจจัยเหล่านี้มีความแปรปรวนมากๆ ก็จะทำให้มีผลกระทบต่อการออกดอกและติดผลของลิ้นจี่ได้ จึงควรศึกษาถึงปัจจัยต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วเพื่อเป็นปัจจัยพื้นฐาน พร้อมทั้งอาจจะประยุกต์วิธีการหรือขั้นตอนบางอย่างเพื่อที่จะใช้ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่จะปฏิบัติต่อไป สรุปปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ไม่อยู่ในรูปโครงสร้าง (total nonstructural carbohydrate, TNC) มีความสัมพันธ์กับการออกดอกและติดผลของลิ้นจี่ เนื่องจาก TNC จะไปมีผลต่อความสมบูรณ์ของดอก การแตกกิ่งใหม่ โดยปริมาณ TNC จะไปมีผลต่อการแตกใบอ่อน ส่งเสริมการออกดอกและติดผล ในช่วงก่อนออกดอกหรือแตกตาดอกของลิ้นจี่ จึงควรชักนำให้ลิ้นจี่มีการสะสมปริมาณ TNC ที่ต้นหรือกิ่งมากขึ้น  ดังนั้นจึงต้องมีการบำรุงรักษาทำให้ต้นลิ้นจี่มีความสมบูรณ์และเป็นไปตามช่วงระยะการเติบโตในรอบปี โดยการตัดแต่งกิ่ง ให้น้ำ ใส่ปุ๋ย เพื่อทำให้ลิ้นจี่สามารถออกดอกและติดผลได้อย่างสม่ำเสมอ 


เอกสารอ้างอิง
กรมวิชาการเกษตร. 2545. เอกสารประกอบการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การจัดทำฐานข้อมูลเชื้อพันธุ์ลำไยและลิ้นจี่. สำนักคุ้มครองพันธุ์พืชแห่งชาติ. 129 น.กลุ่มเกษตรสัญจร. 2530. ลิ้นจี่-ลำไย. สำนักพิมพ์สหมิตรออฟเซท, กรุงเทพฯ. 70 น.คีรี อำพันสวัสดิ์. 2540. ไม้ผลเศรษฐกิจ. กรมวิชาการเกษตร, กรุงเทพฯ. 160 น.นิภา หวังสินทวีกุล. 2546. ความสัมพันธ์ของปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ไม่อยู่ในรูปโครงสร้างและน้ำตาลรีดิวซิ่งต่อการออกรากของกิ่งปักชำฝรั่ง. ปัญหาพิเศษปริญญาตรี, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน.ธนัท ธันญาภา. 2538. หลักการทำสวนไม้ผล. ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 80 น.พีระเดช ทองอำไพ. 2537. ฮอร์โมนพืชและสารสังเคราะห์ แนวทางการใช้ประโยชน์ในประเทศไทย. วิชัยการพิมพ์, กรุงเทพฯ. 196 น.

ลดาวัลย์ เลิศเลอวงศ์. 2542. วิธีการวิเคราะห์และการเปลี่ยนแปลงปริมาณเอทธิลีนและปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ใช่โครงสร้างในช่วงก่อนการแตกใบอ่อนในยอดลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวยและมะปรางพันธุ์ทูลเกล้า. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

วัทนา ทองเล่ม. 2543. การเปลี่ยนแปลงปริมาณเอทธิลีนและคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ใช่โครงสร้างในช่วงก่อนการออกดอกของยอดลำไยพันธุ์ดอ ลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวย และมะปรางพันธุ์ทูลเกล้า. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.วิทยา ศิลปะสมบูรณ์. 2537. อิทธิพลของภูมิอากาศ ศักย์ของน้ำในใบ และปุ๋ยที่ให้ทางใบต่อปริมาณธาตุอาหารและการออกดอกของลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวย. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.ศิริเพ็ญ ปั้นดี. 2544. การเปลี่ยนแปลงปริมาณเอทธิลีนและคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ใช่โครงสร้างก่อนการแตกใบอ่อนของยอดลำไย ลิ้นจี่ และมะปราง. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.ศรีมูล บุญรัตน์. 2531. การใช้เทคโนโลยีในการทำสวนลิ้นจี่. ชมรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร. 73 น.สังคม เตชะวงศ์เสถียร. 2526. ปริมาณคาร์โบไฮเดรตและไนโตรเจนในใบและกิ่งของต้นกีวีพันธุ์บรูโน และการเกิดรากของกิ่งปักชำในรอบปี. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สัมพันธ์ คัมภิรานนท์. 2526. สรีรวิทยาของพืช. ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. 54 น.สาคร ชยันต์นคร. 2533. การปลูกและเพิ่มผลผลิตลิ้นจี่. รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์, กรุงเทพฯ. 56 น.Akazawa. T. 1965. Starch, inulin and other reserve polysaccharides. In J. Bonner and J.E. Varner (eds). Plant Biochemistry. pp. 258-297.Menzel, C. M. 1987. The control of floral initiation in lychee: A review. Hort. Sci. 21: 201-205.Menzel, C. M. and D. R. Simpson. 1988. Effect of temperature on growth and flowering of Litchi (Litchi chinensis Sonn.) cultivars. J. Hort. Sci. 63(2): 349-360.


www.agri.ubu.ac.th/masterstu/docs/Uraiwan.doc -









สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-08-25 (1692 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©