กำลังปรับปรุงครับ
เทคนิคการผลิตไม้ผลออกนอกฤดูกาล
“ไม้ผลนอกฤดูกาล” คำๆ นี้ในปัจจุบันเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในหมู่นักวิชาการเกษตร เกษตรกรและบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการประสบผลสำเร็จในการทำให้ไม้ผลบางชนิดสามารถออกดอกนอกฤดูได้นั่นเอง จากความสำเร็จดังกล่าวก็ได้สร้างความสนใจให้กับบุคคลในวงการเกษตรกันมาก จนถึงกับได้มีการศึกษาและทดลองกันอย่างกว้างขวางกับไม้ผลชนิดอื่น และก็มีแนวโน้มว่าสามารถที่จะบังคับใช้ไม้ผลบางชนิดออกดอกนอกฤดูได้เช่นเดียวกัน
การบังคับหรือกระตุ้นหรือชักนำเพื่อให้ไม้ผลออกดอกนอกฤดูนั้น หากเรามองย้อนกลับไปในอดีต จะเห็นได้ว่า วิธีการต่าง ๆ ที่ใช้บังคับให้ไม้ผลออกดอกนั้นมีการปฏิบัติกันมาช้านานแล้ว โดยในสมัยก่อนวิธีการเหล่านั้นอาจจะค้นพบโดยบังเอิญหรือไม่ได้ตั้งใจ ยกตัวอย่างเช่น การทรมานต้นไม้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การสับกิ่ง สับต้น การตอกตะปูที่ต้น การรมควัน การตอนกิ่ง รัดกิ่ง หรือแม้กระทั่งการที่ต้นไม้ขาดน้ำเป็นต้น และเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตทั่ว ๆไป เมื่อรู้ตัวว่าใกล้จะตาย เช่น
ถูกทรมานด้วยวิธีการต่าง ๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ก็มีการแตกดอกออกผลขึ้นมา มนุษย์ก็ได้ก็ได้สังเกตและรู้หลักการอันนี้จึงได้มีการบังคับให้ไม้ผลออกดอกด้วยวิธีการดังกล่าว
ปัจจุบันนี้วิทยาการในการบังคับเพื่อให้ไม้ผลออกดอกนอกฤดูกาลได้ก้าวหน้าไปมาก มีการใช้สารเคมีบางชนิดและเทคโนโลยีใหม่ ๆ บังคับให้ไม้ผลออกดอกนอกฤดูกาลได้แน่นอนขึ้นและกระทำได้อย่าง
กว้างขวางกับไม้ผลหลายชนิด
อย่างไรก็ตาม การผลิตไม้ผลนอกฤดูกาลก็ยังเป็นศาสตร์ที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง กล่าวคือ แม้ว่าในขณะนี้เราสามารถผลิตไม้ผลนอกฤดูขึ้นได้ในพืชหลายชนิดและนั่นก็ไม่ใช่ว่าจะกระทำได้อย่างแน่นอนหรือกระทำได้ทั่ว ๆ ไปในทุกสภาพท้องที่แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายชนิดอาทิเช่น พันธุ์ ความสมบูรณ์ของต้น สภาพภูมิอากาศ ตลอดจนเทคนิคและวิธีปฏิบัติของแต่ละคน ในบางครั้งถึงแม้จะมีปัจจัยเหล่านี้อยู่อย่างครบถ้วนแล้วก็ตามการผลิตไม้ผลนอกฤดูกาลก็อาจไม่ประสบผลสำเร็จเต็มที่เสมอไป
ดังนั้น เนื้อหาหรือข้อมูลต่าง ๆ จากหนังสือเล่มนี้ จึงเป็นเพียงแนวทางอย่างกว้าง ๆ ที่ได้นำเสนอเพื่อเป็นลู่ทางไปสู่การผลิตไม้ผลนอกฤดูกาลขึ้น หากเกษตรกรหรือชาวสวนนำไปปฏิบัติกันจริง ๆ ก็ควรจะศึกษาให้ลึกซึ้งถึงขั้นตอนและรายละเอียดในการปฏิบัติ ตลอดจนข้อดีและข้อเสียต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพท้องที่ที่จะนำไปปฏิบัติต่อไป
แนวทางในการผลิตไม้ผลนอกฤดูกาล
ไม้ผลเป็นพืชที่ทำให้ออกดอกนอกฤดูกาลได้ยาก หรือแม้ในฤดูเองบางครั้งก็ทำได้ยากเช่นกัน ทั้งนี้เพราะยังไม่สามารถกระทำได้หลายวิธีด้วยกันกล่าวคือ
1. การใช้พันธุ์ทะวาย
พันธุ์ทะวายโดยทั่ว ๆ ไปเกิดจากการกลายพันธุ์ผ่าเหล่าที่แตกต่างไปจากต้นเดิม และต่อมาก็กลายพันธุ์กันอย่างถาวร เมื่อขยายพันธุ์จากต้นที่กลายพันธุ์อย่างถาวรก็ยังคงปรากฏว่ายังคงมีการทะวายอยู่เช่นเดิม ปัจจุบันมีไม้ผลหลายชนิดที่เป็นพันธุ์ทะวายและส่วนใหญ่จะรู้จักกันในมะม่วง เช่น พันธุ์น้ำดอกไม้ทะวาย พิมเสนมันทะวาย ทองดำทะวาย มันแห้งทะวาย แก้วทะวาย อกร่องมัน ทะวาย เหล่านี้เป็นต้น ส่วนในไม้ผลชนิดอื่น แม้จะไม่มีการแยกเป็นพันธุ์ทะวายโดยเฉพาะ แต่ก็มีไม้ผลหลายชนิดที่ทยอยกันออกผลเป็นเวลานานหลายเดือน อาทิเช่น ขนุน ซึ่งมีการออกผลยาวนานถึง 8 เดือน เช่น พันธุ์แม่น้อยทะวาย นอกจากนี้ยังมีทุเรียนบางสายพันธุ์ที่ปรากฏทะวายหรือออกผลนอกฤดูกาล โดยเฉพาะพันธุ์หมอนทองซึ่งมีการวางขายเกือบตลอดปี
2. การใช้พันธุ์เบา
พันธุ์เบาก็คือพันธุ์ที่อาจจะมีการออกดอกก่อนหรือออกดอกพร้อมกับพันธุ์กลางหรือพันธุ์หนักก็ได้ แต่ช่วงการสุกแก่ของผลจะเร็วกว่าพันธุ์กลางหรือพันธุ์หนัก การทำให้พันธุ์เบาออกดอกก่อนฤดูนั้นสามารถทำได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถนำสายพันธุ์เบาไปปลูกในต่างพื้นที่ และออกดอกก่อนการออกดอกในสภาพพื้นที่ปลูกเดิมอีกด้วย เช่น ลำไยพันธุ์อีดอ สามารถนำมาปลูกทางภาคกลางและบางพื้นที่ของภาคตะวันออกได้ และออกดอกให้ผลเร็วกว่าภาคเหนืออีกด้วย
3. การประวิงวงจรก่อนเก็บเกี่ยว
การทำให้ไม้ผลเก็บเกี่ยวล่าช้ากว่าปกตินั้น นอกจากจะใช้สายพันธุ์หนักแล้ว และสามารถประวิงเวลาการออกดอกได้อีกเล็กน้อยตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการเร่งให้ไม้ผลออกดอกก่อนกำหนดก็ต้องเร่งให้ใบแก่เร็วขึ้น เพื่อให้มีระยะเวลาพักตัวเร็วขึ้น แต่ถ้าต้องการให้ไม้ผลออกดอกช้ากว่าปกติ ก็ต้องประวิงเวลาการแก่ของใบให้ช้ากว่าปกติ เพื่อให้เกิดการพักตัวช้ากว่าปกติเล็กน้อย การทำให้ใบแก่ช้ากว่าปกติไม้ได้หมายความว่า จะให้ใบแก่เมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะต้องขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติของการดอก ซึ่งมีปัจจัยเรื่องความหนาวเย็นของอากาศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยปกติแล้วการทำให้ใบแก่ช้ากว้าปกติ จะต้องทำให้ใบแก่เต็มที่พร้อมจะออกดอกได้ก่อนที่อากาศหนาวเย็นจะหมดไป ซึ่งอาจช้ากว่าปกติได้ไม่เกิน 20 วัน ฉะนั้นการประวิงเวลาให้ใบแก่ช้าเมื่อหมดฤดูหนาวแล้วจึงทำไม่ได้เพราะอากาศไม่หนาวเย็นพอ ดังนั้นการบังคับให้ไม้ผลออกดอกล่าช้ากว่าปกติจะต้องทำการควบคุมสภาพลำต้นและใบให้อยู่ในลักษณะพร้อมที่จะออกดอกอย่างเข้มงวด มิเช่นนั้นแล้ว ถ้าพลาดไปก็แสดงว่าในปีนั้นจะไม่มีการออกดอกเลย
4. การใช้วิธีตัดแต่งกิ่ง
มีไม้ผลหลายชนิดเมื่อตัดแต่งกิ่งแล้วจะตอบสนองต่อการออกดอกได้ดี ไม้ผลในกลุ่มนี้ เช่น น้อยหน่า
องุ่น ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน เป็นต้น ในน้อยหน่าโดยธรรมชาติแล้วก่อนการออกดอกจะเคลื่อนย้ายธาตุอาหารจะใบมาสะสมที่ลำต้นและกิ่งแล้วจะทิ้งใบ เมื่อมีความชื้นในดินเหมาะสมน้อยหน่าจะแตกกิ่งใหม่พร้อมกับการออกดอก ในองุ่นและฝรั่งก็เช่นเดียวกัน เกษตรกรมักจะเลือกฤดูในการตัดแต่งกิ่งเพื่อให้
มีการออกดอก และเก็บผลผลิตได้ในช่วงที่ไม่ตรงกับผลไม้อื่น
5. การตัดแต่งราก
การตัดแต่งรากมีจุดประสงค์เพื่อให้ต้นไม้หยุดการเจริญทางกิ่งและใบ เพื่อให้ต้นไม้เกิดการพักตัวและสะสมอาหารเตรียมไว้ก่อนการออกดอก ฉะนั้น เมื่อรากของต้นไม้ถูกตัดโดยเฉพาะรากฝอย ซึ่งเป็นรากที่หาอาหารและน้ำมีน้อยลงก็จะทำให้เกิดการสะสมอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น ต้นไม่ก็สามารถออกดอกได้ ในการตัดแต่งรากนอกจากจะทำให้พืชออกดอกได้แล้ว ยังทำให้เกิดรากใหม่ที่มีประสิทธิภาพ และดูดอาหารไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของลำต้นได้ดีขึ้น
6. การรมควัน
การรมควันเป็นวิธีการหนึ่งที่ค้นพบโดยบังเอิญ กล่าวคือ แต่เดิมไม่มีการใช้สารเคมีกันอย่างแพร่หลายเหมือนเช่นปัจจุบันนี้ เกษตรจึงได้หาวิธีการต่าง ๆ เพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูที่มาทำลายได้ผล การรมควันก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ชาวสวนได้ทดลองปฏิบัติกัน แม้ว่าควันไฟไม่สามารถฆ่าแมลงได้ทั้งหมดก็ตามแต่อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะไล่แมลง ให้บินหนีไปได้ ต่อมาชาวสวนสังเกต และพบว่าไม้ผลบางชนิด โดยเฉพาะมะม่วงที่ถูกควันไฟ สามารถออกดอกได้ดีกว่าต้นทีไม่ถูกควันไฟ และยังพบว่าอีก ต้นที่ถูกควันไฟยังออกดอกได้เร็วกว่าต้นที่ไม่ถูกควันไฟอีกด้วยเมื่อมีการสังเกตนานเข้า ก็ลงความเห็นว่า ควันไฟช่วยให้ได้ผลบางชนิดออกดอกได้ดีและออกดอกก่อนฤดูกาลได้อีกด้วย และได้ปฏิบัติกันมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
7. การกักน้ำ
การกักน้ำก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ผลออกดอกนอกฤดูกาลได้เช่นเดียวกัน โดยพบว่า ถ้ามีการกักน้ำก่อนถึงฤดูการออกดอก ซึ่งทำให้ความชื้นในดินน้อยลง ก็จะเป็นผลให้ต้นไม่มีการออกดอกเร็วขึ้น และในทางกลับกัน ถ้าให้น้ำเป็นปริมาณที่มากไปจนถึงฤดูออกดอกก็ทำให้การออกดอกล่าช้าออกไป ด้วยวิธีเดียวกันนี้ได้มีการทดลองในส้มเขียวหวาน เพื่อบังคับให้ส้มเขียวหวานออกดอกล่าช้ากว่าปกติเพื่อเป็นการยืดเวลาการเก็บเกี่ยวออกไป ซึ่งปกติแล้วส้มเขียวหวานจะเก็บเกี่ยวผลได้มากในช่วงเดือนตุลาคมจนถึงธันวาคม แต่ชาวสวนต้องการยืดเวลาเก็บเกี่ยวออกไปจนถึงปลายเดือนมกราคมต่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อกักส้มเขียวหวานเอาไว้รอจำหน่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยใช้วิธีการทดน้ำเข้าไปช่วยตลอดเวลาที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว ซึ่งสามารถบังคับให้ส้มเขียวหวานออกดอกช้าปกติได้
8. การทรมานต้นไม้
การทรมานต้นไม้เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้ไม้ผลออกดอกนอกฤดูกาลได้ วิธีการนี้ในครั้งแรกเข้าใจว่าเป็นการกระทำที่บังเอิญมากกว่าการจงใจ และเมื่อเห็นว่าสามารถบังคับให้ไม้ผลออกดอกฤดูกาลได้ ก็กระทำกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับวิธีการต่าง ๆ ในการทรมานต้นไม้มีดังต่อไปนี้
การควั่นกิ่ง
การควั่นกิ่งเป็นการควั่นเอาเปลือกกรอบกิ่งหรือรอบลำต้น เพื่อให้มีรอยแผล แคบ ๆ ปรากฏอยู่ ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้เซลล์ท่ออาหารถูกตัดขาด แต่เนื้อเยื่อเจริญและเซลล์ท่อน้ำตรงบริเวณแผลยังคงอยู่อย่างเดิม ดังนั้นอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วก็จะเคลื่อนที่ลงมาคั่งอยู่ในบริเวณเหนือรอยแผลขึ้นไป ซึ่งมีผลทำให้ไม้ผลออกดอกได้
การลอกเปลือกออกเป็นแถบ
วิธีการนี้ใช้มีดคม ๆ กรีดเปลือกให้เป็นแถบเล็ก ๆ ยาวพอประมาณตามความยาวของกิ่ง แล้วลอกดึงเอาเปลือกไม้ออกก็จะทำให้เกิดการสะสมอาหารไว้เหนือรอยแผล ซึ่งผลที่ได้ก็เช่นเดียวกันสับการควั่นกิ่ง
การเฉือนเปลือกเป็นรูปปากฉลาม
วิธีการนี้ให้เฉือนกิ่งหรือลำต้นด้วยมีดคม ๆ ให้ลึกเข้าไปในเนื้อไม้ประมาณ 1 ใน 3 ของเส้นผ่าศูนย์กลางของบริเวณนั้นยาวประมาณ 1-2 นิ้วก็จะเป็นรูปปากฉลาม จากนั้นจึงใช้ก้านไม้ขีดสอดขัดเอาไว้แล้วจึงใช้เชือกพลาสติกพันทับส่วนนี้ให้กระชับและแน่น อาหารก็จะเคลื่อนย้ายไม่สะดวก เป็นผลให้ส่วนปลายของกิ่งเกิดดอกได้
การสับเปลือก
ในสมัยก่อนการสับเปลือกรอบบริเวณลำต้นหรือกิ่งของไม้ผลนิยมทำกับมะม่วงและขนุนที่ไม่ยอมออกดอก โดยใช้มีดโต้หรือขวานสับตามกิ่งหรือลำต้น ก็จะทำให้ไม้ผลออกดอกได้เช่นเดียวกัน
การใช้ลวดรัดรอบกิ่งหรือรอบต้น
วิธีนี้นิยมทำกับไม้ผลที่ยังมีขนาดเล็กอยู่โดยใช้ลวดเส้น เล็ก ๆ รัดรอบต้นหรือรอบกิ่ง เมื่อทำเสร็จควรใช้ปูนแดงหรือสีน้ำมันทาแผล เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่แผล จากนั้นให้ใช้เชือกพลาสติกหรือเทปพันสายไฟพันหุ้มทับเพื่อป้องกันน้ำเข้าแผล เมื่อกิ่งหรือลำต้นโตขึ้นลวดที่ได้รัดไว้ก็จะรัดเปลือกขาดเช่นเดียวกับการควั่นกิ่ง ทำให้ต้นไม้ผลออกดอกได้เช่นกัน
การงอกิ่ง
การงอกิ่งเป็นการงอหรือตัดกิ่งไม้ผลที่มีขนาดโตหรือกิ่งแก่เพื่อให้เอนมาสู่แนวระดับ และผูกมัดเชือกยึดไว้ให้แน่น ซึ่งสามารถทำให้ไม้ผลออกดอกได้ด้วยวิธีการเดียวกันนี้ ได้มีการทดลองงอกิ่งมะนาวเตี้ยที่มีความยาวประมาณ 1 คืบ ซึ่งต่อกิ่งบนต้นตอส้มโอ พบว่ากิ่งของมะนาวเตี้ยกิ่งนั้นสามารถผลิดอกออกมามากมาย
การทำให้ใบร่วง
วิธีการนี้นิยมกระทำกับส้มเขียวหวาน โดยปล่อยให้ส้มเขียวหวานขาดาน้ำก่อนฤดูออกดอกเล็กน้อย เมื่อส้มเขียวหวานขาดน้ำใบก็จะร่วงหล่นเป็นผลให้อัตราส่วนคาร์โบไฮเดรตและในโตรเจนที่อยู่ในต้นมีปริมาณพอเหมาะที่จะเกิดดอก ส้มเขียวหวานก็จะออกดอกออกมาให้เห็น
9. การเลือกช่วงฤดูกาลปลูก
การเลือกช่วงฤดูกาลปลูกมักจะทำกับไม้ผลที่มีอายุสั้น เช่น กล้วย มะละกอ ซึ่งปกติแล้วการปลูกของเกษตรกรที่อาศัยน้ำฝนส่วนใหญ่จะปลูกต้นฤดูฝนหากเกษตรการที่อยู่ในเขตชลประทานหรือ เกษตรกรที่สามารถหาแหล่งน้ำได้ และปลูกพืชดังกล่าวในช่วงปลายฤดูฝนหรือฤดูแล้ง เมื่อครบอายุของพืช พืชดังกล่าวก็จะออกดอกติดผลได้เอง ซึ่งจะไม่ตรงกับฤดูที่คนอื่นเขาปลูกกัน
10. การใส่ปุ๋ยเคมี
การใส่ปุ๋ยเคมีก็มีผลทำให้ไม้ผลออกดอกได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูงและปุ๋ยคอก ปุ๋ยชนิดดังกล่าวถ้าให้กับไม้ผลที่มีอายุน้อยจะทำให้ออกดอกช้าลง เพราะปุ๋ยจะไปเร่งการเจริญเติบโตทางด้านกิ่งก้านและใบส่วนไม้ผลที่ให้ผลแล้ว การให้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูงจะทำให้ได้จำนวนดอกลดลง ดังนั้นในระยะที่ต้องการให้เกิดดอก ชาวสวนจะใส่ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนน้อยลง และเพิ่มธาตุฟอสฟอรัส และโปแตสเซียมให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้ปุ๋ยทั้งสองชนิดนี้ไปกระตุ้นการออกดอก ในประเทศไทยขณะนี้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายได้แก่ การใช้ปุ๋ยโปแตสเซียมไนเตรท เพื่อเร่งให้มะม่วงออกดอก โดยใช้ปุ๋ยโปแตสเซียมไนเตรท อัตรา 500 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นต้นมะม่วง ทำให้มะม่วงออกดอกก่อนฤดูได้ประมาณ 15-21 วัน สำหรับพืชพวกส้มหรือมะนาว อาจใส่ปุ๋ยยูเรียเพื่อทำให้ใบร่วงและเกิดการแตกกิ่งใหม่ออกมาพร้อมกับการออกดอก
11. การใช้สารควบคุมการเจริญเติบโต
การใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตกับไม้ผลนั้น นับว่าเป็นวิธีใหม่สำหรับเกษตรกรไทย ส่วนในต่างประเทศมีการใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว อย่างไรก็ตามงานทดลองทางด้านการบังคับให้ไม้ผลออกดอกนอกฤดูกาล ยังไม่ไม่ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง และผลการทดลองที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน ยังเป็นการทดลองกับไม้ผลเศรษฐกิจเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น
12. การใช้อุณหภูมิต่ำ
อุณหภูมิก็มีผลต่อการผลิตไม้ผลนอกฤดูกาลเช่นกัน กล่าวคือ อุณหภูมิต่ำจะมีผลทำให้การสังเคราะห์แสงลดน้อยลง ซึ่งจะมีผลไปถึงการออกดอกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในไม้ผลหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น มะม่วง ทุเรียน ลำไย ลิ้นจี่ ถ้าปีใดที่อากาศเย็น (อุณหภูมิต่ำ) ในปีนั้นไม้ผลดังกล่าวจะออกดอกได้มากกว่าปกติ ทั้งนี้เพราะความหนาวเย็น ไปกระตุ้นให้มีการสร้างฮอร์โมนหรือสารอื่น ๆ ที่ช่วยในการออกดอกนั่นเอง
ผลกระทบจากการผลิตไม้ผลนอกฤดูกาล
การผลิตไม้ผลนอกฤดูกาลนั้น มีจุดประสงค์หลักเพื่อต้องการขายผลผลิตในราคาที่สูงกว่าปกติและมีผลผลิตออกมาจำหน่ายตลอดทั้งปี แต่ถ้าจะมองในแง่ของผลกระทบจากการผลิตไม้ผลนอกฤดูกาลแล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่ามีเรื่องที่เสี่ยงอยู่หลายประการเช่นกัน
1. การผลิตไม้ผลนอกฤดูกาล
เป็นการเปลี่ยนวงจรชีวิตของพืช ทั้งทางด้านการเจริญเติบโตของลำต้น กิ่งก้านและใบ ตลอดจนถึงการออกดอก ติดผล ซึ่งอาจจะเร่งให้เจริญเติบโตเร็วกว่าปกติหรือช้ากว่าปกติก็ได้
2. อาจเกิดความสับสนในเรื่องการตลาด
ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ในทวีปยุโรป จะมีหน่วยงานที่รับซื้อผลไม้ ผักเมืองร้อนและผลผลิตนอกฤดูของยุโรปอยู่ ดังนั้นเมื่อเรามีการผลิตผักหรือไม้ผลนอกฤดูขึ้นก็ย่อมมีผลกระทบต่อตลาดเหล่านั้นด้วย
3. เป็นปัญหาต่อการวางแผนพัฒนาประเทศ ทั้งนี้เพราะไม่ทราบว่า ผลไม้ที่ผลิตได้มีปริมาณมากน้อยแค่ไหน ตลอดจนฤดูกาลผลผลิตผลไม้แต่ละชนิดที่จะออกสู่ตลาดเพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป
4. การผลิตไม้ผลนอกฤดูกาล
ถ้าจะทำการผลิตเพื่อการส่งออก ควรจะต้องรู้ถึงช่วงฤดูการผลิตไม้ผลของต่างประเทศด้วย ทั้งนี้เพราะ ถ้าหากเราสามารถผลิตไม้ผลนอกฤดูในประเทศได้เป็นปริมาณที่มากพอที่จะส่งไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศแต่กลับไปตรงกับฤดูการผลิตไม้ผลของประเทศนั้น ๆ เข้า แทนที่จะได้ราคาดีกลับจะต้องประสบกับปัญหาการขาดทุนเรื่องนี้ย่อมเป็นไปได้เช่นกัน
5. การผลิตไม้ผลนอกฤดูในปัจจุบันนี้
ส่วนมากใช้สารเคมี และสารเคมีที่ใช้อยู่นั้นก็มีราคาที่ค่อนข้างสูง และเป็นที่แน่นอนว่าต้องมีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ดังนั้นหากมีการผลิตไม้ผลนอกฤดูกาลกันมากขึ้น ปริมาณการใช้สารเคมีก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย และจะต้องมีการสั่งซื้อจากต่างประเทศ ฉะนั้นผลที่ตามมาก็คือ ต้องเสียเงินเพื่อซื้อสารเคมีมากขึ้นทำให้ประเทศต้องขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นไปอีก
ต่อไปนี้เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อบังคับให้ไม้ผลบางชนิดออกดอกฤดูกาล ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการทดลองที่ได้จากนักวิชาการเกษตร และตัวเกษตรกรเอง
มะม่วง
เป็นผลไม้ที่คนไทยให้ความนิยมชมชอบมากที่สุด เนื่องจากมีรสชาติดีประกอบกับเป็นไม้ผลที่ปลูกได้ง่าย เจริญเติบโตได้ดีในสภาพพื้นที่ของประเทศไทย ในปัจจุบันนี้วิทยาการในการผลิตมะม่วงได้ก้าวหน้าไปมากมีการใช้เทคโนโลยีและวิธีการใหม่ ๆ เข้ามาเพื่อควบคุมการเจริญเติบโต การออกดอก การติดผลตลอดจนการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว และโดยเฉพาะในเรื่องของการออกดอกของมะม่วงนั้นในขณะนี้ เราสามารถบังคับใช้มะม่วงออกดอกได้โดยใช้สารเคมีบางประเภท ซึ่งนับได้ว่าเป็นการก้าวไปสู่ยุคใหม่ของการเกษตร วิธีการในการชักนำหรือกระตุ้นให้มะม่วงออกดอกนอกฤดูนั้นได้รับการพัฒนาจากนักวิชาการเกษตรหลายท่าน จนเป็นผลทำให้ขณะนี้ประเทศไทยเราสามารถผลิตมะม่วงนอกฤดูกาลกันได้มากขึ้น และเป็นที่คาดหมายกันว่าในอนาคตอันใกล้นี้ การค้นคว้า ทดลองของนักวิชา
การเกษตรดังกล่าวคงจะก้าวหน้าต่อไปถึงขั้นที่สามารถกำหนดปัจจัยในการบังคับให้มะม่วงมีการออกดอกติดผลได้มากจนถึงกับสามารถกำหนดระยะเวลาของการใช้สารเคมีได้อย่างถูกต้องและแน่นอน และก้าวหน้าต่อไปในมะม่วงพันธุ์ต่าง ๆ
ปัจจัยที่มีผลต่อการชัดนำให้มะม่วงออกดอกนอกฤดูกาล
การบังคับหรือชักนำให้มะม่วงออกดอกนอกฤดูกาลจะประสบสำเร็จมากน้อยแค่ไหนย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. สภาพความสมบูรณ์และการเตรียมพร้อมของต้นมะม่วง
สภาพความสมบูรณ์ของต้นมะม่วงย่อมเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะเป็นตัวกำหนดในการออกดอก การติดผลของมะม่วง เมื่อใดก็ตามที่มะม่วงไม่มีความสมบูรณ์เพียงพอมะม่วงจะไม่มีการออกดอก ติดผล หรืออาจจะมีการออกดอก ติดผลบ้าง แต่ก็จะมีการร่วงหล่นหรือเหี่ยวแห้งไปในที่สุด ดังนั้นเพื่อที่จะให้มะม่วงมีความสมบูรณ์และเตรียมพร้อมเพื่อการออกดอก ชาวสวนมะม่วงจึงควรจะเริ่มทำตั้งแต่หลังจากเก็บเกี่ยวผลมะม่วงในปีที่ผ่านมา โดยทำการตัดแต่งกิ่งที่ไม่เหมาะสมออกให้หมด เช่น กิ่งกระ
โดง กิ่งที่เป็นโรคหรือกิ่งที่เห็นว่าไม่มีประโยชน์ เป็นต้น. ต่อจากนั้นควรใส่ปุ๋ยคอกเพื่อบำรุงดินและต้นมะม่วงไปพร้อมกัน การใส่ปุ๋ยคอกโดยการโรยในแนวพุ่มใบ อัตราต้นละ 10-20 กิโลกรัม และควรใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือสูตรใกล้เคียงกันในอัตรา 1-2 กิโลกรัม หลังจากที่ได้ใส่ปุ๋ยลงไปแล้ว มะม่วงก็จะแตกใบอ่อนออกมา ในช่วงนี้ต้องคอยระวังไม่ให้แมลงเข้ามากัดกินทำลายใบโดยใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ่นและอาจพิจารณาฉีดพ่นปุ๋ยทางใบที่มีไนโตรเจนสูงควบคู่กันไป ทั้งนี้เพื่อช่วย
ให้ใบมะม่วงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ปกติแล้วใบมะม่วงชุดที่ 1 จะเริ่มแก่ในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมและใบอ่อนชุดที่ 2 ก็จะแตกตามมา ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะแก่การราดสารเคมีเร่งดอก
2. วิธีการให้สารที่ถูกต้อง
ก่อนที่จะทำการราดสารลงไปนั้นควรตรวจสภาพดินบริเวณโคนต้นมะม่วงว่ามีความชื้นพอหรือไม่ เพราะถ้ามีความชื้นน้อยเกินไปจะทำให้สารที่ใช่มีประสิทธิภาพต่ำ นอกจากนี้ก่อนที่จะทำการราดสารนั้นควรมีการกำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้นมะม่วงออกให้หมด ทั้งนี้เพื่อให้ต้นมะม่วงได้รับประโยชน์จากสารนั้นอย่างเต็มที่ จากการทดลองและศึกษาของนักวิชาการเกษตรหลายท่านออกมาแล้ว 2 ชุดและใบมะม่วงที่แตกออกมาครั้งหลังนั้นจะต้องอยู่ในระยะที่เรียกว่าใบพวง
3. พันธุ์มะม่วง
การบังคับให้มะม่วงออกดอกนอกฤดูกาลนอกจากจะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังกล่าวข้างต้นแล้ว พันธุ์มะม่วง ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญและเป็นตัวกำหนดว่าการบังคับให้มะม่วงออกดอกได้มากน้อยแค่ไหน อาทิเช่น พันธุ์มะม่วงที่มีนิสัยการออกดอกง่าย ตัวอย่างเช่นพันธุ์น้ำดอกไม้ ฟ้าลั่น แห้ว หนองแซงและเจ้าคุณทิพย์ จะตอบสนองต่อสารเร่งการออกดอกได้ดี ส่วนพันธุ์มะม่วงที่ออกดอกค่อนข้างยาก เช่น เขียวเสวย แรด หนังกลางวัน จะตอบสนองต่อสารเร่งการออกดอกได้ไม่ดีเท่าที่ควร
วิธีการบังคับหรือชักนำให้มะม่วงออดดอกนอกฤดูกาล
การชักนำหรือกระตุ้นให้มะม่วงออกดอกนอกฤดูกาลนั้น สามารถกระทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่ได้ผลค่อนข้างแน่นอน ได้แก่
การสุมไฟและการฉีดพ่นด้ายสารเคมี
ก. การสุมไฟ
การสุมไฟหรือการรมควันให้กับต้นมะม่วงเป็นวิธีการกระตุ้นหรือชักนำให้มะม่วงออกดอกได้เร็วกว่าฤดูกาลปกติ โดยให้ควันไฟผ่านเข้าไปในพุ่มต้นมะม่วงเพื่อให้มะม่วงแตกตาดอกออกมา แต่วิธีการนี้มีข้อเสียอยู่บ้างกล่าวคือต้องใช้แรงงานมากและเสียค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นข้อควรคำนึงก็คือการเลือกต้นมะม่วงสำหรับสุมไฟต้องทำด้วยความระมัดระวัง ต้นมะม่วงที่สุมไฟแล้วจะออกดอกได้ดีนั้นจะต้องเป็นต้นที่มีกิ่งและใบแก่เต็มที่ ถ้าหากใบยังอ่อนอยู่หรือกิ่งยอดยังแก่ไม่พอ ก็ไม่สามารถยังคับให้ออกดอกด้วยวิธีนี้ได้ ดังนั้นเพื่อให้การบังคับด้วยวิธีนี้ได้ผลดียิ่งขึ้นจึงควรเลือกต้นมะม่วงที่มีใบสีเขียวแก่ ผิวด้านหรือสีน้ำตาลอมเขียว ใบเปราะง่าย (เมื่อขยำด้วยมือ) สภาพของต้นและตายอดต้องอยู่ระยะพักตัว
วัสดุที่ใช้สุมไฟที่ดีได้แก่ใบไม้แห้ง หญ้าดิบ แกลบ กิ่งไม้และเศษวัสดุอื่น ๆ ในการก่อกองไฟควรให้กองไฟอยู่เหนือลมเพื่อให้ควันไฟเข้าไปสู่พุ่มต้นได้ง่าย และอาจใช้แผงกั้นที่ทำจากทางมะพร้าวหรือไม้ไผ่มากั้นไว้เพื่อให้ควันไฟเข้าไปสู่พุ่มต้นได้ดียิ่งขึ้นและจะต้องให้กองไฟอยู่ห่างจากโคนต้นในระยะที่ไม่เป็นอันตรายต่อต้นมะม่วง ส่วนระยะเวลาของการรมควันจะสั้นหรือเร็วจะขึ้นอยู่กับสภาพของต้นและกิ่งมะม่วง กล่าวคือถ้ากิ่งมะม่วงเป็นกิ่งที่มีอายุมากและผ่านการพักตัวมาแล้ว ระยะเวลาของการรมควันจะสั้นเข้า แต่ถ้าเป็นกิ่งที่มีอายุน้อย ระยะเวลาของการรมควันก็จะมากขึ้น นอกจากนี้แล้วในการสุมไฟต้นมะม่วงให้ทำทั้งกลางวันและกลางค้นเป็นเวลาหลาย ๆ วันติดต่อกันจนกระทั่งตาดอกเริ่มปรากฏให้เห็น แต่ถ้าตาดอกไม่เกิดหลังจากที่ได้สุมไฟไปแล้วประมาณ 9-15 วัน ก็ให้เลิกสุมไฟแล้วเริ่มไฟ หลังจากหยุดรมควันไปได้ 20-30 วัน และเมื่อตาเริ่มผลิออกมาให้เห็น ซึ่งในตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าตาที่ปรากฏออกมานั้นจะเป็นตาดอกหรือตาใบ ต้องรอจนกระทั่งตาขยายตัวขึ้น ถ้าตาที่ปรากฏเป็นตาดอกก็จะมีรูปร่างเป็นจงอย ส่วนตาที่เจริญเป็นกิ่งหรือเป็นใบ จะมีรูปร่างเป็นทรงยาวและตั้งตรงอย่างไรก็ตามการบังคับให้มะม่วงออกดอกด้วยวิธีการนี้ในปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าที่ควร เนื่องจากวิธีการยุ่งยากและมีวิธีอื่นที่สะดวกกว่าและได้ผลที่แน่นอนกว่า
ข. การฉีดพ่นด้วยสารเคมี
การใช้สารเคมีเพื่อกระตุ้นหรือชักนำให้มะม่วงอออกดอก เป็นวิธีที่กระทำกันมาช้านานแล้วคือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 เป็นต้นมาซึ่งมีทั้งที่ได้ผลและไม่ได้ผล สารเคมีที่ใช้ได้ผลก็มีหลายชนิดและได้พัฒนาให้ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน สารเคมีที่ใช้บังคับให้มะม่วงออกดอกนอกฤดูกาลได้ค่อนข้างแน่นอนได้แก่
1. สารโปแตสเซียมไนเตรท
ประเทศไทยได้นำผลการทดลองการใช้สารโปแตสเซียม ไนเตรทของฟิลิปปินส์มาใช้ในการเร่งการออกดอกของมะม่วง ผลปรากฏว่าในครั้งแรกไม่ได้ผล แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะใช้ได้ผล จึงได้ปรับปรุงวิธีปฏิบัติรวมทั้งความเข้มข้นและตัวสารโปแตสเซียมไนเตรท จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2524 ผลปรากฏว่าในครั้งแรกไม้ได้ผล แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะใช้ได้ผล จึงได้ปรับปรุงวิธีปฏิบัติ รวมทั้งความเข้มข้นและตัวสารโปแตสเซียมไนเตรท จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2524 ผลปรากฏว่าสารโปแตสเซียมไนเตรทสามารถใช้เร่งให้มะม่วงออกดอกได้ โดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้
1.1 ใช้โปแตสเซียมไนเตรท เกรดปุ๋ย สูตร 13-0-46 ที่มีความบริสุทธิ์มากกว่า 99.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีราคาถูกและยังให้ผลได้เท่าเทียมกับเกรดที่สูงกว่าแต่ไม่ควรนำดินประสิวมาบดให้ละเอียดแล้วละลายน้ำแทนการใช้โปแตสเซียมไนเตรทเพราะไม่สะดวกในการเตรียมสารและดินประสิวอาจมีสารเจือปนอื่น ๆ ที่เป็นพิษกับพืชซึ่งมีโอกาสทำให้ใบมะม่วงไหม้ได้
1.2 ใช้โปแตสเซียมไนเตรท น้ำหนัก 500 กรัม (1/2 กิโลกรัม) ผสมน้ำ 20 ลิตรก็จะได้โปแตสเซียมไนเตรทเข้มข้น 2.5 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก และควรผสมยาจับใบเพื่อให้สารละลายโปแตสเซียมจับกับผิวใบได้อย่างทั่วถึง ทั้งยังเพิ่มการดูดซึมสารละลายโปแตสเซียมไนเตรทเข้าสู่ตัวใบได้มากขึ้น
1.3 ควรทำการฉีดพ่นสารละลายโปแตสเซียมไนเตรทในตอนเช้ามือ ตอนเย็นช่วงเวลาที่ลมสงบ ซึ่งจะมีผลดี 2 ประการคือ เป็นการลดการไหม้ที่บริเวณปลายใบของมะม่วงซึ่งพบว่าหลังจากที่ได้ฉีดพ่นสารละลายไปแล้ว สารละลายจะไหลย้อนไปยังปลายใบมองเห็นเป็นหยดน้ำเกาะอยู่ ถ้าหากทำการแดพ่นในเวลาที่มีแดดจัดหรือความชื้นในอากาศมีน้อย จะทำให้น้ำระเหยอย่างรวดเร็วและคงเหลือแต่ปริมาณความเข้มข้นของโปแตสเซียมไนเตรทในอัตราที่สูง ตามบริเวณปลายใบของมะม่วง ซึ่งจะแสดงอาการเป็นพิษต่อเนื้อเยื่อของใบ ทำให้ปลายใบแห้ง ผลดีอีกประการหนึ่งก็คือ การฉีดพ่นในตอนเช้าหรือตอนเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่มีความชื้นในอากาศสูงจะเป็นการช่วยให้การดูดซึมสารละลายโปแตสเซียมไนเตรทเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว.
1.4 การฉีดพ่นสารเพียงครั้งเดียว ภายในระยะเวลา 20 วันถ้ามะม่วงยังไม่ออกดอก ก็ให้ฉีดสารดังกล่าวอีกครั้ง ในอัตราเดิม แต่โดยทั่วไปแล้วภายใน 15 วัน นับจากวันเริ่มฉีดสาร มะม่วงก็จะแทงช่อดอกออกมาให้เห็น การฉีดพ่นสารโปแตสเซียมไนเตรทให้กับต้นมะม่วงเพื่อเร่งการออกดอก ถ้าปฏิบัติถูกต้องแล้วจะสามารถเร่งให้มะม่วงออกดอกได้เร็วกว่าปกติประมาณ 15-20 วัน โดยไม่เป็นอันตรายหรือมีผลเสียหายต่อต้นมะม่วงแต่ประการใด นอกจากนี้ถ้าคำนึงถึงเรื่องการลงทุนก็เป็นการลงทุนที่ถูกมากเนื่องจากโปแตสเซียมไนเตรท เป็นสารเคมีที่มีราคาถูก ซึ่งเหมาะกับเกษตรกรที่ไม่ค่อยมีเงินทุนมากนัก
2. ฮอร์โมน เอ็น.เอ.เอ. (N.A.A)
ฮอร์โมนเอ็นเอ.เอ. ที่ใช้เร่งการออกดอกของมะม่วงนี้มีชื่อการค้าหลายอย่างเช่น แพลนโนฟิกซ์ แพลนนิโมนศ์ฟิกซ์แพนเตอร์ เป็นต้น หลักการทำงานของฮอร์โมนชนิดนี้คือเมื่อฉีดไปที่ต้นมะม่วงแล้วจะส่งเสริมให้มะม่วงมีการสังเคราะห์เอทธิลีน ได้มากขึ้น และเอทธิลีนนี้เองที่จะเป็นตัวไปกระตุ้นให้มะม่วงออกดอก
วิธีปฏิบัติ
ให้ใช้ฮอร์โมนเอ็นเอ.เอ. ที่มีชื่อการค้าว่า แพลนโนฟิกซ์ อัตรา 3-5 ซี.ซี. ผสมน้ำประมาณ 20 ลิตร และผสมกับโปแตสเซียมไนเตรทอัตรา 300-500 กรัม เมื่อผสมเสร็จแล้วให้การทำการฉีดพ่นใบมะม่วงที่แก่เต็มที่ (ซึ่งเป็นใบที่แตกจากใบอ่อนครั้งสุดท้าย) ก่อนถึงฤดูกาลออกดอกของมะม่วงตามธรรมชาติ (เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์) จะทำให้มะม่วงแทงช่อดอกให้เห็นภายหลังจากฉีดสารไปแล้วประมาณ 12 วัน วิธีการนี้จะทำให้มะม่วงออกดอกได้เร็วกว่าปกติถึง 30-40 กรัม
3. สารพาโคลบิวทราโซล
เป็นสารในกลุ่มของสารชะลอการเจริญเติบโตของพืช ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดในขณะนี้มี 2 ชนิด คือ คัลทาร์ ซึ่งอยู่ในรูปของเหลวมีความเข้มข้นของเนื้อสาร 10 เปอร์เซ็นต์ และอีกชนิดหนึ่งคือ พรีดิคท์ มีอยู่ 2 รูป คือ ในรูปของเหลว ซึ่งมีความเข้มข้นของเนื้อสาร 25 เปอร์เซ็นต์ กับชนิดผลซึ่งมีความสูงในการยับยั้งการสร้างฮอร์โมนจิบเบอร์เรลลินในต้นมะม่วง เป็นฮอร์โมนที่มะม่วงสร้างขึ้นมาได้เองและมีผลต่อการยืดตัวของเซลทำให้กิ่งก้านยืดยาวออก และที่สำคัญคือเป็นฮอร์โมนที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโตทางด้านกิ่ง ก้านและใบ แต่จะยับยั้งการออกดอก ดังนั้นในสภาพใดก็ตามที่ทำให้ฮอร์โมนจิบเบอร์เรลลินในต้นมากเกินไป ในสภาพที่ดินมีลักษณะชื้นหรือมีน้ำมาก หรือมีปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป และในลักษณะตรงกันข้าม หากสภาพดินเป็นดินที่แห้ง มีไนโตรเจนน้อยหรือได้รับอากาศหนาวเป้ฯระยะเวลานานพอสมควร ก็จะมีผลทำให้ฮอร์โมนจิบเบอร์เรลลินมีน้อยลง ซึ่งผลที่จะตามมากก็คือการเจริญเติบโตทางด้านกิ่งและใบหยุดชะงักลงและมีการสร้างตาดอกขึ้นมาแทนจากหลักการนี้เองจึงได้มีผู้นำมาใช้ควบคุมการออกดอกของมะม่วง โดยหาทางลดปริมาณฮอร์โมนจิบเบอร์เรลลินลงเพื่อให้มีโอกาสสร้างตาดอกได้มากขึ้น และสารพาโคลบิวทราโซลก็จัดได้ว่าเป็นสารหนึ่งที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างฮอร์โมนจิบเบอร์เรลลินได้ดี
ข้อควรคำนึงถึงในการใช้สารพาโคลบิวทราโซล การใช้สารชนิดใดก็ตามควรที่จะมีการเรียนรู้เกี่ยวกับสารนั้นให้ถ่องแท้เสียก่อน ทั้งวิธีการใช้ อัตราที่ใช้ ผลกระทบจาการใช้สาร เป็นต้น สารพาดคลบิวทราโซลก็เช่นเดียวกัน เกษตรกรหรือชาวสวนที่จะใช้สารนี้ให้ได้ผลดีนั้นควรที่จะได้มีการคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้คือ
1. พันธุ์มะม่วง มะม่วงบางพันธุ์ที่มีการออกดอกค่อนข้างยากหรือเป็นมะม่วงพันธุ์หนัก การใช้สารก็ย่อมที่จะใช้ในอัตราความเข้มข้นสุงกว่ามะม่วงพันธุ์เบาหรือมะม่วงที่ออกดอกได้ง่าย ในขณะที่มีขนาดของทรงพุ่มเท่า ๆ กัน
2. ขนาดของทรงพุ่ม ต้นมะม่วงที่มีอายุมากหรือมีขนาดของทรงพุ่มใหญ่กว่าจะต้องใช้สารที่มีปริมาณมากกว่าต้นที่เล็กกว่า และถ้าต้นมะม่วงยังมีทรงพุ่มที่เล็กเกินไป หรืออายุน้อย ก็ยังไม่ควรใช้สารกระตุ้น ต้องรอไปจนกว่ามะม่วงจะพร้อมต่อการออกดอก
3. ต้นมะม่วงที่ราดด้วยสารพาโคลบิวทราโซล จะต้องมีความแข็งแรงสมบูรณ์มีระบบรากดี ถ้าต้นมะม่วงยังไม่สมบูรณ์หรือระบบรากไม่ดี ต้องบำรุงรักษาต้นและระบบรากให้สมบูรณ์เสียก่อน ก่อนที่จะกระตุ้นด้วยสารนี้
4. กรณีที่ราดสารพาโคลบิวทราโซลให้กับต้นมะม่วงในขณะที่มีแต่ใบแก่มะม่วงอาจจะแตกใบอ่อนขึ้นมาก่อนที่สารจะแสดงปฏิกิริยา ซึ่งผลดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดจากสารพาโคลบิวทราโซล
5. ก่อนที่จะทำการราดสาร ควรปรับดินบริเวณโคนต้น รอบทรงพุ่ม รวมทั้งกำจัดเศษใบไม้ เศษหญ้าและวัชพืชออกให้หมด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อาจจะดุดเอาสารพาโคลบิวทราโซลเข้าไป ทำให้ต้นมะม่วงได้รับสารนี้น้อยเกินไป
6. ต้นมะม่วงที่ทำการราดสารพาโคลบิวทราโซล ควรมีรูปทรงที่โปร่ง แสงแดดส่องได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะช่วยทำให้ช่อดอกของมะม่วงเจริญได้ดี
7. สวนมะม่วงที่ใช้สารพาโคลบิวทราโซล จะต้องมีระบบการชลประทานอย่างดี และสามารถเปิดใช้ได้ทุกเวลาตามความต้องการ ส่วนในสวนมะม่วงที่มีปัญหาในเรื่องระบบชลประทานนั้น ควรพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน ก่อนที่จะใช้สารนี้
วิธีการใช้สารพาโคลบิวทราโซล
การใช้สารพาโคลบิวทราโซลเพื่อผลิตมะม่วงนอกฤดูกาลนี้ จากการทดลองของนักวิชาการเกษตรทั้งหลายต่างลงความเห็นกันว่า วิธีที่เหมาะสมที่สุดก็คือ การรดสารลงบริเวณโคนต้นหรือรอบทรงพุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากสารนี้ถูกดูดซึมเข้าทางรากได้ดี ส่วนอัตราความเข้มข้นของการใช้สารนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุและขนาดของทรงพุ่ม กล่าวคือ ในต้นมะม่วงที่มีอายุมากและทรงพุ่มกว้างจะใช้สารมากกว่ามะม่วงทีมีอายุน้อยและขนาดทรงพุ่มเล็กกว่า ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ขนาดทรงพุ่ม(เมตร) |
ชนิดของสารพาโคลบิวทราโซล |
วิธีใช้ |
คัลทาร์ 10 % อัตราส่วน(กรัม) |
พรีดิกท์ 10% อัตราส่วน(กรัม) |
พรีดิกท์ 25 % อัตราส่วน(กรัม) |
2-4 |
20-40 |
20-40 |
8-16 |
รดชิดโคน |
4-6 |
40-80 |
40-60 |
16-24 |
รดทั่วบริเวณใต้พุ่ม |
6-8 |
80-100 |
60-80 |
24-32 |
รดรอบชายพุ่ม |
8-10 |
100-200 |
100-150 |
40-60 |
รดรอบชายพุ่ม |
ภายหลังจากที่ได้ใช้สารไปประมาณ 2-3 เดือน มะม่วงก็จะเริ่มออกดอกโดยเฉพาะพันธุ์ที่ออกดอกง่ายหรือพันธุ์เบา เช่น น้ำดอกไม้ เจ้าคุณทิพย์ ฟ้าลั่น หนองแซง และศาลายา เป็นต้น แต่อาจจะมีบางต้นที่ไม่ออกดอกเนื่องจากมีการพักตัวนานเกินไปก็จำเป็นต้องกระตุ้นการแตกตาดอกด้วยสาร โปแตสเซียมไนเตรท ความเข้มข้น 2.5 % ( ใช้โปแตสเซียมไนเตรท 500 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร) หรือกระตุ้นด้วยสารไทโอยูเรีย ความเข้มข้น 0.5 % จะทำให้เกิดการแตกตาดอกได้พร้อมกันทั้งต้นภายในระยะเวลา 2 อาทิตย์ หลังจากฉีดพ่นสารนี้ไปแล้ว
การใช้สารพาโคลบิวทราโซลนี้สามารถที่จะกำหนดเวลาของการออกดอกและเก็บเกี่ยวได้ตามความต้องการ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการให้มะม่วงออกดอกและเก็บเกี่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ (ประมาณ วันที่ 25-30 ธันวาคม ) ก็ต้องนับวันย้อนขึ้นไปเป็นขั้นตอนแล้วเริ่มใช้สารนี้ และเพื่อเป็นการสะดวกรวมทั้งง่ายต่อการปฏิบัติจึงได้เขียนแผนภูมิและกำหนดวันที่จะปฏิบัติงาน ดังต่อไปนี้ วันที่ (โดยประมาณ)
ขั้นตอนการปฏิบัติ 4-19 พฤษภาคม
กระตุ้นการออกดอกด้วยสารพาโคบิวทราโซล
75-90 วัน 2 สิงหาคม มะม่วงเริ่มแตกตาดอกเร่งการออกดอกด้วยสาร โปแตสเซียมไนเตรท 2.5 %หรือไทโอยูเรีย 0.5% 14 วัน 16 สิงหาคม มะม่วงแทงช่อดอก 21 วัน 6 กันยายน ดอกบาน 50 เปอร์เซ็นต์ 100-200 วัน (ขึ้นอยู่กับพันธุ์มะม่วง) 26-30 ธันวาคม เก็บผลผลิต
หมายเหตุ วันที่ปฏิบัติอาจเปลี่ยนไปได้ตามสภาพพื้นที่และความสมบูรณ์ของต้น
มะนาว
เป็นพืชที่มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน นอกจากใช้ในการปรุงแตงรสชาติของอาหารแล้ว ยังสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือเป็นส่วนผสมของตัวยาสุมนไพรหลายชนิดและใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมได้ด้วย การปลูกมะนาวในสมัยก่อนนั้นมักจะปลูกกันแบบสวนหลังบ้านเพื่อไว้ใช้สำหรับการบริโภคในครัวเรือน และถ้าผลผลิตเหลือจากการบริโภคจึงนำมาซื้อขายกัน ในปัจจุบันนี้ความต้องการใช้มะนาวมีมากขึ้นตามลำดับพร้อม ๆ กับการเพิ่มปริมาณของพลเมืองและการขยายตัวทางอุตสาหกรรมที่ใช้มะนาวเป็นองค์ประกอบในการผลิต มะนาวจึงเป็นพืชที่มีความสำคัญและเข้ามามีบทบาททางการค้ามากขึ้น สามารถทำรายได้ให้กับผู้ปลูกได้ดีพอสมควร ดังนั้นเกษตรกรทั่วไปจึงได้ให้ความสนใจและปลูกกันเป็นการค้ากันอย่างกว้างขวางในหลายท้องที่ของประเทศ พันธุ์มะนาวที่เกษตรกรใช้ปลูกนั้นส่วนมากจะเป็นมะนาวพื้นเมือง ซึ่งแม้จะออกดอกติดผลได้ตลอดปีแต่จะให้ผลผลิตในช่วงฤดูฝนเท่านั้น เมื่อถึงฤดูแล้งการให้ผลก็จะลดน้อยลง เป็นผลให้ราคามะนาวที่ซื้อขายกันในท้องตลาดมีราคาสูงขึ้น คือ ตกผลละ 1.50-3 บาท ซึ่งนับว่าเป็นราคาที่แพงมากเมื่อเทียบกับมะนาวในฤดูปกติ ซึ่งตกผลละ 10-30 สตางค์เท่านั้น และเนื่องจากราคามะนาวในหน้าแล้งแพงมากนี้เองจึงทำให้เกษตรกรสนใจที่จะทำให้มะนาวออกผลในช่วงนี้กันมาก อย่างไรก็ตามการที่ทำให้มะนาวมีผลในช่วงหน้าแล้งนั้นย่อมมีปัญหาหลายประการด้วยกันโดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของแต่ละแหล่งปลูกและสภาพความสมบูรณ์ของต้น และเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าระยะการออกดอกตามฤดูกาลของมะนาวนั้นกินเวลาประมาณ 3 เดือน แต่เนื่องจากสภาพธรรมชาติของแต่ละแหล่งปลูกต่างกันประกอบกับสภาพการปฏิบัติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นช่วงเวลาการออกดอกของมะนาวจะกินเวลานานถึง 4-6 เดือน คือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงกรกฏาคม แต่การออกดอกส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 3 เดือนแรก คือจากเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน และผลมะนาวจะใช้เวลาตั้งแต่ออกดอกจนเก็บขายได้ประมาณ 5 ½ - 6 เดือน ฉะนั้นมะนาวจากแหล่งปลูกต่าง ๆ จะออกสู่ตลาดพร้อมกันตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายนและมีประปรายที่จะออกสู่ตลาดได้ถึงเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ ดังนั้น ถ้าต้องการให้มะนาวมีผลที่เก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ต้องบังคับให้มะนาวออกดอกในเดือนกันยายน-ตุลาคม ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้มะนาวออกดอกในช่วงนี้ทั้งนี้เพราะมีปัญหาหลัก ๆ อยู่ 2 ประการ คือ ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม เป็นช่วงที่มะนาวอยู่ในระยะเก็บเกี่ยวผลหรือเพิ่มจะเก็บผลหมด ดังนั้นการสะสมธาตุอาหารในต้นเพื่อการออกดอกและติดผลยังมีไม่พอ และอีกประการหนึ่งก็คือในช่วงดังกล่าวจะมีฝนตกชุก การที่จะทำให้ใบมะนาวแก่เร็วขึ้นและร่วงหล่นไป เพื่อกระตุ้นให้มะนาวแตกกิ่งใหม่และออกดอกจึงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากไม่สามารถทำให้ดินแห้งได้และโดยธรรมชาติแล้วมะนาวไม่ค่อยออกดอกในช่วงนี้ จากที่กล่าวมาทั้งหมด เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับสภาพโดยทั่ว ๆ ไปของมะนาว ทั้งนี้เพื่อจะได้นำมาเป็นข้อมูลเพื่อศึกษาถึงความเป็นไปได้ของการผลิตมะนาวในหน้าแล้ง ซึ่งพอที่จะชี้ให้เห็นถึงแนวทางของการปฏิบัติได้ดังนี้ 1. การผลิตมะนาวเพื่อขายในช่วงหน้าแล้งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์กับอีกช่วงหนึ่งคือการผลิตมะนาวเพื่อขายในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้สูงสำหรับแหล่งปลูกที่มีการระบายน้ำดี 2. การผลิตมะนาวเพื่อขายในช่วงที่มีราคาแพง (เดือนมีนาคม-เมษายน) ซึ่งโอกาสที่จะบังคับให้มะนาวออกดอกติดผลครั้งละมาก ๆ นั้นเป็นไปได้ค่อนข้างยากทั้งนี้ด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น วิธีการบังคับให้มะนาวออกดอกนอกฤดูกาล มะนาวเป็นพืชที่ไวต่อการขาดน้ำ ซึ่งจะเห็นได้ชัดในช่วงที่มะนาวมีใบแก่จัด ถ้าปล่อยให้ขาดน้ำ ใบจะร่วงหล่นเร็วมากและจะแสดงอาการคล้ายจะตาย แต่ถ้าให้น้ำและปุ๋ยไปบ้าง มะนาวจะแตกใบใหม่และออกดอกตามมา และเมื่อใดที่ได้รับน้ำและปุ๋ยอย่างเพียงพอมะนาวจะแตกกิ่งใหม่ได้มาก ใบจะเขียวสดอยู่ได้นานและไม่ค่อยมีการออกดอกติดผล จากพฤติกรรมดังกล่าวจึงได้มีผู้คิดค้นหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อบังคับให้มะนาวออกดอกได้คราวละมาก ๆ เช่น 1. ใช้วิธีตัดแต่งกิ่งหรือปลายกิ่งออกประมาณ 1-2 นิ้วทั้งต้นแล้วจึงมีการใส่ปุ๋ยเพื่อกระตุ้นให้เกิดการออกดอกขึ้น 2. ใช้วิธีการรมควันเพื่อให้ใบร่วงแล้วแตกใบใหม่พร้อมกับให้ดอกตามมาภายหลัง 3. ใช้ลวดเล็ก ๆ รัดโคนกิ่งใหญ่เพื่อให้มะนาวมีการสะสมอาหารเตรียมพร้อมที่จะออกดอก 4. งดการให้น้ำเพื่อทำให้ใบเหี่ยว แล้วกลับมารดน้ำและใส่ปุ๋ยเคมีเพื่อกระตุ้นให้เกิดดอก 5. ปล่อยน้ำเข้าแปลงปลูกประมาณ 3-4 วัน แล้วจึงระบายน้ำออก 6. ใช้น้ำอุ่นค่อนข้างร้อนฉีดให้ใบร่วง 7. ใช้ปุ๋ยยูเรีย 5 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักละลายน้ำฉีดให้ใบไหม้และร่วง แล้วจึงใส่ปุ๋ยเร่งเพื่อให้มีการเกิดดอก วิธีการตามที่ได้กล่าวมานี้ บางวิธีอาจทำให้มะนาวทรุดโทรมและตายได้หรือให้ผลผลิตแล้วตายไปเลย และบางวิธีก็ไม่เหมาะกับการปฏิบัติรักษาต่อมะนาวที่ปลูกไว้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงได้มีการคิดค้นวิธีการที่ทำให้มะนาวออกดอกในหน้าแล้งโดยที่ไม่ทำให้มะนาวทรุดโทรมจนเกินไป ดังต่อไปนี้ วิธีที่ 1 งดการใช้น้ำชั่วระยะหนึ่งเพื่อปล่อยให้ใบเหี่ยว เมื่อใบเหี่ยวก็ให้น้ำเล็กน้อยสักหนึ่งวัน และเมื่อเห็นว่าต้นมะนาวมีการฟื้นตัวดีแล้วค่อยให้น้ำมาก ๆ ติดต่อกันประมาณ 5-7 วัน จนดินชื้น แล้วจึงใส่ปุ๋ยเร่งดอกที่มีตัวกลางสูงเช่น ปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือ 9-27-27 ประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อต้น หรืออาจใส่กระดูกป่นลงไปด้วยก็ได้ นอกจากนี้อาจพิจารณาใส่ปุ๋ยขี้หมูประมาณ 60 กิโลกรัม กระดูกป่น 6 กิโลกรัมและโปแตสเซียมซัลเฟต 3 กิโลกรัม ผสมเข้าด้วยกันแล้วใส่รอบโคนต้น จะได้ผลดีเช่นเดียวกัน วิธีที่ 2 งดการให้น้ำประมาณ 7-15 วัน แล้วจึงทำการตัดแต่งกิ่งออกประมาณ 1-2 นิ้ว ให้ทั่วทั้งต้น การตัดแต่งกิ่งนี้เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้มะนาวแตกกิ่งวิธีนี้จะใช้เพื่อเพิ่มปริมาณการออกดอกติดผลในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม กับต้นมะนาวที่ติดผลในช่วงนี้ไม่ดกนัก วิธีที่ 3 พ่นใบด้วยปุ๋ยยูเรียความเข้มข้น 5 เปอร์เซ็นต์ (ใช้ปุ๋ยยูเรีย 46 เปอร์เซ็นต์ 1 กิโลกรัมผสมกับน้ำสะอาด 20 ลิตร) การฉีดพ่นควรฉีดไปที่ทรงพุ่มของมะนาวให้โชกทั่วทั้งต้น ประมาณ 4-5 วัน ต่อมาใบมะนาวจะเริ่มร่วงโดยเฉพาะใบแก่ส่วนใบอ่อนจะไม่ร่วง ลักษณะของใบมะนาวที่ร่วงนั้นคล้ายกับถูกน้ำร้อนลวกหลังจากนั้นให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 โรยใส่ต้นมะนาวต้นละ 1-2 กิโลกรัม ประมาณ 15-20 วันหลังจากที่ได้ฉีดพ่นปุ๋ยยูเรียไปแล้วมะนาวจะเริ่มออกดอก ในช่วงนี้ให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 20-14-14 อัตราต้นละ 200-300 กรัม โดยทิ้งห่างกันประมาณ 1 เดือน สัก 3-4 ครั้ง เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของผลมะนาว ในช่วงที่มะนาวเริ่มออกดอกจนถึงติดผลนี้จะต้องระวังอย่าให้มะนาวขาดน้ำเพราะจะทำให้ผลร่วงหรือการเจริญเติบโตของผลไม่ดีเท่าที่ควร มะนาวที่บังคับให้ออกดอกในเดือนกันยายน-ตุลาคม ถ้ามีการปฏิบัติตามข้อแนะนำดังกล่าวมาแล้วเพื่อเข้าหน้าแล้งราวเดือนเมษายน ผลมะนาวจะแก่จัดและสามารถเก็บผลไปจำหน่ายได้ วิธีที่ 4 เป็นวิธีที่ได้ผลดีวิธีหนึ่ง วิธีนี้ไม่ทำให้ต้นมะนาวโทรมเร็วเหมือนกับวิธีแรก ๆ มีขั้นตอนในการปฏิบัติดังนี้1. ประมาณเดือนกันยายน ใส่ปุ๋ยเกรด 1:3:3 เช่นปุ๋ยสูตร 8-24-24 เพื่อเร่งให้ใบแก่เร็วขึ้น และเก็บสะสมอาหารไว้บำรุงดอกต่อไป2. ต้นเดือนตุลาคม งดให้น้ำเพื่อให้ต้นมะนาวมีการเก็บสะสมอาหาร3. ปลายเดือนตุลาคม ให้น้ำอย่างเต็มที่หลังจากงดให้น้ำมาเป็นเวลา 15-20 วัน4. ต้นเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่ได้ให้น้ำไปแล้วประมาณ 7 วัน มะนาวจะเริ่มออกดอก ช่วงนี้ควรมีการพ่นสารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดแมลงในช่วงที่กำลังมีดอกอ่อน5. ปลายเดือนพฤศจิกายน ดอกเริ่มบานและมีการติดผล ควรพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงศัตรูมะนาวในช่วงที่กำลังติดผลเล็ก ๆ6. ต้นเดือนธันวาคม ใส่ปุ๋ยเคมีเกรด 1:1:1 เช่นปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 เพื่อบำรุงให้ผลมีความสมบูรณ์ในขณะที่ผลมะนาวมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด7. ประมาณเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไปจะสามารถเก็บผลมะนาวออกจำหน่ายได้ ซึ่งตรงกับช่วงที่มะนาวมีราคาแพงพอดี8. หลังจากที่ได้ทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตหมดแล้ว ประมาณเดือนพฤษภาคมควรทำการตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 เพื่อบำรุงต้นให้สมบูรณ์และพร้อมสำหรับการผลิตมะนาวหน้าแล้งในปีต่อไป วิธีที่ 5 เป็นวิธีที่ชาวสวนแถบจังหวัดเพชรบุรีนิยมปฏิบัติกัน ซึ่งมีวิธีการดังนี้1. ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนไม่ควรให้น้ำต้นมะนาว เพราะเป็นช่วงฤดูฝน และการทำให้ใบมะนาวร่วงในช่วงนี้จึงทำได้ยากเพราะยังมีฝนตกอยู่2. ชาวสวนใช้วิธีทรมานเล็กน้อย โดยใช้กรรไกรตัดปลายกิ่งต้นมะนาวประมาณ 1-2 นิ้วออกทั่วทั้งต้น เสร็จแล้วจึงกระตุ้นด้วยปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือ 9-27-27 ในอัตราต้นละ 1 กิโลกรัม ปุ๋ยดังกล่าวมีธาตุฟอสฟอรัสสูงจึงสามารถเร่งการออกดอกของมะนาวได้3. ถ้าหากฝนไม่ตกก็ให้ใช้ปุ๋ยเม็ดละลายน้ำรดแทนทิ้งไว้ 14-21 วัน มะนาวจะเริ่มผลิใบและดอกออกมา หลังจากนั้นจึงใส่ปุ๋ยบำรุงต้นมะนาวโดยใช้สูตร 20-14-14 หรือ 20-11-11 ในอัตราต้นละ 200-300 กรัม รวม 3-4 ครั้งโดยห่างกันครั้งละ 1 เดือนเพื่อเร่งให้ผลมะนาวโต4. ในช่วงนี้ถ้าอากาศแห้งแล้ง ควรพรวนดินและใช้เศษหญ้าคลุมโคนมะนาวพร้อมกับรดน้ำ 10-14 วันต่อครั้ง จากนั้นดอกมะนาวจะค่อย ๆ เจริญเติบโตกลายเป็นผล จนสามารถเก็บจำหน่ายผลได้ในช่วงฤดูแล้งซึ่งตรงกับช่วงที่มะนาวมีราคาแพงพอดี วิธีที่ 6 ใช้สารพาโคลบิวทราโซล ซึ่งเป็นวิธีใหม่ล่าสุดเท่าที่มีการทดลองอยู่ในขณะนี้ และมีแนวโน้มว่ามะนาวตอบสนองต่อการใช้สารนี้ได้ดี ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติเพื่อให้มะนาวเก็บเกี่ยวได้ในช่วงหน้าแล้ง โดยใช้สารพาโคลบิวทราโซลนั้นสามารถกระทำได้ดังนี้1. ในเดือนกรกฎาคม ภายหลังจากที่เก็บเกี่ยวผลมะนาวหมาดแล้ว ใช้บำรุงต้นมะนาวให้สมบูรณ์ โดยทั้งนี้เพื่อจะให้มะนาวแตกใบอ่อน 1 ชุดก่อนการออกดอก2. ต้นเดือนสิงหาคม ทำการตัดแต่งกิ่งมะนาวให้โปร่ง เพื่อให้ดินแห้ง ต่อจากนั้นควรใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุงต้น สภาพที่ดินเป็นดินเหนียวควรควรใช้ปุ๋ยสูตร 12-24-24 แต่ถ้าเป็นดินทรายให้ใช้ปุ๋ยสูตร 9-24-24 ในอัตรา 1/3 ของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของทรงพุ่มโดยหว่านรอบชายพุ่มเพื่อช่วยเร่งการเกิดดอกได้ดีขึ้น3. ต้นเดือนกันยายน ให้รดสารพาโคลบิวทราโซลในอัตราเนื้อสาร 1 กรัม (เช่น คัลทาร์ 10 ซี.ซี.) ที่โคนต้นมะนาวในระยะใบเพสลาด แต่ก่อนทำการรดสารนั้นควรให้น้ำกับต้นมะนาว เพื่อให้ดินชุ่ม ซึ่งจะช่วยให้รากดูดซึมสารเข้าไปภายในต้นได้ดีขึ้น4. ประมาณเดือนสิงหาคมต้นเดือนตุลาคม จะมีดอกมะนาวทะวายทยอยกันออกมาและจะต้องคอยปลิดดอกหรือผลเหล่านั้นทิ้ง เพื่อให้ต้นมะนาวมีอาหารสะสมมากพอสำหรับการเกิดดอกในปลายเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายนได้มาก การปลิดดอกทิ้งอาจทำได้โดยใช้สารเคมีบางชนิด เช่น เอ็น.เอ.เอ. (N.A.A.) อัตรา 15-30 ซี.ซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดให้ดอกและผลร่วง โดยที่ไม่มีอันตรายต่อใบแต่อย่างใด5. ปลายเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกกำลังบานและมีการผสมเกสรเพื่อเจริญไปเป็นผล ช่วงนี้ต้องคอยดูแลกันเป็นพิเศษ และเมื่อผลมะนาวมีอายุได้ 1-2 เดือน ซึ่งตรงกับเดือนธันวาคาถึงมกราคม เป็นระยะที่อากาศแห้งแล้งพร้อมกับมะนาวมีการพักตัวและผลัดใบเก่าทิ้ง ผลมะนาวมีโอกาสร่วงได้มากจึงต้องคอยระยังอย่าให้มะนาวขาดน้ำ และถ้าอากาศแห้งมากอาจพรมน้ำได้ด้วยก็ได้6. หลังจากผลมะนาวมีอายุได้ 1-2 เดือนไปแล้ว จะเป็นช่วงที่ผลมะนาวมีการขยายขนาดของผลมาก จึงควรให้ปุ๋ยสูตร 15-5-20+2 (MgO) หรือสูตร 16-11-14+2 (MgO) ลงไปด้วย ถ้ามะนาวต้นไหนติดผลดกอาจเพิ่มปุ๋ยสูตร 20-10-10 หรือ สูตร 30-20-10 โดยฉีดพ่นทางใบเพื่อช่วยขนาดของผล7. ประมาณเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน มะนาวก็จะเก็บผลได้ (สำหรับมะนาวที่มีอายุการเจริญเติบโตของผลนานกว่านี้ ควรเลื่อนเวลาการบังคับการออกดอกให้เร็วขึ้นไปอีก)8. ในเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน หลังจากเก็บผลหมดแล้ว ควรทำการตัดแต่งกิ่งและใส่ปุ๋ยบำรุงต้นโดยใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอก ในอัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่และปุ๋ยเคมีเช่นสูตร 15-15-15 เป็นประจำทุกปี ควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งกิ่งมะนาวเริ่มแตกใบอ่อนซึ่งตรงกับช่วงฤดูฝนพอดี ซึ่งเป็นการเพียงพอที่จะให้มะนาวเก็บสะสมธาตุอาหารโดยเฉพาะพวกแห้งจนถึงระดับที่จะออกดอกได้ดีในเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน แต่ถ้ากิ่งมะนาวแตกใบอ่อนล่าออกไปจนถึงปลายฤดูฝน อาจทำให้มะนาวออกดอกได้ไม่มากเพราะมีระยะเวลาที่จะสะสมอาหารพวกแห้งได้น้อย และถ้าหากต้นมะนาวไม่แตกใบอ่อนออกมา เราอาจใช้วีตัดปลายกิ่งหรือตัดแต่งกิ่งให้โปร่งและให้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูงพร้อมทั้งให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและในปริมาณที่เพียงพอ หรืออาจพิจารณาใช้สารที่กระตุ้นการพักตัวเช่น ไทโอยูเรีย 0.5% ฉีดพ่นให้ทั่วต้นในระยะที่ใบแก่จัดซึ่งจะทำให้มะนาวแตกใบอ่อนออกมาได้ ซึ่งเป็นการเตรียมตัวเพื่อจะบังคับให้มะนาวออกดอกและเก็บผลในหน้าแล้งต่อไปได้ ส้มเขียวหวาน ส้มเขียวหวาน เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เป็นที่รู้จักและนิยมบริโภคของบุคคลทั่วไปเนื่องจากมีรสชาติดีและราคาไม่แพงจนเกินไป ส้มเขียวหวานนอกจากจะใช้บริโภคภายในประเทศอย่างแพร่หลายแล้ว ยังมีการส่งส้มเขียวหวานไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอีก เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซียซึ่งปีหนึ่ง ๆ มีมูลค่าหลายสิบล้านบาท และจากการที่ส้มเขียวหวานเป็นผลไม้ที่คนไทยนิยมบริโภคประกอบกับมีการส่งไปขายยังตลาดต่างประเทศจึงทำให้มีพื้นที่การผลิตเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นพอถึงช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งตรงกับเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม จึงมักมีปัญหาในเรื่องผลผลิตล้นตลาดอยู่เสมอ ๆ ประกอบกับมีผลไม้ชนิดอื่นเริ่มทยอยอกสู่ตลาดมากขึ้น จึงทำให้ราคาของส้มเขียวหวานลดต่ำลงมา เมื่อเป็นเช่นนี้เกษตรกรที่ปลูกส้มเขียวหวานก็พยายามที่จะหาวิธีการที่จะผลิตส้มเขียวหวานนอกฤดูกาลขึ้นเพื่อให้ผลผลิตมีขายตลาดปีและจำหน่ายได้ในราคาสูงวิธีการบังคับส้มเขียวหวานให้ออกดอกนอกฤดูกาล ปกติแล้วส้มเขียวหวานที่ปลูกกันโดยทั่วไปนั้น จะออกดอกในเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม และผลแก่สามารถได้ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ระยะเวลานับจากออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 9 เดือน แต่ถ้าจะนับจากเริ่มมีการกักน้ำจนเก็บผลผลิตก็ตกประมาณ 10 เดือนเต็ม หากคำนึ่งถึงความเป็นไปได้ของการบังคับให้ส้มเขียวหวานออกดอกนอกฤดูจะเห็นได้ว่าส้มเขียวหวานที่ปลูกแบบยกร่องสามารถทำให้ออกดอกตามเวลาที่ต้องการได้ เนื่องจากสามารถควบคุมระดับน้ำได้ง่ายนั่นเอง แต่ถ้าเป็นส้มที่ปลูกในที่ดอน น้ำท่วมไม่ถึง เช่น จังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งมักจะมีปัญหาในเรื่องการให้น้ำเป็นประจำก็ต้องปล่อยให้มีการออกดอกติดผลตามฤดูปกติ และนับว่าธรรมชาติได้เป็นใจที่ให้ส้มที่ปลูกในภาคเหนือออกดอกช้ากว่าส้มที่ปลูกในภาคกลาง คือ จะเริ่มมีการออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม และจะเก็บผลได้ในเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ส้มในภาคกลางกำลังจะหมดไปจากตลาดพอดี มีผลทำให้ส้มที่ปลูกในภาคเหนือจำหน่ายได้ในราคาที่ดีพอสมควร การบังคับส้มเขียวหวานให้ออกดอกนอกฤดูนั้นจะนิยมทำกับสวนที่ปลูกแบบยกร่องเพราะสามารถทำได้ง่ายกล่าวคือ ถ้าต้องการจะให้ผลส้มแก่ในช่วงไหนก็ต้องนับย้อนหลังไปประมาณ 10 เดือน แล้วเริ่มทำการงดให้น้ำ (การงดน้ำนี้จะเป็นกระตุ้นให้ต้นส้มมีการสะสมสารประกอบประเภทแป้งและน้ำตาลภายในต้นให้สูงขึ้นจนทำให้อัตราส่วนระหว่างแป้งและน้ำตาลเปลี่ยนไปในลักษณะที่มีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าเดิมซึ่งในลักษณะเช่นนี้จะเป็นปัจจัยทำให้ส้มเขียวหวานสามารถออกดอกได้) ในขณะที่ทำการงดน้ำนั้นจะต้องสังเกตว่าส้มเขียวหวานไม่มีใบอ่อน หากมีใบอ่อนจำเป็นจะต้องใส่ปุ๋ยเร่งใบเพื่อให้มีใบแก่ตลอดทั้งต้น ปุ๋ยที่ใช้เร่งใบได้แก่ปุ๋ยสูตร 1:3:3 เช่น สูตร 8-24-24 และเมื่อใบแก่แล้วจึงค่อยทำการงดน้ำต่อไป สำหรับเหตุผลที่ไม่ทำการงดน้ำในช่วงที่ส้มยังมีใบอ่อนก็คือจะทำให้ต้นโทรมมากและระบบรากก็จะเสียไป ทั้งนี้เพราะรากจะต้องดูดน้ำและธาตุอาหารอย่างมากเพื่อเลี้ยงใบอ่อนที่กำลังเจริญเติบโต วิธีการงดน้ำที่ชาวสวนกระทำกันทั่วไป ๆ ไปนั้น โดยการสูบน้ำออกจากร่องสวนให้หมด ต่อมาอีกประมาณ 15-20 วัน จะเห็นส้มแสดงอาการขาดน้ำโดยใบจะเริ่มห่อเข้าหากัน ต่อจากนั้นควรให้น้ำอย่างเต็มที่ โดยปล่อยน้ำเข้าท่วมแปลงจนถึงโคนต้นประมาณ 10-20 เซนติเมตร แล้วจึงลดระดับน้ำลงอยู่ในระดับปกติเหมือนกับระดับก่อนที่จะทำการงดน้ำ แต่ถ้าเป็นส้มเขียวหวานที่มีใบแก่แต่ยังไม่มีการใส่ปุ๋ยเร่งใบมาก่อน พอถึงช่วยนี้ควรให้น้ำอย่างเต็มที่โดยการรดน้ำให้ชุ่ม หลังจากนั้นประมาณ 7 วันจะเริ่มมีการแทงตาดอกออกมาให้เห็น เมื่อมีดอกออกมาแล้วก็ให้น้ำตามปกติประมาณ 30 วันต่อมาดอกจะบานและมีการติดผลในช่วงนี้ควรมีการฉีดยาป้องกันกำจัดแมลงศัตรูด้วย และเมื่อผลโตได้ขนาดเท่าหัวแม่มือให้ใส่ปุ๋ยเกรด 1:1:1 เช่นปุ๋ยสูตร 15-15-16 หรือ 16-16-16 เพื่อบำรุงผลให้มีการเจริญอย่างเต็มที่ จนเมื่อส้มเขียวหวานมีอายุผลได้ประมาณ 5 เดือนควรใส่ปุ๋ยสูตรที่มีตัวหลังสูง เช่น สูตร 13-13-21 เพื่อทำให้คุณภาพของส้มดีขึ้น และเป็นการเพิ่มความหวานให้กับผลส้มด้วย และก่อนเก็บเกี่ยวผลประมาณ 10 วันควรหยุดการให้น้ำเพื่อให้ผลส้มมีรสชาติเข้มข้น เนื้อจะไม่ฉ่ำน้ำและสามารถเก็บรักษาผลส้มไว้ได้นานกว่าแบบที่ไม่งดน้ำในช่วงนี้ จะเห็นได้ว่าการบังคับส้มเขียวหวานให้ออกดอกและติดผลนอกฤดูโดยวิธีการกักน้ำนี้ เป็นการกระทำที่ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อนและมีผลดีคือสามารถกำหนดวันที่จะจำหน่ายผลผลิตได้แน่นอน และผลผลิตที่ได้จะออกมาพร้อมกันและมีปริมาณมากในครั้งหนึ่ง ๆ ซึ่งทำให้สะดวกในการขายผลผลิต แต่อย่างไรก็ตามการบังคับให้ส้มเขียวหวานออกดอกและติดผลนอกฤดูโดยวิธีการกัดน้ำนี้ย่อมจะมีข้อเสียอยู่บ้าง กล่าวคือจะทำให้ต้นส้มโทรมเร็วกว่าการปล่อยให้ออกดอกติดผลตามฤดูปกติ แต่เมื่อคำนึงถึงรายได้และราคาจำหน่ายที่ค่อนข้างสูงกว่าปกติ ย่อมคุ้มค่ากับการที่ท่านจะยอมเสี่ยงมิใช่หรือ ส้มโอ ส้มโอ เป็นผลไม้ในตระกูลส้มที่ทุกคนรู้จักดีและนิยมรับประทานกันอย่างกว้างขวาง จัดเป็นผลไม้ที่มีศักยภาพในด้านการส่งออกไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น ๆ ส้มโอมีการปลูกกระจายทั่วทุกภาคของประเทศไทย แต่แหล่งปลูกที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่อำเภอสามพรานและอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นแหล่งที่มีการปลูกส้มโอกันมาช้านานแล้วปัจจุบันส้มโอเป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากขึ้น เนื่องจากประชาชนนิยมบริโภคกันมากขึ้นประกอบกับเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เก็บไว้ได้นาน และเป็นผลไม้ที่ตรงกับรสนิยมของชาวต่างประเทศ มีการส่งส้มโอไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศปีหนึ่ง ๆ นำเงินเข้าสู่ประเทศเป็นจำนวนหลายล้านบาท ส้มโอที่ปลูกกันอยู่ทั่วไปนี้ปกติจะเริ่มอกดอกในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์และผลแก่สามารถเก็บผลได้ในเดือนกันยายนถึงตุลาคม ถ้านับเวลาตั้งแต่วันออกดอกจนถึงเก็บผลได้ใช้เวลาประมาณ 8 เดือน การเก็บเกี่ยวส้มในฤดูปกตินี้เรียนกันว่า ส้มปี และอาจมีส้มที่ออกนอกฤดูอีกบางส่วน ซึ่งเรียกว่า ส้มทะวาย ส้มทะวายนี้เกิดได้ทั้งตามธรรมชาติและเกิดจากการบังคับ ส้มทะวายที่เกิดตามธรรมชาตินั้นมักจะเกิดตามแหล่งปลูกในที่ดอน เช่น แถบภาคกลางตอนบนขึ้นไปในแหล่งดังกล่าวนี้หลังจากฝนตกในช่วงต้นฤดูไปแล้ว ฝนมักจะเกิดการทิ้งช่วง การที่ฝนทิ้งช่วงนี้จะทำให้ส้มโอที่ปลูกอยู่เกิดการขาดน้ำ และหากมีการขาดน้ำในช่วงระยะหนึ่ง เช่นประมาณ 15-30 วัน ถ้ามีฝนตกลงมาอีกครั้งหนึ่งก็จะไปกระตุ้นให้ส้มโอเกิดการแทงดอกนอกฤดูทันที ส่วนส้มทะวายที่เกิดจากการบังคับนั้น มักจะนิยมทำกับส้มโอพันธุ์ขาวพวงทั้งนี้เพราะพันธุ์ที่ผลิตเพื่อการส่งออกเป็นส่วนใหญ่ โดยมีตลาดรับซื้อแถวประเทศฮ่องกงและสิงคโปร์เพื่อนำไปใช้ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ซึ่งตรงกับเดือนกันยายนของทุกปี ดังนั้นชาวสวนส้มโอจึงต้องการบังคับให้ส้มโอพันธุ์ขาวพวงออกดอกก่อนฤดูปกติ เพื่อให้ส้มโอแก่ทันก่อนตัดไปจำหน่ายต่างประเทศได้ ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์หรือก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์เล็กน้อย สำหรับวิธีการบังคับให้ส้มโอออกดอกนอกฤดูกาลนี้ใช้หลักการเดียวกันกับการบังคับให้ส้มเขียวหวานออกดอกนอกฤดูกาล กล่าวคือใช้วิธีงดน้ำหรือกักน้ำเป็นหลักสมมุติถ้าต้องการให้ส้มโอเก็บผลผลิตได้ในช่วงปลายเดือนกันยายน ต้องบังคับการใช้น้ำตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมของปีก่อน เมื่อส้มโอแสดงอาการขาดน้ำโดยใบเริ่มเหี่ยวเฉา (ประมาณ 20 วันหลังจากงดให้น้ำ) ก็ให้น้ำอย่างเต็มที่ ประมาณต้นเดือนมกราคมส้มโอจะเริ่มแตกใบอ่อนพร้อมทั้งออกดอก ช่วงนี้ควรมีการดูรักษากันเป็นพิเศษ จนเมื่อติดผลไปแล้วค่อยดูแลรักษาตามปกติเหมือนกับส้มที่ติดผลในฤดูปกติ จนครบ 8 เดือน ส้มโอก็แก่พอที่จะเก็บผลได้ซึ่งตรงกับช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนพอดี สับปะรด สับปะรด เป็นพืชใบเดี่ยวจำพวกไม้เนื้ออ่อนที่มีอายุหลายปี สามารถปลูกได้ในพื้นที่แทบทุกแห่งของประเทศไทย แหล่งปลูกสับปะรดที่สำคัญอยู่ในบริเวณพื้นที่ใกล้ทะเล เช่น แถบจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และจังหวัดทางภาคใต้เช่น ภูเก็ต พังงา ชุมพร ซึ่งนิยมปลูกเป็นพืชแซมในสวนยางพารา สับปะรดที่ปลูกกันทั่วไปนั้นมักจะออกผลทยอยกันตลอดปี และในปีหนึ่ง ๆ จะมีช่วงที่สับปะรดออกดอกและให้ผลมากอยู่ 2 ช่วงคือช่วงแรกสับปะรดจะออกดอกประมาณปลายเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์และจะเก็บผลได้เดือนเมษายนถึงมิถุนายนและช่วงที่สองจะออกดอกประมาณเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมและจะเก็บผลได้ในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม หากมีการปล่อยให้สับปะรดออกดอกตามธรรมชาติแล้วจะพบว่าการติดผลและเก็บผลจะไม่พร้อมกัน ซึ่งเป็นปัญหาที่ยุ่งยากมากในการเก็บเกี่ยวและการเลี้ยงหน่อในรุ่นต่อไป นอกจากนี้การออกดอกของสับปะรดตามธรรมชาติจะทำให้มีผลผลิตออกมาปริมาณมากในช่วงเดียวกัน ซึ่งทำให้สับปะรดที่ออกมาในช่วงดังกล่าวมีราคาที่ต่ำมาก ดังนั้นหากมีการบังคับให้สับปะรดออกดอกและให้ผลก่อนหรือหลังฤดูปกติ ทำให้สับปะรดมีราคาสูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของสวนสับปะรดต้องการหรือปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน อย่างไรก็ตามในการบังคับให้สับปะรดออกดอก และให้ผลก่อนหรือหลังฤดูปกตินั้นย่อมจะต้องมีปัจจัยต่าง ๆ คอยควบคุมอยู่ ปัจจัยที่นับว่าสำคัญมาก ได้แก่สภาพความสมบูรณ์ของต้นสับปะรด มีขนาดเล็กเกินไปการบังคับจะทำไม้ได้ผลเนื่องจากต้นสับปะรดยังไม่มีความพร้อมหรือความสมบูรณ์พอหรือถ้าออกดอกได้จะทำให้ผลมีขนาดเล็ก สำหรับสับปะรดที่พร้อมจะทำการบังคับนั้นต้องเป็นสับปะรดที่มีความสมบูรณ์ โดคนต้นจะต้องอวบใหญ่ มีน้ำหนักของต้นประมาณ 2.5 กิโลกรัมขึ้นไปหรือมีใบมากกว่า 45 ใบ หรือมีอายุได้ 7-8 เดือน ต้องทำหลังจากการใส่ปุ๋ยทางดินอย่างน้อย 3 เดือน และสามารถคำนวณระยะเก็บเกี่ยวได้ โดยนับตั้งแต่บังคับให้ออกดอกไปประมาณ 160 วัน ชนิดของสารที่ใช้บังคับให้สับปะรดออกดอกและวิธีการใช้ 1. ถ่านแก๊สหรือแคลเซียมคาร์ไบด์ เป็นสารเคมีที่ชาวสวนนิยมใช้กันมากเพราะหาง่ายและราคาไม่แพง มีวิธีการใช้ด้วยกัน 3 วิธีคือ วิธีที่ 1 ป่นถ่านแก๊สให้เป็นเม็ดขนาดเท่าปลายก้อย แล้วหยอดลงไปที่ยอดสับปะรด จากนั้นจึงหยอดน้ำตามลงไปประมาณ 50 ซี.ซี. (ประมาณ ¼ กระป๋องนม) หรืออาจจะดัดแปลงโดยป่นถ่านแก๊สป่นประมาณ 0.5-1.0 กรัมต่อต้น (ใน 1 ไร่จะใช้ถ่านแก๊สประมาณ 1-2 กิโลกรัม) วิธีนี้มักจะทำให้ช่วงหลังฝนตก เพราะมีความสะดวกและประสิทธิภาพการใช้ถ่ายแก๊สจะดีกว่าช่วงอื่น อย่างไรก็ตามวิธีที่ 1 นี้ มีข้อเสียคือสิ้นเปลืองเวลาและแรงงานมากเพราะต้องมีคนใส่ถ่ายแก๊สคนหนึ่ง และหยอดน้ำตามอีกคนหนึ่ง วิธีที่ 2 ใช้ถ่านแก๊สละลายน้ำ โดยใช้ถ่านแก๊สประมาณ 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 1-2 ปี๊บ แล้วหยอดลงไปที่ยอดสับปะรดต้นละ 50 ซี.ซี. (1 กระป๋องนม หยอดได้ 4 ต้น) วิธีนี้เหมาะมากถ้าทำในช่วงฤดูแล้ง เพราะสามารถทำได้รวดเร็วแต่วิธีนี้มีข้อเสียอยู่บ้างคือ สิ้นเปลืองถ่านแก๊สมาก วิธีที่ 3 ใช้ถ่านแก๊สใส่ลงไปในกรวย แล้วเทน้ำตามลงไปเพื่อให้น้ำไหลผ่านถ่านแก๊สในกรวย ลงไปยังยอดสับปะรด วิธีนี้ไม่ค่อยปฏิบัติกันเนื่องจากให้ผลไม่แน่นอนและไม่สะดวกในการปฏิบัติ หลังจากหยอดถ่านแก๊สไปแล้วประมาณ 45-50 วัน จะสังเกตเห็นดอกสีแดง ๆ โผล่ขึ้นมาจากยอดสับปะรด นับจากนั้นไปอีก 4-5 เดือน จะสามารถตัดสับปะรดแก่ไปขายหรือนำไปบริโภคได้ ซึ่งผลสับปะรดที่เก็บเกี่ยวนี้จะแก่ก่อนกำหนดประมาณ 2 เดือน ดังนั้นถ้านำไปขายก็จะได้ราคาที่สูงกว่าปกติ การใช้ถ่านแก๊สบังคับให้สับปะรดออกดอกก่อนฤดูกาลนี้มีผู้ปลูกบางรายลงความเห็นว่า การใช้ถ่านแก๊สนอกจากจะสิ้นเปลืองแรงงานหรือต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นแล้ว ยังมีผลทำให้การเกิดหน่อของสับปะรดมีน้อยกว่าปกติหรืออาจจะไม่มีหน่อเลยและที่เห็นได้ชัดเจนก็คือขนาดของผลเล็กลง ทำให้หนักผลสับปะรดเฉลี่ยต่อไร่ลดลงด้วย นอกจากนี้แล้วสับปะรดที่ใช้ถ่ายแก๊สนี้จะเก็บผลไว้ได้ไม่นานคือเพียง 3-5 วันเท่านั้น หากเก็บไว้นานกว่านี้สับปะรดจะไส้แตก เนื้อจะน่า รสชาติจะเปลี่ยนไป และหากมีการใช้ถ่านแก๊สมากเกินไปจะทำให้ยอดสับปะรดเหี่ยว ชะงักการเจริญเติบโตทำให้ต้นตายได้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตและลงความเห็นของเกษตรกรบางรายเท่านั้น และคิดว่าปัญหาเหล่านี้คงจะหมดไป ถ้าหากนักวิชาการเกษตรหันมาให้ความสนใจและหาวิธีป้องกันหรือวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมต่อไป 2. เอทธิฟอน เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติในการปล่อยก๊าซเอทธิลีนออกมาโดยตรง เมื่อเอทธิฟอนเข้าไปในเนื้อเยื่อสับปะรดจะแตกตัวปล่อยเอทธิลีนออกมาเอทธิลีนจะเป็นตัวชักนำให้เกิดการสร้างตาดอกขึ้น ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดมี 2 ชนิด คือ 1. ชนิดเข้มข้น มีสารออกฤทธิ์ 39.5% บรรจุในถุงพลาสติกขนาด 1 แกลลอนโดยใช้อัตรา 17-30 ซี.ซี. ผสมน้ำ 1 ปี๊บและปุ๋ยยูเรีย 350-500 กรัมให้หยอดต้นละ 60 ซี.ซี. (กระป๋องนมละ 4 ต้น) 2. ชนิดที่ผสมให้เจือจางแล้วบรรจุในขวดพลาสติกขนาด 1 ลิตร มีชื่อการค้าว่า อีเทรล ใช้ในอัตรา 60-120 ซี.ซี. ผสมน้ำ 1 ปี๊บและปุ๋ยยูเรีย 350-500 กรัมให้หยอดต้นละ 60 ซี.ซี. (กระป๋องนมละ 4 ต้น) ปริมาณการใช้เอทธิฟอนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับฤดูกาลและขนาดของต้นสับปะรดด้วยกล่าวคือ ถ้าหยอดในช่วงเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมหรือต้นสมบูรณ์มากให้ใช้ในปริมาณมากขึ้น หรือหากจำเป็นต้องหยอดยอดในตอนกลางคืนช่วงที่มีอากาศร้อนอบด้าวให้ใช้ปริมาณเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว 3. ฮอร์โมน เอ็น.เอ.เอ. หรือที่มีขายกันตามท้องตลาดในชื่อการค้าว่า แพลนโนฟอกซ์ใช้ในอัตรา 50 ซี.ซี. ผสมน้ำ 200 ลิตร และปุ๋ยยูเรีย 4-5 กิโลกรัม หยอดไปที่ยอดสับปะรด อัตรา 60 ซี.ซีต่อต้น สามารถบังคับให้สับปะรดออกดอกก่อนฤดูได้เช่นกัน ข้อควรคำนึงในการบังคับให้สับปะรดออกดอกนอกฤดูกาล 1. การบังคับให้สับปะรดออกดอก ควรทำในตอนเข้าหรือตอนเย็น หรือในเวลากลางคืน ซึ่งจะทำให้เปอร์เซ็นต์การออกดอกมีมากขึ้น 2. เตรียมสารและผสมสารไว้ในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อใช้ในครั้งหนึ่ง ๆ นั้นควรผสมสารไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ตัวยาบางชนิดเสื่อมคุณภาพ 3. ถ้าหากฝนตกในขณะที่ทำการหยอดสารหรือภายใน 6 ชั่วโมงหลังจากหยอดสาร จะต้องหยอดสารใหม่ 4. ควรทำการบังคับหรือหยอดสารซ้ำอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่หยอดครั้งแรกไปแล้ว 7 วัน ทั้งนี้เพื่อให้การหยอดสารได้ผลแน่นอนขึ้น 5. หลังจากหยอดสารไปแล้ว ถ้าสับปะรดต้นไหนเป็นโรคโคนเน่าหรือไส้เน่าก็ให้ใช้ยา อาลีเอท หยอดหรือฉีดพ่นที่ต้นในอัตรา 30 ซี.ซี. ต่อต้นซึ่งสามารถรักษาโรคนี้ได้ดี 6. ถ้าต้องการเร่งให้ผลสับปะรดโต ควรใช้ฮอร์โมนแพลนโนฟิกซ์อัตรา 50 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมปุ๋ยเกล็ดสูตร 20-20-20 จำนวน 50 กรัม ราดหรือฉีดพ่นให้ทั่วทั้งผล ในขณะที่ผลมีขนาดเท่ากำปั้น และกระทำทุก ๆ 30-45 วัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขนาดและน้ำหนักของผล ทำให้เก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้น 7. กรณีที่ต้องการยืดอายุการเก็บเกี่ยวออกไปอีก ก็ให้ฉีดพ่นฮอร์โมนแพลนโนฟิกซ์ อัตรา 100 ซี.ซี. ผสมน้ำ 200 ลิตร และผสมปุ๋ยเกล็ดสูตร 20-20-20 จำนวน 500 กรัม ฉีดพ่นให้ทั่วผลสับปะรดก่อนที่ผลสับปะรดจะแก่หรือสุกประมาณ 15 วัน ทำให้ผู้ปลูกทยอยเก็บเกี่ยวผลสับปะรดได้ทันทั้งไร่ ทั้งยังช่วยเพิ่มขนาดและปรับปรุงคุณภาพของสับปะรดที่เก็บเกี่ยวล่าช้านี้ให้ดียิ่งขึ้น น้อยหน่า น้อยหน่า จัดเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่ทำรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกได้ดีพอควร ทั้งนี้เนื่องจากรูปร่าง สีสัน และรสชาติ ตรงกับรสนิยมของผู้บริโภค และเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ แหล่งปลูกน้อยหน่าในประเทศที่สำคัญอยู่แถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ โดยเฉพาะอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมานั้นจัดได้ว่าเป็นแหล่งปลูกที่ใหญ่ที่สุด ส่วนในภาคอื่น ๆ มีการปลูกน้อยหน่ากันบ้าง แต่เป็นการปลูกเพื่อใช้บริโภคภายในครัวเรือนเสียมากกว่า การปลูกน้อยหน่าในปัจจุบันนี้ได้รับการพัฒนาไปมาก ทั้งทางด้านวิชาการและเทคโนโลยี ใหม่ ๆ จนทำให้น้อยหน่าที่ปลูกในระยะหลังนี้มีผลโต เนื้อมาก เมล็ดน้อย รสชาติหวานอร่อย และที่สำคัญก็คือสามารถบังคับให้น้อยหน่าออกดอกนอกฤดูกาลได้ด้วย ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธีคือ การบังคับให้น้อยหน่าออกดอกก่อนฤดูปกติ วิธีนี้เหมาะกับสวนที่มีระบบการให้น้ำดีและมีน้ำใช้ตลอดปี หากมีน้ำไม่เพียงพอหรือระบบการให้น้ำไม่ดี การบังคับให้น้อยหน่าออกดอกก่อนฤดูจะกระทำไม้ได้ผล วิธีนี้มีข้อดีคือสามารถกำหนดช่วงการแก่และเก็บผลได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการให้ผลแก่ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีน้อยหน่าออกมาขายในตลาดน้อยและมีราคาสูงเราสามารถกระทำได้โดยปฏิบัติเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. เดือนสิงหาคม บำรุงให้ต้นน้อยหน่าสมบูรณ์โดยใส่ปุ๋ยเกรด 1 : 3 : 3 เช่นสูตร 8-24-24 พร้อมกับให้น้ำ ต่อจากนั้นก็ปล่อยให้พักตัวประมาณ 1 เดือน2. เดือนกันยายน ทำการตัดแต่งกิ่งทันที โดยกิ่งที่ทำการตัดแต่งนั้นควรเป็นกิ่งที่อยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 1 ½ -2 เมตร ขนาดของกิ่งถ้าเล็กกว่า ½ ซม. ควรตัดออกให้หมดแต่ถ้ามีขนาดใหญ่กว่า ½ ซม. ให้ตัดเหลือปลายกิ่งไว้ประมาณ 15 ซม. หากปลายกิ่งใดมีสีเขียวอยู่ก็ให้ตัดออกให้หมด เหลือเพียงกิ่งสีน้ำตาลไว้เท่านั้นและหากมีกิ่งกระโดงหรือกิ่งแขนงที่แตกใกล้ระดับพื้นดินต้องตัดออกให้หมดเช่นกัน 3. ปลายเดือนกันยายน หลังจากทีได้ตัดแต่งกิ่งไปแล้วประมาณ 20 วัน ต้นน้อยหน่าเริ่มแตกใบอ่อนและออกดอกมาให้เห็น ช่วงนี้ควรมีการให้น้ำตามปกติ4. เดือนตุลาคม ประมาณ 31-45 วันต่อมาดอกจะบาน ส่วนการให้น้ำก็ปฏิบัติเช่นเดิม5. เดือนพฤศจิกายน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลมีขนาดเท่าหัวแม่มือ ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 เพื่อบำรุงผลให้เจริญเติบโตเต็มที่6. เดือนธันวาคม เมื่อผลมีขนาดโตเท่าไข่ไก่ควรใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-13 เพื่อให้ผลมีคุณภาพดีขึ้น7. เดือนกุมภาพันธ์ ผลแก่สามารถเก็บไปจำหน่ายได้ ซึ่งตรงกับช่วงที่น้อยหน่ามีราคาแพงพอดี หากไม่ใช้วิธีตัดแต่งกิ่งอาจใช้สารเคมีแทนก็ได้โดยใช้สารเคมีพวกพาราควอท (ชื่อการค้าว่า กรัมม๊อกโซน , น๊อกโซน, แพลนโซน) ให้ใช้ในอัตราความเข้มข้น 0.05-0.1 เปอร์เซ็นต์ (ของเนื้อสาร) ในปริมาณ 41-82 ซี.ซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ) ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้น จะทำให้ใบร่วงหมดภายในเวลา 7-10 แต่การฉีดสารเคมีนี้ต้องระวังไม่ฉีดในขณะที่ต้นน้อยหน่าแตกกิ่งหรือใบอ่อน เพราะจะทำให้กิ่งหรือใบไหม้ได้ การบังคับให้น้อยหน่าออกดอกในฤดูปกติและหลังฤดูปกติอีกบางส่วน การปฏิบัติเหมือนกับที่ทำในฤดูปกติ คือจะตัดแต่งกิ่งในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ และเลือกตัดแต่งกิ่งที่ไม่มีผลติด ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า 5 ม.ม. และจะติดผลประมาณเดือนเมษายน ต่อมาประมาณเดือนพฤษภาคมจะทำการตัดแต่งกิ่งอีกครั้ง โดยทำการตัดปลายกิ่งออกเฉพาะช่วงที่มีสีเขียวและให้เหลือเฉพาะส่วนที่เป็นสีน้ำตาลปนเขียว หลังจากนั้นให้รูดใบของกิ่งที่ตัดออกให้หมด กิ่งพวกนี้จะแตกใบใหม่พร้อมกับมีดอกออกมาอีก 1 รุ่น ซึ่งนุร่นที่ 2 นี้จะเก็บผลขายได้ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีผลไม้อื่นออกมามากนักเลยทำให้ขายได้ราคาสูงการทำให้น้อยหน่าออกดอกหลังฤดูปกติอีกครั้งหนึ่งนั้น ควรมีการใส่ปุ๋ยเพิ่มเข้าไปด้วย โดยเฉพาะปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เช่น ปกติใส่ปุ๋ยคอกต้นละ ½ - 1 ปี๊บ ควรเพิ่มปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 15-15-15 อีกต้นละ 2 กก. จะช่วยให้ผลน้อยหน่ามีขนาดใหญ่และคุณภาพของผลดียิ่งขึ้น ลิ้นจี่ ในบรรดาผลไม้ที่ประชาชนนิยมบริโภคและให้ความสนใจในขณะนี้ ลิ้นจี่เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะมีลักษณะของผล มีรสและกลิ่นที่ชวนให้รับประทาน และที่สำคัญก็คือมีราคาค่อนข้างแพง โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมนั้น เป็นช่วงที่ลิ้นจี่มีราคาแพงมาก เนื่องจาก ลิ้นจี่ออกสู่ตลาดน้อยและเป็นช่วงต้นฤดูนั่นเอง และหากลิ้นจี่พันธุ์ใดที่ผลแก่ในเดือนเมษายนและมีคุณภาพดี จะมีการนับผลขายเลยทีเดียว จากสถิติการผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลของพันธุ์ฮงฮวยต่อหนึ่งกิโลกรัม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524-2527 มีดังนี้ ปี พ.ศ. ราคาปกติ (บาท) ราคานอกฤดูกาล (บาท) 2524 25 150 2525 30 150-200 2526 35 150-200 2527 35 100-150 จากสถิติดังกล่าว เป็นเหตุจูงใจให้เกษตรกรที่ปลูกลิ้นจี่พยายามผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลกันมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลย่อมมีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องและควบคุมอยู่ซึ่งปัจจัยเหล่านั้นได้แก่ 1. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการออกดอก หากมองอย่างผิวเผินแล้วจะเห็นได้ว่า การผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลนั้นจะต้องอาศัยลักษณะความสูงของพื้นที่และสภาพอุณหภูมิต่ำเป็นประการสำคัญ จากการศึกษาถึงสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการออกดอกของลิ้นจี่ปรากฏว่า การออกดอกของลิ้นจี่จะต้องอาศัยสภาพพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก ๆ เช่นสภาพพื้นที่บนเขาหรือพื้นที่ที่มีความสูงเกิน 800 เมตรขึ้นไป และจะต้องอาศัยช่วงอากาศหนาวเย็นในระยะก่อนออกดอกในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 120-200 ชั่วโมง 2. สภาพความสมบูรณ์ของต้นลิ้นจี่ เป็นที่น่าสังเกตว่าสวนลิ้นจี่ที่ปลูกบนพื้นที่สูงที่มีการผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลนั้น ลิ้นจี่จะไม่มีการออกดอกติดผลทุกต้นแม้จะมีสภาพแวดล้อมที่เหมือนกันก็ตาม ทั้งนี้เกิดจากลิ้นจี่มีความสมบูรณ์ของต้นไม่เท่ากันและมีการเจริญเติบโตที่ไม่ได้จังหวะพอดีกับการแตกตาดอก และเป็นที่ทราบกันดีว่าการเจริญเติบโตของต้นลิ้นจี่นั้น สามารถดูได้จากใบลิ้นจี่ที่แตกออกมา ซึ่งปกติแล้วลิ้นจี่จะแตกใบอ่อนปีละ 3 ครั้งคือในฤดูฝน 2 ครั้งและในฤดูแล้งอีก 1 ครั้งโดยในแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 60 วัน และจากสภาพที่ลิ้นจี่มีการแตกใบอ่อนไม่พร้อมกัน และเจริญเติบโตไม่เท่ากันกล่าวคือในบางต้นมีใบแก่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันอีกต้นหนึ่งกำลังแตกใบอ่อนอยู่ ดังนั้น เมื่อมีการออกดอกและติดผล จึงไม่พร้อมกันหรือในบางต้นอาจะไม่มีการออกดอกหรือติดผลเลยก็ได้ 3. พันธุ์ พันธุ์ลิ้นจี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการออกดอก ทั้งนี้เพราะลิ้นจี่พันธุ์ต่างกัน มีความต้องการความหนาวเย็นของอากาศเพื่อการออกดอกที่ไม่เท่ากัน กล่าวคือ1. พันธุ์ลิ้นจี่ที่ต้องการความหนาวเย็นของอากาศนานกว่า 100 ชั่วโมงก่อนการออกดอกได้แก่ พันธุ์ค่อม , กิมจี้ , โอเฮี๊ยะ , ไทยใหญ่ และไทยธรรมดา เป็นต้น2. พันธุ์ลิ้นจี่ที่มีความต้องการความหนาวเย็นของอากาศนานประมาณ 120-140 ชั่วโมงการออกดอกเช่น พันธุ์สาแหรกทอง และพันธุ์กะโหลกต่าง ๆ3. พันธุ์ลิ้นจี่ที่ต้องการความหนาวเย็นของอากาศนานประมาณ 150-170 ชั่วโมงก่อนการออกดอกได้แก่พันธุ์โฮงฮวย , ฮ่องกง , กิมเจง , จูบีจี้ , เขียวหวาน , กระโถน , สำเภาแก้ว เป็นต้น4. พันธุ์ลิ้นจี่ที่ต้องการความหนาวเย็นของอากาศนานประมาณ 200 ชั่วโมงก่อนการออกดอกได้แก่ พันธุ์กวางเจา และพันธุ์จักรพรรดิ 4. อัตราส่วนระหว่างคาร์โบไฮเดรตต่อไนโตรเจน (C/N ratio) การผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลนั้น สิ่งที่นำมาพิจารณาคืออัตราส่วนระหว่างคาร์โปไฮเดรตและไนโตรเจน ซึ่งเป็นที่ทราบกันแล้วว่า ถ้าอัตราส่วนระหว่างคาร์โบไฮเดรตต่อไนโตรเจนมีปริมาณที่เท่า ๆ กันเช่น 2:2 ลิ้นจี่จะแตกตาใบขึ้น แต่ถ้าอัตราส่วนระหว่างคาร์โบไฮเดรตต่อไนโตรเจนแตกต่างกันเช่น 3:1 ลิ้นจี่จะแตกตาดอก จากหลักการดังกล่าวนี้ หากมีการลดอาหารจำพวกไนโตรเจน โดยงดให้น้ำหรือไม่ปล่อยน้ำเข้าสู่ระบบรากของลิ้นจี่ ลิ้นจี่จะแตกตาดอกได้ง่ายและเร็วกว่าปกติด้วย ลิ้นจี่ที่ออกผลนอกฤดูกาลจะฟอร์มตาดอกในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นเหมาะต่อการสะสมอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต และในขณะเดียวกันหากสถานที่ปลูกมีความลาดเทมาก น้ำไม่ขังเวลาฝนตกจะเป็นการลดอาหารพวกไนโตรเจนไปในตัว จึงทำให้ลิ้นจี่มีฮอร์โมนที่สร้างตาดอกขึ้น ดังนั้นพอถึงเดือนกรกฎาคมลิ้นจี่จึงตั้งช่อดอกและจะติดผลในช่วงเดือนสิงหาคม ผลจะใหญ่และแก่ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงมกราคม ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลปีใหม่พอดี ดังนั้นลิ้นจี่ที่ออกผลในช่วงนี้จึงขายได้ในราคาสูงกว่าปกติมากอย่างไรก็ตาม การผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลย่อมจะมีปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่น มักมีแมลงเข้ามากินหรือทำลายผลลิ้นจี่เสมอ นอกจากนี้ก็มีศัตรูอื่น ๆ เข้าทำลายอีกเช่น ค้างคาวหรือนก ซึ่งเข้ามากัดกินผล และโดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่มีปัจจัยต่อการออกดอกของลิ้นจี่นั้นนับได้ว่าเป็นปัญหาที่สำคัญมาก ทั้งนี้เพราะการปลูกลิ้นจี่หรือพืชอื่น ๆ ย่อมจะต้องอาศัยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมเป็นหลัก เช่น ดิน ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีความแปรปรวนไปได้ง่าย ดังนั้น ถ้าหากปัจจัยเหล่านี้มีความแปรปรวนไปมาก ๆ ทำให้การผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาลไม่ประสบผลสำเร็จได้ ฉะนั้นก่อนที่จะมีการผลิตลิ้นจี่นอกฤดูกาล เกษตรกรควรได้ศึกษาถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวแล้วเพื่อเป็นปัจจัยพื้นฐาน พร้อมทั้งอาจจะประยุกต์วิธีการและขั้นตอนบางอย่างเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่จะปฏิบัติต่อไป องุ่น สำหรับราคาของผลองุ่นในสมัยก่อนนั้นนับว่าแพงมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพของประชาชน จนถึงกับมีคำกล่าวว่า “คนซื้อไม่ได้กิน คนกินไม่ได้ซื้อ” เพราะมักจะซื้อเป็นของฝากให้เจ้านายหรือญาติผู้ใหญ่มาก ส่วนคนซื้อเองไม่กล้ากิน ปัจจุบันถึงแม้ราคาจะไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับค่าครองชีพของประชาชน แต่ก็จัดว่าเป็นผลไม้ที่มีราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับบรรดาผลไม้ทั่วไป และราคาจะแพงยิ่งขึ้นถ้ามีองุ่นนอกมากในช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีผลไม้อื่นออกมาน้อย ด้วยเหตุนี้ชาวสวนองุ่น โดยเฉพาะแถวอำเภอบ้านแพ้ว อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอสามพราน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม และอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี พยายามบังคับองุ่นเพื่อให้ออกผลในช่วงนี้กันมาก โดยใช้วิธีการตัดแต่งกิ่งร่วมกับการดูแลรักษาที่ค่อนข้างพิถีพิถัน องุ่นเป็นผลไม้ที่มีรสดี ราคาแพง ปลูกกันมานานกว่า 5,000 ปีแล้ว สามารถขึ้นได้ดีทั้งในเขตร้อน อบอุ่นและหนาว สำหรับประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าถูกนำเข้ามาปลูกในสมัยใด แต่พอจะเชื่อได้ว่าในสมัยราชกาลที่ 5 พระองค์ท่านได้นำพันธุ์ไม้แปลง ๆ จากต่างประเทศที่เสด็จประพาสไปนั้นมาปลูกในประเทศไทยเชื่อว่ามีองุ่นรวมอยู่ด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการปลูกองุ่นกันบ้าง แต่ผลองุ่นที่ได้มีรสเปรี้ยวการปลุกองุ่นจึงซบเซาลงไป จนในปี 2493 ได้เริ่มมีการปลูกองุ่นกันอย่างจริงจัง และในปี 2497 ได้นำพันธุ์องุ่นมาจากยุโรป ซึ่งปลูกได้ผลดีเป็นที่น่าพอ นับตั้งแต่นั้นมาการปลูกองุ่นในประเทศไทย จึงได้แพร่หลายขึ้น การที่ชาวสวนจะบังคับให้องุ่นออกผลในช่วงธันวาคมถึงเมษายน นั้น ชาวสวนจะต้องทำการตัดแต่งกิ่งตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีฝนตกชุกและมักมีปัญหาเรื่องโรคและแมลงระบาดอย่างรุนแรง ฉะนั้น ย่อมเป็นการเสี่ยงอยู่มิใช่น้อย แต่อย่างไรก็ตามหากชาวสวนมีการดูแลเอาใจใส่อย่างดี โดยมีการฉีดยาป้องกันโรคแมลงทุก ๆ 5-7 วัน และถ้าฝนตกมากอาจจะฉีดยาดังกล่าวทุก ๆ 2 วัน ถึงแม้จะเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ก็คุ้มกับผลตอนแทนที่จะได้รับ ขั้นตอนปฏิบัติในการบังคับให้องุ่นออกดอกนอกฤดูกาล การบังคับให้องุ่นออกดอกนอกฤดูกาลชาวสวนมักจะมีการปฏิบัติหลังจากที่ได้เก็บผลไปแล้ว โดยที่ชาวสวนจะต้องมีการบำรุงต้นให้มีความสมบูรณ์ มีการสะสมอาหารได้เพียงพอ และมีการป้องกันโรค แมลง เพื่อองุ่นจะได้มีความพร้อมและความสมบูรณ์ในการออกดอก ออกผลต่อไป ภายหลังจากที่ได้เก็บเกี่ยวผลเสร็จแล้ว ชาวสวนจะปล่อยให้ต้นองุ่นโทรมประมาณ 15-30 วัน แล้วจึงใส่ปุ๋ย โดยในตอนแรกใส่ปุ๋ยคอก พร้อมทั้งปุ๋ยน้ำทางในสูตรที่มีตัวกลางสูง เช่น สูตร 11-22-11 ฉีดพ่น 1 ครั้ง พร้อมทั้งเตรียมลอกเลนขึ้นจากท้องร่อง และตบแต่งคันร่องเพื่อรอการตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งองุ่นจะตัดเอากิ่งแขนงหรือกิ่งสาขาให้สั้นลง และให้มีตาองุ่นบนกิ่งแก่ และตัดกิ่งที่แพร่กระจายทับกันออก โดยให้เหลือตาองุ่นไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อจะได้แตกตาดอกและเจริญเป็นดอกเป็นผลต่อไป ซึ่งถ้าเป็นพันธุ์ไวท์มะละกาให้มีตาเหลือไว้ประมาณ 5-7 ตาต่อกิ่ง แต่ถ้าเป็นพันธุ์คาร์ดินัล จะตัดให้เหลือแค่ 3-5 ตาต่อกิ่งเท่านั้น เมื่อตัดแต่งกิ่งเสร็จ ชาวสวนองุ่นจะให้ปุ๋ยน้ำที่มีธาตุอาหารหลักคือ เอ็น พี เค (n p k) ให้สูตรตัวหน้าสูงเพื่อช่วยเร่งตาองุ่นให้ออกเร็วขึ้น เช่น ใช้สูตร 20-10-10 หรือสูตรอื่นที่ใกล้เคียงกันในอัตรา 70 กิโลกรัมต่อไร่ หรือขนาดร่อง 5 ตารางวาต่อปุ๋ย 10 กิโลกรัม โดยหว่านให้ทั่วทั้งร่อง การใส่ปุ๋ย ควรเลือกเวลาตอนบ่ายหรือตอนเข้าในขณะที่แสงแดดไม่แรงมากนัก หลังจากหว่านปุ๋ยแล้วต้องรดน้ำเพื่อให้ปุ๋ยละลายและรากขององุ่นจะดูดซึมเพื่อไปเลี้ยงลำต้นได้เร็วขึ้น ในระยะ 2-3 วันแรกหลังตัดแต่งกิ่งสำเร็จ ให้ฉีดปุ๋ยน้ำทางใบสูตรคือ กลางสูง เช่นสูตร 11-22-11 และอาหารเสริมทางใบ เพื่อเร่งให้องุ่นแทงช่อดอกออกมาพร้อมกับใบ โดยทำการฉีด 5-7 วันต่อครั้ง การฉีดพ่นปุ๋ยทางใบให้กับองุ่นนั้นจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการให้ทางดิน และเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายชาวสวนอาจจะผสมยาฆ่าแมลงและยาป้องกันกำจัดโรคราลงได้ด้วยก็ได้ ชนิดของสารเคมีที่ใช้ป้องกันกำจัดเชื้อราในสวนองุ่นที่ได้ผลดีได้แก่สารที่มีส่วนผสมของกำมะถันผงหรือสารประกอบทองแดง เช่น โซเน็บ มาเน็บ หรือยาที่มีธาตุสังกะสีเป็นองค์ประกอบ เช่น แคปแทน 50 ออร์โธไซด์ หรือ ไดเทนเอ็น 45 ส่วนยาฆ่าแมลงที่ใช้ได้ผลก็มีหลายชนิด และมีฤทธิ์การทำลายที่แตกต่างกันไป มีทั้งราคาถูกและราคาแพง ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาและการตัดสินใจของชาวสวนเอง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะทำการผสมสารต่าง ๆ ลงไปพร้อมกัน ชาวสวนควรศึกษาให้ละเอียดถึงการเข้ากันได้หรือไม่ได้ของสารเคมีเสียก่อนเพราะมิฉะนั้นแล้วการใช้สารครั้งนั้นอาจจะไม่ได้ผลหรือได้ผลในแง่ลบได้ ภายหลังจากที่ได้ตัดแต่งกิ่งไปได้ประมาณ 15-20 วัน ตาขององุ่นก็จะแตกใบใหม่ออกมาให้เห็น ถ้าเป็นฤดูร้อนและในฤดูฝนตาจะแตกเร็วกว่าประมาณ 15 วัน แต่ถ้าเป็นฤดูหนาว ตาจะแตกใบอ่อนช้าออกไปอีกประมาณ 20 วันขึ้นไป และโดยธรรมชาติขององุ่นเมื่อตาแตกใบอ่อนออกมาแล้ว ช่อดอกจะแทงออกมาด้วย ในขณะที่ดอกองุ่นกำลังบานหรือติด ชาวสวนอาจพิจารณาเด็ดตาดอกที่ไม่มีดอกทิ้งบ้าง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้องุ่นมีใบมากในช่วงนี้ หลังจากที่องุ่นแทงช่อดอกออกมาแล้วประมาณ 16-17 วัน ชาวสวนอาจจะเพิ่มคุณภาพขององุ่น โดยใช้ฮอร์โมน จิบเบอเรลลิน, เอ็น.เอ.เอ. หรืออาหารเสริมทางใบ เพื่อยืดช่อดอกองุ่นให้ยาวใหญ่ขึ้น แต่การใช้ฮอร์โมนยืดช่อดอก ชาวสวนจะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง และต้องรู้จักวิธีการใช้ เพราะหากใช้ผิดพลาดแล้วจะเกิดผลเสียหายต่อดอกและผลองุ่น เช่น ดอกยาวเกินไป ดอกร่วง หรือทำให้องุ่นไม่ติดผลได้ เมื่อองุ่นติดผลไปแล้ว ก็มีการปฏิบัติดูแลรักษาตามปกติ และโดยเฉพาะการฉีดยาป้องกันกำจัดโรค แมลง จะต้องกระทำสม่ำเสมอ อาทิตย์ละครั้ง หรืออาจจะฉีดพร้อมกับการให้อาหารเสริมทางใบด้วยก็ได้ จนกระทั่งผลองุ่นโตเต็มที่ เพื่อรอการเก็บเกี่ยวผลต่อไป ทุเรียน ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีราคาแพงมากเมื่อเทียมกับผลไม้ชนิดอื่น โดยเฉพาะถ้ามีการผลิตทุเรียนนอกฤดูอย่างเช่นในเดือนพฤษภาคมหรือหลังมิถุนายนไปแล้วราคาจะยิ่งแพงขึ้นไปอีกและยังหารับประทานได้ยาก ด้วยเหตุนี้ชาวสวนทุเรียนจึงพยายามทำทุเรียนนอกฤดูกันขึ้น ซึ่งมีทั้งที่ประสบผลสำเร็จและไม่ประสบผลสำเร็จ ที่ประสบผลสำเร็จและมีชื่อเสียงในขณะนี้ได้แก่ คุณประภัทรพงษ์ เวชชาชีวะ คุณโกเตียงกวง โกศัลล์วัฒนา และคุณสรรเสริญ ศรีพระยา สำหรับหลักการอย่าง กว้าง ๆ ในการผลิตทุเรียนนอกฤดูของเกษตรกรทั้ง 3 ท่านนี้ก็คือพยายามทำให้ปัจจัยภายในและภายนอก ต้นทุเรียนพร้อม จะออกดอกโดยมีการดูแลรักษาต้นทุเรียนทั้งในเรื่องของการตัดแต่งกิ่งใส่ปุ๋ย ให้น้ำ กำจัดวัชพืช และฉีดพ่นสารเคมีกำจัดโรคแมลง ทั้งนี้เพื่อให้ต้นทุเรียนมีความสมบูรณ์และมีความพร้อมที่จะออกดอกเมื่อถึงเวลาอันสมควร อย่างไรก็ตาม อุปสรรคในการผลิตทุเรียนนอกฤดูในขณะนี้ก็คือ การที่ไม่สามารถควบคุมปัจจัยบางอย่างในการออกดอกได้ โดยเฉพาะในเรื่องของสภาพฟ้าอากาศและความหนาวเย็น ยกตัวอย่างเช่น ในบางครั้งที่มีการผลิตทุเรียนนอกฤดูเกษตรกรหรือขาวสวนสามารถควบคุมหรือกำหนดปัจจัยพื้นฐานในการออกได้ อาทิเช่น มีการใส่ปุ๋ย ให้น้ำ ตัดแต่งกิ่ง และกำจัดวัชพืช จนกระทั่งทุเรียนมีความสมบูรณ์แต่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยให้ โอกาสที่ทุเรียนออกดอกออกผลมีน้อยมาก ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ต้นทุเรียนพร้อมออกดอกแต่มีฝนตกลงมา แทนที่ทุเรียนจะแทงตาดอกออกมาก็จะแตกตาใบขึ้นมาแทน หรือในกรณีที่มีปัจจัยต่าง ๆ อยู่พร้อม แต่ไม่มีสภาพความแห่งแล้งและอากาศหนาวเย็น โอกาสที่ทุเรียนออกดอกจะมีน้อยมากเช่นเดียวกัน ต่อไปนี้จะเป็นแนวคิดและวิธีปรับปัจจัยเพื่อให้ทุเรียนออกดอกนอกฤดูและทะวา ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คือ วิธีการที่ 1 เป็นแนวความคิดในเรื่องของการปรับปัจจัยต่าง ๆ เพื่อให้ต้นทุเรียนมีความสมบูรณ์และพร้อมที่จะออกดอก โดยวีการดังนี้คือ 1. การเร่งให้ต้นทุเรียนพร้อมที่จะออกผล การบังคับให้ทุเรียนออกผลนอกฤดูกาลนั้นจำเป็นต้องเร่งให้ทุเรียนมีความพร้อมเสียก่อน ในทางปฏิบัติจะทำได้โดยการใส่ปุ๋ยให้แก่ต้นทุเรียน ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุเรียนสมบูรณ์เร็วขึ้นและพร้อมที่จะออกดอกทันทีเมื่อกระทบอากาศเย็น การใส่ปุ๋ยให้กับต้นทุเรียนกระทำเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้ดังนี้ ก. การใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มผลผลิตและบำรุงต้นทุเรียน โดยให้ใส่ในช่วงเดือนพฤษภาคม ปุ๋ยที่ใส่ได้แก่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 3-4 กิโลกรัมต่อต้น การใส่ปุ๋ยให้แบ่งใส่ 2 ครั้งห่างกัน 2-3 สัปดาห์ การใส่ปุ๋ยในระยะนี้จะทำให้ผลทุเรียนมีคุณภาพดีสำหรับการให้ปุ๋ยทุเรียนในสวนที่มีระบบการชลประทานดีและมีน้ำอย่างเพียงพอ ให้เริ่มใส่ปุ๋ยตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ซึ่งมีข้อดีคือจะทำให้ขั้วทะเรียนเหนียวและไม่ร่วงง่าย แต่ถ้าทุเรียนแตกใบอ่อนแล้วให้ใส่ปุ๋ยเพิ่มเป็นสองเท่าและฉีดพ่นปุ๋ยทางใบสูตร 20-20-20 จำนวน 3 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 5-7 วัน จะทำให้ต้นทุเรียนไม่สลัดผลทิ้ง เพราะมีอาหารเพียงพอที่จะบำรุงต้นและผล ผลทุเรียนที่ได้จะมีขนาดโต ข. การใส่ปุ๋ยหลังการตัดแต่ง ภายหลังจากที่ได้ตัดแต่งกิ่งเรียบร้อยแล้วให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 2-3 กิโลกรัมต่อต้น โดยใส่ในช่วงเดือนกรกฏาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีฝนตกชุก จะทำให้ต้นทุเรียนเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วและจะมีความสมบูรณ์มากขึ้น ค. การใส่ปุ๋ยเพื่อเร่งให้ทุเรียนเตรียมออกดอก ในช่วงปลายฤดูฝน ประมาณเดือนกันยายน ให้ใส่ปุ๋ยเม็ดเพื่อกระตุ้นให้ทุเรียนออกดอกโดยใส่ปุ๋ยสูตร 6-24-24 อัตรา 2-3 กิโลกรัมต่อต้น จะทำให้ต้นทุเรียนสมบูรณ์และพร้อมที่จะออกดอก ง. การฉีดพ่นปุ๋ยและฮอร์โมนเร่งการออกดอกและผล ภายหลังจากที่ฝนหยุดตกและพื้นดินเริ่มแห้ง ให้ทำการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบแก่ทุเรียน ปุ๋ยที่นิยมฉีดให้ต้นทุเรียนได้แก่ปุ๋ยสูตร 10-52-17 จำนวน 2-3 ช้อนแกง ผสมน้ำ 20 ลิตร การฉีดพ่นปุ๋ยทางใบน้ำมีข้อดีคือ ทำให้ต้นทุเรียนได้รับน้ำไม่มากจนเกินไปพอที่จะทำให้ทุเรียนแตกใบอ่อนได้ นอกจากนี้มีชาวสวนบางรายใช้ฮอร์โมน เอ็น.เอ.เอ. ที่มีชื่อการค้าว่าแพลนโนฟิกซ์ ฉีดพ่นในอัตรา 3-5 ซี.ซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร ทุก ๆ 10-15 วัน ซึ่งการฉีดพ่นฮอร์โมนดังกล่าวจะช่วยให้ทุเรียนมีการสะสมอาหารจำพวกแห้งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ทุเรียนมีความพร้อมในการออกดอกและผลได้เร็วขึ้น 2. การปรับสภาพพื้นที่ภายในสวนให้เหมาะสมต่อการออกดอกและผล การปรับสภาพพื้นที่เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถช่วยเร่งให้ทุเรียนออกดอกได้เร็วขึ้น และควรทำพร้อมกับการใส่ปุ๋ยเพื่อสะดวกในการปฏิบัติงาน ในการปรับสภาพพื้นที่ภายในสวนนั้นควรปรับให้มีสภาพดังนี้ ก. ปรับพื้นที่ให้มีการระบายน้ำดี โดยธรรมชาติแล้วไม้ผลที่ขึ้นอยู่ในที่ดินดอนจะออกดอกได้ง่ายและเร็วกว่าต้นที่ขึ้นอยู่ในที่ลุ่ม และต้นที่ขึ้นอยู่ในที่ดินทรายจะออกดอกได้ง่ายกว่าต้นที่ขึ้นในที่ดินเหนียว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับสภาพพื้นดินเพื่อให้มีการระบายน้ำดี การปรับสภาพดังกล่าวจะทำให้ทุเรียนหยุดการเจริญทางกิ่งก้านและใบเพื่อเตรียมตัวสำหรับการออกดอกและออกผลต่อไป ข. ทำความสะอาดโคนต้นทุเรียน การทำความสะอาดโคนต้นทุเรียนให้กระทำก่อนที่จะหมดช่วงฤดูฝน โดยเก็บเศษใบไม้ ใบหญ้าออกให้หมด ซึ่งจะทำให้ดินบริเวณโคนต้นทะเรียนแห้งเร็วและมีอากาศถ่ายเทได้ดีรวมทั้งไม่เป็นแหล่งสะสมของโรคแมลง 3. ตัดแต่งกิ่งที่งอกออกมาใหม่ ภายหลังจากที่ชาวสวนเก็บผลผลิตหมดแล้วช่วงนี้มักจะมีกิ่งใหม่แตกออกมาเสมอ ดังนั้นจึงจำเป็นที่ชาวสวนจะต้องทำการตัดแต่งกิ่งเหล่านั้นทิ้งไปเสีย เพื่อช่วยรักษาทรงพุ่มให้โปร่งและไม่ต้องเปลืองธาตุอาหารโดยไม่จำเป็นสำหรับกิ่งที่ควรทำการตัดแต่งควรมีลักษณะดังนี้ 1. กิ่งที่เจริญออกจากโคนต้นจนถึงความสูง 1 เมตร ให้ตัดแต่งออกให้หมด 2. กิ่งที่เจริญออกจากลำต้นตั้งแต่ระดับความสูง 1 เมตรขึ้นไป ควรปล่อยให้มีการแตกสลับกัน ทั้งนี้เพื่อช่วยให้กิ่งเหล่านั้นไม่บังแสงซึ่งกันและกัน และระยะห่างของกิ่งที่แตกก็ใกล้เคียงกัน ซึ่งจะช่วยทำให้ทุเรียนมีการแตกใบนอกทรงพุ่มเหมือนกันหมด การตัดแต่งกิ่งแบบนี้จะช่วยให้แสงส่องเข้ามาในทรงพุ่มได้สะดวก ทั้งยังช่วยให้ต้นทุเรียนสมบูรณ์ ลดความรุนแรงของโรครากและโคนเน่าได้อันจะช่วยให้ทุเรียนออกดอกและติดผลได้เร็วกว่าฤดูปกติอีกด้วย วิธีการที่ 2 เป็นแนวความคิดของคุณโกเตียงกวง โกศัลล์วัฒนา เกษตรกรชื่อดังแห่งจังหวัดจันทบุรี มีวิธีปฏิบัติดังนี้ 1. การตัดแต่งกิ่ง การปลูกทุเรียนเพื่อให้มีผลดกมีคุณภาพดี จำเป็นจะต้องมีการตัดแต่งกิ่งทุกปี โดยทำในช่วงหลังจากเก็บเกี่ยวผลทุเรียนเสร็จแล้วประมาณ 15-20 วัน ซึ่งเป็นระยะที่ทุเรียนเข้าสู่ระยะการพักตัว และจะทำการตัดแต่งเฉพาะกิ่งที่เห็นว่าไม่มีประโยชน์เท่านั้นเช่น กิ่งที่เป็นโรค กิ่งแขนงหรือกิ่งที่แสงแดดส่งไม่ถึง การตัดแต่งกิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์ในแง่ที่ทุเรียนได้รับธาตุอาหารอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกระจายอาหารไปยังกิ่งทุกกิ่งบนต้นรวมถึงกิ่งที่ไม่มีประโยชน์ด้วย 2. การใส่ปุ๋ย การใส่ปุ๋ยทุเรียนสามารถกระทำได้ 2 วิธี คือ ก. การใส่ปุ๋ยทางดิน เป็นการใส่เพื่อให้ทุเรียนได้ใช้ธาตุอาการอย่างสม่ำเสมอในปริมาณที่พอเหมาะ โดยใช้ปุ๋ยที่มีสูตรตัวหน้าต่ำเช่นสูตร 9-24-24 สำหรับเหตุผลที่ใช่ปุ๋ยสูตร 9-24-24 แทนการใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ก็เพราะถ้าใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ซึ่งเป็นสูตรที่มีปุ๋ยไนโตรเจนสูง อาจทำให้ไนโตรเจนตกค้างอยู่ในดินเป็นปริมาณที่มาก ซึ่งมีผลถึงช่วงที่ทุเรียนออกดอก จะทำให้มีการแตกใบอ่อนออกมาได้ในทางปฏิบัติแล้วถ้าต้องการให้ทุเรียนแตกใบอ่อน เช่น ในกรณีต้องการให้ทุเรียนแตกใบอ่อนเร็ว เพื่อให้ทุเรียนมีใบแก่และพักตัวเร็วขึ้น จะใช้วิธีฉีดพ่นปุ๋ยทางใบเลย เพราะให้ผลดีกว่าและมีธาตุไนโตรเจนตกค้างอยู่ในดินในจำนวนที่น้อยมาก ข. การให้ปุ๋ยทางใบ การให้ปุ๋ยทางใบเป็นการให้ปุ๋ยเพื่อให้ต้นทุเรียนใช้ธาตุอาหารได้อย่างรวดเร็ว โดยปกติมักใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ ๆ เช่นสูตร 18-18-18 หรือ 20-20-20 แล้วเพิ่มด้วยจิบเบอร์เรลลิน ในอัตราส่วน 100 มิลลิกรัม (2 หลอด) ต่อน้ำ 200 ลิตร เพื่อต้องการเร่งให้ใบชุดแรกออกมาเร็ว ส่วนในครั้งต่อไปให้ใช้ ซีปลาสเอฟ อัตรา 30 ซี.ซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือใช้อีกสูตรหนึ่งแทนก็ได้คือ ดีซ (อาหารเสริม) 400 ซี.ซี. ปุ๋ยเก็ด (10-52-17) 400 กรัม โปแตสเซียมไนเตรท (13-0-46) 600 กรัม น้ำสะอาด 200 ลิตร การให้ปุ๋ยหรืออาหารเสริมทางใบนี้จะให้ 2 ครั้ง โดยฉีดพ่นดังนี้ครั้งที่ 1 ฉีดพ่นในช่วงทุเรียนเข้าสู่ระยะพักตัวไปจนกระทั่วทุเรียนออกดอกและดอกทุเรียนอยู่ในระยะไข่ปลา แล้วจึงหยุดฉีด (ควรจะฉีดครบรอบวงจรประมาณ 4-5 ครั้ง) ครั้งที่ 2 ฉีดเมื่อทุเรียนติดผลเท่ากับไข่ไก่และจะฉีดต่อไปทุก ๆ 15-20 วัน ในแต่ละครั้งที่ฉีดพ่นปุ๋ยทางใบอาจใส่ปุ๋ยทางใบเสริมด้วยก็ได้เพื่อให้ผลโตเร็วยิ่งขึ้น ปุ๋ยที่ใช้ได้แก่ปุ๋ยสูตร 12-12-17+2 การฉีดพ่นปุ๋ยหรืออาหารเสริมทางใบนี้ ควรจะปฏิบัติในช่วงที่ทุเรียนอยู่ในระยะใบเพสลาด ทั้งนี้เพราะทุเรียนจะปรับตัวได้ดี ทำให้มีการเก็บอาหารได้เพิ่มขึ้นและสามารถแทงตาดอกออกมาได้เร็วขึ้น ในกรณีที่ต้องการจะฉีดพ่นในช่วงใบอ่อนก็สามารถกระทำได้ แต่มีผลเสียกล่าวคือปุ๋ยที่ให้จะไปเลี้ยงใบให้เจริญมากเกินไปจนทำให้ตาดอกออกได้ช้า ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วไม่นิยมทำกัน 3. การให้น้ำ การให้น้ำนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งเป็นช่วงที่ทุเรียนกำลังติดดอก ฉะนั้นจึงควรมีการปฏิบัติด้วยความระมัดระวังและพิถีพิถันโดยมีวิธีการให้น้ำดังนี้ ระยะก่อนดอกทุเรียนบาน 15 วันไปจนถึงดอกบานแล้ว 15 วัน ควรให้น้ำจากปลายพุ่มใบเข้าไปประมาณ 1 เมตร โดยให้ในปริมาณที่เท่ากับจำนวนที่เคยให้การให้น้ำวิธีนี้จะทำให้มีเปอร์เซ็นต์การติดดอกดีขึ้นและทุเรียนจะติดดอกที่โคนกิ่งได้มากขึ้นซึ่งทำให้ไม่ต้องใช้ไม้ค้ำหรือโยงกิ่ง เหมือนกับกรณีที่ทุเรียนติดดอกบริเวณปลายกิ่งอย่างเช่นกรณีที่ให้น้ำด้วยวิธีอื่น ระยะต่อไป ให้นำไปจนถึงปลายพุ่มใบสำกรับความถี่ความบ่อยครั้งของการให้น้ำนั้น ให้สังเกตจากความชื้นของดินบริเวณโคนต้นเป็นหลัก ถ้าดินมีความชื้นสูงก็ไม่ควรให้น้ำ แต่ถ้าความชื้นในดินมีน้อยหรือดินแห้งก็เริ่มให้น้ำได้ การให้น้ำควรระวังอย่าให้น้ำถูกลำต้นทุเรียนเพราะจะเกิดโรคโคนเน่าได้ง่าย สำหรับอัตราการให้ปุ๋ยทางดินนี้จะขึ้นอยู่กับอายุของทุเรียนเป็นสำคัญ กล่าวคือทุเรียนอายุ 8-12 ปี ใส่ปุ๋ยในอัตรา 2-5 กิโลกรัมต่อต้นทุเรียนอายุ 13-19 ปี ใส่ปุ๋ยในอัตรา 3-4 กิโลกรัมต่อต้นทุเรียนอายุ 20-30 ปี ใส่ปุ๋ยในอัตรา 4.5-5 กิโลกรัมต่อต้น(การใส่ปุ๋ยจะใส่เพียงครั้งเดียงโดยใส่พร้อมกับการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบครั้งแรก) วิธีการที่ 3 เป็นแนวความคิดของคุณประภัทรพงษ์ เวชชาชีวะ ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงจากการผลิตทุเรียนกระดุมนอกฤดู สวนนี้เน้นในเรื่องพันธุ์และการดูแลรักษาโดยมีรายละเอียดดังนี้คือ 1. พันธุ์ พันธุ์ที่เน้นก็คือพันธุ์เบาที่ออกลูกง่าย ติดผลง่าย เช่น พันธุ์กระดุม กบแม่เฒ่า ก้านยาว ชะนี อีลวง สาวน้อยเรือนงาม เป็นต้น 2. การดูแลรักษา เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งและต้องกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยมีการปฏิบัติในเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้คือ 1. การตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งทุเรียนจะทำภายหลังจากที่ทุเรียนให้ผลและเก็บผลไปแล้ว โดยกิ่งที่ทำการตัดแต่งคือ กิ่งที่เป็นโรค กิ่งที่แสงแดดส่องไม่ถึงกิ่งน้ำค้าง กิ่งที่อ่อนแอหรือกิ่งที่ใกล้จะตาย และโดยเฉพาะกิ่งน้ำค้างนั้นเป็นกิ่งที่มีการเจริญเติบโตได้เร็ว และคอยแย่งน้ำ และอาหารจากลำต้น จึงจำเป็นต้องติดแต่งทิ้งทันที 2. การใส่ปุ๋ย หลังจากที่ได้เก็บเกี่ยวผลไปแล้วให้ใส่ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงเนื่องจากผลทุเรียนที่ตัดไปนั้น มีแป้งเป็นองค์ประกอบ และแป้งเหล่านั้นก็ได้มาจากอาหารพวกไนโตรเจน ดังนั้นเมื่อทุเรียนสูญเสียแป้งไปมาก ก็ต้องใส่ปุ๋ยไนโตรเจนเสริมเข้าไป ปุ๋ยที่ใส่เช่นสูตร 14-14-14 , 15-15-15, 16-16-16 หรือ 20-10-10 ก็ได้ จากนั้นก็ควรฉีดปุ๋ยยูเรียทางใบหรือทางราก เสริมอีกครั้งหนึ่งเมื่อถึงช่วงปลายฤดูฝนระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม พอฝนเริ่มทิ้งช่วงก็ให้ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ก่อนที่ทุเรียนจะออกดอก โดยใส่ปุ๋ยสูตรตัวหน้าต่ำเช่น สูตร 6-24-24 , 9-24-24 ซึ่งใช้กับดินทราย แต่ถ้าเป็นดินเหนียว ซึ่งมีโปแตสเซี่ยมสูงอยู่แล้ว ก็ใช้สูตร 1 : 2 : 1 เช่น 12-24-12 เพื่อให้ทุเรียนเตรียมพร้อมสำหรับการออกดอกต่อไป 3. การให้น้ำ การให้น้ำทุเรียนจะให้หลังจากที่ฝนทิ้งช่วงในระหว่างปลายฤดู คือ ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ทุเรียนมีการพักตัวและมีสภาพพื้นดินแห้งแล้ง อาจจะเป็น 10-18 วันก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับความสูงของพื้นที่ เช่น ถ้าพื้นที่มีความสูงมาก การให้น้ำก็จะเร็วขึ้น เมื่อเห็นว่าพื้นดินแห้ง ก็เริ่มให้น้ำ เพื่อกระตุ้นให้ทุเรียนเกิดตาดอก หลังจากให้น้ำไปแล้วต้องคอยสังเกตดูว่าทุเรียนแตกตาดอกหรือยัง ถ้ามีการแตกตาดอกแล้ว และเห็นว่าปริมาณดอกมีน้อยอยู่ก็ให้น้ำอีกครั้งหนึ่งในปริมาณน้อย ๆ ประมาณ 3-4 วันหลังจากนั้นก็จะเห็นดอกทุเรียนเพิ่มมากขึ้น เมื่อเห็นว่าดอกทุเรียนมีปริมาณเพียงพอแล้วก็ให้น้ำเต็มที่ทุกวัน แต่อย่างไรก็ตามปริมาณดอกทุเรียนจะมีมากหรือน้อยยังขึ้นอยู่กับ ความสมบูรณ์ของต้น การสะสมอาหาร การให้ปุ๋ย การปราบวัชพืชและการตัดแต่งกิ่งด้วย สำหรับวิธีการให้น้ำแก่ต้นทุเรียนนั้น อาจให้แบบสปริงเกลอร์ หรือใช้สายพลาสติกปล่อยน้ำไปที่โคนต้นก็ได้ ถ้าให้แบบสปริงเกลอร์ อาจจะให้วันเว้นวัน หรือทุกวันก็ได้ แต่ถ้าให้วันเว้นวัน ก็ควรให้ในปริมาณที่มากต่อครั้งหนึ่ง ๆ ถ้าให้แบบใช้สายพลาสติกปล่อยน้ำไปที่โคนต้นทุเรียน ก็ควรให้ประมาณ 5-6 วันต่อครั้ง 4. การฉีดยาป้องกันโรคแมลง โรคและแมลงนับว่าเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในการที่จะทำให้ทุเรียนออกดอกนอกฤดูกาล ทั้งนี้เพราะในกรณีที่มีการใส่ปุ๋ยไปแล้ว ทุเรียนจะเกิดใบอ่อนและในช่วงนี้จะมีแมลงมากัดกินเสมอ ดังนั้นปุ๋ยที่ใส่ให้ทุเรียนก็จะถูกแมลงเหล่านี้กินทางอ้อม ต้นทุเรียนก็ขาดความสมบูรณ์ ซึ่งจะมีผลไปถึงการออกดอกและติดผลต่อไป สำหรับโรคนั้นก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันคือ ในช่วงฤดูฝนในสภาวะที่มีอากาศชื้น ความชื้นสัมพันธ์สูงนั้น มักจะเกิดโรคระบาดในทุเรียนเสมอ โดยเฉพาะโรครากเน่าและโคนเน่า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการฉีดยาป้องกันและกำจัดอยู่เสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ต้นทุเรียนมีความสมบูรณ์และเตรียมพร้อมที่จะให้ดอกและติดผลต่อไป วิธีการที่ 4 เป็นแนวความคิดของคุณสรรเสริญ ศรีพระยา ซึ่งเป็นเกษตรกรจังหวัดจันทบุรีเช่นเดียวกัน สวนนี้จะเน้นในเรื่องการสร้างพื้นฐานทางดินและการใส่ปุ๋ยก่อน แล้วจึงเข้าไปสู่สรีระวิทยาของทุเรียนและมีสภาพฟ้าอากาศเป็นส่วนประกอบกล่าวคือ การใส่ปุ๋ย ทุเรียนเป็นพืชที่ต้องการปุ๋ยตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโต ช่วงออกดอกหรือหลังเก็บเกี่ยว แต่ชนิดของปุ๋ยที่ทุเรียนต้องการจะไม่เหมือนกัน ดังนั้น เราจึงต้องค้นหาว่า แต่ละช่วงทุเรียนต้องการปุ๋ยอะไร และให้ปุ๋ยเสริมจนเพียงพอที่จะออกดอก สำหรับชนิดของปุ๋ยที่ใช้ในสวนทุเรียนนั้นได้แก่ ปุ๋ยสูตร9-24-24 และอาหารเสริมทางใบ พอทุเรียนเริ่มออกดอกก็ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 พร้อมอาหารเสริมทางใบและปุ๋ยทางใบสูตร 10-52-17 การให้อาหารเสริมในช่วงที่ทุเรียนกำลังออกดอกและติดผลนี้มีความสำคัญมาก เพราะจะมีผลถึงการติดผลและการขยายขนาดของผลหรือความสมบูรณ์ของผล วิธีการที่ 5 เป็นการใช้สารเคมีเร่งดอกทุเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลทุเรียนก่อนฤดูหรือต้นฤดู ดังนั้นหากมีการผลิตทุเรียนออกมาจำหน่ายได้ในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม ก็จะจำหน่ายได้ในราคาสูงมาก สารที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเร่งดอกทุเรียนก็คือ สารพาโคลบิวทราโซล แต่วิธีการใช้สารที่เหมาะสมกับทุเรียนจะแตกต่างจากมะม่วงและมะนาว จากงานทดลองต่าง ๆ ของนักวิชาการสรุปได้ว่าการใช้สารพาโคลบิวทราโซลความเข้มข้น 1,000 พีพีเอ็ม พ่นต้นในระยะใบอ่อน จะทำให้ทุเรียนออกดอกได้ภายใน 2 เดือนหลังจากการพ่นสาร อย่างไรก็ตามในกรณีของทุเรียนนี้เรื่องความสมบูรณ์ของต้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าต้นไม่สมบูรณ์เพียงพอก็จะไม่ตอบสนองต่อสารนี้ เท่าที่มีการศึกษาเรื่องนี้ในปัจจุบัน พอสรุปได้ว่าพันธุ์ที่เติบสนองต่อสารได้ดีคือพันธุ์ชะนี ส่วนพันธุ์อื่นยังไม่มีข้อมูลที่เด่นชัด จึงยังไม่สามารถแนะนำให้ใช้กับพันธุ์อื่น เอกสารอ้างอิง การส่งเสริมการเกษตร คำแนะนำที่ 31 การปลูกลำไยการส่งเสริมการเกษตร คำแนะนำที่ 36 การปลูกส้มเขียวหวานการส่งเสริมการเกษตร คำแนะนำที่ 37 การปลูกสับปะรดการส่งเสริมการเกษตร คำแนะนำที่ 87 การปลูกองุ่นกองบรรณาธิการเคหการเกษตร 2531 การผลิตทุเรียนกระดุมนอกฤดู เคหการเกษตร ปีที่ 12 ฉบับที่ 135 เมษายน 2531กองบรรณาธิการฐานเกษตรกรรม 2529 ลู่ทางสู่การผลิตไม้ผลนอกฤดูกาล สหมิตรออฟเซท กรุงเทพฯกองบรรณาธิการโดลกเกษตร 2527 เคล็ดลับจอมยุทธทุเรียนทะวาย แห่งเมืองไทย โลกเกษตร ปีที่ 4 ฉบับที่ 17 มิถุนายน-กรกฎาคม 2527เกศินี ระมิงค์วงศ์ 2528 ไม้ผลเมืองร้อนภาควิชาพืชสวน คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่โกเตียงกวง โกศัลล์วัฒนา เอกสารเผยแพร่เรื่อง การทำทุเรียนออกดอกก่อนฤดูจินตนา เรืองฤทธิ์ และปัญญา โพธิฐิติรัตน์ 2530 สูตรการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร คณะวิชาเกษตรและอุตสาหกรรม สหวิทยาลัยรัตนโกสินทร์จันทรเกษมฉลองชัย แบบประเสริฐ 2526 น้อยหน่านอกฤดู ฐานเกษตรกรรม ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เมษายน 2526ไฉน ยอดเพชร 2529 การเจริญเติบโตและการพัฒนาของพืช คณะเกษตรศาสตร์บางพระ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการทวีศักดิ์ ด้วงทอง 2530 เทคนิคการทำให้ไม้ผลบางชนิดออกผลนอกฤดูกาล เกษตรยุคใหม่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟันนี่พลับบิชิ่ง กรุงเทพฯนายหมากแข้ง (นามแฝง) 2529 การดูแลรักษาลิ้นจี่หลังการเก็บเกี่ยวเพื่อให้ลิ้นจี่ติดดอกออกผลทุกปี โลกเกษตร ปีที่ 6 ฉบับที่ 28 พฤษภาคม-มิถุนายน 2529นิรนาม 2531 บีบมะนาวให้ออกดอกออกผลตามใจลูกค้า เกษตรชาวบ้าน ปีที่ 1 ฉบับที่ 5 พฤษภาคม 2531บุญเทือง โพธิ์เจริญ 2531 เอกสารโรเนียวเรื่อง ผลของสารพาโคลบิวทราโซลต่อการเจริญเติบโตทางกิ่งก้าน การออกดอกและการติดผลของมะนาวไข่ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขตเกษตรปทุมธานีประทีป กุณาศล เทคนิคการทำให้ผลไม้บางชนิดออกดอกนอกฤดูกาล เอกสารเผยแพร่ฝ่ายฝึกอบรม สถาบันวิจัยพืชสวนประทีป กุณาศล 2528 องุ่น วิทยาสารสถาบันวิจัยพืชสวน ปีที่ 8 ฉบับที่ 5 กันยายน 2528ประทีป กุณาศล 2529 ทำอย่างไรให้มะม่วงออกดอกก่อนฤดู เกษตรอุตสาหกรรม ปีที่ 2 ฉบับที่ 15 กันยายน 2529แผนกเคมีเกษตร บริษัทเมย์แอนด์เบเกอร์ จำกัด คู่มือการใช้ฮอร์โมนพืชแพลนโนฟิกซ์ฝ่ายข้อมูล วารสารเคหการเกษตร การทำสวนมะนาวเป็นการค้าพีรเดช ทองอำไพ 2530 ไทโอยูเรีย เคหการเกษตร ปีที่ 11 ฉบับที่ 26 กรกฎาคม 2530ภัญชนา มีแก้วกุญชร 2526 เทคนิคในการบังคับมะม่วงให้ออกช่อก่อนฤดูกาล เพื่อนเกษตร ปีที่ 10 ฉบับที่ 8 กันยายน 2526เวชชกร ฤดีนรเวท (เรียบเรียง) 2530 ฮอร์โมนกับการผลิตไม้ผลนอกฤดู เกษตรอุตสาหกรรมศรีมูล บุญรัตน์ การควั่นกิ่งลิ้นจี่เพื่อทำให้ออกดอก วารสารสมาคมพืชสวนส.วงษ์หุ่น 2525 ทำอย่างไรจะให้ในหน้าแล้งมะนาวตก เคหการเกษตร พฤษภาคม 2525สุนทร ปุณโณทก 2524 วิธีทรมานต้นไม้ให้ออกผล ชาวเกษตร ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม 2524ไสววงษ์ 2525 ทำทุเรียนออกดอกทะวายมีขายตลอดปี เคหการเกษตร พฤศจิกายน 2525 ฝ่ายส่งเสริมการเกษตร สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตรมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ. เชียงใหม่ โทร. 0 5387 3938-9 http://www.it.mju.ac.th/dbresearch/organize/extention/book-fruit/fruit043.htm
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.