กำลังปรับปรุงครับ
สารปรับปรุงดิน
สารปรับปรุงดิน คือ สารใดก็ตามที่ใส่ลงไปในดินแล้ว ทำให้สภาพทางเคมี ทางกายภาพและชีวภาพของดินเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งอาจมีธาตุอาหารพืชปะปนอยู่ในสารนั้นแต่วัตถุประสงค์ใช้สารปรับปรุงดิน จะไม่เน้นการเพิ่มเติมธาตุอาหารพืช สารปรับปรุงดินสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
- สารปรับปรุงสภาพทางเคมีของดิน
- สารปรับปรุงสภาพทางกายภาพของดิน
- สารปรับปรุงดินในการรักษาความชื้น
สารปรับปรุงสภาพทางเคมีของดิน
สภาพทางเคมีของดิน ได้แก่ ความเป็นกรด – เป็นด่างของดิน และความเค็มของดิน ซึ่งถ้าอยู่ในสภาพ |
ที่ไม่เหมาะสม พืชก็ไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นปกติได้ หรือ เจริญเติบโตไม่ถึงศักยภาพที่ควรจะเป็น สารที่ใช้ปรับปรุงสภาพทางเคมีของดิน ได้แก่ |
1.ปูน (Lime) เป็นสารประกอบคาร์บอเนตออกไซค์และไฮดรอไซค์ของแคลเซี่ยมและแมกนีเซี่ยม |
เมื่อใส่ลงในดินก็จะทำปฏิกิริยาสะเทินความเป็นกรดของดินทำให้ระดับความเป็นกรด- เป็นด่างงของดินอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ปัญหาเกี่ยวกับธาตุอาหารพืชต่าง ๆ ที่เป็นพิษหรือขาดแคลนในสภาพที่ดินเป็นกรดก็จะหายไป ปูนเป็นสารประกอบที่มีราคาไม่แพง |
- หินปูน (Lime tone) ส่วนประกอบที่สำคัญของปูน คือหินโดโลไมท์หรือแคลเซี่ยมคาร์บอเนต+ |
แมกนีเซี่ยมคาร์บอเนต |
- หินโดโลไมท์ ประกอบด้วยแคลเซี่ยมคาร์บอเนต 54% และแมกนีเซี่ยมคาร์บอเนต 46 % |
- ปูนมาร์ล (Marl) และดินสอพอง (Marly Limes tone) มีลักษณะและองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกัน |
คือเป็นตะกอนของแคลเซี่ยมคาร์บอเนตที่ค่อนข้างจะร่วนยังไม่จับตัวเป็นหินแข็ง เกิดเป็นชั้นอยู่ใต้ดิน โดยปูนมาร์ลจะมีแคลเซี่ยมคาร์บอเนตเป็นองค์ประกอบประมาณ 35-65 % ที่เหลือเป็นดินเหนียว ส่วนดินสอพองจะมีแคลเซี่ยมคาร์บอเนตประมาณ 80-97% |
- ปูนขาวและเปลือกหอยเผา องค์ประกอบที่สำคัญของปูนขาวและเปลือกหอยคือ แคลเซี่ยม |
ไอดรอกไซค์ได้มาจากการเผาหินปูนหรือเปลือกหอยจนสุกแล้วนำมาพรมด้วยน้ำ ปูนเผาจะทำปฏิกิริยากับน้ำได้ปูนขาวจะมีเนื้อยุ่ยเป็นผงแต่ก่อนที่จะนำออกจำหน่ายจะมีการบดและร่อน |
2. ยิปซัม (Gypsume) เป็นสารปรับปรุงดินที่แนะนำให้ใช้แก้ปัญหาดินเค็ม โดยเฉพาะดินเค็มโซดิก |
ซึ่งดินเค็มที่มโซเดียมอยู่มากจนเกิดเป็นพิษต่อพืชและดินชนิดนี้จะมีปฏิกิริยาเป็นด่างทำให้พืชอาจขาดธาอาหารเสริมบางชนิดได้ ยิปซัมเป็นแร่ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติมีแคลเซี่ยมซัลเฟตเป็นองค์ประกอบหลักไม่ต่ำกว่า 96 % เกิดจากการตกตะกอนของแคลเซี่ยมซัลเฟตซึ่งละลายอยู่ในน้ำทะเลและยังเป็นผลพลอยได้จากโรงงานผลิตปุ๋ยเคมีฟอสเฟต |
สารปรับปรุงสภาพทางกายภาพของดิน
สภาพทางกายภาพของดิน ได้แก่ คุณสมบัติทางด้านความโปร่ง ความร่วนซุยหรือความแน่นทึบ |
มีผลโดยตรงต่อการถ่ายเทอากาศและการอุ้มน้ำของดิน การปรับปรุงสภาพทางกายภาพของดิน มีหลายชนิด เช่น |
1.การเกิดแผ่นแข็งบนผิวดิน (Crust) |
การเกิดแผ่นแข็ง (crust) บนผิวหน้าดินเป็นปัญหาต่อการปลูกพืชที่พบมากบนพื้นที่แถบแห้งแล้ง |
และกึ่งแห้งแล้ง มีผลกระทบต่อพืชโดยตรง คือ เป็นอุปสรรคต่อการงอกของเมล็ด และการแทงโผล่ของต้นกล้าออกมาพ้นผิวดิน |
วัตถุประสงค์หลักของการใช้สารปรับปรุงดิน เพื่อลดปัญหาการเกิดแผ่นแข็งบนผิวหน้าดิน คือ |
1. เพิ่มความเสถียรของก้อนดิน (soil aggregath) ให้มีความคงทนไม่แตกยุ่ยง่ายเมื่อโดนเม็ดฝน |
หรือน้ำชลประทานที่เหนือดินตกกระแทก |
2. ทำให้อนุภาคดินที่แขวนลอยในน้ำเกิดการฟุ้งกระจาย (dispersion) น้อยลงหรืออีกนัยหนึ่ง |
ทำให้อนุภาคดินโดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุภาคดินเหนียวเกิดการซับกันเป็นกลุ่มมวลดิน (flocculation) ทำให้เมื่อแห้งลงไม่เกิดการฉาบเคลือบผิวดินเป็นกลุ่มมวลดิน หรืออุดรูอากาศในดินบริเวณผิวดิน |
วิธีการป้องกันหรือลดปัญหาการเกิดแผ่นแข็งบนผิวหน้าดินทำได้หลายวิธี เช่น การพรวนดิน |
การใช้วัสดุคลุมดินและการใช้สารปรับปรุงดินไม่ว่าจะเป็นอินทรียวัตถุ สามารถแก้ไขปัญหาการเกิดแผ่นแข็งบนผิวดินได้ผลดี ถ้าใช้ในปริมาณที่มากพอ แต่ข้อจำกัดก็คือปัญหาการจัดหาเพื่อให้ได้มาและค่าใช้จ่ายในการใส่ เนื่องจากการขนส่งและปริมาณการใช้ต้องใช้ปริมาณมาก ๆ สำหรับสารปรับปรุงดินอินทรียวัตถุที่สำคัญ ๆ มีดังนี้ |
1. สาร PAM มีชื่อการค้าว่า “syaram” เป็นสารประกอบอินทรีย์โพลิเมอร์ที่มีโมเลกุลของโมโนเมอร์ |
(monomer) ต่อกันเป็นเส้นขาว คุณสมบัติโดยทั่ว ๆ ไปเป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีและมีความสามารถในการเชื่อมอนุภาคแร่ดินเหนียวเข้าด้วยกัน หรือทำให้อนุภาคแร่ดินเหนียวในเม็ดดินจับกันด้วยแางที่มีความเสถียรสูงสุดยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีผลทำให้เม็ดดิน (aggregates) มีความต้านทานต่อการกระแทกของฝนหรือน้ำชลประทานที่ตกลงมากระทบมากยิ่งขึ้น จาการศึกษาของ Shainburg และคณะ (1990) ในการแก้ปัญหาการเกิดแผ่นแข็งบนผิวดิน โดยการฉีดสารละลาย PAM ลงบนผิวดินที่จับกันเป็นแผ่นแข็งในอัตรา 3.2 กิโลกรัมต่อไร่ ให้ผลดีมากขึ้นในการเพิ่มการแทรกซึมน้ำในดิน |
2. ยิปซั่ม (Gysum) หรือฟอสโฟยิมซั่ม (Phosshopypsum) การใช้ยิมซั่มหรือฟอสโฟยิมซั่มช่วยปรับปรุง |
สมบัติทางกายภาพบางประการของดินให้ดีขึ้น เช่น ทำให้ดินมีปัยหาจับกันเป็นแผ่นแข็งที่ผิวดินน้อยลง ดินมีการแทรกซึมน้ำดีขึ้น มีการไหลบ่าของน้ำน้อยลง และเกิดการสูญเสียน้อยลง จากการทดลองของ Gennett และคณะ (1964) โดยใส่ยิปซัมอัตรา 250 ปอนด์ต่อเอเคอร์ โดยโรคเป็นแถบกว้าง ๆ เหนือกลางเมล็ดที่ปลูกฝ้าย พบว่าเมล็ดฝ้ายสามารถงอกแทงโผล่ผิวดิน คิดเป็นร้อยละ 48.1 และไม่ใส่ยิปซัมเมล็ดฝ้ายสามารถงอกและแทงโผล่ผิวดินคิดเป็นร้อยละ 10.8 ส่วนดัชนีความแข็งของครัสท์ (ปอนด์) พบว่า ไม่ใส่ยิปซัมมีความแข็ง 3.72 ปอนด์ และเมื่อใส่ยิปซัมดัชนีมีความแข็งมีค่าเท่ากับ 1.70 ปอนด์ |
3. ไลม์-ซัลเฟอร์ (Lim-sulfer) หรือสารประกอบแคลเซียมไพลีซัลไฟด์ (CaS5) เมื่อใส่ลงไปในดิน |
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินโซดิก (sodic soils) ที่มีปูนแคลเซียมคาร์บอเนต จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในดินจนในที่สุดจะได้สารเคมีเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงยิปซัมเมื่อใส่ลงไปในดิน กล่าวคือ ไลม-ซัลเฟอร์ มีบทบาททำให้ดินเกิดการจับกันเป็นแผ่นแข็งบนผิวดินน้อยลง เช่นเดียวกับยิปซัม อย่างไรก็ตามการใช้สารประกอบแคลเซียมไพลีซัลไฟด์อาจต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนรูปทางเคมีของตัวสารบ้างในระยะแรก ซึ่งก็ขึ้นกับสภาพแวดล้อมในดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบายอากาศในดิน ฯลฯ ประสิทธิภาพในเชิงพาณิชย์ของสารชนิดนี้เมื่อเปรียบเทียบกับยิปซัมจะแตกต่างกันอย่างไรหรือไม่ขึ้นอยู่กับ |
1. ราคาของสาร |
2. ปริมาณการใช้ที่ก่อให้เกิดผล |
3. ประสิทธิภาพของสาร |
http://www.doae.go.th/spp/biofertilizer/impv1.htm
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.