หน้า: 1/2
ปุ๋ยทางใบ
ปุ๋ยทางใบ คือ สารที่ทำให้เป็นสารละลายแล้วฉีดพ่นทางใบเพื่อให้ธาตุอาหารแก่พืช
ชนิดของปุ๋ยทางใบ: ปุ๋ยทางใบสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. ชนิดเป็นของแข็ง หรือเรียกว่าปุ๋ยเกล็ด ปุ๋ยพวกนี้ขึ้นทะเบียนเป็นปุ๋ยเคมีบอกสูตรปุ๋ยและปริมาณธาตุอาหารรับรองไว้ในฉลาก สารเคมีซึ่งประกอบกันเป็นปุ๋ยจะต้องละลายน้ำง่าย เมื่อกสิกรต้องการใช้ก็ตวงหรือชั่งปุ๋ยแล้วละลายน้ำตามคำแนะนำก็จะใด้ปุ๋ยซึ่งสามารถใช้ได้ทันที
2. ชนิดเป็นของเหลว เป็นปุ๋ยที่ละลายมาในลักษณะที่เข้มข้นเมื่อต้องการใช้ก็ตวงน้ำปุ๋ยมาเจือจางด้วยน้ำตามคำแนะนำ ปุ๋ยแบบเหลวบางพวกขึ้นทะเบียนเป็นปุ๋ยเคมีคือมีสูตรปุ๋ยและปริมาณธาตุที่รับรองบนฉลาก
ปุ๋ยเคมีทั้งชนิดเกล็ดและชนิดเหลว นอกจากจะมีธาตุหลัก คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แล้วอาจมีธาตุรองและจุลธาตุผสมอยู่ด้วย หากต้องการทราบว่าปุ๋ยนั้นๆมีธาตุใดอยู่บ้าง และมีอยู่มากน้อยเพียงใด อาจตรวจสอบได้ที่ฉลากของปุ๋ยนั้น
หลักการพิจารณาใช้ปุ๋ยทางใบ หลักการพิจารณาใช้ปุ๋ยทางใบ ควรพิจารณาด้านความเหมาะสมเรื่อง ดินพืช และด้านเศรษฐกิจ ดังนี้
1. ด้านดิน: เนื่องจากดินเป็นแหล่งธาตุอาหารของพืชตามธรรมชาติ การบำรุงดินให้มีธาตุอาหารบริบูรณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ดินที่มีเนื้อดินหยาบ เช่น ดินหยาบหรือดินร่วนทราย ดินที่มีการพังทลายและชะกร่อน ดินที่มีอินทรีย์วัตถุต่ำ ดินเหล่านี้มักจะให้ธาตุอาหารแก่พืชไม่เพียงพอ สิ่งที่ควรกระทำคือ บำรุงดินด้วนปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมี และป้องกันการพังทลายชะกร่อนของดิน เพื่อให้ดินมีธาตุต่างๆ เพียงพอ จึงจะถือว่าเป็นการจัดการดินอย่างถูกต้อง
เมื่อบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยเคมีตามความจำเป็นแล้ว หากปรากฎว่าพืชยังได้รับบางธาตุไม่เพียงพอก็ฉีดพ่นปุ๋ยที่ให้ธาตุนั้นเสริมเข้าไปพืชก็จะเจริญเติบโตเป็นปกติ โดยขอให้ถือว่าการบำรุงดินเป็นงานหลัก และการให้ปุ๋ยทางใบเป็นงานเสริมและทำเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
2. ด้านพืช: การให้ปุ๋ยทางใบนิยมกันในหมู่ชาวสวนผักและไม้ผล สำหรับข้าวและพืชไร่นั้นใช้กันน้อย ชาวสวนผักบางรายนิยมให้ปุ๋ยทางใบในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งจะช่วยให้ผักไม่แกร็น และเจริญเติบโตดีขึ้นเมื่อพิจารณาจากราคาผักค่อนข้างดีในฤดูแล้ง พบว่า การให้ปุ๋ยทางใบกับผักกินใบนั้นให้ผลตอบแทนคุ้มค่า ไม้ผล การให้ปุ๋ยทางใบมักปฏิบัติเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตในบางขั้นตอนของพืชเช่น ฉีดพ่นปุ๋ยที่มีสัดส่วนของฟอสฟอรัสค่อนข้างสูงก่อนออกดอก เพื่อให้การออกดอกและติดผลดีขึ้น ใช้ปุ๋ยที่มีสัดส่วนของโพแทสเซียมค่อนข้างสูง เมื่อติดผลแล้วเพื่อให้ผลโตและรสชาดดีขึ้น ชนิดของปุ๋ยทางใบที่ให้กับไม้ผลมักจะสอดคล้องกับปุ๋ยที่ให้ทางดิน อย่างไรก็ตามควรถือว่าการให้ปุ๋ยทางใบเป็นการเสริมปุ๋ยทางดิน
3. ด้านเศรษฐกิจ : ขณะนี้ด้านผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของการใช้ปุ๋ยทางใบ ยังไม่ได้มีการค้นคว้าอย่างจริงจัง จึงยังไม่อาจกล่าวได้ว่าการให้ปุ๋ยทางใบกับพืชแต่ละชนิดเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่ แต่ในแง่ของผู้ผลิตที่มีราคาค่อนข้างแพง เช่น ผักและผลไม้ซึ่งมีการลงทุนสูงอยู่แล้ว การให้ปุ๋ยทางใบกับพืชเหล่านั้นอย่างเหมาะสม จะเพิ่มต้นทุนอีกเล็กน้อยผู้ผลิตรายใหญ่จึงยังให้ปุ๋ยทางใบกันอยู่
วัตถุประสงค์ของการใช้ปุ๋ยทางใบ การใช้ปุ๋ยทางใบมีวัตถุประสงค์หลักในการใช้อยู่ 4 ประการ คือ
เพื่อแก้ไขอาการขาดธาตุอาหาร : ในดินด่างพืชมักขาดธาตุเหล็ก (Fe) ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) แมงกานีส (Mn) และโบรอน (Bo)การให้ปุ๋ยฟอสเฟตอัตราสูงก็คงเป็นเหตุให้พืชขาดสังกะสีได้เช่นกัน การใส่ปุ๋ยจุลธาตุเหล่านั้นทางดินในรูปเกลืออินทรีย์ ก็มักจะตกตะกอน และไม่เป็นประโยชน์ต่อพืชเต็มที่แต่ถ้าใช้ปุ๋ยจุลธาตุคีเลในดินก็ย่อมเสสียค่าใช้จ่ายสูง วิธีการแก้ไข คือ ใช้สารละลายของเกลือจุลธาตุดังกล่าวฉีดพ่นทางใบ ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ผลเร็วและชัดเจนกว่าการให้ทางดิน แต่อย่างไรก็ตามดินยังเป็นทรัพยากรหลักในการผลิตพืชและถือว่าดินเป็นแหล่งธาตุอาหารที่สำคัญสำหรับพืช การบำรุงดินตามหลักการทีกล่าวข้างต้นจึงเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้การใช้ปุ่ยทางใบจึงอาจยอมรับเข้ามาเสริมความสมบูรณ์ของการผลิต โดยเฉพาะช่วยแก้ไขการขาดธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม ดังนี้
พืช
|
ขาด
|
อาการ
|
ใช้ปุ๋ย
|
ความเข้มข้น %
|
ผักกาดขาวปลี
|
ไนโตรเจน
|
ใบล่างเหลือง
|
ยูเรีย
|
0.5
|
ข้าวโพด
|
โพแทสเซียม
|
ปลายฝักไม่มีเมล็ด
|
โพแทสเซียมซัลเฟต
|
1.0
|
มะเขือเทศ
|
แคลเซียม
|
ก้นเน่า
|
แคลเซียมไนเตรท
|
0.5
|
ส้ม
|
โบรอน
|
ไส้ผลกลวง
|
กรดบอริก
|
0.1
|
บล็อกเคอรี่
|
โบรอน
|
ลำต้นกลวง
|
กรดบอริก
|
0.1
|
ส้ม
|
สังกะสี
|
ใบแก้ว
|
สังกะสีซัลเฟท
|
0.3
|
ถั่วลิสง
|
เหล็ก
|
ยอดขาว
|
เฟอรัสซัลเฟท
|
0.3
|
2. เพื่อเพิ่มคุณภาพและผลผลิต : ปุ๋ยทางใบที่มีสัดส่วนของไนโตรเจนดังนั้นเป็นที่นิยมใช้กันมาก คือ ราวร้อยละ 50 ของปุ๋ยทางใบทั้งหมด เมื่อนำมาใช้ร่วมในการผลิตผักและช่วยให้ผักดูอวบและเขียวสด เนื่องจากไนโตรเจน ส่งเสริมการเติบโตของต้นและใบยังช่วยเพิ่มปริมาณของคลอโรฟิลล์ในใบ
ปุ๋ยทางใบชนิดเกล็ดที่มีสัดส่วนของฟอสฟอรัสสูงได้รับความนิยมรองลงมา คือ ใช้ประมาณร้อยละ 28 ปุ๋ยประเภทนี้ช่วยเพิ่มคุณภาพของไม้ดอกไม้ประดับ หากใช้เสริมในไม้ผลก่อนการออกดอกจะช่วยให้ดอกสมบูรณ์
ปุ๋ยทางใบที่มีสัดส่วนของโพแทสเซียมสูง ใช้กันเพียงร้อยละ 11 ของปุ๋ยทางใบทั้งหมดเพื่อเสริมธาตุนี้ในช่วงการพัฒนาของผลในไม้ผลหลายชนิดและช่วยให้รสชาติของผลไม้ดีขึ้น
3. เพื่อช่วยให้พืชฟื้นตัวจากปัญหาความขาดแคลนในบั้นปลาย : สำหรับพืชล้มลุกโดยทั่วไป เมื่อย่างเข้าสู่ผลิดอกออกผล อินทรีย์สารต่าง ๆ ที่เคยสะสมไว้ในใบจะเริ่มเคลื่อนย้ายไปสร้างผล เป็นเหตุให้รากพืชได้รับอาหารน้อย ในช่วงนี้การเจริญเติบโตของระบบรากจึงหยุดลง แต่รากก็ยังต้องทำหน้าที่ต่อไปด้วย ประสิทธิภาพที่ต่ำ ปริมาณของธาตุอาหารที่ดูดได้จากดินก็น้อยลงไปด้วย สำหรับในพืชตระกูลถั่วนั้นช่วงนี้ปมรากอาจขาดอาหารจึงเริ่มเน่าและหลุดจากราก ขณะที่รากดูดธาตุไนโตรเจนได้น้อยลง และไม่มีกิจกรรมการตรึงไนโตรเจนอีก พืชจึงไม่มีไนโตรเจนเพียงพอแก่การบำรุงลำต้น ใบ ดอก และผล ในช่วงนี้ไนโตรเจนจากใบจะเคลื่อนย้ายไปสร้งผลเป็นเหตุให้ใบเหลืองและในที่สุดก็แห้งตาย พืชตระกูลถั่วมักประสบปัญหานี้ได้มากกว่าพืชตระกูลหญ้าเพราะใช้ไนโตรเจนมากกว่า ดังนั้นการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนทางใบแก่พืชเหล่านี้ในช่วงที่ออกดอก จะช่วยชะลอการร่วงของใบและมีแนวโน้มจะเพิ่มผลผลิตได้ด้วย
4. เพื่อวัตถุประสงค์อื่น : เช่น บังคับให้มะม่วงออกดอกและติดผลนอกฤดูโดยการใช้สารพาโคลบิวทราโซล รดที่พื้นดินใต้พุ่มต่อจากนั้นประมาณ 75–90 วัน ก็กระตุ้นให้แตกตาดอกโดยฉีดพ่นด้วยสารละลายโพแทสเซียมไนเตรท 2.5% หรือไทโอยูเรีย 0.5% ซึ่งจะช่วยให้มะม่วงแทงช่อดอก 2 สัปดาห์
ข้อควรระวังในการใช้ปุ๋ยทางใบ
- ละลายหรือผสมปุ๋ยกับน้ำในอัตราส่วนที่แนะนำ อย่าผสมให้เข้มข้นเกินไป จะทำให้ใบพืชไหม้
- ปุ๋ยทางใบจะช่วยแก้ปัญหาการขาดธาตุอาหารได้ดี ถ้าฉีดพ่นปุ๋ยที่ให้ธาตุนั้นเร็วที่สุด ถ้ามีอาการรุนแรงมากแล้วการใช้ปุ๋ยทางใบจะไม่เกิดผล
- ควรถือว่าการใช้ปุ๋ยทางใบเป็นเพียงการเสริม แต่การบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีทางดินเป็นงานหลัก หากบำรุงดีแล้วไม่จำเป็นต้องให้ปุ๋ยทางใบ
www.doae.go.th/spp/biofertilizer/flo1.htm -
http://www.doae.go.th/spp/biofertilizer/flo1.htm
The Agronomics of foliar feeding
หลากคำถามเรื่องปุ๋ยทางใบ (foliar fertilizer)
1.พืชสามารถ ดูดสารอาหารเข้าทางใบได้หรือไม่
ตอบ : อาหารส่วนใหญ่ที่พืชใช้ จะได้มาจากการดูดซึมของระบบราก ในส่วนของใบเองจะมีหน้าที่รับแสง และสังเคราะห์แสง รับและคายน้ำ จากงานวิจัยพบว่า สารอาหารต่างๆ สามารถซึมเข้าสู่ใบพืชได้เช่นกัน แม้จะไม่มากเท่ากับสารอาหารที่ได้มาจากระบบราก แต่ก็มีปริมาณที่มากพอให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เกษตรกรอาจคุ้นเคยกับการทำงานของ ไกลโฟเสต หรือยาฆ่าหญ้า ซึ่งจะออกฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์แสงของพืช ซึ่งสารไกลโฟเสตนี้ พืชดูดซึมผ่านทางใบ จะเห็นว่าใช้เพียงปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น
2. จริงหรือไม่ที่ ให้สารอาหารทางใบ ออกฤทธิ์ ได้เร็วกว่า การให้ผ่านทางระบบราก
ตอบ : จริง เพราะจริงๆ แล้วสารอาหารต่างๆ ที่พืช ดูดซึมมา จะต้องถูกลำเรียงมาที่ใบ เพื่อผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสงให้เป็นอาหาร จากนั้นอาหารเหล่านี้จะถูกลำเลียงไปยังส่วนต่างๆของพืชอีกที ดังนั้นสารอาหารที่ให้ทางใบจะเข้าสู่กระบวนสังเคราะห์แสงทันที ที่เริ่มสัมผัสกับพืช จะเห็นว่าการให้สารอาหารทางใบจะเป็นการเพิ่มปริมาณสารอาหารบนใบพืช จากปกติที่ระบบรากของพืชสามารถหามาได้
3. ในเมื่อการให้อาหารทางใบ มีประโยชน์ เราสามารถ นำปุ๋ยเม็ดมาละลายน้ำ แล้วฉีดพ่นให้กับพืชได้หรือไม่
ตอบ : ไม่ได้ เพราะสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับพืช เมื่อฉีดพ่นทางใบ ต้องเป็นสารอาหารที่พืชสามารถนำไปสังเคราะห์แสงได้ทันที ปุ๋ยเม็ดที่เกษตรกรใช้ส่วนใหญ่ จะเป็นเกลือของสารประกอบ ซึ่งต้องผ่านการคัดกรองโดยระบบรากเท่านั้น พืชจึงจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ มิหนำซ้ำ ปุ๋ยบางชนิดอาจทำอันตรายพืช เมื่อให้ทางใบ
4. ทำไม การให้ปุ๋ยทางใบ จึงมีปริมาณสารอาหารเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการให้ทางราก
ตอบ : เนื่องจากการให้ปุ๋ยทางใบ สารอาหารต่างๆ ต้องอยู่ในสภาพที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ทันที สารอาหารจึงมีความบริสุทธิ์สูง และการให้ทางใบ มีการสูญเสียไปกับสภาพแวดล้อมต่ำมาก เมื่อเทียบกับการให้ทางราก สารอาหารบางตัว การให้ทางใบเพีบง 1 กิโลกรัม จะให้ผลเท่ากับการให้ทางราก 20 กิโลกรัมทีเดียว
5. ทำไมสารอาหารทางใบจึงมีราคาแพง จะคุ้มค่าหรือไม่
ตอบ : เนื่องจากสารอาหารต่างๆ ที่จะให้ทางใบได้ จะต้องถูกนำไปผ่านกระบวนการสลาย ให้อยู่ในรูปที่พืช สาม่รถดูดซึมทางใบ และนำไปใช้สังเคราะห์แสงได้ทันที ซึ่งมีขั้นตอนการผลิตที่ซับซ้อนกว่า แต่จากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า สารอาหารทางใบมีความบริสุทธิ์สูง จึงใช้เพียงปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น และต้องใช้ร่วมกับปุ๋ยทางดิน หากมองผลผลิตที่เพิ่มขึ้น นับว่าคุ้มค่ากว่ามาก
6. สารอาหารทางใบ ใส่ไปเพียงเล็กน้อย จะทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นได้อย่างไร
ตอบ : จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ปริมาณสารอาหารส่วนใหญ่ที่พืชใช้ในการสร้างผลผลิต ยังคงมาจากระบบราก ซึ่งในการเพาะปลูกจริงปริมาณอาหารถูกจำกัดโดย ประสิทธิภาพของระบบราก ซึ่งจะดี ไม่ดีขึ้นอยู่กับสภาพดินและคุณภาพน้ำ รวมทั้งโรคต่างๆ ซึงการให้สารอาหารทางใบ จะให้สารอาหารกับพืชเพิ่มขึ้นจากที่ระบบรากหาได้ การให้โดยตรงที่ใบ จะทำให้อัตราการสังเคราะห์แสงเพิ่มขึ้น ซึ่งกระบวนการสังเคราะห์แสงที่เพิ่มขึ้น จะกระตุ้นให้พืชดูดน้ำมากขึ้น ทำให้ระบบรากนำพาสารอาหารเข้าไปในลำต้นมากขึ้นด้วย และการสังเคราะห์แสงเพิ่มขึ้นอีก คล้ายปฏิกริยาลูกโซ่ จึงส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
7. เมื่อให้สารอาหารทางใบแล้ว จำเป็นต้องให้ทางรากด้วยหรือไม่
ตอบ : จำเป็นต้องให้ทางรากด้วย เพราะจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า การให้สารอาหารทางใบ เป็นการกระตุ้นให้พืชดูดสารอาหารทางรากมากขึ้น และลดข้อจำกัดของระบบรากในพืช แต่ปริมาณสารอาหารส่วนใหญ่ จำเป็นต้องมาจากระบบราก เพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น
8. เราสามารถให้สารอาหารทางใบ กับพืชทุกชนิดหรือไม่
ตอบ : เกือบทุกชนิด แต่ประสิทธิภาพในการรับสารอาหารทางใบของพืชแต่ละชนิดไม่เท่ากัน พืชที่มีใบใหญ่ ปากใบกว้างและเปิดนานกว่า จะดูดซึมได้ดีกว่า ซึ่งในพืชบางชนิด อัตราการดูดซึมปุ๋ยทางใบ ไม่คุ้มค่า เมื่อเทียบกับผลผลิตที่เพิ่ม
9. เราควรฉีดพ่น อาหารทางใบให้กับพืชช่วงไหนดี
ตอบ : พืชจะดูดสารอาหารทางปากใบ เราจึงควรฉีดพ่นในช่วงเวลาที่ปากใบเปิด คือช่วงที่อากาศไม่ร้อนจัด ที่เหมาะสมจะเป็นช่วงเช้าของวัน หรือฉีดพ่นตอนเย็น เมื่ออากาศไม่ร้อนแล้ว
|
www.siamgreensil.com/index.php?option=com_content...id... -