กล้วย (ทั่วไป)
หน้า: 2/2
ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อกล้วย
(ทุกสายพันธุ์)
1. ระยะต้นเล็ก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารจับใบ 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้นดินโคนต้น ช่วงเช้าแดดจัด ทุก 7-10 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 23 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (1-2 กก.)/ไร่ ด้วยการรดโคนต้นจนโชกแฉะเต็มพื้นที่แปลงปลูกหรือปล่อยร่วมกับน้ำไปตามร่องแถวปลูก ทุก 20-30 วัน
- ให้น้ำปกติ ทุก 3-5 วัน
หมายเหตุ :
- การให้ปุ๋ยทางรากสูตร 25-7-7 จะช่วยให้ได้ใบขนาดใหญ่หนาเขียวเข้ม เป็นใบที่มีคุณภาพดีกว่าใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ
- เนื่องจากใบกล้วยมีนวลใบมาก การฉีดพ่นทางใบควรผสมสารจับใบด้วย ฉีดพ่นแล้วให้สังเกตว่าน้ำที่ฉีดพ่นไปนั้นเปียกทั่วใบจริงหรือไม่ การใช้สารจับใบครั้งแรกอาจจะต้องใช้มากกว่าปกติเพื่อละลายนวลใบออกไปหลังจากนั้นจึงใช้ในอัตราปกติได้
- หลังจากตัดตอทุกครั้งควรให้ธาตุอาหารทั้งทางใบและทางรากเพื่อรักษาความชื้นแฉะอยู่เสมอ
- ให้ฮอร์โมนบำรุงราก. ปุ๋ยน้ำชีวภาพระบิดเถิดเทิง. ไคตินไคโตซาน. 1-2 เดือน/ครั้ง จะช่วยบำรุงเหง้าทั้งต้นแม่และหน่อมีขนาดใหญ่เร็วขึ้น
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
2. ระยะก่อนแทงปลี
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 0-42-56 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ติดต่อกัน 2-3 รอบ ห่างกันรอบละ 7-10 วัน ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น ติดต่อกัน 1-2 เดือน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 (1-2 กก.) สำหรับพื้นที่ 1 ไร่/เดือน
- ให้น้ำปกติ ทุก 5-7 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มบำรุงเมื่ออายุต้น 170-180 วัน หลังแตกยอดที่เกิดจากตัดตอครั้งสุดท้าย กรณีที่ให้ 25-7-7 ทางรากจะทำให้ต้นสูงใหญ่มาก อาจจะทำให้การเข้าไปปฏิบัติงานไม่สะดวก แก้ไขโดยเมื่อเห็นว่าต้นมีความสูงพอสมควรแล้ว แม้ว่าอายุต้นจะยังไม่ได้ตามกำหนดก็ตาม แนะนำให้ทางใบด้วย “0-42-56 + ฮอร์โมนไข่ + กลูโคสหรือนมสัตว์สด” คู่กับให้ทางรากด้วย 8-24-24 ได้เลย วิธีนี้นอกจากจะช่วยลดความสูงของต้นไม่ให้สูงต่อได้แล้ว ยังเป็นการสะสมอาหารก่อนออกปลีได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
- การแทงปลีของต้นกล้วยก็คือการออกดอกของไม้ผลทั่วๆไป ดังนั้นเพื่อให้ต้นได้มีการสะสมอาหารเพื่อการออกดอกหรืออั้นตาดอกได้สมบูรณ์ดียิ่งขึ้นควรเสริมด้วยธาตุอาหารกลุ่มสะสมตาดอกอื่นๆ เช่น นมสัตว์สดหรือกลูโคส 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 20-30 วัน ทั้งนี้ กล้วยไม่จำเป็นต้องเปิดตาดอกเหมือนผลไม้ทั่วไป เมื่อต้นได้รับธาตุอาหารกลุ่มสะสมตาดอกเต็มที่ก็จะแทงดอก (ปลี) ออกมาเอง
- ระยะต้นเล็กถึงก่อนแทงปลีให้ตัดแต่งใบเหลือ 12-13 ใบ
- อายุต้น 90-120 วันหลังปลูกแตกใบอ่อนชุดแรกจะเริ่มมีหน่อแทงขึ้นมา เมื่อหน่อโตสูงได้ 90 ซม.-1 ม.ให้ตัดตอหน่อเหลือตอสูงจากพื้น 15-20 ซม. หลังจากตัดตอหน่อแล้วจะแตกใบอ่อนออกมาอีกก็ให้ตัดตออีกเมื่อตอสูง 90 ซม.-1 ม.เช่นกัน และให้ตัดทุกครั้งจนกว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิต การตัดตอแต่ละครั้งให้แผลครั้งหลังสูงกว่าแผลครั้งแรก 1-2 ฝ่ามือ มีดที่ใช้ตัดต้องคมจัดเพื่อให้แผลช้ำน้อยที่สุดก็จะแตกใบอ่อนชุดใหม่ได้เร็ว
- การตัดหน่อด้วยมีดหรือเคียวคมๆทำให้แผลไม่ช้ำ จากนั้นประมาณ 10-15 วัน จะมีหน่อใหม่แทงขึ้นมา ถ้าไม่ใช้มีดหรือเคียวคมๆตัดหน่อแล้วใช้วิธีเหยียบหน่อให้ล้มลง โคนหน่อช้ำ แบบนี้จะทำให้หน่อแทงใบใหม่ช้า ซึ่งอาจต้องใช้เวลา 1-2 เดือน ทำให้ประหยัดเวลา
4. ระยะเริ่มแทงปลี
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 15-45-15 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ เอ็นเอเอ. 100 ซีซี.+ ฮอร์โมนไข่ 50 ซีซี.+ สารจับใบ 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้นดินโคนต้น ทุก 7-10 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 (1-2 กก.)/1 ไร่ ทุก 20-30 วัน
- ให้น้ำปกติ ทุก 5-7 วัน
หมายเหตุ
- ก่อนแทงปลีจะมี “ใบธง” ลักษณะม้วนกลมชี้ตรงขึ้นฟ้าแทงออกมาก่อน หลังจากปลีออกมาเป็นงวงชี้ลงล่างแล้วใบธงก็จะกลายเป็นใบปกติ
- การที่ในเครือกล้วยมีจำนวนหวีน้อยหรือหวีสุดท้ายปลายเครือเป็น “ตีนเต่า” เร็วเกินไป เนื่องมาจากต้นได้รับธาตุอาหารไม่สมดุล และบำรุงตั้งแต่ขั้นตอนเตรียมหน่อและระยะต่างๆก่อนแทงปลีไม่ดีพอ
- เริ่มให้ฮอร์โมน เอ็นเอเอ. เมื่อปลายปลีแทงพ้นโคนก้านใบธงขึ้นมาประมาณ 1 ฝ่ามือ 2-3 รอบห่างกันรอบละ 7-10 วัน จนกระทั่งตัดปลีจะช่วยให้เกสรสมบูรณ์ ผสมติดเป็นผลได้มากขึ้น ส่งผลให้ในเครือมีจำนวนหวีมาก และแต่ละหวีก็จะมีจำนวนผลมากขึ้นด้วย
- ดอกกล้วย (ปลี) เป็นดอกสมบูรณ์เพศ เกสรกล้วยพร้อมผสมกันเองหรือรับการผสมจากต้นอื่นได้ทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน ช่วงกลางวันจะมีแมลงช่วยผสม ส่วนช่วงกลางคืนจะมีค้างคาวช่วยผสม หลังจากกลีบดอก (กาบหัวปลี) เปิดแย้มเต็มที่แล้ว ถ้าช่วยผสมด้วยมือโดยใช้พู่กันขนอ่อนยาวคุ้ยเขี่ยบริเวณเกสรให้มีโอกาสได้ผสมกัน นอกจากจะช่วยให้ได้ผลผลิตมากขึ้นแล้วคุณภาพผลก็ดีขึ้นอีกด้วย
5. ระยะผลเล็ก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 21-7-14 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + ฮอร์โมนไข่ 50 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. + สารจับใบ 100 ซีซี. ฉีดพ่นให้เปียกโชกลงถึงพื้น ทุก 7-10 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก
- ใส่ยิบซั่มธรรมชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการใส่เมื่อช่วงเตรียมดิน
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (1-2 กก.)/1 ไร่ ทุก 20-30 วัน
- ให้น้ำปกติ ทุก 5-7 วัน
หมายเหตุ :
เริ่มบำรุงหลังจากตัดปลี
6. ระยะขนาดกลาง
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 21-7-14 (200 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารจับใบ 100 ซีซี. + ไคโตซาน 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 7-10 วัน ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้นดินโคนต้น
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 21-7-14 (1-2 กก.)/1 ไร่ ทุก 20-30 วัน
- ให้น้ำปกติ ทุก 5-7 วัน
หมายเหตุ :
- หลังจากตัดปลีแล้ว 20-30 วันให้ห่อผลด้วยถุงขนาดใหญ่ เปิดก้นระบายอากาศห่อทั้งเครือ หรือใช้ใบกล้วย 3-4 ใบผูกโคนก้านกล้วยกับก้านเครือ ปล่อยใบยาวตามเครือ จัดระเบียบใบกล้วยให้คลุมผลกล้วยทั้งเครือ มัดรวบช่วงปลายใบกล้วยที่ใช้ห่อกับมัดช่วงกลางพอหลวมอีก 1-2 เปราะ....ก่อนลงมือห่อผลควรฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรกำจัดชื้อราและแมลงให้เปียกโชก นอกจากช่วยกำจัดเชื้อราแล้วยังกำจัดไข่ของแม่ผีเสื้อไม่ให้ฟักออกเป็นตัวหนอน ป้องกันแมลงวันทองและยังทำให้ผิวสวย คุณภาพเนื้อในดีอีกด้วย
- ระยะบำรุงผล (หลังตัดปลี) ถึง ผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว ตัดแต่งใบให้เหลือไว้ประมาณ 9-10 ใบ
- เมื่อเห็นว่าเครือเริ่มใหญ่และน้ำหนักมากขึ้นให้ค้ำต้น
- ถ้าต้นติดผลดกมากควรให้แม็กเนเซียม 1-2 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลกลางจะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากรับภาระเลี้ยงผลมาก
- ให้กำมะถัน 1-2 รอบตลอดช่วงผลกลางจะช่วยบำรุงให้กลิ่นและสีดี
7. ระยะผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล. + 0-21-74 (200 กรัม) หรือ 0-0-50 (400 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ....... หรือน้ำ 100 ล.+ มูลค้างคาวสกัด 100 ซีซี. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วันก่อนเก็บเกี่ยว ฉีดพ่นทางใบให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก
- ให้ 13-13-21 หรือ 8-24-24 (1-2 กก.)/ไร่
- ให้น้ำกับปุ๋ยแล้วงดน้ำจนถึงวันเก็บเกี่ยว
หมายเหตุ :
- ให้ก่อนเก็บเกี่ยว 7-10 วัน
- เมื่อผลกล้วยส่วนโคนเครือแก่ได้ประมาณ 3 ใน 4 ของจำนวนหวีทั้งเครือ ใบจะเริ่มเหี่ยวเหลืองเนื่อจากไกล้หมดอายุต้น ใบที่เหี่ยวเหลืองแล้วนี้จะไม่สังเคราะห์สารอาหาร เป็นเหตุให้จำนวนหวีส่วนปลายเครือ 3 ใน 4 ไม่ได้รับสารอาหาร หรือได้รับน้อยกว่าปกติ จังหวะนี้หากมีการให้ “ฮอร์โมนน้ำดำ” หรือ “แมกเนเซียม” 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 7-10 วัน ก็จะช่วยบำรุงให้ใบยังคงเขียวสด สังเคราะห์สารอาหารต่อไปได้ จนกระทั่งผลของหวีสุดท้ายปลายสุดของเครือแก่จัด
กล้วยหิน
ถึงแม้ว่า “กล้วยหิน” จะเป็นกล้วยที่มีถิ่นกำเนิดในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพืชเก่าแก่คู่สองฝั่งแม่น้ำปัตตานี โดยเฉพาะในเขต ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา มีกล้วยหินขึ้นเป็นดงหนาแน่น ทำให้คนนอกพื้นที่เข้าใจเอาว่าเป็นกล้วยป่าและไม่มีคุณค่าประโยชน์เมื่อเปรียบเทียบกับกล้วยเศรษฐกิจชนิดอื่น จึงไม่นิยมนำมาปลูกในเชิงพาณิชย์
ความจริงแล้วกล้วยหินสามารถ เจริญเติบโตได้ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย ด้วยลักษณะของต้นกล้วยหินที่สูงใหญ่โคนต้นวัดโดยรอบประมาณ 70 เซนติเมตรและมีความสูงของต้นเฉลี่ย 3.50-4 เมตร จึงได้มีการนำกล้วยหินมาปลูกเป็นแนวรั้วเพื่อป้องกันลม
หลายคนอาจจะไม่เคยบริโภคกล้วยหินโดยไม่ทราบว่ากล้วยหินมีเนื้อที่แน่นและเหนียวกว่ากล้วยชนิดอื่นนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด ในอดีตกล้วยหินเป็นกล้วยที่ไม่มีราคาซื้อ-ขายกันหวีละ 5 บาทก็นับว่าแพงแล้ว แต่ปัจจุบันกล้วยหินมีราคาแพงขึ้นบางช่วงเวลาราคาสูงถึงหวีละ 30 บาท แต่ไม่ใช่ซื้อเพื่อมาให้คนบริโภคซื้อมาเพื่อเป็นอาหารของนกกรงหัวจุกหรือนกปรอด ซึ่งในปัจจุบันนี้การเลี้ยงนกกรงหัวจุกได้มีการเลี้ยงกันแพร่หลายเกือบทุกภาคของประเทศ คน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเชื่อที่ว่านกที่กินกล้วยหินเป็นประจำจะมีอาการร่าเริง สดใสและมีขนที่สวยเป็นเงา ในกล้วยหินน่าจะมีปริมาณสารอาหารมากคนใต้ถือว่าเป็นสุดยอดของนกกรงหัวจุกเลยทีเดียว
ข้อดีและลักษณะเด่นของกล้วยหิน จัดเป็นกล้วยที่เจริญเติบโตได้ในดินเกือบทุกชนิดแม้แต่สภาพดินจะเป็นกรวดหิน เป็นกล้วยที่ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีและมีการแตกกอเร็ว โรคและแมลงศัตรูรบกวนน้อยมากเมื่อปลูกไปแล้วไม่จำเป็นจะต้องฉีดพ่นสารปราบศัตรูพืชเลย จัดเป็นผลไม้ปลอดสารพิษ ลักษณะของผลกล้วยหินมีเปลือกหนา ทำให้ทนทานต่อการขนส่ง เมื่อผลแก่สุกงอมยังเก็บได้นาน 7-8 วันโดยผลไม่เน่าเสีย ต้นกล้วยหินที่ปลูกลงดินไปแล้วประมาณ 8 เดือน จะเริ่มออกปลีและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลังจากออกปลีประมาณ 3-4 เดือน
ปัจจุบันกล้วยหินที่ปลูกในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างในเขต จ.พิจิตร, พิษณุโลก, สุโขทัย, กำแพงเพชร ฯลฯ ยังมีไม่มากนักส่วนใหญ่จะปลูกกล้วยน้ำว้า, กล้วยตานีและ กล้วยไข่เป็นหลัก แต่คนในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างนิยมเลี้ยงนกกรงหัวจุกกันมากขึ้น ทำให้ผลผลิตกล้วยหินไม่เพียงพอต่อการจำหน่ายทำให้ราคากล้วยหินแพงกว่ากล้วยชนิดอื่น ๆ และเป็นกล้วยหายาก
จากการสอบถามจากผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุกหลายรายทราบว่าถ้านำกล้วยน้ำว้ามาเป็นอาหารนกมักจะกินไม่หมดแต่ถ้าเป็นกล้วยหินจะกินจนหมดผลและยังมีความเชื่ออีกว่านกกรงหัวจุกที่กินกล้วยหินเป็นประจำจะทำให้เสียงดี.
ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=344&contentID=92199
เทคนิคการทำกล้วยรสชาติต่างๆ
กล้วยที่เหมาะจะทำ ควรเป็นกล้วยน้ำว้า โดยตอนที่กล้วยออกปลี ไปซื้อรสชาติที่เราต้องการจากร้านทำไอศครีม ขวดละ 10 กว่าบาท จากนั้นเอามีดหรือคัตเตอร์กรีดต้นกล้วย ให้มันไปถึงไส้ข้างใน แล้วทำไส้ให้เป็นแผล นำรสสตอเบอรี่ รสช็อกโกแลต รสทุเรียน รสลิ้นจี่ มาเทใส่สำลีแล้วยัดไปที่ไส้ข้างในกล้วย พอยัดเข้าไปเสร็จแล้วปิดกลับเหมือนเดิม ทีนี้กล้วยมันจะสั่งการว่าตอนนี้เป็นลูกแล้วรีบนำปุ๋ยมาส่งด่วน กลิ่นและรสชาติพวกนี้ก็จะไปถึงลูกกล้วยด้วย
http://www.nanagarden.com/Content.aspx?ContentID=10177
หน้าก่อน (1/2)
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved. ติดประกาศ: 2009-07-16 (22394 ครั้ง) [ ย้อนกลับ ] |