กำลังปรับปรุงครับ
การปลูกข้าวในฤดูนาปรังโดยใช้น้ำอย่างประหยัด
ข้าวนอกจากจะเป็นพืชอาหารหลักของคนไทยแล้ว ยังเป็นพืชส่งออกอันดับหนึ่งที่ทำรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล กล่าวคือ ผลผลิตข้าวของไทยซึ่งผลิตได้ประมาณปีละ 20 ล้านตัน ข้าวเปลือก จะถูกนำไปใช้เพื่อการบริโภคและทำพันธุ์ ปีละ 13 ล้านตันข้าวเปลือก ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 7 ล้านตันหรือ 5 ล้านตันข้าวสาร ถูกส่งออกไปขายยังต่างประเทศคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 4.8
หมื่นล้านบาท
สืบเนื่องจากภาวะการผลิตข้าวในปัจจุบัน ประเทศที่เคยผลิตข้าวได้เป็นลำดับต้นๆ เพื่อการบริโภคหรือส่งออกขายแข่งในตลาดโลก เช่น จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ต่างก็ประสบภัยธรรมชาติทำความเสียหายให้กับผลผลิต ต้องมีการนำเข้าข้าวสาร เพื่อให้พอเพียงกับการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลให้ข้าวเปลือกโดยทั่วไปในประเทศไทยมีราคาสูงขึ้นถึงกว่า เกวียนละ7,000 บาท ขณะที่ข้าวประเภทข้าวหอม กลับสูงขึ้นถึง 11,000 บาท ประกอบกับกรมวิชาการเกษตรได้พิจารณารับรองพันธุ์ข้าวหอมใหม่ ซึ่งไม่ไวต่อช่วงแสง 2 พันธุ์คือ ข้าวเจ้าหอมคลองหลวง 1 และข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2540 จึงเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวกันมากขึ้น โดยเฉพาะในฤดูนาปรัง 2541 ที่จะถึงนี้ แต่จากการพยากรณ์ของ นักอุตุนิยมวิทยา คาดว่าในช่วงเวลาดังกล่าวประเทศไทยจะประสบกับ ปัญหา ภัยแล้งมากกว่าปีที่ผ่านมา จึงจำเป็นต้องมีการ ใช้น้ำชลประทานเท่าที่มีอยู่
อย่างจำกัด โดยมีแนวทางปฏิบัติดังนี้
1. ให้เกษตรกรที่มีความต้องการทำนาปรัง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน และใกล้แหล่งน้ำรวมกลุ่มกันวางแผนการใช้น้ำร่วมกัน
2. กลุ่มเกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปรัง ควรใช้ข้าวพันธุ์เดียวกันหรือต่างพันธุ์แต่มีอายุเท่ากัน ปลูกพร้อม ๆ กัน เพื่อการปฏิบัติดูแลรักษาตามขั้นตอนต่าง ๆ จะได้เป็นไปในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ตั้งแต่การเตรียมดิน การหว่านเมล็ดพันธุ์ การให้น้ำ การกำจัดวัชพืช การใส่ปุ๋ย การฉีดพ่นสารเคมี จนถึงการเก็บเกี่ยว
3. เลือกแนวทางปฏิบัติที่มีการใช้น้ำน้อย
3.1 เตรียมดินโดยใช้น้ำน้อยและประหยัด
3.2 การทำนาหว่าน ช่วยประหยัดน้ำมากกว่าการทำนาดำ เพราะมีอายุสั้นกว่าประมาณ 7-10 วัน
3.3 ใช้พันธุ์ข้าวที่มีอายุสั้น เช่น กข 25 ที่มีอายุประมาณ 90 วัน
3.4 หมั่นตรวจดูแลรักษาคันนาอย่าให้น้ำรั่วไหล
3.5 พยายามปรับระดับพื้นที่นาให้สม่ำเสมอ เพื่อจะได้สามารถลดระดับน้ำในนาลงให้เหลือ 3.5 เซนติเมตร ก็เพียงพอ
4. ข้อแนะนำการใช้น้ำปลูกข้าวอย่างประหยัดในสภาพดินเหนียว เป็นแนวคิดที่กำลังอยู่ในระหว่างการ วางแผน ศึกษาวิจัย จึงยังไม่สามารถยืนยันได้ในขณะนี้ แต่พอให้แนวทางการปฏิบัติได้ โดยใช้หลักการที่เน้นวิธีการให้ข้าวใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่มีการระบายออก ซึ่งมีความสำคัญต่อการปลูกข้าวในภาวะที่มีน้ำอยู่ค่อนข้างจำกัด ดังนี้
4.1 ต้องมีการเตรียมดินอย่างประณีต ร่วมกับการปรับระดับผิวดินให้ราบเรียบ เพื่อช่วยลดปัญหาการระบาดของวัชพืช และทำให้การเจริญเติบโตของข้าวเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
4.2 หลังจากข้าวงอกและตั้งตัวดีแล้ว รักษาระดับน้ำในนาไว้ประมาณ 3-5 เซนติเมตร หมั่นตรวจซ่อม คันนาอยู่เสมอ อย่าให้น้ำรั่วซึม กรณีที่มีปัญหาวัชพืชให้ใช้ยาเคมีกำจัดตามความจำเป็น
4.3 ปล่อยให้น้ำที่ขังในนาค่อย ๆ แห้งไปเองประมาณ 3-7 วัน หลังจากนั้นจึงปล่อยน้ำเข้านาอีกครั้งและรักษาระดับไว้ที่ 3-5 เซนติเมตร แล้วหว่านด้วยปุ๋ยสูตร 16-20-0 อัตรา 25-30 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นปุ๋ยรองพื้น
4.4 หลังจากให้น้ำครั้งที่ 2 (ตามข้อ 4.3) และหว่านปุ๋ยรองพื้นแล้ว ต้นข้าวจะเจริญเติบโตจนถึงระยะข้าวแตกกอ ระดับน้ำที่ลดลงและเริ่มแห้ง ปล่อยให้น้ำแห้ง 3-5 วัน ซึ่งสังเกตได้จากดินเริ่มมีรอยแตก จึงระบายน้ำเข้านาอีกครั้ง ในระดับ 3-5 เซนติเมตร แล้วจึงใส่ปุ๋ยแต่งหน้าด้วยปุ๋ยยูเรีย อัตรา 5 กิโลกรัมต่อไร่
4.5 ครั้งนี้ปล่อยให้น้ำแห้งไปอีกเช่นกัน ซึ่งควรจะเป็นระยะที่ข้าวเริ่มกำเนิดช่อดอก ให้ระบายน้ำเข้านาและใส่ปุ๋ยแต่งหน้าด้วยปุ๋ยยูเรียอีกครั้ง ในอัตรา 5 กิโลกรัมต่อไร่ ระดับน้ำในครั้งนี้อาจจะให้สูงขึ้นบ้าง คือให้ระดับน้ำอยู่ในระดับประมาณ 10 เซนติเมตร จะทำให้น้ำค่อย ๆ แห้งในระยะใกล้ข้าวออกดอก ทรงพุ่มของต้นข้าวจะทำให้ดินแห้งช้าลง หลังจากดินแห้งแล้วประมาณ 3 วัน จึงระบายน้ำเข้านา
อีกครั้ง ระยะนี้อย่าทิ้งให้ดินแห้งนานนัก เนื่องจากเป็นระยะข้าวออกดอกความชื้นในดินมีความสำคัญต่อการเกิดเมล็ดของข้าวได้ ระบายน้ำเข้านาในระดับ 5 เซนติเมตรอีกครั้ง แล้วปล่อยให้ระดับน้ำค่อย ๆ ลดลงจนแห้งไปในที่สุด หลังจากนั้นจึงรอการเก็บเกี่ยวได้
หมายเหตุ
1. การกำจัดวัชพืชก่อนใส่ปุ๋ยทุกครั้งควรกระทำ
2. อย่าให้ดินขาดน้ำในระยะข้าวออกดอก
http://www.moac.go.th/ewt_news.php?nid=435&filename=Project05
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.