กำลังปรับปรุงครับ
โรคข้าวไร่และการป้องกันกำจัด
โรคข้าวไร่ที่พบระบาดทั่วไปในปัจจุบัน เกิดจากสาเหตุใหญ่ 2 ประการด้วยกัน คือ
1. โรคที่เกิดจากเชื้อ
1.1 เชื้อรา
1.2 เชื้อแบคทีเรีย
1.3 เชื้อไวรัสและ/หรือไฟโตพลาสมา
1.4 ไส้เดือนฝอย
2. โรคไม่มีเชื้อ
2.1 สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสม
2.1.1 อุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป
2.1.2 สภาพ ดิน น้ำ และอากาศเป็นพิษ
2.1.3 ความสูงจากระดับน้ำทะเลสูงหรือต่ำเกินไป
2.1.4 ความลึกของหน้าดินตื้นเกินไป
2.2 การขาดแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม
เชื้อรา คือพืชที่ไม่มีคลอโรฟิลล์ มีขนาดเล็กตั้งแต่เป็นเส้นใย ที่ชอบขึ้นบนซากสัตว์จนถึงขนาดใหญ่ เช่น พวกเห็ดทั้งหลาย เชื้อราบางชนิดเป็นสาเหตุของโรค คน สัตว์และพืช
เชื้อแบคทีเรีย คือจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็ก ไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่า มีรูปร่างตั้งแต่กลม กลมรี และส่วนใหญ่เป็นแท่ง มักมีหางตรงส่วนปลาย เป็นสาเหตุโรคคน สัตว์ และพืชมาก โรคที่เกิดจากเชื้อบักเตรีมักจะเกิดการเน่าส่งกลิ่นเหม็น
เชื้อไวรัส คือสิ่งที่มีตัวตนประกอบด้วย โปรตีนและนิวเคลียร์อิกแอสิค สามารถขยายจำนวนได้ภายในเซลล์ที่มีชีวิต มีขนาดเล็กจิ๋วมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหรือแม้แต่กล้องจุลทัศน์ธรรมดา ต้องใช้กล้องอิเลคตรอน ไวรัสทุกชนิดอาศัยยังชีพอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
ไส้เดือนฝอย คือสัตว์ที่มีขนาดเล็ก ไม่มีสี อาจจะมองเห็นด้วยตาเปล่าหรือไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า อาศัยอยู่ในดินและส่วนต่างๆ ของพืช มีทั้งพวกที่ยังชีพในสิ่งที่มีชีวิตและพวกที่ยังชีพในสิ่งที่ไม่มีชีวิต
1. โรคที่เกิดจากเชื้อ
1.1 เชื้อรา
1.2.1 โรคขอบใบแห้ง
1.3 เชื้อไวรัสและ/หรือไฟโตพลาสมา
1.3.1 โรคใบสีแสด
1.4 ไส้เดือนฝอย
1.4.1 ไส้เดือนฝอยรากปม
หลักการป้องกัน “โรคข้าว”
“ป้องกันหรือหลีกเลี่ยงการเกิดโรคดีกว่ารักษาเยียวยา”
การป้องกัน
- เลือกใช้พันธุ์ต้านทาน
- ทำลายแหล่งโรคและพาหะนำโรค
- ดูแลรักษาตรวจตราแปลงนา ให้ถูกสุขลักษณะ
กำจัดหรือรักษา
- ถอนทิ้ง เผาทำลาย ถ้าโรคร้ายเพิ่งเริ่มต้น
- ใช้สารป้องกันกำจัดโรค ถ้าคุ้มค่าต่อการลงทุน เลือกชนิดของสารและเวลาการใช้ให้ถูกต้องกับโรคนั้นๆ
- ระมัดระวังฤทธิ์และพิษตกค้างของสารป้องกันกำจัดโรคให้จงดี
2. โรคไม่มีเชื้อ
2.1 การขาดธาตุอาหารที่สำคัญ
2.1.1 ธาตุไนโตรเจน เป็นธาตุที่สำคัญในการเจริญเติบโตของต้นข้าว ข้าวที่ขาดธาตุไนโตรเจน ใบอ่อนจะมีสีเขียวซีดเริ่มจากปลายใบเข้ามา ส่วนใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วเป็น สีน้ำตาล ในที่สุดจะแห้งตายไป ต้นข้าวจะมีลักษณะแคระแกร็น แตกกอน้อยใบข้างจะแคบเล็กและบาง เมื่อพบอาการดังกล่าวมาแล้วในแปลงข้าว ควรจะรีบทำการใส่ปุ๋ยไนโตรเจนโดยทันที
ในกรณีที่ธาตุไนโตรเจนมีมากเกินไป ต้นข้าวจะแตกกอมาก ต้นข้าวจะสูง ลำต้นอ่อนแอ ข้าวจะแก่ช้า และข้าวจะล้มง่าย นอกจากนี้ยังถูกแสงแดดหรือความแห้งแล้งทำความเสียหายให้โดยง่ายอีกด้วย
2.1.2 ธาตุฟอสฟอรัส เป็นธาตุอาหารที่สำคัญในการสร้างระบบรากของต้นข้าว และในระยะแรกของการเจริญเติบโตของต้นข้าว ต้นข้าวที่ขาดธาตุฟอสฟอรัสใบจะมีสีเขียวเข้มใบเล็กและเรียวและตั้งตรง รากจะไม่ขยายเช่นปกติ
2.1.3 ธาตุโพแทสเซียม มีความสำคัญในการสร้างลำต้นของข้าวและเปลือกของข้าว ต้นข้าวที่ขาดธาตุโพแทสเซียมจะมีจุดสีน้ำตาลคล้ายตกกระบนใบข้าวส่วนมากเป็นกับใบแก่ การแตกกอน้อย
แมลงศัตรูข้าวไร่และการป้องกันกำจัด
แมลงศัตรูข้าวไร่มีหลายชนิด นอกจากจะเป็นแมลงศัตรูข้าวชนิดที่ระบาดทำลายในนาข้าว ทั่วไป ซึ่งมีปริมาณน้อยและจัดว่าไม่ค่อยมีความสำคัญในการเพาะปลูกข้าวไร่แล้ว ยังมีชนิดที่สำคัญและระบาดทำความเสียหายอยู่เสมอ โดยเฉพาะในการเพาะปลูกข้าวไร่ในภาคเหนือ ได้แก่ มดง่าม ปลวก แมลงวันเจาะยอด ด้วงหมัดดำ ด้วงแทะใบ แมลงค่อมทอง แมลงนูน ด้วงดีด เพลี้ยอ่อน หนอนใย ตั๊กแตน เพลี้ยแป้ง
1. มดง่าม (Ant : Pheidole sp.) วงศ์ Formicidae อันดับ Hymenoptera
เป็นแมลงศัตรูที่ทำให้เกิดปัญหาในระยะหยอดเมล็ด เมื่อเกษตรกรหว่านโรยหรือหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวไร่ลงไปในดิน มดง่ามซึ่งอาศัยอยู่ในรังในดิน จะขนเมล็ดข้าวนำไปเป็นอาหารหรือเก็บสะสมเป็นอาหารในรัง ทำให้สูญเสียเมล็ดพันธุ์ที่ใช้เพาะปลูก ก่อปัญหาในด้านจำนวนกอต่อพื้นที่และการซ่อมเมล็ด ทำให้ผลผลิตลดลง
การป้องกันกำจัด
1. ถ้าพบรังหรือทางเดินของมดง่าม ใช้สารฆ่าแมลงคาร์บาริล (เซฟวิน 85%) หรือเฮบตาคลอ (อาลามอน 40%) ชนิดผงโรยที่รังหรือทางเดินของมดง่าม
2. ถ้าพบรังมดง่ามอยู่กระจัดกระจายทั่วแปลงเพาะปลูก หรือบริเวณใกล้เคียงใช้วิธีคลุกเมล็ดพันธุ์ข้าวไร่ด้วยสารฆ่าแมลงชนิดผง เช่น คาร์บาริล (เซฟวิน 85 %) เมทธิโอคาร์บ (เมซูโรล 50 %) เฟนวาลีเลต (ซูมิไซดิน 20 %) เตทตระคลอร์วินฟอส (การ์โดนา 50 %) ในอัตรา 1 % ต่อน้ำหนักเมล็ด (สารฆ่าแมลง 85 % ใช้อัตรา 12 กรัมต่อเมล็ดข้าว 1 กิโลกรัม สารฆ่าแมลง 50 % ใช้อัตรา 20 กรัมต่อเมล็ดข้าว 1 กิโลกรัม) ควรทำการคลุกให้สารฆ่าแมลงติดเมล็ดสม่ำเสมอที่สุดแล้วนำไปปลูกทันที
2. ปลวก
กัดกินทำลายส่วนรากของข้าวไร่ทุกระยะ และยังกัดกินทำลายโดยเริ่มจากส่วนใต้ดินขึ้นไปตามภายในลำต้น ต้นข้าวที่ถูกทำลายในระยะแรกจะมีลำต้นเหลืองหรือเหลืองซีดทั้งกอและแห้งตายในเวลาต่อมา
การป้องกันกำจัด
1. ขณะทำการเตรียมดิน ถ้าพบรังปลวกใต้ดินให้ขุดทำลายรังหรือไถพรวนดินหลายๆ ครั้ง เพื่อเป็นการทำลายรังและเปิดโอกาสให้มดและนกชนิดต่างๆ เข้าช่วยกินปลวก
2. ถ้าพบรังปลวกมากและอยู่กระจายในแปลงเพาะปลูก ควรพ่นด้วยสารฆ่าแมลงชนิดผงละลายน้ำ เช่น เฮบตาคลอ (อาลามอน 40 %) อัตรา 2 กิโลกรัมต่อไร่ พ่นให้ทั่วแปลงแล้วพรวนให้เข้ากับดินหรืออาจใช้วิธีพ่นหรือโรยตามแถวปลูก
3. เพลี้ยอ่อน (Rice root aphid : Tetraneura nigriabdominalis Sasaki) วงศ์ Aphididae อันดับ Homoptera
(วิเคราะห์ตัวอย่างแมลง โดย อาจารย์วาลุลี โรจนวงศ์ ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
เป็นแมลงขนาดเล็กเคลื่อนไหวช้ามีขนาด 1 – 2 มม. สีน้ำตาล หรือน้ำตาลแดงรูปร่างคล้ายผลฝรั่งผ่าครึ่ง และเป็นเพลี้ยอ่อนชนิดไม่มีปีก การทำลายพบอาศัยเกาะดูดกินน้ำเลี้ยงอยู่ที่ส่วนรากในดินของต้นข้าว ในระยะเริ่มแตกกอและเกาะเป็นกลุ่มๆ บางครั้งพบเกาะดูดกินส่วนรากของต้นข้าวที่อยู่โคนต้นใกล้ระดับดิน ต้นข้าวมีอาการเหลืองซีดและเตี้ยแคระแกรนผิดปกติ ถ้ามีการระบาดรุนแรงต้นข้าวจะแสดงอาการเหี่ยวเฉาและตายในเวลาต่อมา
นอกจากนี้เพลี้ยอ่อนชนิดอาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณรากแล้ว ยังพบเพลี้ยอ่อนอีกชนิดหนึ่ง คือ Rhopalosiphum rufiabdominalis (วิเคราะห์ตัวอย่างแมลง โดย Dr.Hans Banziger ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) อาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงเมล็ดข้าวที่รวงในระยะน้ำนม ทำให้เมล็ดลีบไม่สมบูรณ์
การป้องกันกำจัด
เพลี้ยอ่อนที่อาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณราก การระบาดทำลายจะเป็นหย่อมๆ ควรใช้สารฆ่าแมลงพวกคาร์บาริล (เซฟวิน) ชนิดผงละลายน้ำ หรือชนิดน้ำ ซึ่งชนิดหลังมีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดได้นานกว่าพ่นบริเวณโคนต้นข้าวและไม่ควรพ่นสารฆ่าแมลงคลุมไปทั้งแปลง ควรพ่นเฉพาะบริเวณที่มีเพลี้ยอ่อนระบาดเท่านั้น
4. ตั๊กแตน (Grasshopper, short horned grasshopper :
- Patanga succincta Linn
- Locusta migratoria malilensis Meyer
- Cyrtacanthacris tatarica Linn.
- Chondracris rosea brunneri Uvarov)
วงศ์ Acrididae อันดับ Orthoptera
ที่พบเป็นประจำในแปลงเพาะปลูกข้าวไร่เป็นตั๊กแตนขนาดเล็ก (Hieroglyphus bnaian Fab.) ซึ่งมีปริมาณไม่มากนัก ทั้งตัวแก่และตัวอ่อนกัดกินใบข้าวทำให้ใบขาดแหว่ง ถ้ามีการทำลายมากจะกัดกินจนกระทั่งเหลือแต่เส้นกลางใบ ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ผลผลิตต่ำลงแต่ตั๊กแตนชนิดที่สำคัญ ซึ่งควรระวังการป้องกันการระบาดทำลาย ได้แก่ ตั๊กแตนปาทังกา ตั๊กแตน โลคัสตา ตั๊กแตนไซทาแคนตาคริส และตั๊กแตนคอนดาคริส ซึ่งจัดว่าเป็นแมลงศัตรูที่สำคัญ
การป้องกันกำจัด
วิธีการป้องกันกำจัดตั๊กแตนให้ได้ผล ควรใช้วิธีการทุกอย่างที่สามารถลดประชากรของตั๊กแตนให้น้อยลง ทั้งนี้ควรจะทราบชนิด อุปนิสัย นิเวศวิทยา ฯลฯ ของตั๊กแตนที่จะป้องกันกำจัดเสียก่อน จึงจะสามารถวางมาตรการในการป้องกันกำจัดได้ทั่วๆ ไป ควรทำดังนี้
1. เกษตรกรควรร่วมกันดำเนินการจับตั๊กแตนในฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) ซึ่งถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 13 องศาเซลเซียสลงไป ตั๊กแตนจะเคลื่อนไหวช้าหรือแข็งตัวบินไม่ได้ซึ่งสามารถจับได้ง่ายด้วยมือเปล่า และยังนำตั๊กแตนที่จับได้ไปแปรรูปเป็นอาหารได้อีกด้วย
2. กำจัดวัชพืชที่เป็นอาหารหรือเป็นที่อาศัยของตั๊กแตนทั้งในไร่ และในบริเวณใกล้เคียง
3. ไถและพรวนดินในบริเวณที่มีตั๊กแตนอาศัยเพื่อตากดินและช่วยทำลายไข่ของตั๊กแตนที่อยู่ในดิน ซึ่งควรเริ่มดำเนินการระหว่างเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน
4. ภายหลังการเก็บเกี่ยวควรเก็บตอซังและซากพืชให้หมด เพื่อมิให้เป็นที่อยู่อาศัยของตั๊กแตน
5. ปลูกพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วลิสง สลับกับแปลงเพาะปลูกข้าวไร่ เพื่อดึงดูดตั๊กแตนให้มาอาศัยร่มเงาหลบแสงแดด ในถั่วลิสงและทำการกำจัดโดยวิธีปล่อยลูกเป็ดเข้าไปกินหรือเกษตรกรจับมาใช้ประโยชน์หรือพ่นสารฆ่าแมลงคาร์บาริลผสมน้ำและกากน้ำตาลหรือน้ำอ้อยแดง
6. หมั่นตรวจแปลงเพาะปลูกอยู่เสมอ โดยเฉพาะในระยะต้นฤดูฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เป็นต้นไป ซึ่งเป็นระยะที่ตั๊กแตนเริ่มฟักเป็นตัวอ่อน หากพบตั๊กแตนในระยะนี้อยู่รวมกันเป็นจำนวนมากควรรีบทำการกำจัด
7. การใช้สารฆ่าแมลงพ่นกำจัด ควรใช้ให้ถูกต้องตามชนิดและวัยของตั๊กแตน เช่นคาร์บาริล (เซฟวิน เซฟ 85 ดี เอส 85) 85% ชนิดผงละลายน้ำซึ่งเป็นสารฆ่าแมลงชนิดกินตาย พ่นคลุมพื้นที่ที่มีตั๊กแตนซึ่งเป็นระยะตัวอ่อนอยู่หนาแน่น ในฤดูการเพาะปลูกในอัตรา 70–80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร และผสมด้วยกากน้ำตาล (โมลาส) หรือน้ำอ้อยแดง 2–3 ช้อนแกง โดยพ่นบนใบข้าวหรือถั่วลิสงที่ปลูกเป็นพืชสลับ
5. เพลี้ยกระโดดหลังขาว
เพลี้ยกระโดดหลังขาว (Sogatella (= Sogata) furcifera) สามารถแยกชนิดออกจากเพลี้ยกระโดดชนิดอื่นในระยะตัวเต็มวัยได้ โดยมีแถบสีขาวตามยาวของด้านหลังส่วนอกอยู่ระหว่างฐานปีกทั้งสอง แมลงในสกุลนี้มีหลายชนิดที่พบในนาข้าว แต่ข้าวไม่ใช่พืชอาหารหลักและสามารถจำแนกแมลงแต่ละชนิดออกจากกันโดยดูที่ปีก ส่วนหัวและลักษณะอวัยวะเพศผู้ ยกเว้นเพศเมียของ S. panicicola และ S. longifurcifera
การเป็นศัตรูพืช
ถึงแม้ว่าไม่ได้เป็นแมลงพาหนะนำโรไวรัสแต่ก็พบเพลี้ยกระโดดหลังขาวได้ทั่วไป และอาจดูดกินน้ำเลี้ยงต้นข้าวทำให้แห้งตายได้ แต่สามารถป้องกันกำจัดได้โดยใช้สารฆ่าแมลง เพลี้ยกระโดดหลังขาวระบาดได้ทุกสภาพแวดล้อม
การเจริญเติบโต
ตัวเต็มวัย มีสีน้ำตาลถึงสีดำ ลำตัวสีเหลือง มีแถบสีขาวเห็นชัดอยู่ด้านหลังส่วนอกระหว่างปีกสองข้าง เพลี้ยกระโดดหลังขาว เพศเมียมีทั้งชนิดปีกสั้นและปีกยาว ส่วนเพศผู้มีแต่ชนิดปีกยาวเท่านั้น เพลี้ยกระโดดหลังขาวจะอาศัยอยู่บริเวณโคนต้นข้าว ตัวเต็มวัยเข้ามาในแปลงข้าวช่วง 30 วัน แรกหลังจากเป็นต้นกล้า ใน 1 ฤดูปลูก เพลี้ยกระโดดหลังขาวเจริญเติบโตขยายพันธุ์ได้น้อยรุ่นกว่าเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และชอบดูดกินน้ำเลี้ยงจากข้าวต้นอ่อน และขยายพันธุ์เป็นพวกปีกยาว จากนั้นอพยพออกจากแปลงข้าวก่อนที่ข้าวจะออกดอก กับดักแสงไฟสามารถดักจับตัวเต็มวัยเพลี้ยกระโดดหลังขาวได้จำนวนมาก และจับได้มากที่สุดในช่วงพระจันทร์เต็มดวง
ไข่ ไข่มีลักษณะและขนาดเหมือนกับไข่ของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล แต่มีเปลือกหุ้มไข่ยาวกว่า เพศเมียแต่ละตัวสามารถวางไข่ได้ 300–500 ฟองในช่วงชีวิตประมาณ 2 สัปดาห์
ตัวอ่อน ตัวอ่อนระยะแรกของเพลี้ยกระโดดทุกชนิดจะเห็นเป็นสีขาว และไม่สามารถแยกความแตกต่างของตัวอ่อนแต่ละชนิดได้ในแปลงนา ตัวอ่อนระยะหลังๆ ของเพลี้ยกระโดดหลังขาวแยกความแตกต่างได้โดยมีจุดดำและขาวที่ส่วนท้องด้านบน
การทำลาย
ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพลี้ยกระโดดหลังขาว ดูดกินน้ำเลี้ยงที่โคนกอข้าว และผลิตมูลหวานออกมาน้อยกว่าเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ทำให้มีราดำเกิดขึ้นน้อยตรงรอยทำลาย ต้นข้าวที่ถูกเพลี้ยกระโดดหลังขาวจำนวนมากทำลาย มีสีเหลืองส้มใบแห้ง ต่อมาใบจะเป็นสีน้ำตาล ในระยะแรกต้นข้าวแห้งตายเป็นหย่อมๆ จุดที่ถูกทำลายจะขยายกว้างถ้าประชากรแมลงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยทั่วไปเพลี้ยกระโดดหลังขาวเข้าทำลายข้าวในระยะตั้งท้อง เพลี้ยกระโดดหลังขาวไม่เป็นแมลงพาหนะนำโรคไวรัสมาสู่ต้นข้าว
การจัดการ
วิธีเขตกรรม วิธีการเขตกรรมที่ใช้ได้ผลดีกับเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล สามารถใช้ได้กับเพลี้ยกระโดดหลังขาว เช่นกัน
พันธุ์ต้านทาน เนื่องจากเพลี้ยกระโดดหลังขาวแพร่ระบาดออกจากแปลงนาช่วงข้าวตั้งท้อง พันธุ์ข้าวที่เก็บเกี่ยวเร็วสามารถลดจำนวนรุ่นขยายพันธุ์ของเพลี้ยกระโดดหลังขาวได้ ข้าวพันธุ์แตกกอมาก เพลี้ยกระโดดหลังขาวทั้งตัวเต็มวัยและตัวอ่อนจะมีมากกว่าข้าวพันธุ์ที่แตกกอน้อย
การป้องกันกำจัดโดยชีววิธี
เพลี้ยกระโดดหลังขาวมีศัตรูธรรมชาติทำลายทุกระยะการเจริญเติบโต โดยทั่วไปประชากรของเพลี้ยกระโดดหลังขาวจึงมีน้อย การใช้สารฆ่าแมลงโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบอาจทำลายศัตรูธรรมชาติมากกว่าเพลี้ยกระโดดหลังขาว และทำให้เกิดการระบาดของเพลี้ยกระโดดหลังขาวได้ ไข่ของเพลี้ยกระโดดหลังขาวถูกเบียนโดยแตนเบียนตัวเล็กๆ หรือถูกมวนเขียวดูดไข่ หรือไรตัวห้ำกิน ตัวอ่อนและตัวเต็มวันถูกเบียนโดยแตนเบียน dryinid หรือถูกเชื้อราทำลาย
ตัวห้ำของตัวอ่อนและตัวเต็มวัยรวมทั้งตัวห้ำที่อยู่ใต้ผิวน้ำได้แก่ แมลงเหนี่ยง ด้วงดิ่ง ตัวอ่อนแมลงปอบ้าน แมลงปอเข็ม พวกที่อยู่บนผิวน้ำ ได้แก่ จิงโจ้น้ำ ก็เป็นตัวห้ำที่สำคัญด้วยเช่นกัน ตัวห้ำที่อยู่ในน้ำเหล่านี้จะคอยจับกินเพลี้ยกระโดดที่หล่นลงบนผิวน้ำ และยังสามารถจับเพลี้ยกระโดดบนใบข้าวที่อยู่ใกล้ๆ ระดับน้ำได้อีกด้วย ด้วงก้นกระดก ด้วงดิน และมวนดอกรัก รวมทั้งแมงมุมต่างๆ จับตัวอ่อนและตัวเต็มวัยเพลี้ยกระโดดหลังขาวที่อยู่ตามใบข้าวกินเป็นอาหาร
แมลงปอเข็มตัวเต็มวัยจับกินเพลี้ยกระโดดที่เกาะตามใบข้าว ส่วนแมลงปอบ้านตัวเต็มวัยจับกินเพลี้ยกระโดดที่บินในนาข้าว
การป้องกันกำจัดด้วยสารเคมี
วิธีการใช้สารฆ่าแมลงสำหรับเพลี้ยกระโดดหลังขาวเหมือนกับของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล สารฆ่าแมลงชนิดพ่นมีประสิทธิภาพดีกว่าชนิดเม็ด อย่าใช้สารฆ่าแมลงที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการระบาดของแมลงเพิ่มขึ้น
การสำรวจ สำรวจนาข้าวหลังจากปลูกแล้ว 30 วัน ทุกสัปดาห์จนถึงช่วงข้าวออกดอก ตบต้นข้าวเพื่อให้เพลี้ยกระโดดเคลื่อนไหวตัวและตรวจนับจำนวน สุ่มสำรวจจากข้าว 20 กอหรือจุด ตามแนวทแยงมุมของแปลงนา
คำนวณค่าเฉลี่ยจำนวนแมลงต่อต้นของเพลี้ยกระโดดหลังขาวที่ตรวจนับได้ ถ้าตรวจพบเพลี้ยกระโดดดังกล่าว 1 ตัว/ต้น ให้สำรวจสัปดาห์ละ 2 ครั้ง พ่นสารฆ่าแมลงที่บริเวณโคนต้นข้าวเมื่อตรวจพบตัวอ่อนที่โตเต็มที่มากกว่า 1 ตัว/ต้น
6. แมลงสิง มวนในสกุล Leptocorisa เรียกว่าแมลงสิง มวนเหล่านี้มีลักษณะการระบาด ชีววิทยาและการทำลายข้าวคล้ายคลึงกัน
การเป็นศัตรูพืช
ปกติการสูญเสียผลผลิตเนื่องจากแมลงสิงมีน้อย เพราะประชากรแมลงสิงมีมากเป็นบางช่วง และทำลายข้าวเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ของการเจริญเติบโตของข้าว แมลงสิงพบได้ในทุกสภาพแวดล้อม แต่จะพบมากในนาน้ำฝนและข้าวไร่ ปัจจัยที่ทำให้แมลงสิงมีปริมาณมาก คือ อยู่ใกล้ชายป่า มีวัชพืชขึ้นอยู่มากมายใกล้นาข้าว และมีการปลูกข้าวเหลื่อมเวลากัน
การเจริญเติบโต
ตัวเต็มวัย รูปร่างเพรียว มีขาและหนวดยาว ลำตัวสีเขียวแกมน้ำตาล แมลงสิงเริ่มพบระบาดในต้นฤดูฝน และเจริญเติบโต ขยายพันธุ์ 1–2 รุ่น บนพืชอาศัย ซึ่งเป็นวัชพืชตระกูลหญ้าก่อนที่จะอพยพเข้ามาในแปลงนาข้าวระยะข้าวออกดอก เมื่อถูกรบกวน ตัวเต็มวัยจะบินหนีและปล่อยกลิ่นเหม็นออกจากต่อมที่อยู่ที่ท้อง ตัวเต็มวัยจะออกหากินช่วงบ่ายๆ และช่วงเช้ามืดและเกาะพักอยู่ที่หญ้าขณะที่มีแสงแดดจัด ในฤดูแล้งตัวเต็มวัยเคลื่อนย้ายไปอยู่แถบชายป่า และเกาะพักตัวอยู่บริเวณนั้น กับดักแสงไฟไม่สามารถดักจับแมลงสิงได้
เพศเมียแต่ละตัววางไข่ได้หลายร้อยฟองในช่วงชีวิตประมาณ 2–3 เดือน
ไข่ มีสีน้ำตาลแดงเข้ม ไข่มีรูปร่างคล้ายจานวางไข่เป็นกลุ่มมี 10–20 ฟอง เรียงเป็นแถวตรงบนผิวใบข้าวขนานกับเส้นกลางใบมี 2–3 แถว เมื่อไข่ฟักเป็นตัวอ่อน เปลือกไข่จะเปิดออกครึ่งหนึ่งเห็นเป็นรูออกได้ชัดเจน
ตัวอ่อน มีสีเขียวแกมน้ำตาลอยู่รวมเป็นกลุ่มบนต้นข้าวดูกลมกลืนกับใบข้าวอย่างแยกไม่ค่อยออก
การทำลาย
ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกิน endosperm ของเมล็ดข้าว และดูดกินน้ำเลี้ยงของต้นข้าวด้วยเช่นกัน แมลงสิงมีปากแบบเจาะดูดในการดูดกินมันจะขับของเหลวจากปากเพื่อทำให้ส่วนที่จะดูดกินเกิดการแข็งตัวและยึดส่วนของปากให้อยู่กับที่ ส่วนที่ถูกดูดกินมีสีขาวสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า การทำลายของแมลงสิงไม่ทำให้เกิดรูบนเปลือกของเมล็ดข้าวเหมือนมวนชนิดอื่นที่ทำลายเมล็ดข้าว แต่มันจะเจาะผ่านช่องว่างระหว่างเปลือกเล็ก และเปลือกใหญ่ของเมล็ดข้าว ส่วนของเมล็ดที่ถูกแมลงสิงดูดกินตรวจพบได้ง่ายบนเมล็ดข้าว ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินเมล็ดข้าวในระยะเป็นน้ำนม แต่ก็สามารถดูดกินเมล็ดข้าวทั้งเมล็ดอ่อนและเมล็ดแข็ง ตัวอ่อนที่กำลังเจริญเติบโตดูดกินเมล็ดข้าวมากกว่าตัวเต็มวัย แต่ตัวเต็มวัยทำความเสียหายมากกว่าเพราะดูดกินเป็นเวลานานกว่า การดูดกินน้ำนมจากเมล็ดข้าวทำให้ขนาดเล็กลง แมลงสิงไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เมล็ดลีบไม่มีเนื้อข้าว เพราะไม่ได้ดูดกิน endosperm จนหมดเมล็ด ขณะที่แมลงสิงดูดกิน endosperm ทั้งที่ยังอ่อนอยู่หรือแข็งตัว มันจะปล่อยน้ำย่อยเข้าไปเพื่อย่อยคาร์โบไฮเดรท และการดูดกินน้ำให้เมล็ดเกิดการปนเปื้อน เชื้อจุลินทรีย์ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เมล็ดเปลี่ยนสีหรือเป็นตำหนิที่เมล็ด
ความเสียหายจากการทำลายของแมลงสิงทำให้เมล็ดข้าวเสื่อมเสียคุณภาพมากกว่าทำให้น้ำหนักเมล็ดข้าวลดลง เมล็ดข้าวที่ถูกแมลงสิงทำลาย เมื่อนำไปสีจะแตกหักได้ง่าย เกษตรกรโดยทั่วไป มักไม่ได้สูญเสียรายได้จากคุณภาพเมล็ดที่เสียหายดังกล่าว เนื่องจากโดยทั่วไปไม่มีการตรวจสอบคุณภาพเมล็ดที่มีการซื้อขายกัน
การจัดการ
วิธีเขตกรรม กำจัดวัชพืชตระกูลหญ้าออกจากนาข้าว คันนา และรอบๆ แปลงนา หลีกเลี่ยงการปลูกข้าวเหลื่อมเวลาในพื้นที่เดียวกัน
พันธุ์ต้านทาน ยังไม่มีพันธุ์ต้านทานแมลงสิง ข้าวพันธุ์ที่มีหางไม่ใช่พันธุ์ข้าวที่ต้านทานแมลงสิง
การป้องกันกำจัดโดยชีววิธี
ไข่แมลงสิง ถูกเบียนโดยแตนเบียน scelionid โดยจะเห็นเป็นรูทางออกของแตนเบียนได้ ชัดเจน ตั๊กแตนหนวดยาวเป็นตัวห้ำกินไข่ของแมลงสิง แมงมุมในนาข้าวกินตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของแมลงสิง นอกจากนี้ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของแมลงสิงยังถูกเชื้อราทำลายด้วยเช่นกัน
การป้องกันกำจัดด้วยสารเคมี
แมลงสิงสามารถป้องกันกำจัดได้โดยพ่นสารฆ่าแมลง สารฆ่าแมลงชนิดเม็ดใช้ไม่ได้ผลในการป้องกันกำจัด
การสำรวจ
เริ่มทำการสำรวจนาข้าวในสัปดาห์แรกก่อนระยะที่ข้าวเป็นน้ำนม และสำรวจต่อไปสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จนกระทั่งถึงระยะที่เมล็ดข้าวแข็งตัวสุ่มตรวจนาข้าวในตอนเช้าตรู่หรือช่วงบ่ายๆ โดยสุ่มตรวจจากข้าว 20 กอ ตามแนวทแยงมุมของแปลงนา จดบันทึกจำนวนแมลงสิงต่อกอ และพ่นสารฆ่าแมลงเมื่อตรวจพบจำนวนแมลงถึงระดับเศรษฐกิจ
สัตว์ศัตรูข้าวไร่และการป้องกันกำจัด
1. หนูศัตรูข้าวไร่และการป้องกันกำจัด
หนูศัตรูข้าวไร่ที่พบมีอยู่ 3 สกุล คือ สกุลหนูพุก(หนูพุกใหญ่ หนูพุกเล็ก) หนูท้องขาวและหนูหริ่ง ซึ่งมักจะระบาดทำความเสียหายแก่ข้าวไร่อยู่เสมอๆ โดยจะทำลายทุกระยะการเจริญเติบโตของต้นข้าว โดยเฉพาะข้าวไร่ในระยะเป็นกล้าจะถูกทำลายมากกว่าปกติ ดังนั้นเกษตรกรจึงควรหมั่นตรวจดูแปลงข้าวไร่อยู่เสมอๆ เมื่อพบร่องรอยหรือการทำลายของหนู ควรรีบกำจัดแต่เนิ่นๆ
1. การป้องกันกำจัดโดยไม่ใช้สารเคมี
1. การขุดรูหนู
2. การดักหนู โดยใช้กับดักหรือกรงดักก็จะช่วยในการกำจัดหนูได้อีกวิธีหนึ่ง
3. การปรับปรุงสภาพแวดล้อมตามบริเวณข้าวไร่เกษตรกรควรปรับปรุงคันนาไม่ให้เหมาะสมกับการที่หนูจะเข้ามาขุดรูอยู่อาศัย โดยไม่ทำคันนาให้ใหญ่มากนัก หรือกำจัดวัชพืชเพื่อไม่ให้หนูมีที่หลบซ่อน
4. การรักษาศัตรูธรรมชาติไว้ช่วยปราบหนู เกษตรกรมักจะทราบกันดีแล้วว่างูชนิดต่างๆ เช่น งูเห่า งูทางมะพร้าว งูสิง ฯลฯ พังพอน เหยี่ยว นกแสก นกเค้าแมว นกฮูก เป็นศัตรูธรรมชาติที่ช่วยกำจัดหนู ดังนั้นการรักษาศัตรูธรรมชาติเหล่านี้ไว้จะช่วยในการกำจัดหนูศัตรูข้าวไร่ได้ดีอีกด้วย ในบริเวณข้าวไร่ก็ควรจะทำคอนจากกิ่งไม้ทางมะพร้าวหรืออื่นๆ ไว้ให้นกที่หากินกลางคืนเกาะ เช่น นกแสก นกฮูก จะช่วยให้นกเหล่านี้มีโอกาสกำจัดหนูได้ง่ายขึ้น
2. การใช้สารเคมีกำจัดหนูก่อนการปลูกข้าวไร่
เนื่องจากหนูเป็นสัตว์ศัตรูข้าวที่ค่อนข้างฉลาด ดังนั้นก่อนการปลูกข้าวไร่ประมาณ 2 สัปดาห์ จึงควรใช้สารเคมีกำจัดหนู เพื่อลดประชากรของหนูที่มีอยู่มากให้เหลือน้อยลงมากที่สุด โดยการใช้สารเคมีประเภทออกฤทธิ์เร็วซิงค์ฟอสไฟด์ผสมกับปลายข้าวในอัตราส่วนของซิงค์ฟอสไฟด์ 1 ส่วนกับปลายข้าว 100 ส่วน โดยน้ำหนักเป็นเหยื่อพิษ หรือใช้สารซิลมูรินผสมกับปลายข้าวในอัตราส่วนของซิลมูริน 1 ส่วนกับปลายข้าว 20 ส่วน โดยน้ำหนักเป็นเหยื่อพิษ นำเหยื่อพิษชนิดใดหนึ่งที่กล่าวแล้วไปวางตามร่อยรอยที่พบตามคันนาหรือตามรูหนูที่พบในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะทุกๆ ระยะ 5 – 10 เมตร ควรใช้กลบคลุมเหยื่อพิษที่วางเพื่อป้องกันความชื้นและล่อให้หนูมากินเหยื่อพิษมากขึ้น การใช้สารเคมีกำจัดหนูก่อนการปลูกข้าวไร่นี้นอกจากจะช่วยลดจำนวนประชากรของหนูได้โดยตรงแล้ว ยังช่วยป้องกันไม่ให้ข้าวไร่ที่จะหยอดเสียหายจากหนูได้
3. การใช้สารเคมีกำจัดหนูระหว่างการปลูกข้าวไร่
หลังจากใช้สารเคมีกำจัดหนูประเภทออกฤทธิ์เร็วไปแล้วประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ คือเมื่อถึงระยะที่ตั้งตัวได้แล้ว ให้ใช้สารเคมีกำจัดหนูประเภทออกฤทธิ์ช้า เช่น คลีแร็ตหรือราคูมิน ซึ่งเป็นเหยื่อพิษสำเร็จรูปในก้อนขี้ผึ้ง ก้อนละประมาณ 5 กรัม หรือที่ผสมใส่ถุงพลาสติกขนาดเล็กถุงละประมาณ 15 กรัม นำเหยื่อพิษสำเร็จรูปนี้ไปวางตามแหล่งที่พบร่องรอยของหนูและในแปลงข้าวไร่ โดยแต่ละก้อนหรือแต่ละถุงห่างกันประมาณ 4 – 5 เมตร และให้วางเหยื่อพิษดังกล่าวนี้เดือนละ 1 ครั้งก็เพียงพอแก่การควบคุมประชากรของหนูได้ดี
2. นกศัตรูข้าวไร่และการป้องกันกำจัด
นกศัตรูข้าวไร่ที่พบมีอยู่ 5 ชนิดคือ นกกะติ๊ดขี้หมู นกกะติ๊ดตะโพกขาว นกกระจาบธรรมดา นกกระจอกตาล และนกจาบปีกอ่อนอกเหลือง โดยจะทำลายข้าวไร่ตั้งแต่ระยะข้าวเป็นน้ำนมไปจนถึงเก็บเกี่ยว ทั้งในนาและที่เก็บไว้ในยุ้งฉาง ในระยะข้าวใกล้สุกการเกาะคอรวงข้าวกินเป็นฝูงๆ ของนกเหล่านี้ อาจจะทำให้คอรวงข้าวหัก ซึ่งจะทำความเสียหายทางอ้อมแก่ข้าวไร่
การป้องกันกำจัด
1. การป้องกันกำจัดโดยวิธีกล ( mechanical control )
1.1 การใช้ตาข่ายคลุมแปลงหรือตาข่ายดักนกหรือกรงดักนก จะต้องเลือกใช้ขนาดของรูตาข่ายที่มีตาถี่พอที่จะไม่ให้นกบินลอดเข้าได้ อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะเสียค่าใช้จ่ายสูง แต่ถ้าเก็บรักษาตาข่ายดีๆ แล้วสามารถนำมาใช้เป็นเวลาหลายๆปีเช่นตาข่ายที่ทำด้วยเชือกพลาสติก เป็นต้น สำหรับโกดังยุ้งฉางที่มีช่องหรือรูที่นกสามารถเข้าไปทำลายผลิตผลทางเกษตรหรือเข้าไปทำรังได้ ก็ควรใช้ตาข่ายชนิดตาถี่ปิดกั้นช่องนั้น ๆ เสีย อีกประการหนึ่งการก่อสร้างโกดังหรือยุ้งฉาง ส่วนที่เป็นกันสาดหรือขอบคิ้วต่าง ๆ ควรจะใช้วัสดุที่มีผิวเรียบมันและควรมีความลาดเอียงประมาณ 45 องศา และไม่ควรจะมีส่วนที่ยื่นออกไปให้นกเกาะอาศัยได้ การไล่โดยใช้หุ่นไล่กาถ้าเป็นหุ่นไล่กาชนิดที่เคลื่อนไหวได้จะได้ผลดีกว่าหุ่นนิ่ง
1.2 การไล่โดยคน ในกรณีที่แรงงานมากพอ การใช้คนไล่นกก็จะได้ผลดี
1.3 การใช้เครื่องมือทำให้เกิดเสียงดัง เพื่อให้นกตกใจบินหนี เช่น การจุดประทัดเป็นระยะๆ การใช้ปืนยิง การใช้เครื่องระเบิดโดยใช้แก๊ส (gas exploder) การใช้ปี๊บน้ำมันคว่ำแล้วผูกเชือกห้อยของหนักไว้ภายในเหมือนกระดิ่ง แล้วคอยกระตุกไล่นก เป็นต้น
1.4 การใช้วัสดุที่ทำให้แสงสะท้อนวูบวาบ เช่น ใช้กระจกเงาหรือแผ่นอลูมิเนียมเงา หรือสายเทปคาสเซทที่ไม่ใช้หรือยืดแล้ว แขวนให้ทั่วบริเวณที่ต้องการไล่ อาศัยลมพัดตามธรรมชาติทำให้วัสดุนั้น ๆ หมุนและเกิดสะท้อนแสง ทำให้นกตกใจหนีได้
1.5 การใช้เครื่องขยายเสียงหรือเทปบันทึกเสียง โดยอัดเสียงตอนที่นกตกใจกลัวหรืออัดเสียงนกเหยี่ยวหรือนกล่าเหยื่อต่าง ๆ แล้วเปิดเพื่อให้นกตกใจกลัว
2. การป้องกันกำจัดโดยวิธีเขตกรรม ( cultural practice )
การจำกัดวัชพืชต่าง ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้นก มีแหล่งอาหารจากเมล็ดหญ้าเพิ่มขึ้นก่อนที่จะลงทำลายข้าวในนา เศษหญ้า ฟางข้าว หรือขยะอื่น ๆ ควรจะเก็บให้มิดชิดหรือทำลายเสียเพื่อไม่ให้นกนำมาใช้เป็นวัสดุทำรังพุ่มไม้ที่ไม่จำเป็นรอบๆ แปลงนาก็ควรทำลายเสียจะช่วยกำจัดแหล่งที่อยู่อาศัยของนก ตลอดจนการปลูกข้าวไร่ควรจะปลูกเพื่อให้ข้าวสุกพร้อมๆ กัน เพราะตามปกติแล้วแปลงข้าวใดที่ออกรวงก่อนมักจะถูกนกทำลายเสียหายมากกว่า
3. การป้องกันกำจัดโดยชีววิธี (biological control)
เช่นการฝึกหัดสัตว์ศัตรูธรรมชาติ เช่น แมวหรือนกล่าเหยื่อต่างๆ เช่น เหยี่ยว คอย ขับไล่นกศัตรูข้าวไร่ การทำลายรังนก ไข่ หรือตัวอ่อน
4. การป้องกันกำจัดโดยใช้สารเคมี (chemical control)
สารเคมีที่ทดสอบแล้วว่าใช้ได้ผลดี เป็นพวกสารไล่นก (bird repellent) ใช้พ่นให้ทั่วรวงข้าว เมื่อนกลงมากินจะเกิดอาการเข็ดและหนีไฟ สารเคมีดังกล่าวได้แก่ เมซูรอล (methiocarb 50% WP) ใช้ในอัตรา 120 กรัมต่อไร่ของสารออกฤทธิ์ หรือประมาณ 12 ช้อนแกงต่อไร่โดยผสมน้ำ 20 ลิตรหรือ 1 ปี๊บ ฉีดพ่นครั้งแรกในระยะข้าวเป็นน้ำนม และหลังจากนั้นประมาณ 12 วัน จึงฉีดพ่นอีกครั้งหนึ่งจะได้ผลดีที่สุด
5. การป้องกันกำจัดโดยวิธีผสมผสาน (integrated control)
เนื่องจากนกศัตรูข้าวเป็นสัตว์ที่มีการหาอาหารและครอบครองที่อยู่ได้มาก ดังนั้นการ
ป้องกันและกำจัดนก อาจจะต้องใช้หลายๆ วิธีดังกล่าวมาแล้วผสมผสานกันตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่และตามดุลยพินิจของผู้ที่จะทำการป้องกันและกำจัดแต่ละพื้นที่และตามดุลยพินิจของผู้ที่จะทำการป้องกันและกำจัด
3. กระต่ายป่าและการป้องกันกำจัด
กระต่ายป่าเท่าที่พบในเมืองไทยมี 1 ชนิด คือ Lepus siamensis โดยปกติแล้วกระต่ายเพศเมียจะให้ลูกปีละหลายครอก แต่ละครอกจะมีลูกอ่อนเฉลี่ย 3–4 ตัว มักจะทำลายข้าวไร่โดยเฉพาะช่วงที่ข้าวกำลังเป็นต้นอ่อน หรืองอกได้ประมาณ 1–2 สัปดาห์ โดยจะออกหากินในตอนเย็นและค่ำ ลักษณะที่เห็นได้ชัดคือมูลที่หล่นอยู่ใกล้แหล่งอาหารที่ทำลาย
การป้องกันกำจัดอาจจะใช้ตาข่ายหรือกรงดัก กับดัก ตามทางที่กระต่ายป่าทิ้งร่องรอยไว้หรือทิศทางที่กระต่ายป่าเข้ามาหากินในแปลงข้าวไร่ อาจจะใช้ผ้าขาวหรือพลาสติกใสผูกติดปลายไม้แล้วปักเป็นระยะๆ ประมาณ 10–15 เมตรต่อ 1 จุด ตามแนวรอบๆ แปลงข้าวไร่ที่ติดชายป่า หรืออาจจะใช้กระดิ่งแขวนตามแนวรอบๆ แปลง เมื่อลมพัดเกิดเสียงดังทำให้กระต่ายป่ากลัวได้
http://www.brrd.in.th/rkb/data_002/rice_xx2-03_ricebreed_Hight05.html
สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.