นครสวรรค์/ น.ส.ปาริฉัตร พุ่มเปี่ยม เกษตรสัมพันธ์ อ.เก้าเลี้ยว จ.นครสวรรค์
รายงานว่า
นายพูนศักดิ์ เหลืองหิรัญ เกษตรอำเภอเก้าเลี้ยว เตือนพี่น้องเกษตรกรให้ทราบเกี่ยว
กับโรคที่มักจะระบาดในนาข้าวซึ่งมีอยู่หลายชนิด อาทิ โรคถอดฝักดาบ โรคใบสีส้ม โรคกาบใบแห้ง โรคเหลืองเตี้ย โรคเขียวเตี้ย โรคหูด ไส้เดือนฝอยรากปม เพื่อให้เกษตรกรรู้เท่าทันโรคที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรามาก่อน โดยเฉพาะ "โรคเมาตอซัง" จะพบ
มากในนาชลประทานเขตภาคกลาง
เกิดจากความเป็นพิษของดินและน้ำ เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่มีเชื้อจึงไม่มีการแพร่ระบาด
ติดต่อกัน
มักพบเมื่อข้าวระยะแตกกออายุราว 1 เดือน อาการคล้ายขาดธาตุไนโตรเจน ต้นแคระ
แกร็นใบซีดเหลืองจากใบล่างๆ มีอาการโรคใบจุดสีน้ำตาล จะพบในขณะที่ขบวนการเน่า
สลายของเศษซากพืชในนายังไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดสารพิษเป็นสารซัลไฟด์ไปทำลาย
รากข้าวให้เน่าดำ ไม่สามารถดูดธาตุอาหารจากในดินได้
สาเหตุเกิดจากเกษตรกรทำนาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการพักดิน และเกิดการหมักของตอซัง
ระหว่างข้าวแตกกอ
เกษตรอำเภอเก้าเลี้ยว กล่าวต่อว่า วิธีการแก้ไข ให้ระบายน้ำเสียในแปลงนาทิ้งให้ดิน
แห้ง 1 สัปดาห์ เพื่อให้รากข้าวได้รับอากาศ หลังจากนั้นจึงปล่อยน้ำใหม่เข้าและหว่าน
ปุ๋ย หลังเก็บเกี่ยวข้าวควรทิ้งระยะพักดินราว 1 เดือน ไถพรวนแล้วควรทิ้งระยะให้ตอซัก
เกิดการย่อยสลายราว 2 สัปดาห์ และไม่ควรให้ระดับน้ำในนาสูงมากเกินไป และมีการ
ไหลเวียนของน้ำอยู่เสมอ
http://www.ryt9.com/s/bmnd/1191511
ปลูกข้าวไม่พักนา ระวังโรคเมาตอซัง
นายประเสริฐ โกศัลวิตร อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากศูนย์
ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์ข้าว กรมการข้าว ถึงสถานการณ์โรคข้าวที่น่าเป็น
ห่วงในขณะนี้ ได้แก่ โรคเมาตอซัง ซึ่งสามารถเริ่มพบอาการเมื่อข้าวอายุประมาณ
1 เดือน หรือระยะแตกกอ ต้นข้าวจะแสดงอาการคล้ายขาดธาตุไนโตรเจน
ต้นแคระแกร็น ใบซีดเหลืองจากใบล่าง ๆ มีอาการโรคใบจุดสีน้ำตาล จะพบในขณะ
ที่ขบวนการเน่าสลายของเศษซากพืชในนายังไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดสารพิษเป็น
สารซัลไฟด์ไปทำลายรากข้าว จะเกิดอาการรากเน่าดำ รากจึงไม่สามารถดูดธาตุอาหารจากในดินได้ ต้นข้าวจึงแสดงอาการขาดธาตุอาหาร ในขณะเดียวกันมัก
จะพบต้นข้าวสร้างรากใหม่ในระดับเหนือผิวดิน ซึ่งต้นเหตุของปัญหาเกิดจากเกษตรกรทำนาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการพักนา และเกิดการหมักของตอซังระหว่าง
ข้าวแตกกอ ดังนั้น กรมการข้าวจึงมีความเป็นห่วงเกษตรกรที่ทำนาปรังและกำลัง
จะทำนาปีต่อเนื่อง โดยไม่มีการพักนาอาจจะเกิดปัญหาดังกล่าวได้
อธิบดีกรมการข้าว กล่าวต่อไปอีกว่า เกษตรกรควรหมั่นสังเกตต้นข้าว อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งโรคนี้สามารถป้องกันกำจัดได้โดย
1)ระบายน้ำเสียในแปลง ออกทิ้งให้ดินแห้งประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้รากข้าว
ได้รับอากาศ หลังจากนั้น จึงนำน้ำใหม่เข้าและหว่านปุ๋ย
2)หลัง เก็บเกี่ยวข้าว ควรทิ้งระยะพักดินประมาณ 1 เดือน ไถพรวนแล้วควรทิ้งระยะให้ตอ ซังเกิดการหมักสลายตัวสมบูรณ์อย่างน้อย 2 สัปดาห์
3)ไม่ควรให้ระดับน้ำในนาสูงมากเกินไปและมีการไหลเวียนของน้ำอยู่เสมอ
เกษตรกรที่มีข้อสงสัยสามารถ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน่วยงาน ของกรม
การข้าว หรือศูนย์บริการชาวนา 50 แห่งทั่วประเทศ ในวันและเวลาราชการ.
http://soclaimon.wordpress.com/2010/08/06/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%82/
โรคเมาตอซัง (Akiochi)
สาเหตุ
เกิดจากการสะสมของก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ในดิน
อาการ
พบตั้งแต่ระยะแตกกอถึงระยะก่อนเก็บเกี่ยว ต้นข้าวแสดงอาการคล้ายขาดธาตุไนโตรเจน คือ ต้นแคระแกรน ใบซีดเหลืองจากใบล่างๆ มีอาการโรคใบจุดสีน้ำตาล ซึ่งสาเหตุของปัญหาเกิดจากการทำนาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการพักนา ทำให้เกิดการหมักของตอซังระหว่างข้าวแตกกอ เนื่องจากกระบวนการเน่าสลายของเศษซากพืชในนายังไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดสารพิษ คือ สารซัลไฟด์ ซึ่งไปทำลายรากข้าว ทำให้รากเน่าดำ ไม่สามารถดูดธาตุอาหารจากดินได้ ต้นข้าวจึงแสดงอาการขาดธาตุอาหาร และต้นข้าวยังสร้างรากใหม่เหนือระดับผิวดิน
การแพร่ระบาด
เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่มีเชื้อสาเหตุ จึงไม่มีการระบาดติดต่อกัน
การป้องกันกำจัด
1) ควรพักดินประมาณ 1 เดือน หลังเก็บเกี่ยวข้าว และหลังไถพรวนควรทิ้งระยะให้ตอซังเกิดการหมักเพื่อสลายตัวให้สมบูรณ์อย่างน้อง 2 สัปดาห์
2) ระบายน้ำเสียออกจากแปลง และทิ้งดินให้แห้งประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้รากข้าวได้รับอากาศ หลังจากนั้นจึงนำน้ำใหม่เข้าและหว่านปุ๋ย
3) ควบคุมระดับน้ำในนาไม่ให้สูงเกินไป และควรมีการไหลเวียนของน้ำอยู่เสมอ
อ้างอิง : สำนักส่งเสริมการผลิตข้าว กรมการข้าว
http://www.tgi4u.com/pages/knowlage%201-7.html