อย่างที่พอจะทราบ ๆ กันแล้วว่า “ข้าวแพง” ใช่ว่าเกษตรกรชาวนาจะมีรายได้จากการขายผลผลิตข้าวได้อย่างเต็มที่ เพราะก็ยังมีต้นทุนการปลูกข้าวที่สูงตามราคาข้าวมาตัดรายได้ไปไม่น้อย เช่น ต้นทุนยากำจัดวัชพืช-ศัตรูพืช หรือ “ปุ๋ยแพง” ที่ก็เป็นต้นทุน-เป็นเรื่องที่หนักอกชาว นา...ทั้งแพง-ทั้งขาดแคลน
ไหนจะมีปัญหาขาด “เมล็ดพันธุ์ข้าว” อีกต่างหาก !!
ทั้งนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวนาไทยอย่างล้นพ้น ที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีรับสั่งห่วงใยกรณีพันธุ์ข้าวที่ชาวนาจะใช้ปลูกอาจจะมีไม่เพียงพอ เพราะเมื่อข้าวมีราคาสูงผลผลิตข้าวที่ได้ก็มักจะถูกขายหมด จนเกิดการขาดแคลนส่วนที่จะใช้เป็นพันธุ์ข้าวสำหรับปลูกต่อไป
อย่างไรก็ดี แม้จะมีเมล็ดพันธุ์ข้าวเตรียมไว้ใช้ปลูก แต่ก็ใช่ว่ามี แล้ว-เตรียมที่นาแล้ว ก็สามารถนำเมล็ดพันธุ์ข้าวไปใช้ปลูกได้เลย ซึ่งสำหรับอาชีพชาวนานั้นแต่ละขั้นตอนล้วนต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อทั้งสิ้น
“เมล็ดพันธุ์ข้าว” จำเป็นต้องคัด-ต้องจัดเตรียมให้ดี...
“ใช้เมล็ดพันธุ์ที่สะอาด ไม่มีเมล็ดวัชพืชเจือปน เพราะถ้ามีเมล็ดวัชพืชปนติดไปกับเมล็ดพันธุ์ข้าวจะเป็นการเพิ่มวัชพืชลงไปในนาซึ่งมีเมล็ดวัชพืชสะสมมากอยู่แล้ว การทำความสะอาดเมล็ดพันธุ์ข้าวสามารถกระทำได้โดยใช้เครื่องสีฝัดเป่าเมล็ดวัชพืชและเศษสิ่งเจือปนที่เบาออกไปจากเมล็ดข้าว
นอกจากนี้ ขณะแช่ข้าวสำหรับใช้หว่านยังสามารถใช้มือซาวเอาเมล็ด ข้าวลีบและเศษสิ่งเจือปนที่ลอยออกได้อีกครั้ง จะได้เมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ใช้เมล็ด พันธุ์ที่มีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง และงอกได้เร็ว แข็งแรง สามารถแข่งขันกับวัชพืชได้”...นี่เป็นข้อมูลซึ่งมีที่มาจากกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
บ่งชี้ว่า “เมล็ดพันธุ์ข้าว” ไม่ใช่ว่ามีแล้วจะใช้ได้เลย !!
และหากข้อมูลข้างต้นยังฉายภาพได้ไม่ชัดเจนพอ ก็ลองมาดูกันเพิ่มเติมกับข้อมูลของกรมส่งเสริมการเกษตรที่แนะนำ “วิธีการเตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าว” ของชาวนา เพื่อให้ได้ผลผลิตเต็มที่-เสียหายน้อย
จากข้อมูลระบุว่า...การเตรียมพันธุ์ข้าว “เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญอย่างหนึ่งของการทำนา” การใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่สมบูรณ์ ปราศจากโรค แมลง และสิ่งเจือปน จะทำให้ได้กล้าข้าวที่แข็งแรง สมบูรณ์ มีการเจริญเติบโตเร็วและ สม่ำเสมอ สามารถแข่งขันกับวัชพืช และต้านทานต่อโรค แมลงศัตรู ตลอดจนสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ การออกดอกและสุกแก่สม่ำเสมอ ทำให้สะดวกในการเก็บเกี่ยว ส่งผลให้ได้ข้าวที่มีผลผลิตสูงและมีคุณภาพดี ซึ่งวิธีการเตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าวนั้นมีดังนี้คือ.....
1. ตรวจสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ โดยพิจารณาว่าเมล็ดพันธุ์ที่จะใช้นั้น มีพันธุ์อื่นปะปน มีโรคแมลง มีเมล็ดวัชพืชปะปนหรือรูปร่างของเมล็ดไม่สม่ำเสมอ ถ้าเป็นเช่นที่ว่านี้ก็ไม่ควรใช้ทำพันธุ์
2. ทดสอบความงอกของเมล็ดพันธุ์ ควรต้องทดสอบทุกครั้งก่อนจะนำไปปลูก เพื่อที่จะได้ทราบว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวที่จะปลูกนั้นมีความงอกดีพอที่จะใช้ทำพันธุ์หรือไม่ เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เก็บเกี่ยว เมื่อสุกเต็มที่ ตากเมล็ดไว้แห้งดี เก็บรักษาไว้ในที่ไม่ร้อนจัด ชื้น หรืออับเกินไป เมล็ดพันธุ์ข้าวจะงอกไม่ต่ำกว่า 80% ในช่วงเวลา 1 ปี ดังนั้น เมล็ดพันธุ์ข้าวที่จะนำไปปลูกจึงควรจะมีความงอกไม่ต่ำกว่า 80%
3. เตรียมเมล็ดพันธุ์ป้องกันโรค ในพื้นที่ที่มีปัญหาโรคต้นข้าว เช่น โรคถอดฝักดาบ หรือโรคใบจุดสีน้ำตาล มีคำแนะนำให้ใช้ยาไดเทนเอ็ม 45 คลุก เมล็ดพันธุ์ อัตรายา 2 ช้อนแกงต่อเมล็ดพันธุ์ 10 กิโลกรัม (1 ถัง) ก่อนจะนำ ไปปลูกประมาณ 2 สัปดาห์ และไม่ควรคลุกไว้เกิน 1 เดือน เพราะเปอร์เซ็นต์ความงอกจะลดลง
4. คัดเมล็ดพันธุ์ที่ดี เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่มีความงอกสูง ซึ่งจะต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ มีน้ำหนักของเมล็ดดีที่เรียกว่า “ข้าวเต็มเมล็ด” สำหรับข้าวที่ไม่เต็มเมล็ด เมื่อนำไปปลูกแม้การงอกจะเหมือนกับข้าวเต็มเมล็ด แต่ปัญหาคือจะเจริญเติบโตช้ากว่า อีกทั้งยังไม่แข็งแรง เกิดโรคและแมลงได้ง่าย ดังนั้น การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวที่สมบูรณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นอีกขั้นตอนที่ชาวนาไม่อาจจะละเลย
ทั้งนี้ “การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวที่สมบูรณ์” นั้น ตามข้อมูลคำแนะนำสามารถทำได้ดังนี้คือ...นำเมล็ดพันธุ์ข้าวมาแยกเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ออก โดยเทเมล็ดพันธุ์ลงในน้ำที่ละลายด้วย “เกลือแกง” ความเข้มข้นในระดับที่พอใส่ไข่ไก่หรือไข่เป็ด (ไข่ใหม่) ส่วนที่ลอยพ้นบนผิวน้ำเกลือมีขนาดเท่าเหรียญห้าบาท ซึ่งการเตรียมน้ำละลายเกลือแกงสามารถเตรียมได้โดยใช้อัตราส่วนเกลือ แกงประมาณ 1.7 กิโลกรัม ผสมกับน้ำ 10 ลิตร
เทเมล็ดพันธุ์ลงในน้ำเกลือแล้ว ก็ช้อนเมล็ดที่ลอยอยู่บนผิวน้ำเกลือออกทิ้ง จากนั้นนำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่จมอยู่ในน้ำเกลือออกมาโดยเร็ว แล้วรีบล้างด้วยน้ำจืด เพื่อเก็บไว้ใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ปลูกข้าวต่อไป โดยนำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่คัด แล้วไปแช่ในน้ำสะอาดนานประมาณ 12 ชั่วโมง จากนั้นนำขึ้นมาหุ้มโดยใช้กระสอบป่านแล้วนำไปเก็บไว้ในที่ชุ่มชื้นนาน 24-36 ชั่วโมง ระหว่างหุ้มก็ต้อง ดูแลเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ พอครบกำหนดการหุ้มแล้วเมล็ดพันธุ์ข้าว จะงอกรากยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร จึงจะพร้อมที่จะนำไปหว่านลงในดินที่เตรียมไว้
“ข้าว” กว่าจะได้ปลูก-กว่าจะได้ขาย...มันง่าย ๆ เสียที่ไหน
“ข้าวแพง” ถ้าชาวนาได้ประโยชน์เต็มที่...คนไทยคงรับได้
กลัวก็แต่ “นายทุนรวยยิ่งขึ้น” ชาวนาจนเหมือนเดิม ???.
ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์