เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2553 ดร.วีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช) นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชมแปลงนาของเกษตรกรในพื้นที่ อ.ผักไห่ อยุธยา ซึ่งปลูกข้าวพันธุ์หอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน อันเป็นผลสำเร็จจากการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวไม่ไวแสง ผลผลิตสูงให้ทนต่อสภาพน้ำท่วมฉับพลัน นอกเหนือจากแปลงนาเกษตรกรในพื้นที่ผักไห่นี้แล้ว ปัจจุบันยังมีการขยายผลไปในแปลงเกษตรกรพื้นที่ พิจิตร และเพชรบูรณ์ด้วย ดร.วีระชัย รัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯเผยเตรียมจ่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขยายผลโดยขอสนับสนุนงบประมาณฟื้นฟูเกษตรกรที่ประสบภัย วางแผนขยายโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีทนน้ำท่วมเพื่อแจกจ่ายเกษตรกรที่ประสบปัญหาอุทกภัย ซึ่งสามารถนำไปปลูกได้ 160,000ไร่ สร้างรายได้ให้เกษตรกรไม่ต่ำกว่า1200 ล้านบาท โดย ดร.วีระชัยเปิดเผยในรายละเอียดว่า
“จากปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายส่วนของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นภาคส่วนหลักของประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ไบโอเทคซึ่งได้ทำงานร่วมกับกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสบผลสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวไม่ไวแสง ผลผลิตสูงให้ทนต่อสภาพน้ำท่วมฉับพลันและมีชีวิตอยู่ใต้น้ำได้ไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ อันจะเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความเสียหายจากภัยธรรมชาติดังกล่าวได้ ปัจจุบันทดสอบและได้รับผลสำเร็จในหลายพื้นที่ทั้งในจังหวัดอยุธยา พิจิตร และเพชรบูรณ์ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ สวทช.จัดทำโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณสนับสนุนการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบปัญหาอุทกภัย จำนวน 40ล้านบาทเพื่อดำเนินโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวไม่ไวแสงจำนวน 2000 ตัน ซึ่งจะสามารถเพาะปลูกได้ 160,000 ไร่ ทั้งนี้คาดว่าจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรประมาณ 1200 ล้านบาท“
ด้าน ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วม กระทบโดยตรงกับการทำนา อาชีพหลักของเกษตรกร เมื่อข้าวไม่ทนต่อสภาวะน้ำท่วมขังย่อมส่งผลต่อความเสียหายของผลผลิต พันธุ์ข้าวที่สามารถทนต่อน้ำท่วมขัง จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรในขณะนี้
ปัจจุบัน ไบโอเทค/สวทช.ประสบผลสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยอื่นๆอีกเช่น โรค และแมลงศัตรูพืชต่าง ๆ ได้แก่
สายพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ทนน้ำท่วมฉับพลัน,
สายพันธุ์ กข 6 ต้านทานโรคไหม้,
สายพันธุ์ข้าวแก้วเกษตรต้านทานโรคไหม้ และ
ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน
ซึ่ง สวทช. ได้นำสายพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ดังกล่าวไปเผยแพร่ ส่งเสริมให้เกษตรกรในหลาย ๆ พื้นที่แล้ว ได้แก่ สกลนคร อุบลราชธานี น่าน เชียงราย นครพนม ลำปาง ชัยภูมิ นครพนม สุพรรณบุรี นครปฐม ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ อุตรดิตถ์ ร้อยเอ็ด มุกดาหาร พิจิตร
เฉพาะพันธุ์หอมชลสิทธิ์นี้ ได้มีการเผยแพร่ไป ที่เกษตรกรที่ประสบภัยน้ำท่วมที่พิจิตร ตั้งแต่ปี 2551 แต่ได้มาส่งเสริมการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่สหกรณ์การเกษตรผักไห่เป็นแห่งแรก ทั้งนี้ ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 66ล้านไร่ ต้องการเมล็ดพันธุ์ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี แต่ปัจจุบันการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยทั่วไปเกษตรกรใช้เมล็ดข้าวที่เก็บเกี่ยวจากแปลงนาของตนเองเป็นเมล็ดพันธุ์สำหรับปลูกในฤดูต่อไป การใช้ลักษณะนี้ติดต่อกันหลายฤดูปลูก ทำให้เกิดการปนของเมล็ดพันธุ์ เกษตรกรจึงควรเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์อย่างน้อยทุกๆ 3 ฤดู
การส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีไว้ใช้เองและหรือจำหน่าย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวของประเทศให้สูงขึ้น และเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการขายเป็นข้าวเปลือก โดยปัจจุบันไบโอเทค สวทช. ได้ดำเนินโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีสายพันธุ์ต่างๆ รวมทั้งให้การอบรมและถ่ายทอดความรู้ด้านการปลูก การดูแลรักษาแปลง การตรวจและกำจัดพันธุ์ปน และการตรวจคัดพันธุ์บริสุทธิ์ เพื่อใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ในฤดูต่อไปด้วย
ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา หน่วยปฏิบัติการค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน ปรับปรุงพันธุ์ข้าว พันธุ์หอมชลสิทธิ์ ทนน้ำท่วมฉับพลัน โดยเป็นการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์ข้าว IR57514 ซึ่งเป็นพันธุ์ทนน้ำท่วมฉับพลันกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 ข้าวหอมชลสิทธิ์ถูกคัดเลือกให้มีคุณสมบัติการหุงต้มแบบข้าวขาวดอกมะลิ เมล็ดข้าวมีกลิ่นหอม สามารถปลูกได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี และสามารถทนอยู่ในน้ำได้นานถึง 2-3 สัปดาห์ มีผลผลิตข้าวเปลือกในระดับ 900– 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ เหมาะกับพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ง่าย เช่น พื้นที่ ต.ผักไห่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น
นายบุญส่ง กุศลเอี่ยม ประธานสหกรณ์การเกษตรผักไห่ ให้ข้อมูลว่าจากการประสบปัญหาน้ำท่วมในทุกๆปี ในเขตพื้นที่ ต.ผักไห่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ส่งผลกระทบต่อการทำนาซึ่งนิยมปลูกข้าวพันธุ์พิษณุโลกเป็นหลัก ซึ่งข้าวพันธุ์นี้ไม่ทนต่อสภาวะน้ำท่วมขัง พันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน จึงเป็นพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่นี้เป็นอย่างดี ภายใต้ความร่วมมือกับ สวทช. เพื่อส่งเสริมการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์นี้ สวทช. ได้ส่งนักวิจัยและนักถ่ายทอดเทคโนโลยีเข้ามาในพื้นที่เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ การเตรียมการปลูก และให้คำแนะนำแก่เกษตรกรเป็นระยะ และเมื่อเดือนสิงหาคม ได้เริ่มทำแปลงสาธิตประมาณ 30ไร่ พร้อมเก็บเกี่ยวเดือนธันวาคมนี้ โดยเป้าหมายของสหกรณ์การเกษตรผักไห่ คือ ส่งเสริมให้สมาชิกเกษตรกรซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 2,000 คน ได้ปลูกข้าวพันธุ์หอมชลสิทธิ์ ทนน้ำท่วมฉับพลัน ผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี ขยายพันธุ์และส่งไปยังตลาดที่มีความต้องการเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนต่อไป
นายสุรชัย พงษ์แตง เกษตรกรที่ทำเกษตรปราณีต เจ้าของแปลงนาสาธิต 16 ไร่ กล่าวว่า ตนเองและเกษตรกรส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อข้าวพันธุ์นี้ โดยเฉพาะลักษณะทางกายภาพของข้าว ได้แก่ การติดเมล็ดดี รวงสวย การเจริญเติบโตเร็ว การแตกกอดี ลำต้นแข็งแรง และนอกจากนี้เมล็ดพันธุ์สามารถเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีเพื่อใช้ปลูกในฤดูต่อไป
ประกาศเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2553
http://www.biotec.or.th/th/index.php/announcement/corporate-news/260-2010-11-01-02-57-34