-
++kasetloongkim.com++ - Content
หน้าแรก สมัครสมาชิก กระดานข่าว ดาวน์โหลด ติดต่อ

เมนูหลัก

» หน้าแรก
» เว็บบอร์ด
» ผู้ดูแล
» ไม้ผล
» พืชสวนครัว
» พืชไร่
» ไม้ดอก-ไม้ประดับ
» นาข้าว
» อินทรีย์ชีวภาพ
» ฮอร์โมน
» จุลินทรีย์
» ปุ๋ยเคมี
» สารสมุนไพร
» ระบบน้ำ
» ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
» ไร่กล้อมแกล้ม
» โฆษณา ฟรี !
» โดย KIM ZA GASS
» สมรภูมิเลือด
» ชมรม

ผู้ที่กำลังใช้งานอยู่

ขณะนี้มี 465 บุคคลทั่วไป และ 0 สมาชิกเข้าชม

ท่านยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิก หากท่านต้องการ กรุณาสมัครฟรีได้ที่นี่

เข้าระบบ

ชื่อเรียก

รหัสผ่าน

ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นสมาชิก? ท่านสามารถ สมัครได้ที่นี่ ในการเป็นสมาชิก ท่านจะได้ประโยชน์จากการตั้งค่าส่วนตัวต่างๆ เช่น ฉากหรือพื้นโปรแกรม ค่าอ่านความคิดเห็น และการแสดงความเห็นด้วยชื่อท่านเอง

สถิติผู้เข้าเว็บ

มีผู้เข้าเยี่ยมชม
PHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG CounterPHP-Nuke PNG Counter ครั้ง
เริ่มแต่วันที่ 1 มกราคม 2553

product13

product9

product10

product11

product12

นาข้าว





กำลังปรับปรุงครับ

ดร.วีระชัย นำสื่อมวลชนลงพื้นที่น้ำท่วมชมแปลงนาเกษตรกรที่ปลูก
พันธุ์ข้าว “หอมชลสิทธิ์" ทนน้ำท่วมฉับพลัน


เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2553 ดร.วีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช)  นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชมแปลงนาของเกษตรกรในพื้นที่ อ.ผักไห่ อยุธยา ซึ่งปลูกข้าวพันธุ์หอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน อันเป็นผลสำเร็จจากการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวไม่ไวแสง ผลผลิตสูงให้ทนต่อสภาพน้ำท่วมฉับพลัน นอกเหนือจากแปลงนาเกษตรกรในพื้นที่ผักไห่นี้แล้ว ปัจจุบันยังมีการขยายผลไปในแปลงเกษตรกรพื้นที่ พิจิตร และเพชรบูรณ์ด้วย ดร.วีระชัย รัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯเผยเตรียมจ่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขยายผลโดยขอสนับสนุนงบประมาณฟื้นฟูเกษตรกรที่ประสบภัย วางแผนขยายโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีทนน้ำท่วมเพื่อแจกจ่ายเกษตรกรที่ประสบปัญหาอุทกภัย ซึ่งสามารถนำไปปลูกได้ 160,000ไร่ สร้างรายได้ให้เกษตรกรไม่ต่ำกว่า1200 ล้านบาท  โดย ดร.วีระชัยเปิดเผยในรายละเอียดว่า


“จากปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายส่วนของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นภาคส่วนหลักของประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ไบโอเทคซึ่งได้ทำงานร่วมกับกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสบผลสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวไม่ไวแสง ผลผลิตสูงให้ทนต่อสภาพน้ำท่วมฉับพลันและมีชีวิตอยู่ใต้น้ำได้ไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ อันจะเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความเสียหายจากภัยธรรมชาติดังกล่าวได้ ปัจจุบันทดสอบและได้รับผลสำเร็จในหลายพื้นที่ทั้งในจังหวัดอยุธยา พิจิตร และเพชรบูรณ์ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ สวทช.จัดทำโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณสนับสนุนการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบปัญหาอุทกภัย จำนวน 40ล้านบาทเพื่อดำเนินโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวไม่ไวแสงจำนวน 2000 ตัน ซึ่งจะสามารถเพาะปลูกได้ 160,000 ไร่ ทั้งนี้คาดว่าจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรประมาณ 1200 ล้านบาท“


ด้าน ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วม กระทบโดยตรงกับการทำนา อาชีพหลักของเกษตรกร เมื่อข้าวไม่ทนต่อสภาวะน้ำท่วมขังย่อมส่งผลต่อความเสียหายของผลผลิต พันธุ์ข้าวที่สามารถทนต่อน้ำท่วมขัง จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรในขณะนี้  

ปัจจุบัน ไบโอเทค/สวทช.ประสบผลสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยอื่นๆอีกเช่น โรค และแมลงศัตรูพืชต่าง ๆ ได้แก่

สายพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ทนน้ำท่วมฉับพลัน,
สายพันธุ์ กข 6 ต้านทานโรคไหม้,
สายพันธุ์ข้าวแก้วเกษตรต้านทานโรคไหม้ และ 
ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน  

ซึ่ง สวทช. ได้นำสายพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ดังกล่าวไปเผยแพร่ ส่งเสริมให้เกษตรกรในหลาย ๆ พื้นที่แล้ว ได้แก่ สกลนคร อุบลราชธานี น่าน เชียงราย นครพนม ลำปาง ชัยภูมิ  นครพนม สุพรรณบุรี  นครปฐม ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ อุตรดิตถ์ ร้อยเอ็ด มุกดาหาร พิจิตร

เฉพาะพันธุ์หอมชลสิทธิ์นี้ ได้มีการเผยแพร่ไป ที่เกษตรกรที่ประสบภัยน้ำท่วมที่พิจิตร ตั้งแต่ปี 2551  แต่ได้มาส่งเสริมการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่สหกรณ์การเกษตรผักไห่เป็นแห่งแรก ทั้งนี้ ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 66ล้านไร่ ต้องการเมล็ดพันธุ์ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี แต่ปัจจุบันการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยทั่วไปเกษตรกรใช้เมล็ดข้าวที่เก็บเกี่ยวจากแปลงนาของตนเองเป็นเมล็ดพันธุ์สำหรับปลูกในฤดูต่อไป การใช้ลักษณะนี้ติดต่อกันหลายฤดูปลูก ทำให้เกิดการปนของเมล็ดพันธุ์ เกษตรกรจึงควรเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์อย่างน้อยทุกๆ 3 ฤดู 

การส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีไว้ใช้เองและหรือจำหน่าย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวของประเทศให้สูงขึ้น และเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการขายเป็นข้าวเปลือก โดยปัจจุบันไบโอเทค สวทช.  ได้ดำเนินโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีสายพันธุ์ต่างๆ รวมทั้งให้การอบรมและถ่ายทอดความรู้ด้านการปลูก การดูแลรักษาแปลง การตรวจและกำจัดพันธุ์ปน และการตรวจคัดพันธุ์บริสุทธิ์ เพื่อใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ในฤดูต่อไปด้วย


ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา  หน่วยปฏิบัติการค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน  ปรับปรุงพันธุ์ข้าว พันธุ์หอมชลสิทธิ์ ทนน้ำท่วมฉับพลัน โดยเป็นการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์ข้าว IR57514 ซึ่งเป็นพันธุ์ทนน้ำท่วมฉับพลันกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 ข้าวหอมชลสิทธิ์ถูกคัดเลือกให้มีคุณสมบัติการหุงต้มแบบข้าวขาวดอกมะลิ เมล็ดข้าวมีกลิ่นหอม สามารถปลูกได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี และสามารถทนอยู่ในน้ำได้นานถึง 2-3 สัปดาห์ มีผลผลิตข้าวเปลือกในระดับ 900– 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ เหมาะกับพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ง่าย เช่น พื้นที่ ต.ผักไห่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น


นายบุญส่ง กุศลเอี่ยม    ประธานสหกรณ์การเกษตรผักไห่ ให้ข้อมูลว่าจากการประสบปัญหาน้ำท่วมในทุกๆปี ในเขตพื้นที่ ต.ผักไห่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ส่งผลกระทบต่อการทำนาซึ่งนิยมปลูกข้าวพันธุ์พิษณุโลกเป็นหลัก ซึ่งข้าวพันธุ์นี้ไม่ทนต่อสภาวะน้ำท่วมขัง พันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน จึงเป็นพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่นี้เป็นอย่างดี  ภายใต้ความร่วมมือกับ สวทช. เพื่อส่งเสริมการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์นี้ สวทช. ได้ส่งนักวิจัยและนักถ่ายทอดเทคโนโลยีเข้ามาในพื้นที่เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์  การเตรียมการปลูก และให้คำแนะนำแก่เกษตรกรเป็นระยะ และเมื่อเดือนสิงหาคม ได้เริ่มทำแปลงสาธิตประมาณ 30ไร่ พร้อมเก็บเกี่ยวเดือนธันวาคมนี้ โดยเป้าหมายของสหกรณ์การเกษตรผักไห่ คือ ส่งเสริมให้สมาชิกเกษตรกรซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 2,000 คน   ได้ปลูกข้าวพันธุ์หอมชลสิทธิ์ ทนน้ำท่วมฉับพลัน ผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี ขยายพันธุ์และส่งไปยังตลาดที่มีความต้องการเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนต่อไป


นายสุรชัย พงษ์แตง   เกษตรกรที่ทำเกษตรปราณีต  เจ้าของแปลงนาสาธิต 16 ไร่ กล่าวว่า ตนเองและเกษตรกรส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อข้าวพันธุ์นี้ โดยเฉพาะลักษณะทางกายภาพของข้าว ได้แก่ การติดเมล็ดดี รวงสวย การเจริญเติบโตเร็ว การแตกกอดี ลำต้นแข็งแรง และนอกจากนี้เมล็ดพันธุ์สามารถเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีเพื่อใช้ปลูกในฤดูต่อไป



ประกาศเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2553

http://www.biotec.or.th/th/index.php/announcement/corporate-news/260-2010-11-01-02-57-34

 




หอมชลสิทธิ์” ข้าวประกันความเสี่ยงยามน้ำท่วม



ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา“ข้าวหอมชลสิทธิ์” เป็นข้าวที่ได้รับการพัฒนาให้ทนต่อน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งเป็นปัญหาที่พบประจำทุกปีในแถบภาคเหนือตอนล่างลงมาถึงภาคกลาง โดย เกิดจากการผสมระหว่างพันธุ์ข้าวทนน้ำท่วม IR57514 และข้าวขาวดอกมะลิ 105 ซึ่ง ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา จากหน่วยปฏิบัติการค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในผู้ร่วมพัฒนาพันธุ์ข้าวทนน้ำท่วมนี้กล่าวถึงคุณสมบัติของข้าวพันธุ์ นี้ว่า เป็นข้าวเมล็ดยาวที่มีกลิ่นหอมใกล้เคียงข้าวหอมมะลิ เมื่อจัดอันดับคุณภาพข้าวแล้ว ข้าวชลสิทธิ์อยู่ตรงกลางระหว่างข้าวหอมมะลิและข้าวขาวปทุม
       
       “หากเกษตรกรมีพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับพื้นที่ก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้ และเรื่องน้ำท่วมนี้เราก็คิดมานานแล้ว เป็นปัญหาทุกปี สิ่งที่เราทำได้คือใส่ทุกอย่างเพื่อลดความเสี่ยงในพันธุ์ข้าว เหมือนเขามีหลักประกันในการปลูก เมื่อไม่มีเหตุการณ์ภัยพิบัติเขาก็ยังปลูกได้ แต่ถ้าเกิดภัยพิบัติขึ้น อย่างน้อยเขาก็ได้อะไรบ้าง” ดร.ธีรยุทธกล่าว
       
       ข้าวหอมชลสิทธิ์ยังให้ผลผลิตสูงเฉลี่ยถึง 900 กิโลกรัมต่อไร่ โดยหากเกี่ยวข้าวสด คือ เกี่ยวหลังรวงข้าวเหลืองแต่ต้นข้าวข้าวหอมชลสิทธิ์ยังเขียวจะได้ผลผลิตประมาณ 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งการเกี่ยวข้าวลักษณะนี้จะได้ข้าวที่มีความชื้นสูง ดังนั้น ทางโรงสีจึงต้องนำไปอบไล่ความชื้นและเกษตรกรจะได้ราคาไม่ค่อยดี และหากเกี่ยวข้าวแห้งคือทั้งรวงข้าวและต้นข้าวเหลืองแล้วจะได้ผลผลิตประมาณ 800 กิโลกรัมต่อไร่
       
       “ข้าวหอมชลสิทธิ์เป็นข้าวไม่ไวแสง จึงปลูกได้ตลอดทั้งปีแต่เหมาะกับนาชลประทานที่น้ำเข้าถึง และจะให้ผลผลิตหลังปลูก 120 วัน ข้าวพันธุ์นี้จะทนน้ำท่วมได้นาน 2 สัปดาห์โดยที่ผลผลิตไม่เสียหาย หากท่วมนานกว่านั้นผลผลิตจะลดลงตามส่วน แต่ดีกว่าเกษตรกรไม่ได้อะไรเลย เพราะปกติข้าวทั่วไปโดนน้ำท่วม 2-3 วันก็ตาย สิ่งที่แตกต่างระหว่างข้าวทนน้ำท่วมกับข้าวทั่วไปคือ เมื่อเจอน้ำท่วมซึ่งระดับน้ำจะท่วมสูงแค่ไหนก็ตาม ต้นข้าวทนน้ำท่วมจะไม่ตาย โดยจะหยุดการเจริญเติบโตและฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหลังน้ำลด แต่ต้นข้าวปกติจะยังเจริญเติบโตแข่งกับน้ำท่วม จนหมดพลังงานละตายในที่สุด และลำต้นของข้าวทนน้ำท่วมยังแข็งแรงกว่าปกติจึงไม่ล้มเมื่อเจอน้ำมาก” ดร.ธีรยุทธกล่าว
       
       ความสำเร็จของการพัฒนาข้าวหอมชลสิทธิ์นี้เกิดจากความร่วมมือของหลาย สถาบันและมีผู้ร่วมพัฒนาข้าวทนน้ำท่วมนี้ไม่ต่ำกว่า 60 คน โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสถาบันข้าวนานาชาติหรืออีรี (IRRI) ฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ ใช้เวลาพัฒนาพันธุ์ข้าว 4 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลามาตรฐานของการปรับปรุงพันธุ์ข้าวในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็มีความพยายามลดระยะเวลาในการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้เหลือเพียง 2 ปี
       
       “การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเดี๋ยวนี้ใช้เวลาไม่นาน แค่ 4 ปีก็ได้พันธุ์ข้าวแล้ว เพียงแค่อยากได้คุณสมบัติอะไรก็ใส่ลงไปให้ครบ สำหรับการพัฒนาข้าวหอมชลสิทธิ์นี้ใช้เทคโนโลยีดีเอ็นเอในการตรวจสอบและ ติดตามคุณภาพสายพันธุ์ข้าว โดยใช้ยีนทนน้ำท่วมจากอีรีและใส่ยีนความหอมเข้าไปด้วย ทำให้ได้ข้าวที่มีความหอม แต่เราไม่ทำจีเอ็มโอ แม้เราจะมีศักยภาพทำได้ก็ตาม เพราะไม่มีความจำเป็นและมีทางเลือกอื่น และเรามีนโยบายไม่ทำข้าวจีเอ็มโอ” ดร.ธีรยุทธอธิบาย
       
       สำหรับข้าวหอมชลสิทธิ์นี้ได้แจกจ่ายไปให้แก่เกษตรกรในหลายจังหวัด แล้ว โดยเริ่มจากแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรใน จ.พิจิตรที่ประสบภัยน้ำท่วมเมื่อปี 2551 ส่วนพื้นที่ใหญ่ๆ ที่เพาะปลูกข้าวพันธุ์นี้คือ จ.อุตรดิตถ์ พิจิตร สิงห์บุรีและอ่างทอง และล่าสุดคือพื้นที่ใน อ.ผักไห่ จ.อยุธยา ซึ่งเพาะปลูกข้าวพันธุ์นี้เป็นฤดูกาลที่ 2 แล้ว และยังมีความร่วมมือระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับ สหกรณ์การเกษตรผักไห่ อยุธยา ในการเพาะปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์แจกจ่ายเกษตรกรต่อไป และเป็นครั้งแรกที่มีความร่วมมือในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์
       
       อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นข้าวทนน้ำท่วม แต่ข้าวหอมชลสิทธิ์ก็ไม่อาจทนต่อน้ำท่วมในช่วงที่ข้าวออกรวงได้ เพราะน้ำท่วมทำให้ข้าวไม่สามารถผสมเกสรได้ ซึ่ง ดร.ธีรยุทธเล่าว่า ปีนี้เกษตรกรเจอปัญหาหลายด้านและประสบปัญหาน้ำท่วมในช่วงข้าวออกรวง ทำให้ได้ผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร เพราะข้าวพันธุ์นี้พัฒนาขึ้นมาให้รับมือน้ำท่วมในช่วงน้ำหลากที่ข้าวยังไม่ ออกรวง
       
       ขณะที่ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย ดร.วีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กำลังจะเสนอของบประมาณ 40 ล้านบาทจากนายกรัฐมนตรีเพื่อขยายเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ 2,000 ตัน ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก 160,000 ไร่ โดยคาดว่าจะเลือกพื้นที่ในภาคกลางเพราะเป็นพื้นที่เหมาะสมกับข้าวหอมชล สิทธิ์มากที่สุดเพื่อรับการกระจายพันธุ์ข้าวนี้
       
       พร้อมกันนี้ ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV- ผู้จัดการออนไลน์ได้ลงพื้นสำรวจแปลงสาธิตเพาะปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์ของ นายสุรชัย พงษ์แตง ใน อ.ผักไห่ จ.อยุธยา 1 ในเกษตรกร 4 รายที่เข้าร่วมโครงการเพาะพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ ด้วยเหตุผลว่า “อยากทดลอง” โดยได้ปลูกข้าวพันธุ์นี้ทั้งหมด 16 ไร่ และข้าวถูกน้ำท่วมจมหายไปแล้วกว่า 2 ไร่ ซึ่งเขาบอกว่าคงต้องปล่อยทิ้งเพราะไม่สามารถสูบน้ำไปทิ้งที่ไหนได้ อีกทั้งกว่าน้ำจะลดลงต้องรอถึงเดือน ธ.ค. สำหรับก่อนหน้านี้เขาเคยปลูกข้าวพันธุ์พิษณุโลก ข้าวขาวปทุมและข้าวสุพรรณบุรี แต่ยังไม่เคยประสบกับภัยน้ำท่วมเช่นปีนี้



*** ผู้สนใจซื้อพันธุ์ข้าวต้นแบบ สามารถติดต่อได้ที่

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  โทร.0-3435-5192-4 ราคากิโลกรัมละ 25 บาท***





ที่มา ASTV ผู้จัดการออนไลน์

http://nsw-rice.com/index.php/seedtechno/44











สงวนลิขสิทธิ์โดย © ++kasetloongkim.com++ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2010-07-29 (1030 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]
Content ©